พรางพัสตรา บทที่ 2 : คาร์นิวัล

พรางพัสตรา บทที่ 2 : คาร์นิวัล

โดย : พงศกร

Loading

พรางพัสตรา นวนิยายออนไลน์เรื่องล่าสุดโดย พงศกร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เมื่อผ้าคลุมผมเจ้าสาวไม่ได้เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งในชุดเจ้าสาว แต่คือสิ่งที่นำ ‘ลดานิดา’ ไปเห็นบางสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม ความรักของเขาคือความจริงหรือความลวง ผ้าคลุมผมเจ้าสาวนี้มีคำตอบ

***************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

เสียงดนตรีที่ลอยอยู่ในทุกซอกมุม กลิ่นอาหารที่หอมชวนน้ำลายสอ เสียงหัวเราะสนุกสนานของผู้คน ตรอกเล็กที่แคบและเบียดเสียด ให้ความรู้สึกทั้งสนุกสนานและน่าประหวั่นไปพร้อมกัน โดยเฉพาะเมื่อไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

หน้ากากหลากสีสันหลายรูปแบบ กับเสื้อผ้าอลังการย้อนยุค เหมือนใครหมุนเวลาให้เวนิสย้อนกลับไปในอดีต

ลุยน้ำออกจากโรงแรม เดินลัดเลาะไปจนถึงจัตุรัสหน้ามหาวิหารซานมาร์โค ผู้คนเดินกันแน่นขนัด ลดานิดาพยายามยกกระโปรงตัวยาวให้พ้นน้ำ เดินไต่ไปบนแผ่นกระดานไม้ที่แต่ละร้านค้านำมาวางต่อๆ กัน

เจ้าหน้าที่โรงแรมมองชุดกระโปรงยาวย้อนยุคที่หล่อนสวมแล้วได้แต่อมยิ้ม เตือนให้เดินด้วยความระมัดระวัง เขาบอกลดานิดาว่าน้ำทะเลจะขึ้นสูงอยู่ราวๆ หนึ่งถึงสองชั่วโมง หลังจากสองทุ่มไปแล้วน้ำก็จะแห้ง เดินเหินได้ตามปกติ

…แผ่นดินทรุดตัวลงไปเรื่อยๆ ประกอบกับปัญหาโลกร้อน ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นกว่าหลายสิบปีก่อน ทำให้หลายพื้นที่ในโลกใบนี้ประสบกับปัญหาน้ำท่วม

…เวนิสกำลังจะจมทะเลจริงๆ นั่นละ…

“ดีนะที่ตัดสินใจมาก่อนเวนิสจมหาย”

หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง ขณะพยายามเลี้ยงตัวหลบผู้ชายตัวใหญ่ที่เดินสวนมา มือข้างหนึ่งถือหน้ากากเอาไว้บดบังดวงหน้า มาถึงเวนิสในช่วงคาร์นิวัลทั้งที จะไม่แต่งตัวเข้าร่วมกับผู้คนก็ดูจะผิดแปลกแตกต่างไปสักหน่อย

“อุ๊ย”

หล่อนเซและเกือบตกจากไม้กระดาน หากมือแข็งแรงของชายคนนั้นจะไม่คว้าเอวหล่อนไว้ได้ทัน

“กราซิเย่ – Grazie ขอบคุณค่ะ”

ลดานิดาเอ่ยขอบคุณเป็นภาษาอิตาเลียน อุตส่าห์ท่องจำมานิดหน่อย ได้หยิบมาใช้เอาตอนนี้ ชายหนุ่มร่างใหญ่ ขนดก ตัวใหญ่เหมือนหมี ยักคิ้วให้ เขาตอบเธอกลับเป็นภาษาอังกฤษว่า

“ไม่เป็นไร มาคนเดียวหรือครับ”

