สายลมตะวันออก บทที่ 3 : นักท่องฝัน

สายลมตะวันออก บทที่ 3 : นักท่องฝัน

โดย : สันติธร วินิจฉัยกุล

Loading

สายลมตะวันออก โดย สันติธร วินิจฉัยกุล เมื่อโครงการ Dream walkers นำเขากลับไปสู่อดีตกาลและได้รู้จักกับชายหนุ่มจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ผู้ที่สายลมตะวันอกพัดพาให้เขาเดินทางมาสู่แผ่นดินกรุงศรีอยุธยาและมีชะตาชีวิตที่พิสดารเกินกว่าใครจะคิดฝันถึง ยามาดะคือใคร นวนิยายออนไลน์อีกเรื่องที่อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

**************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

รถไฟฟ้าเคลื่อนตัวออกจากสถานี

ปกติการเดินทางไปเข้าทดสอบคลื่นสมอง ผมมักโดยสารรถไฟฟ้า ส่วนหนึ่งเพราะสถานที่อยู่บนเส้นทาง ผมมีรถส่วนตัว เป็นรถญี่ปุ่นเก่าๆ สีดำ ยี่ห้อใกล้เจ๊งคันหนึ่ง ตกทอดมาแต่รุ่นพ่อ ใช้ประโยชน์ได้ แต่ผมพอใจรถไฟฟ้ามากกว่า ชอบการเคลื่อนที่สม่ำเสมอ หยุดลงบางครา มีเสียงประกาศชื่อสถานี ผู้คนเปลี่ยนหน้าเข้าออก ได้พบคนใหม่ ท่าทางแตกต่าง ผมชอบสังเกตคน แม้ผิวเผินดูเป็นความซ้ำซาก วิถีชีวิตคนเมืองราวถูกกำหนดบทบาทกฎเกณฑ์ แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ภาพผู้คนดูเหมือนสิ่งใหม่อยู่ตลอด ถึงเป็รายเดิม รายละเอียดในแต่ละวัน แต่ละช่วงเวลา กลับมีความต่าง

ที่นั่งตรงข้ามผมตอนนี้เป็นสาวเสื้อสีฟ้า กำลังนั่งเข่าชิด นิ้วมือกดโทรศัพท์มือถือ แต่หางตาแอบเหลือบมองสาวอ่อนวัยกว่าสองคนข้างๆ ซึ่งกำลังคุยกันเรื่องสินค้าลดราคาที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่ หนุ่มใหญ่สวมเสื้อนอกดำ ยืนมองผ่านกระจกประตูออกไป สายตาเหงาหงอยไร้จุดหมาย เขาอาจคิดเรื่องที่ทะเลาะกับภรรยา คิดว่าค่ำนี้สมควรขอโทษเธอ หรือบางทีเขาอาจกำลังกังวลว่าคำพูดตัดสัมพันธ์กับสาวกิ๊ก จะทำให้หล่อนโกรธ และสร้างปัญหาตามมาทีหลัง หรืออาจไม่ใช่ทุกอย่างที่ผมคิด เป็นเรื่องอื่นที่ความคาดเดาของผมไม่แม้แต่เฉียดใกล้

เด็กน้อยเดินจูงมือแม่ ผ่านเข้าประตูมา ปีนนั่งบนเก้าอี้ เด็กน้อยตื่นตากับรถเคลื่อนลอยฟ้า สองมือแตะกระจกหน้าต่างแนบหน้าชิด จ้องมองโลกเบื้องล่างผ่านไปช้าๆ เด็กนักเรียนสองคนยืนเกาะราวคุยกันไปพลางหัวเราะเบาๆ แต่ชายใส่สูทที่เพิ่งเข้ามายืนใกล้ๆ ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่ชำเลืองมองสองน้องหนู ชายสูงวัยนั่งเก้าอี้ริมสุด เอนศีรษะพิงฉากกั้นพลาสติกใส หลับตา เป็นเพียงการพักสายตาหรือหลับใหล ผมไม่อาจระบุ แต่แกไม่ได้เป็นที่ใส่ใจของหญิงสาวชุดทำงานสีกรมท่าข้างๆ หล่อนนั่งนิ่งหน้าเชิด ตามองตรง กระโปรงสั้นทำให้เห็นถุงน่องฉาบเรียบผิวเรียวขา ดูงดงาม ผมว่าเธอไหล่กว้าง คาดเดาว่าน่าจะมีกล้ามเนื้อ คงเป็นนักกีฬาใดสักประเภท

