สายลมตะวันออก บทที่ 4 : สุดสายลม

สายลมตะวันออก บทที่ 4 : สุดสายลม

โดย : สันติธร วินิจฉัยกุล

สายลมตะวันออก โดย สันติธร วินิจฉัยกุล เมื่อโครงการ Dream walkers นำเขากลับไปสู่อดีตกาลและได้รู้จักกับชายหนุ่มจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ผู้ที่สายลมตะวันอกพัดพาให้เขาเดินทางมาสู่แผ่นดินกรุงศรีอยุธยาและมีชะตาชีวิตที่พิสดารเกินกว่าใครจะคิดฝันถึง ยามาดะคือใคร นวนิยายออนไลน์อีกเรื่องที่อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

**************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

ภาพแรกที่ยามาดะ นากามาสะเห็นเมื่อเรือล่องผ่านสันดอนปากแม่น้ำ คือป่าสุมทุมรกสองข้างทาง นานๆ จะเห็นแนวบ้านเรือนแพริมฝั่ง ผิวน้ำใสราวกระจก มองเห็นฝูงปลาว่ายผุดดำทั้งใหญ่น้อย ลูกครอกนิ่งอยู่บนผิวน้ำ ก่อนรีบผลุบหายไปเมื่อปลาชะโดโผล่ใกล้ๆ กิ้งก่าใหญ่ว่ายแหวกพื้นน้ำไปขึ้นฝั่งแล้วหันหน้าจ้องมองกลับมา เหมือนรู้ว่าเรือลำนี้เป็นเรือแปลกหน้าไม่เคยแวะผ่านมาก่อน ล่องไปอีกสักระยะ เห็นสิ่งก่อสร้างก่ออิฐสอปูน คนห่มผ้าสีเหลืองขุ่นยืนทำอะไรสักอย่างบริเวณนั้น ล่องต่อไปอีกนิด มีโบสถ์คริสต์เป็นยอดแหลมอยู่สองยอด นึกถึงคำที่เคยฟัง ที่นี่มีเสรีนับถือศาสนา

เรือเข้าเทียบท่าเวลาเย็น หนุ่มญี่ปุ่นเหยียบย่างลงบนแผ่นดินแปลกใหม่ มีเรือจอดอยู่แล้วหลายลำ ทั้งที่ชักธงบริษัทการค้าของฮอลันดา โปรตุเกส สเปน คนงานเรียงรายขนของขึ้นลงเรือตลอด เกวียนจอดรอรับสินค้ามีมากมายหลายเล่ม บริเวณใกล้เคียงเป็นตลาดผู้คนคึกคัก

คนที่นี่แต่งกายหลากหลาย ทั้งชาวยุโรปอันมีผมแดงบ้างทองบ้าง แต่งกายตามชนชาติตน ยังมีกลุ่มชายหนวดงามโพกศีรษะ มีอาวุธอยู่ข้างตัว สวมใส่ชุดที่จำได้ว่าน่าจะเป็นแบบชาวเปอร์เซีย ชาวตะวันออกก็มีไม่น้อย ที่เห็นตอนนี้ก็มีชายกลางคนหนวดหลิม แต่งกายชุดยาวโทนสีแดงมีลายจุด น่าจะเป็นชาวจีน กวาดสายตาต่อไปก็ยิ้มออกมาได้ เมื่อเห็นชายสามคนสวมกี นุ่งฮากามะ มือถือดาบ เดินอยู่บริเวณนั้น ห่างไปไม่มาก มีกลุ่มสตรีใส่ยูคาตะ ถือร่ม เดินเลือกซื้อของ

ชายหนุ่มละสายตาจากท่าเรือ เย็นย่ำ ภาพอาทิตย์อัสดงจมลงแม่น้ำ ช่างงดงามไม่แพ้อาทิตย์ยามอรุณรุ่งในนุมาสึ

นี่สินะ อโยธยา

อโยธยาไม่ได้มีที่พักสำหรับนักเดินทางมากนัก แม้มีพ่อค้านักเดินทางจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ก็พำนักกันที่ศาลาคาราวา อันเป็นศาลาไม้ใหญ่บ้างเล็กบ้าง สร้างไว้สำหรับเป็นที่พำนักชั่วคราวของนักเดินทาง ซึ่งมักถูกจับจองเต็มเกือบตลอด

ที่เป็นสถานเช่าพักมีอยู่น้อยนัก ส่วนใหญ่มีเจ้าของเป็นชาวยุโรปบ้าง คนจีนบ้าง ที่พักของชาวยุโรปราคาแพงกว่า และดูเหมือนมีไว้สำหรับชนยุโรปมาพำนัก ต่างกับของพวกจีนที่เปิดเป็นโรงเตี๊ยม รอรับผู้คนหลากหลายกว่า ยามาดะและพวกเลือกเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง

เจ๊กจีนผู้เป็นเจ้าของ อายุสี่ถึงห้าสิบเห็นจะได้ แต่หน้าเหี่ยวย่นเกินวัย ตาเล็ก มีหนวดเทาสลับดำ เดินยิ้มเผล่ออกมาจากหลังร้าน กล่าวทักทายผู้มาเยือนท่าทางนอบน้อม

“พวกท่านคงเพิ่งมาอโยธยานี่ซีนะขอรับ”