“ค่ะ” ลดานิดาตอบไปโดยอัตโนมัติ ครั้นพอนึกได้ว่าไม่ควรตอบอะไรแบบนั้นกับหนุ่มแปลกหน้าเพราะอาจทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด หล่อนก็รีบส่งยิ้มให้เขาแล้วเดินหายไปในหมู่ผู้คนอย่างรวดเร็ว

เดินทางท่องเที่ยวไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แทบจะครบทุกประเทศในยุโรปก็ว่าได้ หากใครจะเชื่อว่าลดานิดาไม่เคยมาเวนิส

ครั้งนี้เป็นครั้งแรก และหล่อนก็ไม่ได้นึกอยากจะมา ถ้าไม่ใช่เพราะพีธันดรรบเร้า

เขาได้รับเลือกเป็นตัวแทนดาราจากเมืองไทยไปเดินพรมแดงที่เมืองคานส์ ร่วมกับมณียา ดาราสาวชื่อดังที่เล่นละครด้วยกันหลายเรื่อง จนกลายเป็นคู่จิ้น ให้แฟนคลับจินตนาการเอาว่าทั้งสองคือคู่รักกันอยู่หลายปี จนกระทั่งพีธันดรเปิดตัวว่าคบกับหล่อนนั่นละ บรรดาแฟนคลับจึงได้แต่ฝันสลาย เพราะลดานิดาคือตัวจริง

แน่นอนว่าหล่อนต้องเจอกับกระแสมากมาย ทั้งบวกและลบ เหล่านี้คือสิ่งที่พีธันดรเตือนเธอไว้ก่อนแล้ว ลดานิดาจึงมีภูมิคุ้มกันในระดับหนึ่ง ใครพูดจาดีด้วยเธอก็พูดดีตอบ ใครที่มาแนวกระแนะกระแหน แอบอิจฉา นินทาลับหลัง ลดานิดาก็พร้อมจะเชิดใส่เช่นกัน

พีธันดรชวนให้หล่อนบินมารอที่เวนิส เขาบอกว่าเสร็จงานแล้วจะรีบบินตามมาสมทบใช้เวลาพักผ่อนด้วยกันที่เวนิสสักห้าหกวัน แล้วค่อยกลับกรุงเทพฯ แต่ครั้นพอเครื่องของลดานิดาแลนด์ดิ้งลงจอด ทันทีที่เปิดโทรศัพท์มือถือ หล่อนก็ได้รับข้อความจากดาราหนุ่มว่าเขามาไม่ได้เสียแล้ว

พีธันดรบอกสั้นๆ ว่าบริษัทเอเยนซี่ที่จ้างเขามาทำงานเกิดเปลี่ยนแผนเล็กน้อย ขอร้องให้เขาและมณียาอยู่ร่วมงานเลี้ยงของบรรดาผู้กำกับการแสดงต่อ เนื่องจากจอห์น วู ผู้กำกับชาวจีนชื่อดัง บอกผ่านเอเยนซี่มาว่าอยากรู้จักกับเขา และนี่อาจเป็นโอกาสดีที่พีธันดรอาจจะได้โก อินเตอร์

พยายามโทรกลับไปหาเขาหากโทรไม่ติด พีธันดรปิดมือถือ เล่นเอาลดานิดาเคว้งคว้างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจไปต่อด้วยตัวเอง

กดมือถือส่งข้อความหาเพื่อนเก่า ลดานิดารู้ว่าบทจรมาทำงานอยู่ที่มิลานพอดี บอกให้รู้ว่าเธอมาถึงเวนิสแล้ว เผื่อเขาจะมีเวลาแวะมารับประทานอาหารด้วยสักมื้อ หากหล่อนก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักว่าเขาจะแวะมา

เอาละ ลดานิดาบอกกับตัวเอง ถึงเวลาสนุกสนานแล้ว

พีธันดรไม่มาก็ไม่มา

ไม่มาก็ไม่เห็นเป็นไร หล่อนสามารถสนุกได้ด้วยตัวเอง

ไม่ฟูมฟาย ไม่โวยวาย ไม่งี่เง่า

นี่คือตัวตนของหล่อน เป็นแบบนี้มานานแล้ว และพีธันดรบอกว่าที่ชอบหล่อนมากกว่าใคร ก็เพราะเหตุผลดังกล่าว