ผมละความสนใจเรียวขางามและหัวไหล่มีกล้ามเนื้อ มองเลยออกไปนอกหน้าต่าง รถไฟฟ้ายังเคลื่อนเดินหน้ากลางบรรยากาศยามค่ำ เวลาผ่านไปอีกสักเกือบยี่สิบนาทีเห็นจะได้ ขบวนรถก็ค่อยๆ ชะลอตัวลงจอดยังสถานีอันเป็นจุดหมาย ผมลงจากชานชาลา เดินต่อไปยังลานหน้าอาคารขนาดใหญ่ โดดเด่นตระหง่านกลางเมืองหลวง

ผู้คนเรียกที่นั่นว่า เดอะ พิกเซลทาวเวอร์ เป็นอาคารที่เพิ่งเปิดตัวมาได้ไม่กี่ปี สูงชะลูดโดดเด่นด้วยความสูงกว่าแปดสิบชั้น เหมือนแท่งช็อโกแลตเวเฟอร์ยี่ห้อดัง มองภายนอกเหมือนเป็นอาคารที่สร้างขึ้นจากการเรียงลูกบาศก์กระจกสีเขียวเข้มซ้อนต่อกันขึ้นไปเป็นแท่ง สูงราวสามร้อยกว่าเมตร

เท่าที่ทราบ เจ้าของเป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ประกอบการทั้งในส่วนธุรกิจโรงแรม ห้องชุดพักอาศัย และบาร์ร้านอาหาร ต่อมาจึงทราบว่า หลังเปิดดำเนินการไม่นาน หุ้นบางส่วนของกลุ่มทุนเดิม ถูกขายให้บริษัท xจากที่ถืออยู่เดิมสิบสองเปอร์เซ็นต์ มาเป็นห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้กลุ่มทุนผู้บริหารเดิมยังคงดำเนินการในส่วนของธุรกิจโรงแรม และห้องชุดพักอาศัย ส่วนบริษัท x ดูแลส่วนบาร์ร้านอาหาร และส่วนพื้นที่สำนักงานให้เช่า ซึ่งมีอยู่ไม่มาก

บรรดานักวิเคราะห์ต่างสงสัยกันว่าเหตุใด ส่วนที่น่าจะทำกำไรได้ดี บริษัท x กลับไม่นำมาบริหารเอง แหล่งข่าวซุบซิบว่า บริษัท x มีอีกหลายกิจการ ที่ไม่ถูกเปิดเผย หลายคนว่าบริษัทมีความเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลทางการเมือง บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ แต่ไม่มีรายละเอียดมากนัก ที่พอยืนยันได้คือบริษัท x มีส่วนในการออกแบบก่อสร้างอาคารแห่งนี้มาแต่ต้น แต่ไม่อาจหาสาเหตุที่ต้องพรางการเป็นเจ้าของในช่วงแรก

ผมเดินเข้าทางประตูหมายเลขหก เป็นประตูกระจกเลื่อนอัตโนมัติ มีป้ายสติกเกอร์ติดว่า เฉพาะเจ้าหน้าที่ และผู้มาติดต่อกับบริษัท x เดินผ่านโถงกว้าง ร้างผู้คน หยุดหน้าเคาน์เตอร์ พนักงานชายชุดสีขาว เน็กไทสีเข้ม หน้าตาสามารถเป็นดาราตัวประกอบในละครหลังข่าวสักเรื่องได้ สอบถามด้วยสายตาไร้อารมณ์

ผมยื่นบัตรประชาชนให้

นักแสดงประกอบชายพิมพ์อะไรสักอย่างในคอมพิวเตอร์ จากนั้นยื่นบัตรประชาชนคืนให้พร้อมบัตรพลาสติกแข็ง สีขาว บัตรที่ว่าไร้ข้อความใดนอกจากตัวเลข Q1 เดาว่ารหัสแทนพื้นที่ส่วนที่ผมเข้าไปติดต่อ