“ข้าอยากได้ที่พัก ท่านพอจะแนะนำได้หรือเปล่า” ยามาดะถาม

“ก็ที่นี่อย่างไรละขอรับ” เจ้าของร้านรีบตอบ “คนเดินทางส่วนใหญ่พอใจมาพักโรงเตี๊ยมของอั๊วกันทั้งนั้น” แกคุยโว พลางหัวเราะ

“ดี ขอท่านตระเตรียมห้องให้พอสำหรับห้าหกคนด้วย”

“ได้ขอรับ” เจ้าของร้านรับคำ หันไปสั่งการลูกน้อง จากนั้นถามบ้าง “พวกท่านมาจากไหนกันหรือขอรับ”

ทุกคนสบตากัน เป็นเซกิที่ตอบ “เกาะแถบญี่ปุ่นน่ะ” เขายังไม่อยากบอกความจริงทั้งหมด

“อ้อ…มีพวกญี่ปุ่นมาที่นี่เรื่อยๆ”

ยามาดะสนใจคำของอีกฝ่าย “พอทราบไหมว่าส่วนใหญ่แล้วพำนักอยู่บริเวณไหนกัน”

“จากตรงนี้ขึ้นไปทางเหนือเล็กน้อย ก็จะเจอย่านที่คนญี่ปุ่นรวมกันอาศัยอยู่”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ขอบใจ”

เหล่านักเดินทางจากแดนไกลแยกย้ายกันพักผ่อน หลายคนหลับลงทันทีที่ล้มตัวนอน ทว่าสำหรับยามาดะ แม้ผ่านการเดินทางยาวไกลแต่กลับนอนไม่หลับ เกิดจากความแปลกที่แปลกทางกระมัง หรือไม่ก็ความไม่ไว้วางใจสถานที่ใหม่ เป็นความระแวงตามสัญชาตญาณที่เกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาการเป็นสลัด

หรือบางทีอาจเป็นความกังวลอนาคตกาลวันหน้า แม้แผนการเดินทางได้รับการตกลงกันอย่างชัดเจนแล้ว ทว่าความชัดเจนต่อชะตาชีวิตตน กลับยังพร่าเลือน

โรนินญี่ปุ่นลุกออกจากห้องพัก เดินเล่นสำรวจพื้นที่ เงียบงันต่างจากยามกลางวัน จากพลุกพล่านสู่วังเวง ห่างจากบริเวณท่าเรือ เป็นทุ่งหญ้า มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นห่างๆ ทางเดินเล็กๆ หลายสายมุ่งแยกไปตามเป้าหมายแต่ละเส้นทาง อากาศไม่ร้อนนัก อย่างน้อยก็ไม่มากเท่าเวลากลางวัน ลมพัดสบายๆ มียุงและแมลงตัวเล็กบินตอมข้างหูน่ารำคาญ จนต้องยกมือปัดบ่อยๆ

ดวงจันทร์กลมสุกใส แม้ล่วงคืนเพ็ญไปแล้ว แต่แสงสีเงินก็ยังส่องสกาว มองแล้วคิดถึงคราเคยยืนมองดวงจันทร์ที่นุมาสึ จันทร์ดวงเดิมจากสถานที่ใหม่ รำพึงในใจว่า จะยังมีโอกาสไหมนะที่สักวันจะได้กลับแผ่นดินเกิด

ท่ามกลางความคิดคำนึงถึงอดีต เสียงฝีเท้าเหยียบกอหญ้า แม้แผ่วเบา แต่ก็สะกิดสติอันกำลังเดินทางไปไกลให้กลับมา ในแสงสีเงินสลัวราง เงาทะมึนสองร่างท่าทางลับๆ ล่อๆ ดูจากเค้าโครง เหมือนแต่งกายแบบญี่ปุ่น ถือดาบติดมือ ทั้งสองหยุดใต้ไม้ใหญ่ ห่างตัวเขาไประยะพอมองเห็นได้ในคืนเดือนหงาย ตรงนั้น ใครอีกคนยืนรออยู่แล้ว ยามาดะขยับหลบหลังต้นไม้ สังเกตสังกา

ใช้เวลาพักใหญ่ในการสนทนาระหว่างสามคน เมื่อการพูดคุยเสร็จสิ้น ชายสองคนหันหลังกลับ ผู้ที่มาลำพังยืนนิ่งอยู่อีกครู่ จึงถือตะเกียงจากไปทางตรงกันข้าม ยามาดะคงได้ละความสนใจ กลับมาลิ้มรสอากาศ และกลิ่นดอกไม้กลางคืนต่อไป หากไม่ได้เห็นว่าสองคนที่กลับก่อน หยุดชะงัก ชักดาบออกมา ก่อนหันกลับ พุ่งตรงเข้าหาชายผู้เพิ่งสนทนาแล้วเสร็จ ซึ่งยังไม่รับรู้อันตราย

ยามาดะตระหนักว่า ไม่ว่าความขัดแย้งมาจากสาเหตุใด แต่การลอบทำร้ายจากข้างหลัง เป็นเรื่องยอมรับไม่ได้ เป็นการกระทำอันไร้เกียรติ

“ระวัง!

