ไม้สี่โมง บทที่ 1 : บุรุษพยาบาลและหลานคุณยาย

ไม้สี่โมง บทที่ 1 : บุรุษพยาบาลและหลานคุณยาย

โดย : ปรียนันทนา

Loading

ไม้สี่โมง โดย ปรียนันทนา นวนิยายรักโรแมนติกที่อ่านเอามั่นใจว่าคุณจะต้องอมยิ้มอุ่นหัวใจ เรื่องราวของมัคคุเทศก์สาวและบุรุษพยาบาลหนุ่มที่เส้นทางชีวิตไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ แต่เพราะคุณยายอุบลแท้ๆ ที่นำทั้งสองมาพบกันโดยบังเอิญ นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่กามเทพสูงวัยต้องทำให้สำเร็จ นิยายออนไลน์ที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

*************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

เสียงล้อรถเข็นหมุนวนบนพื้นหินอ่อนสีสว่างเป็นจังหวะเรียบเรื่อยก่อนจะหยุดลงหน้าลิฟต์โดยสารอย่างนุ่มนวลทำให้ผู้ที่นั่งอยู่บนรถเข็นลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปรอบตัว บริเวณหน้าพาหนะที่ทำหน้าที่พาผู้โดยสารขึ้นและลงยังจุดหมายปลายทางดูบางตาเนื่องด้วยเป็นเวลาค่อนข้างเช้า หญิงชราที่นั่งบนรถเข็นหลับตาลงอีกครั้งอย่างผ่อนคลายส่วนชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่เข็นรถหันไปยิ้มให้ผู้โดยสารคนอื่นอย่างสุภาพ แสงไฟสว่างไสวยิ่งสะท้อนให้ผิวขาวเหลืองและดวงตาคมหวานคู่นั้นดูเจิดจ้ากลางแสงไฟ ชายหนุ่มค่อยๆ เข็นรถพาหญิงชราเข้าไปในสิฟต์โดยสารอย่างระมัดระวังก่อนที่เขาจะหันไปถามจุดหมายปลายทางของผู้โดยสารคนอื่น

“ขอบคุณมากนะจ๊ะ” หญิงชราส่งเสียงบอกชายหนุ่มซึ่งพามาถึงแผนกตรวจอย่างเรียบร้อย เขารับคำอย่างสุภาพก่อนจะถามชื่อและขอบัตรคนไข้ คุณยายอุบลได้แต่นึกขอบคุณระคนแปลกใจว่าเดี๋ยวนี้พนักงานเข็นรถโรงพยาบาลช่างมีหน้าที่มากมายเหลือเกินเพราะนอกจากเข็นรถแล้วยังต้องคอยดูแลเอกสารของคนไข้ด้วย หากหญิงชราก็หยิบบัตรที่ลูกสาวเตรียมไว้ก่อนลงจากรถส่งให้ชายหนุ่มตรงหน้า

“แหม พี่ปาณพาคนไข้มาเองเลยเหรอคะ” เสียงเจ้าหน้าที่สาวสวยในเครื่องแบบสีขาวหันไปคุยกับพนักงานเข็นรถของคุณยายก่อนจะหันมาถามคนไข้อย่างสุภาพ “คนไข้ลุกขึ้นชั่งน้ำหนักสะดวกไหมคะ”

“เดี๋ยวผมช่วยพยุงนะครับ” ชายหนุ่มค่อยๆ เข็นรถพาคนไข้ซึ่งเขาซักถามคร่าวๆ ว่ามีอาการปวดเข่าไปที่เครื่องชั่งน้ำหนัก จากนั้นเขาพยุงคนไข้ขึ้นไปบนเครื่องชั่งแล้วปล่อยให้เธอเกาะราวเหล็กเพื่อทรงตัว หลังจากเจ้าหน้าที่อ่านตัวเลขบนเครื่องชั่งเสร็จเขาก็ค่อยพาคนไข้กลับมานั่งบนรถเข็นแล้วพาไปหน้าห้องแพทย์เพื่อรอตรวจ

“ขอบคุณอีกครั้งนะ ลูกสาวยายยังไม่มาเลย พอดีเขากลัวว่าจากที่จอดรถต้องเดินไกลเลยให้ยายลงก่อน”

“อ๋อ ครับ งั้นคุณยายนั่งรอหน้าห้องตรวจนะครับ เดี๋ยวถึงคิวแล้วจะมีเจ้าหน้าที่มาพาเข้าไป”