หนุ่มนักแสดงบอกว่า “เดินตรงไป เลี้ยวซ้ายตรงช่องทางสุดท้าย ลิฟต์ตัวแดง อย่าไปทางขวานะครับ ไม่เลี้ยวทางอื่น”

คำบอกกล่าวเหมือนทุกครา ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่การมาเยือนคราวแรกของผม แต่ตลอดการมาหลายครั้ง ไม่ได้ช่วยให้เกิดความคุ้นชินขึ้นแต่อย่างใด เสมือนภายในอาคารแปลกใหม่อยู่ตลอด ทั้งที่ทุกอย่างเหมือนเดิม หรือบางทีอาจมีบางส่วนสัดบริเวณโถงล่างถูกปรับเปลี่ยนน้อยนิด แต่มีอิทธิพลสำคัญต่อความรู้สึกภายในอย่างไม่รู้ตัว

ไม่หรอก…ผมไม่เห็นอะไรอย่างนั้น

ผมเดินไปตามทางที่ได้รับการบอกกล่าว พื้นหินแกรนิตขัดมันสะอาดเอี่ยม ดังก้องเมื่อส้นรองเท้ากระทบ เดินผ่านช่องทางเลี้ยวซ้ายแยกแรก เป็นช่องทางเข้าไป มีลิฟต์อยู่ด้านละสอง ทางแยกต่อมาก็เช่นเดียวกัน จนมาถึงแยกสุดท้าย มีทั้งแยกทางซ้ายและขวา

เลี้ยวซ้ายสุดท้าย ลิฟต์ตัวแดง ไม่ขวา

คำของเจ้านักแสดงส่งเสียงเตือน ประหนึ่งจิตสำนึกถูกสะกดตรึงไว้หนาแน่น

ผมเดินเลี้ยวซ้าย ไม่มีลิฟต์ตัวอื่นนอกเสียจากลิฟต์ประตูสีแดงตัวเดียว

ลิฟต์ตัวแดง สงบนิ่งเดียวดาย

ผมเดินเข้าลิฟต์

ประตูเลื่อนปิด เสียงครืนๆ ผะแผ่ว ผมไม่ได้กดปุ่มใดๆ แต่จิตวิญญาณลิฟต์รับรู้ความต้องการ เครื่องจักรสี่เหลี่ยมเคลื่อนไหวนิ่มนวล เสียงเบาราวเสียงกระเส่าของหญิงสาวข้างหู แต่เป็นการเคลื่อนตัวลงชั้นล่างสุดสู่ชั้นใต้ดิน

ระหว่างรอ ผมหันจ้องมองเงาสะท้อนบนผนังกระจก เห็นตัวเองในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน พับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก กางเกงยีนส์สีดำ ไม่ถึงกับเป็นทางการนัก แต่ก็เรียบร้อยสุภาพเพียงพอสำหรับงานนี้

ผมหลับตารอคอยกล่องสี่เหลี่ยมเคลื่อนตัว เจาะลงไปใกล้แกนกลางโลก ทีจริงก็ไม่ใกล้นัก ไม่เฉียดใกล้ เท่าที่จำได้ แกนโลกอยู่ลึกประมาณ 2,900 ถึง 5,000 กิโลเมตร จากผิวโลก อีกไกลโข จึงละเลิกความคิดที่ว่า พิงหลังกับผนังลิฟต์ สมองเปลี่ยนมานึกย้อนวันวาร

ดรีม วอล์กเกอร์

เมื่อได้ยินครั้งแรก ผมแทบนึกไม่ออกว่าคือโปรเจกต์อะไร ไร้ไอเดีย นอกจากเดาว่า ไม่มากก็น้อยต้องเกี่ยวกับความฝัน นอกเหนือจากนั้น ดำมืด ทางตัน

แต่ชื่อโครงการแปลกหู ฟังดูทันสมัย เป็นเพียงประตูก้าวเข้าสู่ดินแดนสนยา ผมจำวันแรกที่พบอกเตอร์หัวหน้าโครงการได้

