ไม้สี่โมง บทที่ 4 : สีสันอันอบอุ่น

ไม้สี่โมง บทที่ 4 : สีสันอันอบอุ่น

โดย : ปรียนันทนา

Loading

ไม้สี่โมง โดย ปรียนันทนา นวนิยายรักโรแมนติกที่อ่านเอามั่นใจว่าคุณจะต้องอมยิ้มอุ่นหัวใจ เรื่องราวของมัคคุเทศก์สาวและบุรุษพยาบาลหนุ่มที่เส้นทางชีวิตไม่น่าจะมาบรรจบกันได้ แต่เพราะคุณยายอุบลแท้ๆ ที่นำทั้งสองมาพบกันโดยบังเอิญ นี่คือภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่กามเทพสูงวัยต้องทำให้สำเร็จ นิยายออนไลน์ที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

*************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

เสียงสนทนาภาษาต่างชาติดังมาจากห้องครัวเป็นระยะเมื่อฉลองขวัญนำรถเข้าไปจอดบริเวณหน้าบ้าน บ้านหลังที่ฉลองขวัญอยู่นั้นตั้งอยู่ด้านหลังของกิจการร้านข้าวขาหมูของครอบครัว หญิงสาวจึงได้เห็นภาพลูกจ้างชาวพม่ากำลังทำงานเก็บล้างภาชนะอยู่เสมอยามที่หล่อนกลับถึงบ้าน โกมุทเคยบ่นให้หญิงสาวฟังบ่อยครั้งว่าพวกเราช่างเสียเปรียบที่พูดได้เพียงภาษาไทยเพราะคนงานต่างชาติทั้งหมดพูดได้ทั้งภาษาไทยและพม่า ครั้งนั้นฉลองขวัญฟังอย่างไม่ใส่ใจนักหากวันนี้หญิงสาวมาคิดทบทวนดูกลับคล้อยตามในสิ่งที่น้องชายพูด เพราะหากเป็นเวลาส่วนตัวพวกลูกจ้างมักพูดภาษาแม่ของตนแบบนี้เสมอทำให้พวกหล่อนไม่เข้าใจเลย ฉลองขวัญจึงแอบคิดว่าหากมีโอกาสคงต้องลองศึกษาภาษาแถบอาเซียนดูบ้าง โดยเริ่มจากภาษาพม่าก่อนเพราะคนไทยมุ่งแต่ศึกษาภาษากลางในระดับโลกอย่างภาษาอังกฤษแม้ว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว หากการเรียนรู้ภาษาเพื่อนบ้านใกล้ชิดย่อมส่งผลดีมากกว่าแน่นอน

“พี่ขวัญ กินข้าวหรือยัง หนูกำลังตั้งโต๊ะให้คุณยาย” สาวรุ่นชาวพม่านามว่าเอเดินมาถามหญิงสาวเมื่อลงจากรถ

“ยัง เอเตรียมได้เลย เดี๋ยวพี่ไปล้างมือล้างหน้าก่อนแล้วตามไปบ้านคุณยาย”

“ค่ะ” นางสาวเอหรือเรียกแบบพม่าว่ามะเอเป็นคนงานหญิงที่แม่ของฉลองขวัญจ้างมาดูแลงานภายในบ้าน หญิงสาวเป็นชาวพม่าที่เกิดฝั่งโน้นแต่ข้ามฟากตามพ่อแม่มาอยู่เมืองไทยตั้งแต่เด็กจึงพูดภาษาไทยได้ค่อนข้างชัดเจน นอกจากพูดชัดแล้วกิริยายังเรียบร้อย แม่ของฉลองขวัญจึงถูกใจมากถึงกับขึ้นเงินเดือนให้มากกว่าคนอื่นทุกปี มะเอเป็นคนว่าง่ายแถมยังใฝ่เรียนเพราะเธอมักขอให้ฉลองขวัญสอนภาษาไทยให้อยู่เสมอ ทำให้ฉลองขวัญคิดว่าต่อไปนี้เธอจะลองเรียนรู้คำศัพท์พม่าจากมะเอดูบ้าง