เสียงตะโกน ทำให้พวกมุ่งประทุษร้ายชะงัก มองหาต้นเสียง ขณะเดียวกันคนถูกปองร้ายก็รู้ตัว ชักดาบออกมาเตรียมรับมือได้ทันก่อนมือสังหารทั้งสองเริ่มพุ่งปรี่เข้าหาอีกครั้ง

แม้ช่วยส่งเสียงเตือนไปแล้ว กระนั้นการต่อสู้แบบสองต่อหนึ่ง ดูไม่ใช่หนทางยุติธรรมนัก อดีตสลัดชาวญี่ปุ่นชักดาบ ปรี่เข้าร่วมวงทันที ช่วยรับคมอาวุธที่กำลังฟาดฟันลงมายังคนถูกรุม

มือสังหารไม่ใส่ใจไถ่ถาม เริ่มมุ่งร้ายต่อผู้ช่วยเหลือ เคลื่อนที่ใช้ดาบรวดเร็ว ยามาดะรับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีฝีมือ ฝึกฝนมาอย่างดี แต่เขาก็มั่นใจตัวเองเช่นกัน กระชับดาบด้วยสองมือ ตาเขม้นจ้องฝ่ายตรงข้าม

ราตรีสงัด ยินเพียงเสียงสายลมพัดกิ่งไม้ไหวลู่ ทั้งสี่คนนิ่งงัน จันทร์เดือนหงายที่สาดแสงอยู่มาเนิ่นนาน ขณะนี้แพเมฆบางเริ่มลอยล่องเข้าบดบัง

อึดใจนั้น มือสังหารสองคนก็ร้องคำราม ปรี่เข้าฟาดฟันอีกครั้ง ยามาดะยังกระชับดาบมั่น ไม่หวั่นไหว จนเมื่อคมดาบฟาดมาใกล้ถึงตัว จึงยกอาวุธขึ้นรับ ฝ่ายตรงข้ามฟันสลับซ้ายขวามาอีกหลายครั้ง แต่ยามาดะก็รับไว้ได้ทั้งหมดไม่ยากเย็น

ฝ่ายตรงข้ามกลับไปตั้งหลัก ลักษณะเช่นนี้ก็เกิดกับการต่อสู้อีกคู่ด้วยเช่นกัน

ความเงียบกลับมาเยือนทุ่งกว้างอีกครา

อึดใจต่อมา ร่างฝ่ายจู่โจมก็ปรี่เข้าฟาดฟันอีกสองครั้ง หนักหน่วงและรวดเร็ว แต่ก็ไม่มากไปกว่าคราแรก ชายหนุ่มคิดว่าเป็นโอกาสดี เมื่ออาวุธถูกฟันมาครั้งที่สาม เขาตั้งรับป้องกัน จากนั้นใช้ความรวดเร็วตวัดปลายดาบ แม้เพียงน้อยนิด แต่คมก็ปาดเข้าที่ข้อมืออีกฝ่าย จนหากเป็นเพลาอันมีแสง คงได้เห็นสายเลือดกระเซ็นออกมา

คนต้องคมอาวุธสะดุ้งจนดาบเกือบหลุดมือ ถอยกรูดไปตั้งหลัก ขณะเดียวกัน คนถูกปองร้ายแต่แรกก็กำลังรุกเร้าคู่ต่อสู้จนต้องถอยร่น ไปสมทบอยู่กับพรรคพวก

ยามาดะชำเลืองมองคนข้างๆ แม้ไม่เห็นสีหน้าแววตา แต่เหมือนรับรู้ได้ว่าพรั่งพร้อมต่อสู้ด้วยกัน

ความเงียบครอบครองทุ่งอีกชั่วอึดใจ ก่อนเสียงนกกลางคืนทำลายลง

ยามาดะเห็นสองคนตรงหน้าสบตากัน ท่าทางลังเล ชายหนุ่มเพียงนิ่ง ไม่แสดงว่าต้องการรุก แต่ก็ไม่เกรงกลัวหากต้องประดาบกันอีกครั้ง เขาปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนตัดสินใจว่าจะถอยหรือสู้

สายลมพัดยาวนาน กลิ่นดอกไม้หอมอะไรสักอย่างโชยสัมผัสให้ชื่นใจ เมื่อกลิ่นจางอ่อนลง เป็นเวลาพร้อมๆ กับสองคนตรงหน้าค่อยๆ ถอย แล้ววิ่งหายไปในความมืด

แพเมฆลอยผ่านพ้น ดวงจันทร์ทอดแสงอีกครา

เหตุการณ์ร้ายผ่านไปแล้ว ยามาดะเก็บดาบ ส่วนชายอีกคนก้าวไปหยิบตะเกียง แล้วเดินกลับมาหา

“ขอบใจมาก พ่อหนุ่ม”

แม้มีเพียงแสงจันทร์สลัวและตะเกียงอ่อนแรง แต่ก็เพียงพอให้ยามาดะเห็นชายกลางคน รูปร่างผอม ศีรษะเถิก

“เรื่องเล็กน้อยขอรับ”

อีกฝ่ายยกตะเกียงขึ้น ให้แสงฉายใบหน้าเขาชัดๆ

“เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้า”

“ข้ายามาดะ ยามาดะ นากามาสะ”

คนอายุมากกว่าหรี่ตาน้อยๆ “ไม่เคยได้ยินนามนี้ เจ้าเพิ่งมาถึงรึ”

“ใช่ขอรับ”