สถานที่ที่เรานัดพบกัน ไม่ใช่ในอาคารสูง ห้องประชุมหรูหรา หรือกระทั่งในแล็บวิทยาศาสตร์ที่มีขวดแก้วและควันขาวลอยออกจากปากหลอดทดลอง แต่เป็นในห้องอาหารญี่ปุ่นย่านสุขุมวิท ผมไม่เคยร่วมงานการเป็นกลุ่มตัวอย่างเพื่อการทดลองทางวิทยาศาสตร์ใดๆ มาก่อน จึงไม่ทราบลักษณะการติดต่อร่วมงาน การพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ อาจเป็นปกติวิสัยของโครงการระดับนี้ก็ได้

หัวหน้าโครงการเป็นชายชาวญี่ปุ่นวัยล่วงเกษียณ ร่างผอม ไม่สูงไม่เตี้ย พูดไทยได้ระดับดี แว่นกรอบกลมที่แกสวม ไม่ได้เพิ่มให้แกเหมือนเป็นตาแก่หน้าห้องในคลาสวิทยาศาสตร์ระดับมหาวิทยาลัย แต่กลับช่วยให้แลดูใจดี บางทีอาจด้วยดวงตากลมเล็กหลังเลนส์ และรอยยิ้มน้อยๆ ที่มักประดับใบหน้าเสมอยามพูดคุยก็เป็นได้ ผมหลงลืมไปว่าแกสวมชุดอะไรในวันนั้น แต่ความรู้สึกบอกว่าแกเป็นคนสบายๆ โดยยังแฝงไว้ด้วยความภูมิฐานน่าเชื่อถือ  

ชายชราอธิบายให้ผมฟังว่า โครงการนี้เป็นงานวิจัยที่ถูกดำเนินโดยเอกชนรายใหญ่ เป็นการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับสมอง มุ่งเน้นเรื่องของความทรงจำที่ถูกปล่อยออกมาจากจิตใต้สำนึก หนึ่งในนั้นคือเรื่องของความฝัน แกว่าความฝันมีส่วนอธิบายกระบวนการทำงานของสมองได้

ความฝันเป็นกระบวนการที่สมองปลดปล่อยความนึกคิด ความรู้สึกและเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา คนเราฝันทุกครั้งที่หลับ ทุกคืน มากบ้างน้อยบ้าง แต่บางคนเท่านั้นที่จำความฝันของตัวเองได้ หัวหน้าโครงการบอก

ผมทำได้เพียงนิ่งฟังเงียบๆ ขยับตัวเปลี่ยนขาที่ขัดสมาธิบนเบาะรองเมื่อรู้สึกว่าเหน็บชาเริ่มถามหา ไร้การแลกเปลี่ยนความเห็นนอกจากการพยักหน้าแสดงการรับรู้

หัวหน้าโครงการยังอธิบายต่อไปว่า ซิกมันด์ ฟรอยด์ เชื่อว่าคนเรามักฝันถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ไม่อาจครอบครองได้ ความฝันมักเชื่อมโยงไปถึงเรื่องเพศ ความก้าวร้าวรุนแรง ความฝันเต็มไปด้วยความหมายที่ซุกซ่อน นั่นเป็นเหตุสำคัญที่เราใช้ความฝันเพื่อช่วยเข้าใจสิ่งต่างๆ ในตัวมนุษย์

ผมฟังนิ่งเงียบแต่โดยดี

แกยังว่าต่อ แต่คาร์ล จุง เสนอแนวคิดแตกต่างออกไป เขาเชื่อว่า ความฝันช่วยให้เราเติบโต เข้าใจตัวเองมากขึ้น เขาเชื่อว่าความฝันบอกทางแก้ปัญหา ความฝันบ่งบอกตัวตนของเรา แกขยับตัวเล็กน้อย แล้วพูดต่อราวกับผมเป็นนักศึกษาในคลสเล็กเชอร์ ส่วนดอกเตอร์โรเบิร์ต สติกค์โกลด์ จากฮาเวิร์ด บอกว่า ความฝันเป็นตัวบ่งชี้ว่าสมองกำลังทำงานเพื่อประมวลผล หลายๆ ความฝันเป็นภาพสะท้อนความพยายามของสมองในการหาความเชื่อมโยงความทรงจำ ที่สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ในอนาคต

