แก่นไม้หอม บทที่ 1 : ซิ่วเฮียง
โดย : กิ่งฉัตร
แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น
ปลายเดือนเมษายนเมื่อคูนต้นใหญ่ข้างศาลองค์แป๊ะกงเล็กๆ ตรงหัวมุมทางเดินติดกับบ้านใหญ่ลานมะเกลือออกดอกเหลืองสะพรั่งทั้งต้น ซิ่วเฮียงก็เข้าพิธีแต่งงานเป็นครั้งที่สอง
อันที่จริงแล้วจะเรียกว่าเข้าพิธีครั้งที่สองคงไม่ถูกต้องนักเพราะชีวิตคู่ครั้งแรกของหล่อนไม่เคยมีพิธีใดๆ ทั้งสิ้น เด็กสาวอายุสิบห้าย่างสิบหกยามนั้นแค่ทะเลาะกับเตี่ยและม้า ถูกด่าถูกตีน้อยอกน้อยใจจนตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแอบหิ้วกระเป๋าใบเล็กออกจากบ้านไปหาผู้ชายที่หล่อนมั่นใจว่าเป็นรักแท้และรักเดียว ผู้ชายที่สัญญาว่าจะรักซิ่วเฮียงตราบฟ้าดินสลาย
พนมคือชื่อผู้ชายคนนั้น
พนมทำงานในร้านขนมหวานใหญ่ใกล้ๆ กับร้านตัดเสื้อที่ซิ่วเฮียงเอาดอกไม้ประดิษฐ์ที่หล่อนกับม้ารับจ้างเย็บมาส่ง ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ บอกว่าเขาสะดุดตาสาวน้อยร่างเล็กผิวขาวผ่องผมดำขลับตั้งแต่แรก พนมเป็นคนผิวคล้ำคมเข้มหน้าตาดี ซิ่วเฮียงเชื่อว่ามีสาวๆ หลายคนชมว่าเขาหล่อเพราะเห็นสาวน้อยสาวใหญ่จำนวนไม่น้อยมองเขาแล้วแอบหัวเราะกันคิกคัก แต่พนมเป็นชายคนแรกที่ชมว่าซิ่วเฮียงสวย
หลังจากพบกันเขาก็คอยดักหล่อนตอนที่สาวน้อยเอาดอกไม้มาส่ง ชายหนุ่มมอบขนมเล็กๆ น้อยๆ ที่ขายในร้านให้หล่อนตลอด ราคาของมันอาจจะไม่สูงนักแต่สำหรับเด็กสาวที่อ่อนโลกอย่างซิ่วเฮียง ขนมนั้นหวานอร่อยอย่างบอกไม่ถูก
นอกจากชมว่าซิ่วเฮียงสวยแล้ว พนมยังเป็นผู้ชายคนแรกที่บอกว่าหล่อนทั้งขยันและเก่ง เขาทำให้ซิ่วเฮียงรู้สึกมีค่าและเป็นที่ต้องการ
แต่เตี่ยหลีกังกับม้าเซียมลั้งไม่ชอบเขา เตี่ยหาว่าพนมเป็นพวกจิ๊กกะโล่ การงานไม่ทำ ดีแต่แต่งตัวหล่อไว้หลอกล่อผู้หญิง ซิ่วเฮียงเถียงว่าพนมเป็นคนขยันทำมาหากิน ร้านขายขนมใหญ่นั่นเขาลงทุนเปิดกับเพื่อนในตัวอำเภอ เตี่ยฟังแล้วหัวเราะใส่หน้าหล่อน ดูถูกชายหนุ่มว่า
‘ลื้อมันโง่ ถูกเขาหลอกแล้วยังไม่รู้ตัว น้ำหน้าคนกวนเผือกกวนมะพร้าวอย่างมันน่ะหรือเป็นเถ้าแก่ร้าน ถ้ามันใช่อั๊วก็เป็นเจ้าสัวละวะ’
ซิ่วเฮียงไม่พอใจที่เตี่ยดูถูกชายหนุ่ม หล่อนเชื่อว่าที่เตี่ยกับม้าไม่ชอบพนมเพราะเขาเป็นคนไทย เชื่อว่าที่เตี่ยกับม้ากีดกันเพราะต้องการเก็บหล่อนไว้กับบ้านเพื่อเป็นแรงงานช่วยงานบ้าน ช่วยหาเงินเลี้ยงน้องส่งให้น้องได้เรียนสูงๆ ในขณะที่หล่อนต้องทำงานหนักรองมือรองเท้าทุกคนในบ้านจนวันๆ แทบไม่ได้เงยหน้า