“อย่างนี้นี่เอง” พูดแล้วแนะนำตัวเอง “ข้าคิอิ คิวเอมอน อยู่อโยธยามาหลายปีแล้ว” กวาดตามองไปรอบๆ ในความมืด “เรารีบไปจากตรงนี้ก่อนเถิด ไม่รู้ว่ายังมีพวกมันอยู่อีกหรือเปล่า”

ชายหนุ่มเห็นพ้อง

“มาเถิด มาดื่มชาที่บ้านข้าก่อน ถือเป็นการตอบแทนที่ช่วยข้าไว้”

โรนินหนุ่มค้อมศีรษะ เดินติดตามผู้อาวุโสกว่าไปตามทางสายเล็กๆ ผ่านทุ่งกว้าง กลิ่นดอกไม้กลางคืนรวยรินตามลมจนสัมผัสได้อีกครา

“เจ้ามาจากไหนรึพ่อหนุ่ม ฝีมือดาบดีเทียว เห็นจะเคยฝึกฝนมาไม่น้อย” ชายวัยกลางคนชวนคุยระหว่างทาง

“บ้านข้าอยู่ที่แคว้นซัมปุขอรับ ฝึกฝนวิชาดาบที่นั่น ต่อมาได้เป็นซามูไรรับใช้ท่านโอคุโบะ จิเอมอน แต่หลังนายข้าสิ้น ทหารของโทกุกาวะเข้าครอบครองซัมปุ ข้าและพรรคพวก ช่วยทายาทของท่านโอคุโบะต่อต้านโทกุกาวะ แต่ก็พ่าย จึงต้องออกจากญี่ปุ่นเมื่อเกือบสามปีก่อน ตั้งใจไว้ว่าจะหาที่ตั้งหลัก รอคอยฟ้าเปิด จึงค่อยกลับไปทำการใดๆ ตามที่เหมาะควร”

“ตลอดหลายสิบปีมานี้ มีคนจำนวนมากต้องระเห็จจากญี่ปุ่น” คิอิพูดเหมือนเปรยกับตัวเอง จากนั้นจึงถาม “แล้วไฉนเจ้าจึงมาที่นี่ล่ะ”

“ทีแรกข้าตั้งใจจะเดินทางไปอินเดีย คิดว่าที่นั่นคงมีพื้นที่โอกาสให้พวกเราตั้งหลักปักฐานอาศัยได้ ผ่านมาที่นี่ ก็หวังเติมเสบียงและน้ำเท่านั้น”

คิอิ คิวเอมอนพยักหน้า รำพึงออกมาเหมือนพูดลอยๆ “เพราะเจ้าใหม่ที่นี่ จึงกล้ายื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว ช่วยข้า”

เขารู้สึกว่าประโยคนั้นมีนัยบางอย่าง แต่ยังไม่พึงสนใจซักถาม ตอบไปอย่างสุภาพ “ข้าทนเห็นการลอบทำร้ายไม่ได้”

คิอิยิ้มน้อยๆ ให้ชายหนุ่ม “ขอบใจอีกครั้ง หากไม่ได้เจ้า ข้าคงลำบาก”

ในใจของยามาดะอยากจะถามต้นสายปลายเหตุแห่งการลอบทำร้าย แต่ก็ลังเล เกรงว่าเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายไม่ประสงค์ให้ผู้อื่นรับรู้ หากไถ่ถามจะลำบากใจเปล่าๆ ดังนั้นหากท่านผู้นี้ยินดีบอกล่าว คงเป็นฝ่ายบอกออกมาเอง

ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงบ้านพัก

ที่นั่นเป็นเรือนแบบญี่ปุ่นยกพื้น มีอาณาบริเวณลานหญ้าและสวน แม้ไม่ใหญ่โตเทียบเท่าเรือนขุนนางในญี่ปุ่น แต่ก็ไม่เล็กหากคิดว่ามาพำนักในต่างดินแดน

ภรรยาเจ้าของบ้านเป็นหญิงวัยใกล้เคียงสามี เลื่อนประตูเปิดออกมาต้อนรับ นางเป็นชาวญี่ปุ่น สังเกตจากการแต่งกาย และสำเนียงการพูด

“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ!?” นางแสดงสีหน้าตระหนก เมื่อสังเกตเห็นชุดอันเปรอะเปื้อนเหงื่อไคล และรอยเลือด

“เกิดเรื่องนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไร ได้พ่อหนุ่มคนนี้ช่วย”

นางใจเย็นลงได้ “ขอบใจนะพ่อหนุ่ม”

ชายหนุ่มค้อมศีรษะ

“นี่ภรรยาข้า อายะ…” คนเป็นสามีแนะนำ

“เชิญไปล้างหน้าล้างมือให้เรียบร้อยเถิดเจ้าค่ะ” ภรรยาเจ้าของบ้านบอก “ประเดี๋ยวข้าจะเตรียมน้ำชาของว่างให้”

เจ้าของบ้านเชิญผู้มาเยือนหนุ่มไปล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดสดชื่น จากนั้นกลับมานั่งสนทนาในห้องรับแขก

“เห็นเจ้าว่าจะไปอินเดีย มีแผนการเมื่อไปถึงอย่างไรบ้างรึ” คิอิถาม

“ยังไม่ทราบเลยขอรับ ไปถึงแล้วค่อยมองหาลู่ทาง”