“ได้จ้ะ อ้อ นั่นลูกสาวมาพอดี” คุณยายหันไปมองหญิงวัยกลางคนหน้าตาละม้ายผู้เป็นแม่กำลังเดินตรงมาอย่างรีบเร่ง

“ถึงคิวหรือยังคะแม่”

“ยังหรอก นี่ พ่อหนุ่มคนนี้พามารอ”

“อ๋อ ขอบคุณนะคะน้อง เอ๊ะ” จงกลณีลูกสาวคุณยายอุบลสังเกตเครื่องแบบพนักงานเข็นรถแล้วอุทานออกมาอย่างแปลกใจ

“เสียงดังอะไรยัยจงกล ที่นี่เขาห้ามส่งเสียงเอะอะโวยวาย ไม่เหมือนเวลาเธอล้งเล้งกับลูกจ้างที่บ้านนะ”

“ดังอะไรคะแม่ หนูแค่กำลังจะถามว่าโรงพยาบาลนี้พยาบาลเป็นคนเข็นรถด้วยเหรอ”

“พยาบาลอะไร ก็พ่อหนุ่มคนนี้พาแม่มาจากข้างล่างไงล่ะ”

“ก็ใช่ แต่นี่ไม่ใช่เครื่องแบบเจ้าหน้าที่เวรเปลสักหน่อย ใช่ไหมคะ คุณเป็นพยาบาลหรือเปล่า” จงกลณีถามชายหนุ่มสวมชุดขาวอย่างมั่นใจ

“ใช่ครับ” ปาณัทผู้กำลังตกเป็นหัวข้อสนทนาของแม่ลูกคู่นี้รับคำยิ้มๆ ก่อนขอตัวไปทำหน้าที่ของเขาต่อไป

“อ้าว นี่แม่ก็นึกว่าพ่อหนุ่มนั่นเป็นเจ้าหน้าที่ ถึงว่าทำไมดูซักไซ้อาการเหมือนรู้เรื่อง ก็แปลกดีนะ ไม่เคยเห็นพยาบาลผู้ชายเลย”

“นั่นสิคะ หนูก็ไม่เคยเห็น แล้วดูสินั่น หน้าตาว้านหวานเหมือนผู้หญิงเลย เฮ้อ!” จงกลณีมีสีหน้าคล้ายเสียดายอะไรสักอย่างขณะที่บุรุษพยาลนามว่าปาณัทเดินเข้าไปในห้องพยาบาลซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบริเวณห้องตรวจนัก

……………………….

 

กลิ่นแอลกอฮอล์ผสานกับสบู่หอมเจือจางลอยกระทบจมูกคนไข้เมื่อประตูห้องแพทย์ผู้ตรวจเปิดออก เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์เข็นรถเข้าไปจอดอย่างเรียบร้อย เบื้องหน้าคุณยายอุบลนั้นนายแพทย์ประจำโรงพยาบาลผู้เชี่ยวชาญด้านข้อเข่ากำลังส่งยิ้มให้คนไข้สูงวัยอย่างเป็นมิตรพร้อมกับยกมือไหว้และกล่าวสวัสดีคุณยายและลูกสาว

“สวัสดีครับคุณยาย วันนี้มีอาการยังไงบ้างครับ”

“ปวดเข่าค่ะ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

“เดินขึ้นลงบันไดหรือล้มกระแทกแรงบ้างหรือเปล่าครับ” หมอหนุ่มหน้าตาแจ่มใสถามอาการคนไข้ขณะก้มหน้าเปิดแฟ้มประวัติ

“ไม่เลยค่ะ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เดินด้วยซ้ำ”

“หมอขอดูหน่อยนะครับ เจ็บหรือเปล่า” คุณหมอลุกจากเก้าอี้แล้วลงนั่งเบื้องหน้าคนไข้ก่อนจะค่อยๆ กดหัวเข่าและเหยียดออกช้าๆ ซึ่งคุณยายสามารถทำได้ค่อนข้างดีแม้จะมีเสียงดังในข้อบ้างซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของโรคนี้ก็ตาม

“ก็ตึงๆ แต่ไม่มากเท่าเมื่อคืน ต้องผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าไหมคะหมอ” คุณยายทำเสียงหวาดระแวงเนื่องด้วยเจ้าหลานสองคนที่บ้านขู่กันหนักหนาว่าหากไม่มาพบหมอแล้วอาการกำเริบหนักจะต้องผ่าตัด คุณยายจึงต้องรีบมาหาหมอทันที