สิบห้าย่างสิบหก…คือวัยที่ก้ำกึ่งระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ วัยของเด็กเขลาอ่อนโลกที่คิดว่าตัวเองคือผู้ใหญ่ที่ฉลาดรอบรู้ คือวัยแห่งการต่อต้าน ยิ่งเตี่ยกับม้าขีดกรอบไว้ให้มากเท่าไร ซิ่วเฮียงก็ยิ่งอยากทลายกรอบออกมามากเท่านั้น
ในความรู้สึกของสาวน้อยที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวดมีเพียงคำตำหนิไร้คำชื่นชม…บ้านนั้นขมขื่นเหมือนนรก เตี่ยกับม้าไม่เคยแสดงออกว่ารักใคร่ไยดีหล่อน เตี่ยนั้นรักแต่น้องชายส่วนม้านอกจากลูกชายแล้วก็เอ็นดูลูกสาวคนเล็กที่ช่างประจบ ส่วนลูกสาวคนโตอย่างหล่อนนั้นเหมือนเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงที่ต้องทำงานทุกอย่างในบ้าน
ตอนยังเด็กซิ่วเฮียงเข้าเรียนโรงเรียนจีน เด็กหญิงเรียนหนังสือเก่งแต่โชคไม่ดีเพราะพอเริ่มอ่านออกเขียนได้นับเลขคล่อง รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามอ้างเหตุผลทางความมั่นคงว่าด้วยคอมมิวนิสต์เริ่มกดดันโรงเรียนจีนทั่วประเทศอย่างหนัก นอกจากจะห้ามสอนภาษาจีนแล้วยังพยายามปิดโรงเรียนจีน ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดโรงเรียนจำต้องขึ้นค่าเล่าเรียนสูงลิ่ว
เตี่ยไม่ต้องใช้เวลาคิดนานก็ตัดสินใจให้ซิ่วเฮียงออกจากโรงเรียนมาช่วยม้าเลี้ยงน้องและทำงานบ้าน แต่อาเส่งน้องชายหล่อนยังได้เรียนต่อจนกระทั่งโรงเรียนจีนปิดตัวลงตามแรงบีบของรัฐบาล ช่วงเวลานั้นประจวบกับเตี่ยได้งานใหม่ติดตามหลงจู๊ก๊กที่รู้จักกันตั้งแต่มาถึงเมืองไทยใหม่ๆ ไปทำงานโรงสีข้าวที่สุพรรณ ทั้งครอบครัวจึงย้ายจากบางกอกไปสุพรรณบุรี เมื่อไปถึงบ้านใหม่เมืองใหม่อาเส่งก็เริ่มเรียนหนังสืออีกครั้งในโรงเรียนไทย ซิ่วเซียงน้องสาวคนเล็กก็พลอยเข้าเรียนที่เดียวกับพี่ชายไปด้วยอีกคน
ซิ่วเฮียงหวังว่าหล่อนจะได้กลับไปเรียนต่อเหมือนน้องๆ แต่เตี่ยกลับบอกว่าหล่อนอายุมากเกินไปแล้ว จะไปเรียนกับเด็กๆ ได้ยังไง ที่สำคัญคือเตี่ยส่งลูกทุกคนเรียนไม่ไหวเลยขอให้หล่อนเสียสละเพื่อน้องๆ ในฐานะพี่สาวคนโตซิ่วเฮียงไม่มีทางเลือก…ต้องอยู่ช่วยทำงานบ้านและเย็บดอกไม้ผ้าขายช่วยเตี่ยและม้าหาเงินส่งให้น้องๆ เรียน