เขาเคยเจอผู้หญิงมาแล้วทุกรูปแบบ ส่วนมากจะชอบให้พีธันดรงอนง้อเอาใจ หลายคนจุกจิกหยุมหยิม คอยไล่เช็คไล่ตามว่าเขาอยู่ที่ไหน ไปถ่ายละครจริงหรือเปล่า ไปกับใคร เหล่านั้นไม่ใช่นิสัยของลดานิดา

หล่อนเป็นลูกทหาร ทำอะไรตรงไปตรงมา คิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรก็พูดออกมาตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อม ไม่มีลับหลัง ลดานิดาถือคติว่าคนเราโตๆ กันแล้ว ควรจะรู้หน้าที่ของตัวเอง ถ้ารักกันก็ต้องให้เกียรติกัน

ในเมื่อเขาติดธุระเธอก็เที่ยวคนเดียวได้ ไหนๆ ก็เดินทางมาถึงเป็นที่เรียบร้อย เสียเงินซื้อตั๋วจองที่พักไปแล้ว เรื่องอะไรจะทิ้งเงินไปเสียเฉยๆ สู้เที่ยวให้สนุกแล้วค่อยกลับไปเจอกันที่กรุงเทพฯ ก็ได้ ดีเหมือนกันที่มีโอกาสได้อยู่กับตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากแต่งงานกันแล้วคงไม่มีโอกาสได้ไปไหนด้วยตัวเองตามลำพังแบบนี้อีก

พูดถึงเรื่องแต่งงาน…นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่รวดเร็วเหมือนฝัน

หลังจากเปิดตัวว่าเป็นแฟนกันได้ไม่นาน พีธันดรก็มาคุกเข่าขอหล่อนแต่งงาน

ลดานิดายังจำค่ำคืนนั้นได้แม่นยำ พีธันดรซักซ้อมกับเพชรพธูและอาณัฐ สองเพื่อนสนิทของหล่อน ให้ทำทีเป็นชวนหล่อนลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อดินเนอร์กันหลังจากปิดคลินิก บนเรือนั้นเองที่พีธันดรรออยู่แล้วพร้อมกับแหวนแต่งงานและพี่เป้ ผู้จัดการของเขา

พี่เป้ชวนนักข่าวสองสามคนที่สนิทกันให้ลงเรือมาด้วย เพื่อให้การขอลดานิดาแต่งงานมีภาพสวยๆ และกลายเป็นข่าวใหญ่ในเช้าวันต่อมา

พิธีเกือบจะล่ม เมื่อเพชรพธูขอดูแหวนมูลค่าหลายแสนบาท แล้วเกิดตื่นเต้นจนทำแหวนเพชรพลัดตกลงไปในแม่น้ำ ลดานิดามารู้ในภายหลังว่าเกิดโกลาหลกันยกใหญ่ แต่พี่เป้ก็แก้ปัญหาอย่างว่องไวสมกับเป็นผู้จัดการดาราตัวแม่ เขาหยิบเอาดอกไม้ในแจกันมาถักเป็นแหวนวงเล็กๆ

จากยิปโซดอกกระจิริด กลายเป็นแหวนดอกไม้ที่แม้จะดูไม่มีราคาค่างวด หากทว่าเต็มไปด้วยคุณค่าทางจิตใจ

ข่าวดาราหนุ่มคุกเข่าขอหมอสาวชื่อดังแต่งงานใช้แหวนดอกไม้แทนแหวนหมั้น กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ แฟนคลับจำนวนไม่น้อยพากันยินดีที่พีธันดรกำลังจะแต่งงาน ขณะที่แฟนคลับอีกจำนวนหนึ่งสันนิษฐานว่าลดานิดาอาจจะท้อง พีธันดรเลยต้องแสดงความรับผิดชอบ