ฉลองขวัญเปิดประตูลงจากรถกระบะสองตอนที่เธอนำมาจอดหน้าบ้านอย่างเรียบร้อย เธอมองเข้าไปในโรงรถที่ขณะนี้มีรถเก๋งญี่ปุ่นจอดอยู่สองคันก็รู้ว่าบัดนี้สมาชิกทุกคนในบ้านกำลังอยู่พร้อมหน้า หญิงสาวเดินเข้าไปในบ้านสองชั้นที่เล่นระดับตรงห้องรับแขกก็พบว่าพ่อกับน้องชายนั่งอ่านหนังสือกันอยู่คนละมุม โกมุทกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขาที่แม่จัดให้อยู่ในส่วนนี้เพราะคิดว่าเป็นการดีหากทุกคนมีกิจกรรมของตนในพื้นที่ส่วนกลางของบ้าน แม้ว่าโต๊ะนี้จัดไว้เมื่อสองสามปีมาแล้วและปัจจุบันเขาก็มีโต๊ะทำงานในห้องแล้วหากแต่เขาคงยังพึงใจที่จะใช้เวลาส่วนใหญ่กับที่นี่มากกว่าบนห้องนอน ส่วนพ่อของฉลองขวัญหรือ ‘ครูฉัตร’ ของเด็กที่โรงเรียนก็มักใช้เวลาหลังเลิกงานอ่านหนังสือและวาดภาพสีน้ำบริเวณห้องนั่งเล่นมากกว่า โทรทัศน์ขนาดสามสิบสองนิ้วของบ้านนี้จึงแทบไม่เคยส่งเสียงเลยจนคุณยายมักบ่นเสมอว่าพ่อลูกคู่นี้หากได้นั่งอ่านหนังสือแล้วก็ดูราวกับว่าหูจะใช้การไม่ได้เพราะต้องเรียกกันนานทีเดียว

“สวัสดีค่ะพ่อ” ฉลองขวัญส่งเสียงก่อนเข้าไปในตัวบ้านเพราะรู้ว่าพ่อยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมาง่ายๆ

“พ่อคะ หิวยัง” หญิงสาวทักบิดาอีกครั้งหนึ่งเมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว

“อ๋อ ขวัญมาแล้วเหรอลูก หิวไหม” คำทักทายของบิดาทำให้หญิงสาวอดยิ้มไม่ได้ เพราะกำลังนึกถึงสิ่งที่คุณยายเคยพูดอยู่พอดี

“นิดหน่อย นี่เอเขากำลังจะไปจัดโต๊ะค่ะ เดี๋ยวหนูเอาของไปเก็บแป๊บนึงแล้วไปกินข้าวกันนะคะ”

“อืม” ฉัตรกมลก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไปโดยไม่สนใจฉลองขวัญที่เดินขึ้นไปชั้นสองของบ้าน ส่วนน้องชายนั้นฉลองขวัญเห็นโกมุทเงยหน้ามามองและรับรู้แล้วว่าพี่สาวมาถึงบ้านแล้ว หากเขาก็ไม่ได้พูดอะไร หญิงสาวเดินเข้าห้องนอนของตนเองที่อยู่ติดกับห้องน้องชายแล้ววางกระเป๋าสะพายบนโต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชุดลำลองก่อนจะรีบเดินลงไปชั้นล่าง ฉลองขวัญทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วก่อนรีบเดินลงไปชั้นล่างและชวนน้องชายกับพ่อเดินไปบ้านคุณยายซึ่งอยู่ภายในบริเวณเดียวกัน

เสียงสนทนาดังแข่งกับเสียงโทรทัศน์ซึ่งเป็นเวลาฉายละครก่อนข่าวพอดี หญิงสาวจึงถามมารดาเสียงค่อนข้างดัง

“แม่ เอจัดโต๊ะเสร็จแล้วมั้ง ไปกินข้าวเถอะ”