เจ้าของบ้านพยักหน้าน้อยๆ “ระหว่างนี้พำนักอยู่ไหนหรือ”

“พักอยู่โรงเตี๊ยมใกล้ท่าเรือขอรับ”

“เพลานี้ลมตะวันออกจวนหมดแล้ว ไปตอนนี้คงไม่ทัน ต้องรออีกนาน ระหว่างนี้จะทำอย่างไร”

ยามาดะเองก็หนักใจเรื่องนี้อยู่ “ขอบอกตามตรง ข้าก็ยังไม่ทราบเลย คงต้องเร่งรีบออกเรือ โชคดีอาจล่วงผ่านช่องแคบมะละกาไปได้ก่อนลมสิ้น จากนั้นค่อยดูกันต่อ แต่หากไม่ทันจริง หมดฤดูมรสุมไปเสียก่อน ก็เห็นจะต้องพำนักตามคาราวาศาลาไปพลาง แล้วค่อยดูลู่ทางต่อไป อย่างไรเสียคงไม่อดตายอยู่ที่นี่”

“เช่นนั้นแล้ว ไยจึงไม่มาอยู่พำนักกับข้าไปก่อนเล่า” คิอิเสนอ “ตัวข้าทำการค้าเล็กๆ แต่ก็ยังต้องการคนช่วยเหลืออยู่ เงินตอบแทนอาจไม่มาก แต่มีที่อาศัยคุ้มแดดฝนได้ หากไม่รังเกียจก็เชิญ”

ชายหนุ่มเห็นสีหน้าแววตาเปี่ยมไมตรีของอีกฝ่ายก็อุ่นใจซาบซึ้งหนักหนา เอ่ยตอบออกไป

“ท่านกรุณาข้ามาก”

เขาอยากจะตอบรับความหวังดีนั้นเสียเดี๋ยวนี้หากเขาอยู่ลำพัง

“แต่ว่าข้ายังมีพรรคพวกที่มาด้วยกันอีกจำนวนหนึ่ง เกรงจะรบกวนท่านเกินไป และข้าก็คงไม่อาจทิ้งเอาตัวรอดแต่ผู้เดียวได้”

“เป็นไรไปเล่า พระเจ้าให้เรามาเจอกัน ยิ่งมีคนมากยิ่งดี พื้นที่ปลูกเรือนพัก ก็มีให้ได้เพียงพอ เพียงแต่เกรงว่าพรรคพวกของเจ้าจะรังเกียจพำนักช่วยกิจการการค้าเล็กๆ ของข้าหรือเปล่า

“หามิได้ พวกข้าเป็นเพียงพวกค้นหาโชคชะตา หาใช่คนอยู่ยาก”

“ดี” คิอิตบเข่ายินดี “เช่นนั้นก็มาอยู่ด้วยกัน แม้วันหน้า ลมทะเลเหมาะแก่การ หากเจ้าหรือใครประสงค์จะเดินทางต่อไป ข้าก็ไม่คิดขัด”

“ขอบพระคุณมากขอรับ” เขาค้อมศีรษะ รับความช่วยเหลือ ซาบซึ้งใจอย่างที่สุด

วันรุ่งขึ้น ยามาดะและพรรคพวกจึงมาฝากตัวกับคิอิ คิวเอมอน ได้รับอนุญาตปลูกเรือนเล็กๆ ให้พักอยู่ใกล้ๆ กัน คิอิให้ทุกคนช่วยเหลืองานการค้า ดูแลขนสินค้าหลากหลายอย่างที่จะส่งไปค้าขาย

“การค้าท่าน เห็นจะไม่ใช่เล็กน้อยเช่นที่บอกกระมัง” ยามาดะพูดในตอนเดินตามคิอิไปชมเรือสินค้าที่กำลังเตรียมออกเดินทาง “เรือสินค้าลำโต ไปค้าทีหนึ่ง เห็นจะได้กำไรหนักหนา ข้าเห็นสินค้าที่ในญี่ปุ่นนิยม ทั้งไม้หอม เครื่องหอม หนังกวางมากมายเทียว”

“กิจการของข้ายังเล็กน้อย สู้บริษัทการค้าของพวกฮอลันดา และเหล่าพ่อค้าวาณิชโปรตุเกสไม่ได้หรอก”

มีชาวญี่ปุ่นชายหญิงเดินผ่านมาทักทาย คิอิทักตอบด้วยไมตรี ดูเหมือนคิอิเป็นที่รู้จัก เคารพนับถือจากชนย่านนี้ ไม่เพียงชาวญี่ปุ่น แม้ชนชาติอื่นทั้งสยาม และชาวตะวันตก ก็ให้ความเคารพรักใคร่เข้ามาพูดจาด้วยเสมอ

เดินตรวจดูท่าเรือได้สักระยะ ทั้งสองจึงพากันเข้าไปพักนั่ง หาน้ำชาดื่มที่โรงเตี๊ยมชาวจีน

คิอิสั่งน้ำชา ของว่างสองสามอย่าง ไม่นานเสี่ยวเอ้อก็ถือเครื่องดื่มมาให้ คิอิรินใส่จอก ยกดื่ม