“อืม จากที่ดูน่าจะเป็นอาการเบื้องต้นนะครับ เพราะเข่าบวมนิดหน่อยแต่ก็ยังไม่ได้ผิดรูป ที่สำคัญน้ำหนักตัวคุณยายก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ ผมว่าคงยังไม่ถึงขนาดต้องผ่าตัดหรอกครับ”

“โล่งอก” คุณยายหันไปมองลูกสาวผู้ซึ่งกำลังรอฟังคุณหมออย่างจดจ่อไม่ต่างกัน เมื่อได้รับคำตอบไปในทิศทางที่ดีก็ทำให้จงกลณีสบายใจ

“ปกติคุณยายกินแคลเซียมบ้างไหมครับ เดี๋ยวผมดูก่อนนะ” คุณหมอไล่เปิดแฟ้มประวัติย้อนหลังดูก็พบข้อมูลที่ต้องการ

“อ๋อ อาจารย์หมอเคยสั่งให้อยู่นี่ครับ”

“ใช่ๆ แต่แม่ไม่ค่อยกินหรอกค่ะ” คราวนี้ลูกสาวเป็นฝ่ายตอบคำถามแทนพร้อมกับหันไปทำหน้าจริงจังกับมารดา

“อย่าลืมสิครับ ต้องกินให้สม่ำเสมอและตรงเวลาจะได้ไม่มีปัญหา”

“มันช่วยได้จริงเหรอคะหมอ ยายว่าเวลากินแคลเซียมแล้วท้องมันอืดยังไงก็ไม่รู้ ไม่ชอบเลย”

“ก็ช่วยได้ครับ” คุณหมอตอบขณะกำลังเขียนบันทึกในแฟ้มประวัติคนไข้ “เดี๋ยววันนี้หมอสั่งยาแก้ปวดให้แล้วขอส่งเอกซเรย์กับเจาะเลือดเพื่อดูอาการที่ชัดเจน สะดวกรอผลไหมครับสักสองชั่วโมงจะได้ไม่ต้องรออีกหนึ่งอาทิตย์ครับ”

“สะดวกค่ะ ที่นี่มีแผนกแพทย์แผนไทยด้วยเหรอคะหมอ” คุณยายถามด้วยความอยากรู้

“ใช่ครับ”

“งั้นเรารักษาควบคู่กันไปก็ได้ใช่ไหมคะ” จงกลณีสนใจการรักษาแบบแผนไทยซึ่งน่าจะทำให้แม่ของเธอไม่ต้องเจ็บตัวมากนัก

“ได้ครับ แต่เดี๋ยวรอผลตรวจอย่างชัดเจนก่อนแล้วผมจะส่งต่อแผนกแผนไทยได้ครับ ตอนนี้ไปเอกซเรย์และเจาะเลือดก่อน ระหว่างนี้ก็กินข้าวเที่ยงรอได้เลยครับ อีกสองชั่วโมงมาเจอกันครับ”

“ขอบคุณมากนะคะหมอ” คุณยายกล่าวก่อนออกจากห้องอย่างคลายกังวล

 

………………………

 

ทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารจอดรถกับโรงพยาบาลกรุกระจกพร้อมติดฟิล์มกันแดดอย่างดีทว่าไอร้อนก็ผ่านเข้ามาพอให้ผู้ที่เดินผ่านรู้สึกถึงความระอุ แม้ระยะไม่ไกลนักหากพื้นทางเดินที่ไม่เรียบเช่นในตัวตึกก็ทำให้ผู้ที่นั่งบนรถเข็นอดบ่นออกมาเป็นครั้งคราวไม่ได้

“นี่ยัยจงกลเข็นดีๆ หน่อยสิ แม่เวียนหัว” คุณยายอุบลเปรยกับลูกสาววัยใกล้ห้าสิบผู้เป็นทั้งคู่หูและคู่ปรับหากก็อยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่นในครอบครัวที่ประกอบไปด้วยคุณยาย จงกลณีและสามี รวมทั้งหลานสองคน

“อะไรกันคะแม่ นี่หนูเข็นช้าแล้วนะ อ้าว” น้ำเสียงของลูกสาวสะดุดลงพร้อมกับที่เธอหยุดการเคลื่อนไหวจึงทำให้คุณยายลืมตาอีกครั้ง เบื้องหน้าหญิงชราและหญิงวัยกลางคนคือพยาบาลหนุ่มที่ทั้งคู่เจอเมื่อเช้านั่นเอง ใบหน้ายาวรูปไข่รับกันดีกับริมฝีปากอิ่มบางได้รูปที่กำลังส่งยิ้มให้คุณยายอีกครั้ง