“อ้าวหลองมาพอดีเลย เสียงดังเชียว” คุณยายอุบลทักหลานสาว

“ก็ยายเปิดโทรทัศน์เสียงดังเชียว หนูก็ต้องตะโกนน่ะสิ”

“ยายไม่ได้เปิด แม่เราต่างหาก”

“แหม แม่คะ หนูเปิดเพราะแม่บอกต่างหากล่ะ” จงกลณีบอกมารดา

“พอเถอะครับ อย่าเกี่ยงกันเลย ไปกินข้าวดีกว่า ไปครับยาย” โกมุทเข้าไปประคองยาย เมื่อหลานชายคนโปรดมาอ้อนคุณยายก็ลืมเรื่องใครเป็นคนเปิดโทรทัศน์เสียงดังเสียสนิท

ฉลองขวัญมองภาพบรรยากาศความอบอุ่นเบื้องหน้าอย่างมีความสุข แม้บางครั้งสมาชิกในครอบครัวอาจถกเถียงกันบ้างแต่เมื่อไม่มีใครถือสากันก็นับได้ว่าเป็นสีสันที่ทำให้คำว่าครอบครัวสมบูรณ์ หญิงสาวค่อยๆ เดินตามทุกคนไปยังบริเวณโต๊ะอาหารซึ่งอยู่ถัดจากส่วนนั่งเล่น แม้ว่าจากโต๊ะอาหารจะไม่ไกลจากโทรทัศน์และยามนี้หญิงสาวลดเสียงจากหน้าจอลงแล้วแต่กลับไม่มีใครสนใจเสียงจากละครเลย คงเป็นเพราะการสนทนากับบุคคลที่รักนั้นน่าสนใจกว่าหน้าจอเป็นแน่

“วันนี้ยายทำอะไรบ้างคะ” ฉลองขวัญเอ่ยถามขณะที่น้องชายกำลังตักข้าวให้ทุกคน

“ก็เรื่อยๆ ไม่ได้ทำอะไรหรอก แค่เดินไปดูที่ร้านตอนบ่ายๆ”

“เดินไปเองด้วยนะ” เสียงนั้นแฝงด้วยร่องรอยความเป็นห่วงหากแต่ไม่เอ่ยออกมาตรงๆ

“ก็เดินไปได้ ไม้เท้าก็มี”

“งั้นพรุ่งนี้โกอยู่บ้านจะพายายไปดูแปลงต้นไม้ที่จะปลูกใหม่ข้างบ้านนะครับ”

โกมุทเชิญชวนอย่างรู้ใจเพราะเขากับพ่อเคยวางแผนกันไว้นานแล้วว่าอยากปลูกพวกผักสวนครัวเพิ่มจากที่พอมีอยู่บ้าง เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเขากับพ่อได้สั่งเมล็ดพันธุ์ผักอินทรีย์ทางอินเทอร์เน็ตจากสวนอินทรีย์แห่งหนึ่ง อาทิตย์นี้ทั้งคู่จึงชวนกันว่าจะนำเมล็ดพันธุ์ที่ได้ลงปลูกในแปลง

“มีอะไรบ้างล่ะโก”

“ก็มีพวกพริกขี้หนู มะเขือ ถั่วฝักยาว แล้วก็มีฟักทองด้วยนะครับ”

“ฟักทองเหรอ อย่างนี้ต้องทำที่เลื้อยให้ด้วยนะ”

“ใช่ครับแม่ พรุ่งนี้ผมกับพ่อจะลองทำแบบง่ายๆ แต่ใช้งานได้จริงกันดู”

“โอ้โห สนุกกันใหญ่เลยนะคะ เสียดายพรุ่งนี้หนูอยู่เวร มาช่วยกันทำไม่ได้ด้วย”

“พี่หลองก็กลับมาดูตอนเย็นไง”

“เหรอ พอพี่กลับมาดูตอนเย็นก็ได้กินเลยใช่ไหม” หญิงสาวทำเสียงล้อเลียน

“นั่นดิ บอกยัยเอให้คั้นกะทิรอทำฟักทองแกงบวดเลยนะ” น้องชายรับมุกพี่สาวทันท่วงทีเช่นกัน