สายวันนี้อากาศดี ไม่ร้อนอบอ้าวเกินไป มีลมแม่น้ำพัดให้เย็นสบาย ยามาดะยกน้ำชาดื่มนิดหนึ่ง ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง คำถามที่คันปากอยากเอ่ยมาตั้งแต่วันแรกที่พบคิอิ

ผู้อาวุโสสัมผัสได้อยู่ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องในใจ “มีอะไรก็ว่ามาสิ”

ชายหนุ่มนิ่งใคร่ครวญ ในเมื่อจำต้องพำนักอยู่ที่นี่อย่างน้อยก็อีกระยะหนึ่ง ย่อมสมควรรู้ความเป็นมาเป็นไปของผู้ให้การอุปถัมภ์และเรื่องราวเกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้ชีวิตที่นี่เป็นไปอย่างเหมาะสม สุดท้ายจึงถาม

“เมื่อคืนแรกที่ได้พบท่าน พวกที่คิดทำร้ายท่านคือใคร เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกนั้นจึงทำการเช่นนี้”

คิอิยกชาจิบ ตอบกลับมาเสียงราบเรียบ “พวกนั้นเป็นกลุ่มชาวญี่ปุ่น เคยรวมกลุ่มกันพักอยู่ไม่ไกลจากย่านนี้มากนัก มีชิวาสึ โทโยฮิสะ เป็นผู้นำ พวกนี้มีอิทธิพลกับคนญี่ปุ่นที่นี่ และก็มีเส้นสนกลในใกล้ชิดขุนนางอโยธยา จึงเป็นที่เกรงใจของผู้คน”

“แล้วทำไมต้องคิดทำร้ายท่าน”

เสี่ยวเอ้อยกหมั่นโถวมาให้ชุดหนึ่ง คิอิยังจิบน้ำชา ไม่พูดอะไรอยู่สักครู่ จึงเอ่ยออกมา

“ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าโชคดีหรือโชคร้าย ที่มาถึงอโยธยาในเวลานี้” เขาวางจอกน้ำชาลง “เพลานี้อโยธยาเพิ่งผลัดแผ่นดินมาได้เพียงปีเศษ เป็นช่วงเวลาแห่งความสั่นคลอนเหมือนทางแยก ทางหนึ่งบ้านเมืองสงบร่มเย็น อีกทางเป็นจุดเริ่มของความวุ่นวาย”

ยามาดะยกชาดื่มเงียบๆ รู้ว่าอีกฝ่ายยังมีเรื่องอยากบอก

“ความขัดแย้งต่างๆ นานา เริ่มแสดงฤทธิ์เดชออกมา เช่นเดียวกับความพยายามปราบปรามของทางการ จนเป็นเหตุให้เกิดขบถ”

“ขบถ?” ภาพความวุ่นวายและเจ็บปวดครั้งอดีตบนแผ่นดินเกิด กลับมาวูบในใจของชายหนุ่ม

คิอิหยิบหมั่นโถวกินชิ้นหนึ่ง ดื่มชา ยามาดะยังรอฟัง

“พวกของชิวาสึเป็นกลุ่มที่อพยพมาจากซัสสึมะ เคยเป็นซามูไรมีฝีมือ เมื่อมาอยู่อโยธยา จึงได้รับโอกาสช่วยราชการ ใต้การดูแลของออกญานายไวย พวกนี้มีอิทธิพล อำนาจทรัพย์สินไม่น้อย ก่อร่างสร้างตนในอโยธยาอย่างมั่นคง เมื่อเจ้าอโยธยาองค์ก่อนเริ่มรู้สึกว่าออกญานายไวยและพวกมีอำนาจมากเกินไป จึงหาทางจัดการ แต่ออกญาผู้นั้นยังเอาตัวรอดมาได้ ครั้งแผ่นดินนี้ ออกญานายไวยปลอมพระราชโองการเพื่อใช้การส่วนตัว เจ้ากรุงอโยธยาจึงสั่งจับกุม ลงทัณฑ์ประหารเสีย”

ยามาดะรับฟังแต่เงียบด้วยความตั้งใจ

“การประหารออกญานายไวยครานั้น ก่อให้กลุ่มของชิวาสึไม่พอใจ คิดแก้แค้น จึงรวบรวมคน เข้าโจมตีพระราชวังตั้งแต่ทางด้านใต้ มาถึงสนามจักรวรรดิ ล้อมพระที่นั่งจอมทองในเวลาที่เจ้าอโยธยาเสด็จออกฟังธรรม” คิอิกัดของว่างอีกคำหนึ่ง “ว่ากันว่าตอนนั้นนักรบญี่ปุ่นแบ่งเป็นสองกลุ่ม คิดเห็นต่างกัน บางส่วนคิดว่าก่อการครานี้เพียงเพื่อขอความเป็นธรรม กู้ศักดิ์ศรีให้ออกญานายไวยผู้ถูกใส่ความต้องทัณฑ์ถึงชีวิตเท่านั้น แต่อีกจำนวนหนึ่งต้องการไปถึงให้องค์กษัตริย์สละราชสมบัติ”

“แต่การณ์อันรุกเข้าพระราชวังเช่นนี้ ทหารพื้นเมืองเห็นจะต้องต่อตีเปิดศึกแน่”