“คุณยายเป็นยังไงบ้างครับ พบคุณหมอเรียบร้อยแล้วเหรอครับ”

“ค่ะ เรียบร้อย ผลออกมาแล้วไม่มีอะไรมาก”

“ดีครับ แล้วคุณหมอนัดอีกไหมครับ”

“อีกสองอาทิตย์ค่ะ ดีนะแค่เพิ่งเริ่มไม่ต้องผ่าตัด”

“หมอบอกยังไม่ต้องเฉยๆ ค่ะแม่ ก็ไม่แน่นะเพราะผลเอกซเรย์ตอนนี้กระดูกอ่อนยังไม่บางมากและผลเลือดก็ไม่ได้เป็นโรคเกาต์เลยยังไม่น่ากังวล” จงกลณีไม่อยากให้มารดาชะล่าใจกับอาการมากนัก แม้ผลเอกซเรย์และเจาะเลือดแค่บ่งชี้ว่าเป็นอาการข้อเข่าเสื่อมระยะเริ่ม หากการดูแลและระวังอย่างไม่ประมาทย่อมดีกว่าการวางใจแล้วส่งผลร้ายตามมา

“นั่นแหละๆ แหมพูดให้ตัวเองสบายใจนิดๆ หน่อยๆ ก็ไม่ได้”

“เดี๋ยวผมเข็นรถไปส่งไหมครับ” ชายหนุ่มแสดงความอารีอย่างสุภาพ จงกลณีจึงยอมให้เขาเข้ามาทำหน้าที่แทน

“ดีมากเลย นี่ละยัยจงกลมาดูคุณพยาบาลไว้ ชื่ออะไรนะพ่อหนุ่ม”

“ปาณัทครับ เรียกปาณเฉยๆ ก็ได้” บุรุษพยาบาลหน้าหวานตอบยิ้มๆ

“แปลกนะ ยายไม่ค่อยเห็นพยาบาลผู้ชายเลย จำได้ว่าตอนสาวๆ ไปโรงพยาบาลแถวบ้านเคยเห็นอยู่คนหนึ่งก็นานมากๆ แล้ว พอมาเจอคุณพยาบาลปาณยายก็เลยแปลกใจ” คุณยายเรียกชื่อชายหนุ่มอย่างเอ็นดู

“ผมชินแล้วครับ ส่วนใหญ่คนไข้ก็คงรู้สึกคล้ายๆ กัน” ปาณัทตอบเสียงเรียบๆ ไม่มีสำเนียงที่ส่อให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเขากำลังรำคาญ

“แล้วตอนเรียนมีผู้ชายมากไหมคะ” จงกลณีถามอย่างอยากรู้

“รุ่นผมมีสี่คนเองครับ”

“เหรอ แล้วเพื่อนอยู่โรงพยาบาลไหนคะ”

“เธอจะรู้ไปทำไมจงกล จะตามไปรักษาเหรอ”

“เปล่าสักหน่อยแม่ แค่อยากรู้เฉยๆ ค่ะ”

“เพื่อนผมบางคนไปทำอาชีพอื่นแล้วครับ ส่วนบางคนก็เป็นอาจารย์ครับ”

“อ้าวเหรอ” จงกลณีเดินไปถึงรถพอดีการสนทนาจึงจบลงแค่นั้น ลูกสาวเปิดประตูด้านข้างคนขับให้มารดาโดยมีปาณัทช่วยพยุงขึ้นรถ

“เรียบร้อยนะครับคุณยาย”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ แล้วเจอกันใหม่นะ”

“ครับ สวัสดีครับ รักษาสุขภาพนะครับ” คำกล่าวลาจากชายหนุ่มยิ่งสร้างความประทบใจให้คุณยายอุบลมากขึ้น แม้ลูกสาวของเธอจะไม่ได้มีท่าทางยินดียินร้ายกับการได้พบพยาบาลหนุ่มคนนี้เท่ากับเธอ ด้วยว่าท่าทีของจงกลณีดูเหมือนแปลกใจระคนสงสัยมากกว่า ทว่าคุณยายกลับชอบใจในท่าทีอ่อนน้อมสุภาพของชายหนุ่มซึ่งค่อนข้างหายากในสังคมเร่งรีบเช่นปัจจุบัน และแม้ว่าปาณัทจะมีอาชีพที่

บุคลากรส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง หากแต่คุณยายก็มิได้แคลงใจว่าท่าทีนั้นจะมากกว่าหรือเทียบเท่าผู้หญิงดังเช่นที่ลูกสาวของเธอกำลังสงสัยอยู่เลย