“แหม พอเถอะ พี่น้องคู่นี้ ตาโกนี่ปกติก็พูดน้อยแต่บทจะต่อปากต่อคำกับพี่เขาก็อย่างกับผู้หญิงเชียวนะ”

“แม่หาว่าโกเป็นผู้หญิงได้ไงเนี่ย เฮ้อ” โกมุทพ้อมารดาหลังจากกลืนข้าวคลุกปลาทูคำโตเรียบร้อยแล้ว

“ไม่ได้ว่า แค่เปรียบเทียบให้ฟังเฉยๆ”

“นี่ละๆ แม่เรานะชอบจับผิดลูกชายซะเรื่อย ยายว่าโกเป็นระเบียบเรียบร้อยจนน่าจะสลับเพศกับหลองมากกว่า”

“อ้าว ยายทำไมมาลงที่หนูได้ล่ะคะ” มือของฉลองขวัญถึงกับชะงักลงขณะกำลังเอื้อมมาตักแกงส้มมะละกอกุ้งสดของโปรด สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับสมาชิกคนอื่นในบ้านอย่างสนุกสนาน บรรยากาศอบอุ่นพร้อมหน้าของครอบครัวมักเป็นเช่นนี้เสมอในยามเย็น การสนทนาด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่แม้มีความไม่ลงรอยแต่ก็มิได้จริงจังเช่นนี้กลับยิ่งเพิ่มความกลมเกลียวในบ้าน ฉลองขวัญจึงรู้สึกอบอุ่นยิ่งที่บ้านของหล่อนรักษาภาพความรักความทรงจำงดงามเช่นนี้เรื่อยมานับแต่หญิงสาวจำความได้โดยที่มีศูนย์รวมความรักอยู่ที่คุณยายอุบลนั่นเอง

…………………………..

 

เสียงเคาะประตูห้องนอนดังขึ้นเพียงสองครั้งก่อนที่โกมุทจะเปิดเข้าห้องมาแล้วตรงมานั่งบริเวณโซฟาเล็กท้ายเตียง ขณะที่ผู้เป็นพี่สาวนั่งก้มหน้าอ่านสมุดเล่มใหญ่อย่างขะมักเขม้น

“พี่หลองทำอะไรน่ะ”

“ดูบัญชีให้แม่ไงล่ะ นี่พี่บอกกี่ครั้งแล้วโกว่าเวลาอยู่กันสองคนให้ลองเรียกพี่ขวัญดูบ้างจะได้ชินปาก เผื่อออกไปเจอเพื่อนพี่ข้างนอกจะได้ไม่เผลอเรียกชื่อที่บ้าน” หญิงสาวปิดสมุดแล้วหันมาทำหน้าเข้มใส่น้องชายผู้มีหน้าตาละม้ายคล้ายพี่สาวยิ่ง หากทว่าสูงใหญ่สมชายที่กำลังโตเป็นหนุ่ม

“แหม พี่หลอ…เอ้ย พี่ขวัญ ก็โกชินอะ”

“แล้วเราเข้ามาทำไม ปกตินานๆ ทีถึงจะมาหาพี่นี่นา” แม้เป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันหากทว่าทั้งคู่ต่างมีพื้นที่ส่วนตัวอันเป็นไปตามเพศและวัยที่ต่าง แต่ฉลองขวัญกับน้องชายก็รับรู้เรื่องราวของกันและกันเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นหญิงสาวยังบอกน้องว่าหากมีเรื่องที่ต้องการคำปรึกษาสามารถมาหาได้เสมอโดยตั้งโค้ดลับสำหรับการเข้าห้องนอนได้ตลอดเวลา จึงเป็นที่มาของการเคาะประตูเพียงสองครั้งนั่นเอง

“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อยากถามพี่ขวัญว่าโกจะเลือกเรียนอะไรดีระหว่างศิลปะกับพวกสายวิทย์แบบหมอหรือวิศวะอะไรทำนองนั้นน่ะ”