“ก็เกือบไป พระมหาอำมาตย์ตระเตรียมพลเข้าประจัญ หากเกิดศึก เห็นจะได้นองเลือดกัน แต่ก็ด้วยเมตตาของท่านสมเด็จวัดประดู่และพระสมเด็จอีกสามรูปขอบิณฑบาตการศึก ยินยอมเป็นตัวประกันเพื่อให้ชิวาสึถอนทัพไปอย่างปลอดภัย ไม่ถูกตามตี”

“แล้วการณ์เป็นไปอย่างที่ตกลงกันไว้หรือไม่ขอรับ” ยามาดะถามอย่างสนใจ จนตนเองไม่ทันรู้ตัวว่าแสดงออกชัดจนอีกฝ่ายสังเกตได้

คิอิ คิวเอมอนซ่อนยิ้มกับท่าทีสนใจจริงจังของเด็กหนุ่ม เล่าต่อไปว่า

“ก็เป็นไปตามนั้น แต่พวกที่ต้องการเปลี่ยนเจ้ากรุงอโยธยาซึ่งมีชิวาสึเป็นผู้นำ ไม่พอใจพวกประนีประนอม จึงสังหารเสีย และสร้างกองทัพใหม่ที่เมืองพิบพลี ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอโยธยา ชิวาสึมีพรรคพวกตามหัวเมือง ทั้งพ่อค้าและขุนนาง จึงมีคนสนับสนุนเข้าด้วยไม่น้อย เป็นเหตุผลให้กล้าตั้งตนไม่ขึ้นกับอโยธยา เจ้าอโยธยาจึงจัดแต่งทัพ ให้ออกญากลาโหมเป็นแม่ทัพยกไปตี”

“พวกที่มาหาท่านเมื่อคืนนั้น คือพวกของชิวาสึอย่างนั้นหรือ”

คิอิพยักหน้า “พวกเขาคิดชักชวนข้าให้ร่วมทำการ ลอบรวมพลเข้าตีกระหนาบระหว่างอโยธยาเคลื่อนทัพ”

“แต่ท่านปฏิเสธ?”

คิอิถอนใจยาวเบาๆ เชื่องช้า “ข้าไม่ใช่พวกทะเยอทะยาน ไม่ได้ต้องการอำนาจ หรือประโยชน์โพดผลจนเกินงามอย่างพวกของชิวาสึ ข้าเคยเป็นเพียงพ่อค้าธรรมดา รอนแรมออกจากญี่ปุ่นมาปักหลักที่อโยธยามานานเกือบยี่สิบปี อยู่อย่างผาสุกตลอดมา ก็ถือเป็นพรอันประเสริฐจากพระเป็นเจ้าแล้ว การอันถึงขนาดคิดขบถ จับองค์กษัตริย์อโยธยา เจ้าแผ่นดินที่เราอาศัย เพื่อแก้แค้นส่วนตัว เห็นจะได้ชื่อว่าอกตัญญู ไร้เกียรติ หาใช่วิสัยคนอย่างข้า”

ยามาดะชื่นชม เขานิยมคนรักเกียรติของตนเป็นอาจิณ

“พวกนั้นจึงไม่พอใจท่าน คิดสังหารเสียอย่างนั้นสินะขอรับ

คิอิรินน้ำชาใส่ถ้วย ยิ้มแค่นๆ “ก็คงใช่”

“แต่ในเมื่อคนก่อขบถเป็นญี่ปุ่น ท่านและชาวญี่ปุ่นอื่นในอโยธยาจะถูกมองอย่างไร” ยามาดะเกรงว่าเมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ ชาวพื้นเมืองย่อมรู้สึกไม่ดีต่อชนญี่ปุ่นทั้งมวล เกิดความหวาดระแวง มีผลต่อการดำรงชีวิต

“ข้าก็เกรงอยู่ในทีแรก จึงได้แจ้งกับทางการอโยธยาไปว่า นั่นเป็นเพียงญี่ปุ่นส่วนหนึ่ง เป็นเรื่องส่วนตัว หาได้เกี่ยวข้องกับชนญี่ปุ่นทั้งมวล ข้ามีคนรู้จักในราชสำนัก จึงช่วยทูลต่อเจ้าอโยธยาได้ ต่อมาจึงทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าลงมา ให้ข้าเป็นผู้นำชุมชนชาวญี่ปุ่นในอโยธยา จนกว่าเหตุการณ์ครานี้จบลง”

“เหมาะแล้ว ท่านอาวุโส เป็นที่น่าเคารพ”

“แต่ก็ยังสร้างความวางใจไม่ได้เต็มที่ อย่างไรเสียย่อมมีพวกระแวงอยู่”

ยามาดะเห็นด้วย เรื่องใหญ่เกิดขึ้น จะให้ไม่คิดหวาดเกรงคนเชื้อสายเดียวกันกับผู้ก่อขบถ ย่อมเป็นไปไม่ได้

“แล้วท่านจะทำอย่างไรขอรับ” ชายหนุ่มถาม

“ที่จริงการนี้ข้าควรปล่อยให้เป็นเรื่องของทางการอโยธยาแต่เพียงถ่ายเดียว แต่ด้วยปฐมเหตุเป็นชนญี่ปุ่น จะละเว้นไม่ใส่ใจมิได้ เห็นควรหาหนทางเข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อพิสูจน์ว่าชนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ยังภักดีต่อเจ้าอโยธยา หาได้คิดร้าย วันหน้าจะได้ลดความระแวงแคลงใจลง”