ลดานิดาฟังแล้วอยากจะหัวเราะ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นสาวทันสมัย แต่กับเรื่องความสัมพันธ์ทางกายกลับถือเป็นเรื่องสำคัญ

มีแฟนมากี่คน ลดานิดาก็ไม่เคยใจอ่อนยอมหลับนอนกับหนุ่มๆ เหล่านั้น พีธันดรเองก็พยายามกับเธอหลายครั้ง หากลดานิดาก็หาทางบ่ายเบี่ยงเอาตัวรอดมาได้ในที่สุด สร้างความประหลาดใจให้กับพีธันดรไม่ใช่น้อย ด้วยสาวๆ ที่เขาเคยรู้จักไม่มีคนไหนจะหวงเนื้อหวงตัวเหมือนกับลดานิดามาก่อน

ดังนั้น เรื่องท้องก่อนแต่ง จึงไม่มีทางเกิดขึ้นกับเธอโดยเด็ดขาด…

และนั่นคือเวลาสองสามเดือน ก่อนที่หล่อนจะมาเดินเดียวดายอยู่กลางเวนิสเช่นนี้…

 

หลังสองทุ่ม น้ำที่ท่วมจัตุรัสซานมาร์โคลดลงจริงๆ อย่างที่เจ้าหน้าที่โรงแรมว่า ถึงตอนนี้ผู้คนยิ่งมากมายแออัด

เสียงหัวเราะ เสียงตะโกน เสียงร้องเพลงดังอยู่รอบกาย ไวน์สองแก้วที่ลดานิดาแวะดื่มที่ร้านเล็กๆ ทำให้หญิงสาวหัวเราะสนุกสนานไปกับผู้คน ไม่รู้สึกแปลกแยกอีกต่อไป หน้ากากช่วยอำพรางใบหน้าที่แท้จริง ทำให้มนุษย์ทุกคนกล้าแสดงออกอย่างเต็มที่ เพราะไม่มีใครรู้จักใคร

งานคาร์นิวัลหรือเทศกาลหน้ากากแห่งเมืองเวนิสนี้มีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๒๖๘ โน่นแล้ว…ยาวนานหลายพันปี

งานถูกจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลก่อนเริ่มวันถือศีล ของคริสต์ศาสนิกชน คือช่วงก่อนอีสเตอร์นั่นเอง

ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๗๙๑ ตรงกับช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จักรพรรดินโปเลียนกรีฑาทัพเข้ายึดครองเมืองเวนิสได้ ก็ออกคำสั่งห้ามไม่ให้มีการสวมหน้ากากปกปิดใบหน้า และนับแต่นั้นเป็นต้นมา การสวมใส่หน้ากากจึงกลายเป็นสิ่งต้องห้าม ใครฝ่าฝืนจะถูกประหารชีวิต เทศกาลคาร์นิวัลจึงเลิกล้มไปโดยปริยาย

จนกระทั่งปี ค.ศ. ๑๙๗๐ เวนิสจึงได้รื้อฟื้นเทศกาลหน้ากากกลับมาอีกครั้ง โดยมีการเชิญชวนให้ชาวเมืองและนักท่องเที่ยว สวมหน้ากาก แต่งตัวสวยงามด้วยเครื่องแต่งกายย้อนยุคแล้วพากันเดินพาเหรด เต้นรำไปยังสถานที่ต่างๆ ทุกคนพากันออกมาร่วมฉลองร่วมบนท้องถนนโดยไม่มีการแบ่งชนชั้นว่าใครเป็นใคร ยากหรือดีมีหรือจน เพราะหน้ากากทำให้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครจำตัวตนที่แท้จริงได้

ลดานิดาได้ยินเสียงเล่าลือถึงความสนุกสนานของเทศกาลนี้มานานแล้ว หากไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้มาอยู่ในเวนิสในช่วงเวลาอันน่าตื่นตาตื่นใจนี้