“หือ” เสียงสูงของหญิงสาวบ่งบอกว่าเธอฉงนไม่น้อยที่น้องชายผู้เก่งกาจและเป็นความหวังของคนในบ้านเกิดความลังเลในการเลือกสาขาเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย

“ปกติพี่เห็นโกออกจะมั่นใจ แล้วเราก็เรียนเก่งมากนะถึงเลือกสายวิทย์ใช่ไหม”

“ก็ใช่ แต่พี่หลองก็รู้ว่าโกชอบวาดรูป”

“ฮื่อ” คราวนี้ฉลองขวัญพยักหน้าอย่างแรงราวกับสนับสนุนสิ่งที่น้องชายทำ

“แต่ว่าการวาดรูปมันก็เป็นงานอดิเรกได้นะ โกคงไม่คิดจะเรียนวาดรูปอย่างเดียวเพื่อเป็นศิลปินหรอกนะ” แม้ที่บ้านของเธอทุกคนจะสนับสนุนให้ลูกหลานได้ทำในสิ่งที่ชอบ หากนั่นมิได้หมายความว่าทุกคนเห็นว่าอาชีพศิลปินเป็นทางเลือกของหนทางสู่การประสบความสำเร็จในชีวิตแน่นอน

“แต่ก็มีจิตรกรไทยหลายคนที่อยู่ได้โดยการวาดรูปนะพี่”

“ก็ใช่ แล้วเขาใช้เวลากี่ปีกว่าจะทำสำเร็จล่ะ คือพี่ไม่ได้หมายความว่าอาชีพนี้ไม่ดีหรือเห็นว่าไม่มั่นคงอะไรหรอกนะ แต่บ้านเราน่ะยังไม่ยอมรับคนที่…จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ คืองานมันก็ไม่ได้มั่นคงจริงๆ นั่นแหละ”

“โกนึกแล้วว่าพี่ขวัญต้องไม่เข้าใจ”

“เฮ้ย ใจเย็นดิ พี่ไม่ได้ไม่เข้าใจนะ” หญิงสาวลุกจากโต๊ะทำงานมานั่งบนโซฟากับน้องชาย

“โกรู้ว่ายายอยากให้เรียนพวกหมอ วิศวะมากกว่า แต่ว่าหมอน่ะตัดไปได้เลยเพราะว่าโกไม่ได้หัวดีขนาดนั้น แล้วโกก็ไม่ชอบด้วย”

“งั้นก็ลองเลือกเรียนสาขาที่ชอบแต่ไม่ขัดใจยายสิ”

“ตอนแรกก็คิดว่างั้นแหละ แต่คิดไปคิดมาพวกหมอหรือวิศวะมันเป็นการทำงานเพื่อตอบสนองความต้องการของคนอื่นมากนะพี่”

“แต่เงินเยอะมากนา” ฉลองขวัญพยายามจูงใจแม้รู้ว่าน้องชายไม่ได้สนใจเรื่องนี้เช่นเดียวกับเธอนั่นเอง

“แหม พี่ขวัญทำอย่างกับตัวเองเห็นเรื่องเงินสำคัญเนอะ” น้องชายยังมิวายแขวะพี่สาวจนได้

“เออน่ะ ยังไงพี่ว่าโกค่อยๆ คิดดีกว่า มันอีกหลายเดือนอยู่นะกว่าจะเลือกคณะ แล้วพ่อว่าไงบ้างล่ะ”

“ไม่ว่ายังไงเลย พ่อบอกตามใจ”

“เฮ้ย” คราวนี้เสียงทอดถอนใจของหญิงสาวดังยาวกว่าเดิมด้วยแน่ใจว่าหากพ่อไม่คัดค้านแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าลูกชายคนโปรดจะเลือกทำสิ่งที่ตนเองต้องการ แต่การที่โกมุทมาปรึกษาหล่อนนั้นคงเพื่อหยั่งเชิงดูเสียงฝั่งมารดาและยายแน่นอน เพราะโกมุทคงคิดว่าฉลองขวัญเป็นคนที่สามารถคาดเดาความรู้สึกของแม่กับยายได้มากกว่าผู้เป็นพ่อ ซึ่งเป็นความคิดที่ถูกต้องหากก็ไม่ทั้งหมดเสียทีเดียวเพราะในครั้งนี้ฉลองขวัญกลับคิดว่าผู้ที่จะเข้าอกเข้าใจโกมุทมากที่สุดนั้นกลับเป็นผู้ที่เขากำลังห่วงความรู้สึกมากกว่าใครเป็นแน่