เหมือนเดิม ผมฟังเงียบๆ กะพริบตาสิบวินาทีต่อครั้ง หรือบางทีอาจจะเจ็ดวินาทีก็ได้ หรือบางครั้งอาจจะสิบสามวินาทีต่อครั้ง บางทีผมควรนับให้ถ้วนถี่ถึงการกะพริบตาต่อนาทีตลอดเวลาการฟังเรื่องที่หัวหน้าโครงการเล่า

ใช่ว่าผมไม่ใส่ใจเรื่องที่กำลังได้รับการอธิบาย แม้ไม่เข้าใจมากนัก แต่คำอธิบายก็ก่อความสนใจให้ผม จากวันนั้นผมเริ่มต้นค้นหาเรื่องราวแง่วัฒนธรรมของความฝัน จึงพอทำให้รู้ว่า มนุษยชาติพยายามทำความเข้าใจความฝันมาเป็นเวลานานนับพันปีแล้ว ตั้งแต่สมัยกรีก และโรมัน พวกนั้นเชื่อกันว่า ความฝันคือสารจากพระเจ้า

ชาวอียิปต์โบราณ เชื่อว่าผู้ที่เข้าใจความฝัน คือบุคคลพิเศษ ในจีน ความฝันคือหนทางไปเยือนสมาชิกในครอบครัวผู้ล่วงลับ ส่วนในอเมริกาเชื่อว่า ความฝันคืออีกโลกหนึ่ง ที่เราไปเยือนยามหลับ

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ค้นหาได้มา ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจอะไรเกี่ยวกับโครงการวิจัยครั้งนี้เพิ่มเติมมากนัก ผมไม่รู้สมมติฐานของการวิจัย กระบวนการ และเป้าหมายหลัก ไม่รู้ว่าจะถูกใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง แต่เชื่อว่าต้องมีสักอย่าง

แต่ในเมื่องานที่ผมต้องทำหากเข้าร่วมโครงการ คือการบันทึกความฝันอย่างละเอียด บวกกับเดินทางไปทดสอบคลื่นสมองเป็นครั้งคราวราวเดือนละหนึ่งถึงสองครั้ง และการปิดปากสนิท ไม่บอกกล่าวรายละเอียดโครงการต่อคนภายนอก แลกกับค่าตอบแทนสูง ย่อมไม่มีเหตุผลให้ผมปฏิเสธการลงชื่อเซ็นสัญญาร่วมโครงการ

ลิฟต์ตัวแดงเงียบเสียงลง เมื่อตัวมันเดินทางถึงจุดหมาย พื้นที่ทำงานชั้นใต้ดินของอาคาร ที่เรียกว่า

เดอะคิวบ์

เพราะพื้นที่ตรงนี้ถูกออกแบบให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่าละมังหัวหน้าโครงการผู้เฒ่าเคยบอกพลางหัวเราะทีจริงทีจริง

แกยังเคยบอกต่ออีกว่า

อาคารนี้นอกจากใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท x แล้ว ยังมีพื้นที่ให้บางบริษัทเช่าใช้งานด้วย แม้ไม่มาก แต่ในจำนวนน้อยนั้นล้วนเป็นบริษัทใหญ่ มีเงินทองเยอะ และเป็นบริษัทที่ต้องการเก็บรักษาความลับ บริษัทโฆษณา บริษัททางเทคโนโลยีชั้นสูง บริษัทการออกแบบ ทุกบริษัทต้องการเก็บความลับ ผลงานระดับสูงของตน ทั้งความคิดทางศิลปกรรม เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ เหล่านี้มีมูลค่าลิขสิทธิ์ สิทธิบัตรมหาศาล บริษัทคู่แข่งพยายามมุ่งหวังลักล้วง ทั้งด้านกายภาพและทางออนไลน์

ผมไม่แปลกใจกับคำอธิบาย ผลงานวิจัยชั้นสูง ล้วนมีทั้งคุณค่าและมูลค่า มีเหตุผลเพียงพอให้ลงทุนซุกซ่อนหลบแอบ