ยิ่งดึกคนยิ่งคับคั่ง ท้องฟ้าเบื้องบนพราวพร่างด้วยแสงดาว อากาศรอบกายก็เริ่มเย็นลงโดยลำดับ โชคดีที่หญิงสาวมีผ้าคลุมไหล่ติดมาด้วย และเมื่อลดานิดาดื่มไวน์แก้วที่สี่หมดลง นาฬิกาที่จัตุรัสก็ตีบอกเวลาห้าทุ่มพอดี

จะว่าไปก็เพิ่งจะเป็นเวลาห้าโมงเย็นที่เมืองไทย หากเพราะเดินทางไกลมานับสิบชั่วโมง ทำให้ลดานิดารู้สึกเพลียและเริ่มง่วง เธอจ่ายเงินค่าเครื่องดื่มและเริ่มออกเดินกลับโรงแรม

ตอนที่เดินข้ามสะพาน เลี้ยวซ้ายที่ตรอกเล็กๆ แห่งนั้นเอง ที่ลดานิดารู้ว่าตัวเองหลงทาง เมื่อเห็นสะพานรีอัลโตอันเลื่องชื่อปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นครั้งที่สอง ตกลงนี่เธอเดินวนกลับมาที่เก่าจนได้

หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะโทรกลับโรงแรมเพื่อถามทาง ก็ปรากฏว่าแบตเตอรี่หมด โทรศัพท์ดับสนิท พร้อมกับที่เสียงใครบางคนดังขึ้นทางด้านหลัง

“จะไปไหนหรือคุณ”

ชายหนุ่มร่างยักษ์คนที่สวนกับหล่อนบนสะพานไม้ที่จัตุรัสซานมาร์โคนั่นเอง

แม้จะสวมหน้ากากปกปิดใบหน้า หากลดานิดาจำดวงตาคู่นั้นและท่าทางของอีกฝ่ายได้แม่น หญิงสาวได้แต่นิ่วหน้าด้วยความประหลาดใจ ไม่นึกว่าจะมาเจอเขาอีกครั้งตรงนี้

“เอ้อ…” ลดานิดาอึกอัก จ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาแน่วนิ่ง พยายามจะประเมินว่าเขามาดีหรือมาร้าย ไวน์ที่ดื่มเข้าไปหลายแก้วทำให้สมองของหล่อนทำงานเชื่องช้ากว่าปกติ

“ผมไปส่งไหม” เขาเสนอ ดวงหน้าอวบอูมของเขาแดงก่ำ กลิ่นแอลกอฮอล์บอกให้รู้ว่าคงดื่มมาไม่ใช่น้อยเช่นกัน

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ” ลดานิดารีบบอก พร้อมกับหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว หากอีกฝ่ายกลับเอื้อมมือมากระชากแขนของหล่อนโดยแรง

“ผมบอกว่าจะไปส่งไง” เสียงของอีกฝ่ายแผ่วตำในลำคอ

“ไม่ต้อง ฉันไปเองได้”

ลดานิดาพยายามจะสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย หากไม่สำเร็จ เพราะมือของชายร่างใหญ่นั้นแข็งราวคีมเหล็ก

“ไปกับผม” เขาว่า “อย่าให้เสียเวลาน่า…ตามมาตั้งแต่เย็น ทำไมผมจะไม่รู้ว่าคุณก็อยาก…”

ประโยคนั้นทำให้หญิงสาวรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากชายร่างใหญ่ติดตามเธอมาโดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยแม้สักนิด

แม้ชายผู้นั้นจะไม่พูดต่อจนจบประโยค หากลดานิดาก็พอจะเดาได้ว่าเขาหมายถึงอะไร กลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก เหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหาทางหนีทีไล่ หากดูเหมือนในตอนนั้นจะไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนยังร้องรำทำเพลงไปกับจังหวะของดนตรีด้วยความสนุกสนาน