“ยัยจงกลสงสัยอะไร รู้นะ” เสียงคุณยายถามลูกสาวขณะรถเคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาลมุ่งสู่บ้านพักในจังหวัดนครปฐม

“สงสัยอะไรคะแม่ ไม่มี”

“ก็พ่อปาณไง” จงกลณีรู้สึกว่าเพียงชั่วเวลาไม่นานที่ได้เจอพยาบาลหนุ่มแต่แม่ของเธอกลับเอ็นดูเขามากเหลือเกิน

“เขาก็ท่าทางดีสมกับวิชาชีพนะคะ แต่ว่า…”

“ไม่ต้องมาแต่ว่าหรอก ผู้ชายสุภาพแบบนี้สมัยนี้หายากจะตาย แม่ยังชอบเลย”

“อ้าวแม่ ที่มีที่บ้านนี่ไม่พอใช่ไหมคะ”

“ไม่เหมือนกัน ที่บ้านนั่นก็ดีแต่ไม่ได้เรียบร้อยแบบนี้ไง”

“ไม่เรียบร้อยตรงไหนคะ นายโกออกจะเป็นเด็กดี”

“นายโกน่ะดี แต่อีกคนนี่สิ”

“แหม หลองมันดีนะแม่ ถึงตอนอยู่บ้านออกจะห้าวไปนิดก็เถอะ”

“ดี ใครว่าไม่ดีล่ะ”

คุณยายอุบลคล้อยตามลูกสาวอย่างนึกเอ็นดูหลานทั้งสองคน ก่อนหันไปมองสองข้างทางที่รถค่อนข้างชะลอตัวก่อนออกนอกเมือง แม้จะเป็นเรื่องปกติที่เวลาบ่ายคล้อยการจราจรจะเริ่มมีปัญหาหากแต่คุณยายก็พยายามทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เธอหลับตาลงเพื่อพักผ่อนก่อนจะปล่อยใจให้คิดไปเรื่อยๆ ตอนนี้ที่บ้านของเธอคงกำลังวุ่นวายกับการเก็บร้านด้วยที่บ้านมีกิจการร้านขายข้าวขาหมู หากคนทั่วไปได้ยินก็คงคิดว่าที่ร้านขายข้าวขาหมูธรรมดา แต่ร้านขาหมูอุบลของเธอนั้นถือว่าเป็นร้านที่ไม่เหมือนร้านอื่น เพราะถึงไม่เคยมีนักชิมมาเยือนเลย แต่กระนั้นร้านก็อยู่มาได้ด้วยจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบปากต่อปากมานานหลายสิบปี เธอภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ตนเองและสามีผู้ล่วงลับก่อร่างสร้างตัวจนครอบครัวเป็นปึกแผ่นมาได้ หากเขารู้ว่าลูกสาวคนเดียวสานต่อกิจการได้อย่างแข็งขันทั้งยังมีครอบครัวที่่น่ารักคงภูมิใจไม่ต่างจากเธอ ถึงตอนนี้อุบลค่อนข้างหมดห่วงเรื่องต่างๆ แล้ว การใช้ชีวิตที่เหลืออยู่นี้จึงหวังเพียงแค่อยู่ชื่นชมความสำเร็จของลูกหลาน ซึ่งหลานทั้งสองของเธอก็เป็นเด็กดีตั้งใจเรียน คนโตนั้นเรียนจบก็ได้งานที่ถูกใจอีกทั้งยังสามารถแบ่งเวลามาช่วยกิจการที่บ้านได้ ส่วนหลานชายคนเล็กนั้นค่อนข้างเป็นเด็กตั้งใจเรียนหนังสือหรือเรียกว่าเด็กเรียน เธอคิดว่าคงเหมือนพ่อของเขาที่เป็นครูนั่นเอง ฉัตรกมลลูกเขยของคุณยายเป็นข้าราชการครูผู้ซื่อสัตย์และรักในวิชาชีพครูมาก เขาเป็นคนสมถะและช่างคิด แม้ภายนอกอาจดูต่างจากจงกลณีซึ่งเป็นคนตรงไปตรงมาและกระฉับกระเฉงก็ตาม หากทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างราบรื่นเพราะต่างก็ให้เกียรติและเคารพในตัวตนของอีกฝ่ายมาโดยตลอด ไม่มีใครคิดว่าข้าราชครูจะลงเอยกับลูกแม่ค้า ถึงแม้จะเป็นแม่ค้าระดับเศรษฐีก็ตาม เสียงซุบซิบนินทาลอยมากระทบคนในบ้านอยู่บ้างเมื่อครั้งที่จงกลณีแต่งงานกับครูฉัตรกมลใหม่ๆ ฝ่ายภรรยานั้นมีท่าทางอยากจะออกไปจัดการต้นตอที่มาของข่าวเรื่องเธอจับครูให้ได้ หากแต่เป็นตัวฉัตรกมลเองที่เป็นคนห้ามภรรยาไว้แล้วบอกให้ทำเป็นเฉยเสีย ในเมื่อเรื่องที่คนอื่นพูดไม่เป็นความจริง นับจากนั้นเป็นต้นมาครอบครัวของจงกลณีก็อยู่อย่างสงบเรื่อยมา กระทั่งจงกลณีมีหลานให้อุบลช่วยเลี้ยง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่ปีที่หลานคนโตเรียนจบและเข้าทำงาน ส่วนหลานคนเล็กก็กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีหน้า