ดรีมวอล์กเกอร์ก็เป็นโครงการลับสินะครับ

โปรเจกต์นี้มีทฤษฎีวิทยาศาสตร์ ต้นทางของนวัตกรรมอีกหลายต่อหลายอย่าง ไม่อยากให้หลุดออกไปถึงคู่แข่ง ถึงฉันเชื่อว่าคู่แข่งไม่มีปัญญาทำได้ก็เถอะ แต่กันไว้ดีกว่าแก้ และส่วนเดอะคิวบ์ก็ตอบสนองความต้องการนี้ได้อย่างดี

ถึงจะอยู่ใต้ดิน แต่หากต้องการทำวิจัยลับ ทำไมมาตั้งใต้อาคารที่คนพลุกพล่าน

ยิ่งคนเยอะยิ่งปลอดภัย ชีวิตในเมือง ต่างคนต่างสนแต่ตัวเอง ไม่มีใครมองคนรอบข้าง คนเรามักไม่มองอะไรใต้จมูกตัวเองหรอก จริงไหม

ประตูลิฟต์เปิดออก ความเงียบประดังซาดซัด

ผมหวนนำสติกลับมาสู่ปัจจุบัน ก้าวออกไป เสียงฝีเท้าก้องคอยเป็นเพื่อน คลายความวังเวงลงแม้เพียงเศษเสี้ยว ซ้ายมือมีประตูกระจก มองผ่านเข้าไป โถงข้างในเกือบว่างเปล่า มีเพียงโซฟารับแขกสีเข้มอยู่ทางซ้าย เคาน์เตอร์ติดต่อสอบถามอยู่ชิดไปทางผนังด้านไกล หลังเคาน์เตอร์ มีสาวชุดม่วง สวมแว่นกรอบหนา จำได้ว่าพบเธอแทบทุกครั้งที่มา เธอเงยมองผม จากนั้นไม่กี่วินาที ประตูกระจกก็เลื่อนเปิดออก

ผมมายืนหน้าเคาน์เตอร์ สังเกตว่ามีโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ กล่องเสียบปากกา วางพร้อมใช้ สาวชุดม่วงร่างอ้อนแอ้นอวบอิ่ม กำลังก้มจัดการกับเอกสารอะไรสักอย่าง ผมยืนรอจนเธอเงยหน้าขึ้นมา จึงยื่นบัตรที่ได้รับมาจากด่านแรกให้

เธอรับไปไม่พูดจา ใช้นิ้วอีกมือดันแว่นบริเวณสันจมูก เธอทำอะไรสักอย่างกับบัตรและเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่นานก็ยื่นบัตรคืน แล้วผายมือไปยังประตูทางขวามือ

ประตูเปิดออกเมื่อผมเดินไปถึง คงเป็นระบบอัตโนมัติ หรือไม่ก็เป็นการกดของสาวชุดม่วง ผมผ่านเข้าไป ลงบันไดแปดขั้น จากนั้นเงยมองตรง

เบื้องหน้าเป็นทางเดินยาว สีขาวโพลน ผนังซ้ายไร้การประดับด้วยภาพเขียนของโมเนต์ ผนังว่างเปล่า ขาวสะอาดหมดจด ส่วนทางขวามือแทบจะเหมือนกัน นอกเสียจากบานประตูกระจกสีชาใหญ่สองบาน วางห่างกันสักยี่สิบเมตร ผมเดินผ่านประตูบานแรกและบานที่สอง พยายามมองเข้าไปทุกครั้ง แต่ไม่เคยเห็น ไม่ทราบว่าภายในมีอะไร ไม่เคยลองผลักเปิดเข้าไปสักที