เกี่ยวข้องในที่นี้ยามาดะเดาว่ามิใช่ประการอื่นใด “ท่านจะจัดแต่งนักรบเข้าร่วมหรือ”

“หากอโยธยาแจ้งมา ข้าก็พร้อม”

ยามาดะอึดอัดกระสับกระส่าย “เมื่ออีกฝ่ายเป็นญี่ปุ่นเช่นเดียวกัน หากต้องมาเข่นฆ่าห้ำหั่น ไม่เห็นสม”

ญี่ปุ่นอาวุโสเข้าใจข้อกังวลของชายหนุ่ม

“ใช่ว่าข้าไม่คิด แต่เมื่อได้ใช้เวลาตรองอยู่นาน จึงพอมีหนทางออก”

“อย่างไรหรือขอรับ”

คิอิวางถ้วยชาลง เริ่มอธิบาย

“เหตุครานี้ เกิดในช่วงผลัดแผ่นดินได้ไม่นาน สมเด็จพระเจ้ากรุงอโยธยาทรงดำรงอยู่ในสมณเพศมานาน เมื่อครองราชย์จึงไม่ได้มีฐานอำนาจพรั่งพร้อม กะเกณฑ์ไพร่พลเป็นกำลังได้ไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้เกิดพวกคิดการกระด้างกระเดื่องโดยง่าย เช่นนี้แล้วย่อมแสดงถึงความสั่นคลอนไม่มั่นคงของพระราชอาณาจักร ข่าวนี้อย่างไรเสียย่อมมีไปถึงเหล่าประเทศราชน้อยใหญ่ทั้งปวง ดินแดนเหล่านั้นล้วนต้องการแยกตัวเป็นไทอยู่เป็นนิตย์ ล่าสุดก็ล้านช้าง ที่ถือเอาเหตุครานี้เป็นโอกาส แต่งกลวางอุบายส่งสารแจ้งว่าจะยกทัพมาช่วยอโยธยาทำการเมืองพิบพลี แต่เชื่อแน่ว่าหากสบโอกาสก็จะลอบเข้าตี และประกาศตัวเป็นไท”

ยามาดะตั้งใจฟัง จนชาในจอกเย็น ทั้งที่ยังไม่ได้จิบ

คิอิว่าต่อ “อโยธยาติดพันกับศึกขบถเมืองพิบพลี จึงกังวลกับทัพล้านช้าง เพราะรู้แน่ว่าจะเข้ามาโจมตี อีกทั้งเจ้ากรุงละแวกก็คงได้แต่งทัพรอดูท่าทีของล้านช้าง การอันอโยธยาต้องแบ่งกำลังไปรับศึกทุกทาง พลาดพลั้งอาจพ่ายเสียทุกทิศ”

ยามาดะคิดตาม กังวลใจแทนอโยธยา “แล้วท่านคิดเห็นอย่างไรขอรับ”

“ข้าได้แจ้งไปแล้วว่า หากล้านช้างยกทัพล่วงล้ำขอบขัณฑสีมาอโยธยาเมื่อใด ข้าและอาสาญี่ปุ่นพร้อมร่วมทำการศึกด้วย”

ยามาดะพยักหน้า เห็นว่าทางออกของคิอิเหมาะควร

“พลญี่ปุ่นที่จะอาสาไปทำการครานี้มีสักเท่าไรกันขอรับ”

“หากรวบรวมกันจริงๆ เห็นจะได้สักสองร้อยเศษ”

ชายหนุ่มกลับมากังวลใจแทนผู้นำชาวญี่ปุ่นในอโยธยาอีกครั้ง กำลังช่างน้อยนิดนัก

“อโยธยาแบ่งกำลังไปศึกเมืองพิบพลีแล้ว เห็นจะเหลือทำการศึกล้านช้างได้ไม่เท่าไร ขณะที่เราชาวญี่ปุ่นก็มีไพร่พลน้อยนัก จะรับศึกได้กี่มากน้อยกันเทียว”

“หากเพียงต้านไว้จนทัพใหญ่อโยธยาสิ้นศึกที่พิบพลี ก็เพียงพอให้ล้านช้างถอนทัพแล้ว”

ยามาดะเข้าใจ หากข้าศึกรู้ว่าอโยธยาพร้อมรับมือแล้ว ย่อมไม่เป็นการดีหากจะเสี่ยงทำศึกต่อ คิดมาถึงตอนนี้เขาก็ตัดสินใจ

“หากแม้ท่านร่วมทำการอโยธยา ข้าขอร่วมการครานี้ด้วย ข้าพอมีฝีมือเชิงรบอยู่บ้าง เคยผ่านความลำบากสุ่มเสี่ยงภัย รบพุ่งมาบ้างแล้ว จะช่วยเหลือท่านได้ไม่มากก็น้อย”

คิอิยิ้ม “ข้าเชื่อในวิชาดาบของเจ้า ที่จริงแอบหวังให้เจ้าร่วมการครานี้อยู่แล้วเช่นกัน”

ข้ายินดีนักที่จะได้รับใช้ ร่วมศึกกับท่านขอรับ”

ยามาดะรู้สึกว่า ถึงเพลานี้ตัวเองไม่ล่องลอยไร้ความหมายอีกต่อไป

​​​​​



Don`t copy text!