“แม่คะ แวะซื้อของหน้าองค์พระไหม”

“ไม่เอาละ กลับบ้านเลยดีกว่า ไม่รู้วันนี้เรียบร้อยหรือเปล่า”

“ไม่น่ามีปัญหานะ หนูก็บอกเด็กๆ ไว้แล้ว” จงกลณีบอกมารดาก่อนเลี้ยวรถไปทางกลับบ้าน

“ป่านนี้โกกลับมาแล้วมั้ง พ่อฉัตรด้วย”

“กลับแล้วแหละแม่ หลานชายแม่น่ะตรงเวลาเป๊ะ พวกเดียวกับพ่อเขานั่นเลย”

“ดีแล้ว”

“ดีเหรอแม่ บางครั้งหนูก็หวั่นๆ ว่าลูกตัวเองจะเบี่ยงเบนนะคะ แต่ถ้าจะเป็นจริงๆ ก็รับได้ขอแค่ให้บอกก็พอ”

“อะไรนี่จงกล ลูกเป็นผู้ชายอยู่ดีๆ อยากจะให้เป็นเพศอื่นหรือไง”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” จงกลณีค้านแม่เสียงอ่อย “แค่อยากให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง”

“เฮ้อ เพ้อเจ้อนะเราน่ะ” คุณยายอุบลส่ายหน้าระอาความคิดของลูกสาว ก่อนจะลงจากรถเมื่อจอดลงตรงหน้าบ้าน ลูกจ้างสาวรุ่นวิ่งออกมารับคุณยายอย่างกุลีกุจอก่อนจะพาเดินเข้าไปในบ้านซึ่งอยู่ติดกับร้านข้าวขาหมู ที่ดินผืนนี้เดิมทีเป็นของสามี ตัวบ้านเดิมเป็นบ้านไม้สองชั้น เมื่อคุณยายแต่งงานแล้วย้ายเข้ามาอยู่นั้นได้เริ่มเปิดร้านบริเวณบ้านชั้นล่าง ต่อมาเมื่อกิจการไปได้ดีขึ้นเนื่องจากคุณภาพทั้งราคาและรสชาติอาหาร บ้านไม้สองชั้นก็เปลี่ยนเป็นตึกสองชั้นด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นบ้านตึกสองชั้นขนาดกะทัดรัดที่สามีคุณยายสร้างใหม่เมื่อลูกสาวเรียนอยู่ชั้นมัธยม และบ้านหลังที่คุณยายอยู่ปัจจุบันนี้เป็นบ้านที่ซื้อที่ดินด้านข้างบ้านเดิมเมื่อเจ้าของประกาศขายเพราะย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ จงกลณีจัดการปรับปรุงบ้านด้านหลังร้านให้ทันสมัยและสร้างรั้วเพื่อแยกสัดส่วนระหว่างร้านกับบ้านสองหลังอย่างชัดเจน ทำให้บริเวณเนื้อที่เกือบสองไร่นี้ดูสวยงามมากขึ้น

“สวัสดีครับยาย” โกมุทเดินเข้ามาในบ้านหลังจากกลับจากโรงเรียน

“อ้าว กลับมาแล้วเหรอลูก”

“เป็นไงบ้างครับ” เขาถามขณะนั่งลงข้างยายบริเวณห้องรับแขก

“ก็ดีลูก ไม่ค่อยปวดแล้ว”

“แต่หมอนัดอีกสองอาทิตย์”