ไอ้บ้า…อยากจะร้องกรี๊ดด่าไปแบบนั้น

อยากตะโกนขอความช่วยเหลือ ทว่าดูจะไม่เห็นทางรอดเอาเสียเลย ดีไม่ดีถ้าฝรั่งร่างยักษ์เกิดบ้าคลั่ง ใช้กำลังรุนแรงขึ้นมา ผู้หญิงเอเชียตัวเล็กๆ อย่างหล่อนสู้มันไม่ได้แน่นอน ดังนั้น ลดานิดาจึงพยายามทำใจดีสู้เสือ

“ไปไหนล่ะ” หล่อนแกล้งถาม

“หึ หึ” ชายร่างใหญ่ราวกับหมียักษ์หัวเราะชอบใจ ดวงตาหลังหน้ากากนั้นฉายแววหื่นกระหาย “พูดกันง่ายๆ แบบนี้ก็ดี ไปโรงแรมผมก็แล้วกัน อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้หรอก”

“ไปสิ” ลดานิดาตอบเสียงสั่น หัวสมองที่มึนงงด้วยฤทธิ์ไวน์ทั้งสี่แก้ว เริ่มกลับมาทำงานเป็นปกติแล้วในตอนนั้น

“ตามมา” มันว่า พร้อมกับลากให้หล่อนเดินไปด้วยกัน มือใหญ่และแข็งราวคีมเหล็กยังจับข้อมือของลดานิดาไว้แน่น อีกมือโอบเอวของหล่อน ดึงเข้ามาจนใกล้ร่างอวบอ้วน

หญิงสาวกลั้นใจเมื่อมันชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ซอกคอของหล่อน ลดานิดาพยายามผลักมันออกไปห่างๆ หากดูเหมือนมันจะยิ่งชอบใจที่เห็นหล่อนพยายามขัดขืน

เดินตามมันไปเรื่อยๆ ดูเหมือนโรงแรมของฝรั่งร่างยักษ์จะอยู่อีกฝั่ง เพราะมันลากตัวลดานิดาให้เดินข้ามสะพานรีอัลโต้ไปด้วยกัน

ดวงตาคู่กลมโตของหญิงสาวเหลือบมองรอบกาย หาทางเอาตัวรอด รีอัลโตยังคงแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ช่วงจังหวะที่เดินลงสะพานนั่นเอง ที่ลดานิดาตัดสินใจใช้เท้ากระทืบลงบนหลังเท้าของฝรั่งร่างอ้วนจุดสุดแรง ส้นแหลมๆ ของรองเท้าปักลงไปบนหลังเท้าอวบอูมนั่น

“อ๊าก”

ฝรั่งร่างยักษ์ร้องสุดเสียง โอกาสของลดานิดามีเพียงนาทีนั้น หญิงสาวกระแทกไหล่เข้ากับร่างหนาๆ ของอีกฝ่าย สะบัดมือสุดแรงแล้ววิ่งแทรกผู้คนหนีไปในทันใด

“Shit – แม่งเอ๊ย…” ฝรั่งคนนั้นสบถ เต้นเร่าๆ ด้วยความปวดเท้าที่ถูกกระทืบ “กลับมาเดี๋ยวนี้”

เสียงตะโกนไล่หลังลดานิดาดังแว่วมาให้ได้ยิน หากหญิงสาวไม่เสียเวลาจะหันกลับไปมอง ลดานิดาวิ่งไม่คิดชีวิต ไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่ามุ่งหน้าไปทางไหน หล่อนรู้แต่เพียงว่าจะต้องหนีเอาตัวรอดให้ได้

และเมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งว่ารอบกายเงียบสงัด ลดานิดาก็หยุดวิ่ง อ้าปากหอบหายใจเหนื่อย

พร้อมกันนั้นหล่อนก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้

…Middle of nowhere…



Don`t copy text!