 

………………………

 

ภาพละครโทรทัศน์ดำเนินไปโดยที่ผู้ชมหน้าจอก็อยู่ในอารมณ์ร่วมอย่างเห็นได้ชัด คุณยายอุบลกำลังชมละครหลังข่าวกับลูกสาวคนเดียว หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเรียบร้อยแล้วจงกลณีก็กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนจะเดินกลับมาบ้านของมารดาที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน แม้แม่ของเธอจะไม่ได้ขอให้ลูกหลานคนใดคนหนึ่งมาอยู่เป็นเพื่อนเพราะมีเด็กสาวชาวพม่าชื่อมะเอคอยดูแลอย่างเอาใจใส่อยู่แล้ว แต่จงกลณีกลับเห็นว่าเป็นเรื่องที่เธอมีความสุขเพราะการนั่งดูโทรทัศน์นี้หมายถึงช่วงเวลาผ่อนคลายก่อนเข้านอนหลังจากที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็คือถ้าเธออยู่บ้านก็ต้องนั่งดูโทรทัศน์คนเดียวเพราะสามีและลูกก็มักแยกตัวไปอยู่คนละมุม ทุกคนจึงถือเอาบ้านของยายเป็นจุดรวมพลหากมีใครอยากดูโทรทัศน์หลังมื้ออาหาร แต่วันนี้ลูกสาวและลูกชายคงมีกิจกรรมส่วนตัว เพราะหลังจากแยกย้ายกันไปอาบน้ำก็หายเงียบกันไปทั้งสองคนเลย

“นี่ๆ ดูสิเบื่อยัยคนนี้จริงๆ ชอบมาแทรกระหว่างพระเอกกับนางเอก”

“ใช่ค่ะแม่ หนูว่าเดี๋ยวพระเอกก็ต้องเข้าใจผิดอีก เบื๊อเบื่อ” จงกลณีบรรยายบทละครได้ละเอียดราวกับเป็นผู้เขียนบทเสียเอง เพราะเธอเห็นว่าไม่ว่าละครเรื่องใดที่เคยดูก็คล้ายกันเกือบหมด

“เออ นี่เจ้าหลองกับเจ้าโกหายเงียบกันไปเลย”

“สงสัยคงคุยโทรศัพท์หรือไม่ก็เล่นไอจี เฟซบุ๊ก ไม่ก็ทวิตเตอร์มั้งแม่”

“เล่นอะไร ฟังไม่รู้เรื่อง”

“เด็กสมัยนี้เขาฮิตกัน รุ่นเรามันเชยกันแล้ว”

“รุ่นเรา แหม ยัยจงกล เธอกับแม่มันละรุ่นนะจ๊ะ”

“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วแม่ ก็ดูสิคะว่าตอนนี้ในบ้านมีเราแค่สองคนที่ทำอะไรเหมือนๆ กัน ลูกหนูสองคนกับพ่อเขาน่ะไม่สนเราเท่าไรหรอก”

“อย่ามาหาความหลานฉันนะ เธอจะงอนลูกผัวก็งอนไปคนเดียวเถอะ”

“เปล่า ไม่ได้งอนแค่อธิบายเฉยๆ ค่ะ อย่างหนูกับพี่ฉัตรน่ะไม่เคยมีเรื่องงอนหรือหึงหวงกันหรอก”