“ดีนะเนี่ยที่รีบไป แล้วก็ดีที่ยายเชื่อโกกับพี่หลอง ไม่งั้นนะ” โกมุทมีสีหน้าเจ้าเล่ห์เมื่อยามเอ่ยถึงเรื่องที่เขากับพี่เคยขู่คุณยายไว้เมื่อวาน

“โอ๊ย ไม่ต้องมาขู่ยายเลย ไม่กลัวหรอกหมอบอกว่ายังไม่ต้องผ่าตัด แค่เพิ่งเริ่มเป็นเท่านั้น” คุณยายมีสีหน้ารู้ทันหลาน โกมุทจึงเขยิบเข้าไปใกล้พร้อมกับสวมกอดผู้สูงวัยอย่างน่ารัก

“งั้นคืนนี้โกนอนกับยายนะครับ”

“ได้เลย เดี๋ยวพายายไปห้องดีกว่า ว่าจะอาบน้ำและเอนหลังสักหน่อยเดี๋ยวเย็นจะได้กินข้าวพร้อมกัน” โกมุทลุกขึ้นแล้วส่งแขนให้คุณยายจับก่อนพาคุณยายอุบลเดินไปด้านหลัง บ้านหลังนี้ค่อนข้างกว้างด้วยเนื้อที่เดิมเกือบหนึ่งไร่ทำให้แม่กับพี่ของเขาคิดออกแบบบ้านสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ในบ้านมีห้องนอนถึงสามห้องด้วยกัน ห้องนอนของคุณยายอยู่ด้านในสุดอีกทั้งมีห้องน้ำในตัวและสิ่งอำนวยความ

สะดวกสำหรับคนชราอย่างครบถ้วน ทั้งประตูที่กว้างกว่าทั่วไปสำหรับความสะดวกในการเข็นรถหากจำเป็นต้องใช้ พื้นกระเบื้องที่ค่อนข้างมีผิวสัมผัสเพื่อกันลื่น ห้องน้ำที่มีราวจับติดผนังโดยรอบอีกทั้งติดตั้งกริ่งกรณีมีเหตุฉุกเฉิน นอกจากนี้บริเวณรอบบ้านยังมีทางลาดสำหรับรถเข็นด้วย

เสียงคนคุยกันภายนอกห้องเมื่อคุณยายเข้ามาในห้องกับหลานชายคนเล็ก ทำให้ทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างนึกรู้ว่าหนึ่งในนั้นนอกจากผู้เป็นมารดาของโกมุทแล้วต้องเป็นพี่ของเขาแน่นอน เพราะหากสองคนนี้ได้คุยกันเมื่อใดไม่ว่าใครที่อยู่ในบ้านเป็นต้องร่วมรับรู้ถึงหัวข้อสนทนาอย่างไร้ทางหลีกเลี่ยง

“พี่หลองกลับมาแล้วครับยาย”

“รู้แล้วน่า นี่เมื่อไหร่หลองกับจงกลถึงจะพูดจานุ่มนวลกับใครเขาเป็นสักทีนะ ยายว่ายายก็ไม่เคยบอกลูกหลานให้ตะโกนแข่งกันแบบนี้เลย”

“แหม แม่กับพี่หลองเขาเป็นพวกคนจริงไงยาย เสียงนี่ต้องข่มคนไว้ก่อน”

“แปลกนะ พออยู่ที่ทำงานไม่เห็นหลองจะเป็นแบบนี้ ยายกับแม่เคยไปส่งตอนแรกๆ ที่เริ่มไปทำงาน พอเจอนักท่องเที่ยวนะ มันพูดค่อยๆ เบาๆ หน้างี้ยิ้มเชียว”

“ก็อยู่บ้านคงชินกับการสั่งงานทั้งสองคนละมั้งครับ”

“คงจริงนะลูก เพราะเจ้าหลองมันก็ช่วยยายกับแม่ได้เยอะทีเดียว”

“ไม่เหมือนโกใช่ไหมครับยาย” โกมุททำเสียงกึ่งน้อยใจที่เขาไม่ค่อยได้ช่วยงานที่ร้านมากนัก หากก็ด้วยการเรียนที่ต้องตั้งใจมากขึ้นเพราะเป็นช่วงที่ต้องเร่งอ่านหนังสือสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั่นเอง

“ไม่ใช่ ยายไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย โกเป็นผู้ชาย ตั้งใจเรียนสูงๆ น่ะดีแล้วลูก ส่วนงานที่บ้านน่ะเป็นอาชีพของครอบครัวเรา ใครทำก็ไม่ได้ต่างกันเพราะยายสร้างงานมาเพื่อทุกคน”