ผมเดินไปจนสุดทาง มีบานประตูที่สาม ประตูกระจก แต่ทำเป็นประตูเลื่อนแบบญี่ปุ่น

หน้าบานประตู มีป้ายติดไว้

Prof Dr.TAKAYAMA MURAKI

ผมหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเปิดเข้าไป

ข้างในตกแต่งด้วยสีขาวเป็นหลัก ดูปกติสามัญหากเทียบกับความคิดต่อคำว่าห้องทดลอง หรือห้องทำงานของนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ซึ่งผมมีแต่ภาพเต็มไปด้วยบีกเกอร์ เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ทันสมัย มีแสงไฟแวบๆ แต่เมื่อมาพบจริงกลับเป็นสถานที่ดูมีสไตล์ โปร่งโล่ง แม้ไม่ได้กว้างขวางนัก ดูจากสายตาเป็นห้องขนาดสักสามสิบถึงสี่สิบตารางเมตรเศษ  มีโต๊ะทำงานตัวใหญ่ วางติดผนังทางขวาหันมาทางประตู บนโต๊ะถูกจัดเรียบร้อย แท่นเสียบปากกาสีดำทอง แฟ้มเอกสารวางอยู่แฟ้มหนึ่งด้านขวา ขณะที่ด้านซ้ายมีคอมพิวเตอร์ หน้าโต๊ะมีเก้าอี้ล้อเลื่อนตัวหนึ่ง ส่วนข้างหลัง มีผนังกั้นยื่นออกมาครึ่งหนึ่งของห้อง ช่วยกั้นแบ่งส่วน โดยตัวผนังเจาะช่องสำหรับวางแฟ้มเอกสาร รวมถึงกล่องพลาสติกซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าเป็นไดรฟ์ข้อมูลทั้งหลาย ตรงฝั่งผนังห้องอีกด้านมีชุดรับแขก โต๊ะกระจกกลมตัวเล็ก และโซฟาสีไข่ไก่ แลดูสามัญแต่นั่งสบายเหลือเชื่อ ผมมักใช้นั่งรอเวลามาเยือน จุดสะดุดตาคือที่นี่แทบไร้เหลี่ยมมุม ขอบผนัง โต๊ะ ล้วนเป็นมนราวกับถูกฝนด้วยกระดาษทราย ผมไม่เคยสอบถามเหตุผล บางทีอาจเป็นสไตล์ของสถาปนิกหรือมัณฑนากรผู้ออกแบบ ผมชื่นชอบ

อย่างไรก็ตามผมรู้ดีว่า ส่วนที่มองเห็นอยู่นี้เป็นเพียงส่วนหน้า หากเดินต่อเข้าไป ยังมีประตูกระจกผ่านไปยังห้องอื่นๆ

“ขอโทษครับ” ผมส่งเสียง

คนที่โผล่หน้าออกมาจากผนังกั้นหลังโต๊ะทำงาน เป็นพ่อเฒ่าร่างผอมในชุดกาวน์สีขาว ข้างในเป็นเชิ้ตสีอ่อนลายทางยาว ศีรษะเหมือนถูกแปะไว้ด้วยผ้าถูพื้นใช้แล้ว ใบหน้าออกกลม แลเห็นร่องรอยเหี่ยวย่นปรากฏ

“สวัสดีครับอกเตอร์”  ผมบอกออกไป

“นั่งรอก่อน ขอเวลาสักครู่”

ผมนั่งลงบนโซฟารับแขก ยังดูใหม่สะอาดเอี่ยมไม่ต่างจากครั้งแรก เคยคิดเล่นๆ ว่า ห้องทำงานวิจัยใต้ดินของอกเตอร์สติเฟื่องรายนี้ มีผู้มาเยี่ยมหาสักกี่คนกันเชียว

อาจมีหลายคนก็ได้ เป็นคนมาดูงาน  สังเกตการณ์ หรือกระทั่งบุคคลในฐานะเดียวกันกับผม โครงการคงไม่ได้มีผมเป็นผู้ร่วมทดสอบเพียงรายเดียวกระมัง อาจมีสักสิบ ยี่สิบ หรือร้อยคนก็ได้ แต่เรื่องนี้ไม่เคยมีการพูดถึงตลอดเวลาการร่วมงานที่ผ่านมา ไม่มีการพูดถึงอาสาสมัครรายอื่น

รออยู่สักห้านาที อกเตอร์เชื้อสายญี่ปุ่นก็เดินออกมา พร้อมถาดถ้วยชุดน้ำชาและของว่าง วางบนโต๊ะโซฟา อกเตอร์ผู้เฒ่ายังดูแข็งแรง คล่องแคล่ว ไม่ใช่พวกคนวัยเกษียณที่แม้ลุกจากเตียงก็ยังลำบาก แกทิ้งตัวนั่งลงตรงข้ามผม

สวัสดี พ่อนักท่องฝัน”

​​​​​



Don`t copy text!