คุณยายได้แต่มองหน้าลูกสาวอย่างใจเย็นและคิดว่าช่างเป็นโชคดีของจงกลณีที่ได้คู่ครองอย่างฉัตรกมล เพราะตัวเธอผู้เป็นแม่เองนั้นก็ไม่รู้ว่าหากลูกสาวมีสามีเป็นคนที่ชอบคนเอาอกเอาใจและอ่อนหวาน หรือว่าฝ่ายชายเป็นคนเจ้าชู้แล้วลูกสาวของเธอจะเป็นเช่นไร เพราะแม้ว่าจงกลณีเป็นคนใส่ใจรายละเอียดของคนอื่นหากก็ไม่แสดงออกอย่างอ่อนหวานนัก หากไม่ได้ผู้ชายเช่นฉัตรกมลแล้วคุณยายก็ไม่รู้ว่าครอบครัวลูกสาวจะอยู่อย่างอบอุ่นเช่นนี้หรือไม่ เพราะนอกจากเขาได้มอบความรักและซื่อสัตย์กับบุตรสาวคนเดียวของเธอเป็นอย่างดีแล้วยังมีให้บุตรทั้งสองซึ่งเป็นหลานของคุณยายเป็นอย่างดีไม่แพ้กัน

 

……………………………

 

โกมุทออกจากห้องนอนของพี่สาวด้วยความรู้สึกไม่ต่างจากเมื่อก้าวเข้าไปมากนัก เขาเดินไปนั่งเก้าอี้นวมตัวยาวบริเวณหน้าห้องนอนซึ่งเป็นมุมนั่งเล่นอีกมุมหนึ่งของบ้าน อากาศที่ค่อนข้างเย็นสบายทำให้เขาไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมสักตัว โกมุทหยิบหนังสือนิตยสารผู้หญิงประจำบ้านมาถือไว้ในมือหากก็ไม่ได้สนใจอ่านอย่างจริงจังนัก เขาเพียงแต่คิดว่าบ้านของเขานั้นผู้หญิงเป็นใหญ่เหลือเกินเพราะขนาดหนังสืออ่านเล่นยังมีแต่หัวผู้หญิง ที่สำคัญพ่อของเขาซึ่งเป็นคนรักการอ่านและเป็นผู้ชายกลับทำหน้าที่เป็นผู้ซื้อนิตยสารรายสัปดาห์เข้าบ้านเป็นประจำเสียด้วย แม้ปัญหาเรื่องการเลือกสาขาเรียนต่อยังคงรบกวนจิตใจเขาอยู่ แต่การปลอบใจของพี่สาวคนเดียวที่ให้รอคอยเวลาอีกสักพักเพื่อตัดสินใจก็ดูจะเป็นแนวทางที่ดี ถึงเขาจะใจร้อนและอยากเร่งรัดตนเองให้เด็ดขาดกว่านี้ก็ตาม โกมุทกำลังคิดเรื่องที่ยายเคยพูดว่าเขากับพี่สาวน่าจะสลับเพศกันเพราะเขาดูเป็นชายหนุ่มที่อ่อนโยนผิดกับพี่สาวที่ค่อนข้างติดนิสัยพูดจาเสียงดังและทำอะไรรวดเร็ว หากเขารู้ว่าตนเองกลับไม่ได้เป็นเช่นที่คนอื่นมองเสียทีเดียว ส่วนพี่สาวของเขาก็เช่นกันเพราะแม้แต่ฉลองขวัญเองก็คงไม่รู้ว่าตนเองนั้นมีมุมอ่อนหวานและใจเย็นซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางคล่องแคล่วนั้น โกมุทคิดว่าพี่สาวของเขานั้นเหมือนแม่มากจนแทบจะเดาใจกันได้เลยทีเดียว นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกปรึกษาเธอก่อน ยิ่งไปกว่านั้นก็คือลึกลงไปในใจเขาค่อนข้างแน่ใจว่าตนเองคงไม่เปลี่ยนใจในความตั้งใจที่จะเรียนต่อสาขาจิตรกรรม และการลองเข้าไปคุยกับพี่สาวเป็นคนแรกนั้นก็นับว่ามีข้อดีไม่น้อย แม้จะทำให้เขาต้องชะลอการตัดสินใจไปบ้างก็ตาม

 



Don`t copy text!