“คุยอะไรกันอยู่คะยายหลาน” เสียงใสกังวานดังขึ้นพร้อมกับร่างกะทัดรัดสมส่วนผิวสองสีเนียนตาเปิดประตูเข้ามาหายายอุบลและโกมุท ผู้ก้าวเข้ามาคงเหมือนรับรู้ว่าตนถูกกล่าวพาดพิงอยู่บ้างจึงทำหน้าคล้ายรู้ทันหากก็ยังคงยิ้มอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก

“ชวนยายนินทาอะไรพี่อีกแล้วโก”

“เฮอะ เปล่าเลยพี่หลอง” โกมุทส่ายหน้ายิ้มๆ เช่นกัน

“ใครที่ไหนจะนินทาหลอง มีแต่ชื่นชมหลานสาวคนเก่งสิไม่ว่า”

“โห ยาย หนูบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกหลองดิ เรียกขวัญแทนดีกว่า ดูเป็นผู้หญิงกว่ากันตั้งเยอะ”

“โอย ไม่เอาหรอกเรียกแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เปลี่ยนแล้วมันไม่ชินปาก” ผู้เป็นยายยืนยันความต้องการอย่างเหนียวแน่น ทำให้หลานสาวได้แต่ทำหน้าระอาเช่นทุกครั้งที่เธอร้องขอให้คนที่บ้านเรียกว่า ‘ขวัญ’ ด้วยเหตุผลที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นผู้หญิงกว่า ดังนั้นเจ้าหลองหรือพี่หลองของทุกคนในบ้านจึงมีชื่อเล่นว่าขวัญเฉพาะเมื่ออยู่นอกบ้านเท่านั้น แม้ความปรารถนาของเธอจะประสบผลสำเร็จเพียงแค่นอกบ้านหากแต่เธอก็ยังคงเพียรพยายามกล่อมคนในบ้านอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาสแม้รู้ว่าความหวังจะริบหรี่เพียงใดก็ตาม

ฉลองขวัญเป็นลูกสาวของจงกลณีและฉัตรกมล เธอเป็นหลานสาวคนแรกของคุณยายอุบลผู้มั่งคั่งจากอาชีพขายข้าวขาหมู ด้วยความเป็นลูกและหลานคนแรกของบ้านทำให้เธอได้รับการเลี้ยงดูให้เป็นผู้นำ ความอ่อนหวานในแบบฉบับผู้หญิงที่ควรมีจึงถูกซุกซ่อนอยู่ภายใต้เสียงดังกังวานและท่าทีกระตือรือร้นในการทำงาน บางครั้งฉลองขวัญคิดว่ามันแทบจะหายไปจนตัวเองก็ไม่แน่ใจว่ายังมีอยู่หรือไม่หากเธอไม่ได้เข้าทำงานเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ศูนย์ต้อนรับนักท่องเที่ยว การได้เข้าไปทำงานบริการทำให้เธอได้ใช้ความอ่อนหวานในการพูดจากับคนอื่นที่ไม่ใช่คนงานในบ้าน โชคดีที่เธอเลือกเรียนด้านการท่องเที่ยวและเลือกเรียนเอกภาษาญี่ปุ่นจึงทำให้มีโอกาสดีเพราะนอกจากภาษาอังกฤษที่เธอถนัดแล้ว ภาษาที่สามนั้นเป็นใบเบิกทางชั้นดีในการทำงานสาขาการท่องเที่ยว แต่แม้ว่าฉลองขวัญจะทำงานนอกบ้านเธอก็ยังกลับมาช่วยงานที่ร้านเสมอในวันเสาร์อาทิตย์รวมทั้งช่วยแม่ทำบัญชีในแต่ละวันด้วย เรียกได้ว่าชีวิตของเธอนั้นมีความสุขและได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักก็เพราะมีครอบครัวที่เข้าใจและพร้อมสนับสนุนเสมอ ไม่เคยมีสิ่งใดที่เธอคิดแล้วเกินความสามารถและไม่มีสิ่งใดที่เธอคาดการณ์แล้วจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ทั้งหมดนี้หลอมรวมให้ฉลองขวัญมั่นใจอยู่เสมอว่าโลกที่เธอเห็นจะเป็นเช่นที่คิดเสมอ

และเธอก็ไม่เคยเตรียมใจสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในวันหนึ่งข้างหน้าเลย

 



Don`t copy text!