ทุกวันเด็กสาวมองน้องสองคนไปโรงเรียนด้วยความอิจฉาและขมขื่น การเป็นลูกคนโตโดยเฉพาะลูกสาวคนโตช่างน่าชัง ลูกคนโตที่…เตี่ยและม้าไม่เคยรักและต้องการหล่อน ปมความคิดนี้เริ่มก่อตัวตั้งแต่ซิ่วเฮียงยังเด็ก หญิงสาวเกิดที่เมืองจีนในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 พอสงครามยุติหลีกังกับเซียมลั้งตัดสินใจเดินทางจากจีนมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองไทย ทั้งคู่เห็นว่าลูกสาวอายุไม่ชนขวบดีแถมร่างกายไม่แข็งแรงไม่เหมาะกับการเดินทางที่ยากลำบาก จึงตัดสินใจฝากซิ่วเฮียงไว้กับพี่ชายคนโตที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน
หลีฮวงพี่ชายหลีกังมีลูกชายหญิงแล้วสามคน เขาไม่ต้องการรับดูแลเด็กคนที่สี่ แต่หลีกังยกข้าวของเครื่องใช้ในบ้านให้พี่ชายหมด แถมสัญญาว่าจะส่งเงินกลับมาบ้านเป็นระยะ ถ้ามั่งมีจะส่งเงินมาตั้งโรงเรียนให้พี่ชายดูแลให้ไม่น้อยหน้าหมู่บ้านอื่น ส่วนซิ่วเฮียงนั้นขอให้ดูแลสักสองสามปีเท่านั้น พอตั้งหลักปักฐานทางเมืองไทยได้แล้วจะรีบมารับไปอยู่ทางโน้นทันที
รับปากรับคำเป็นมั่นเหมาะแล้ว พี่ชายใหญ่จึงยอมรับเลี้ยงซิ่วเฮียง ตอนที่ออกเดินทางนั้นหลีกังตัดใจก้าวไปข้างหน้าไม่เหลียวหลัง มีเพียงเซียมลั้งที่น้ำตาคลอหันมามองลูกสาวอย่างอาวรณ์เป็นระยะ
ชีวิตของซิ่วเฮียงภายใต้การเลี้ยงดูของลุงและป้าสะใภ้ไม่ได้ดีนักแต่ไม่นับว่าเลวร้าย อย่างน้อยเด็กน้อยก็มีอาหารใส่ท้องมีเสื้อผ้าเก่าที่ตกทอดมาจากญาติผู้พี่ทั้งสามสวมใส่ แต่ความไม่พอใจของป้าสะใภ้พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหลีกังหายหน้าไปเกือบสองปี โดยส่งจดหมายกับเงินจำนวนไม่มากนักกลับบ้านเพียงแค่สองสามครั้ง หล่อนเที่ยวคุยไปทั่วว่า
‘อากังคิดว่าเงินแค่นี้พอหรือ ดูแล้วอย่าว่าแต่สร้างโรงเรียนสร้างอะไรเลย ค่ากินอยู่ของซิ่วเฮียงก็ไม่พอแล้ว’
เพื่อนบ้านที่มีใจเป็นธรรมอยากจะแย้งว่า หลีกังกับเซียมลั้งเพิ่งไปเมืองไทยได้ไม่กี่ปี ต่อให้เป็นเทพเซียนมาจุติก็คงไม่อาจหาเงินทองมากมายมาสร้างโรงเรียนในหมู่บ้านได้แน่ ส่วนซิ่วเฮียงที่ตัวผอมบางปานนั้นจะกินอะไรได้สักเท่าไรเชียว แต่ป้าสะใภ้ของซิ่วเฮียงเป็นหญิงปากร้าย ผู้คนในหมู่บ้านคร้านจะตอแยด้วย คนส่วนใหญ่จึงปล่อยให้ป้าสะใภ้พูดอะไรอย่างที่อยากพูดไป
ปีถัดมาหลีกังมีจดหมายแจ้งมาว่าเขามีลูกชายคนโตแล้ว ช่วงนี้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างจำกัดจำเขี่ยจึงไม่อาจส่งเงินกลับบ้านได้
หลีฮวงดีใจแทนน้องชายที่มีลูกชายสืบตระกูล แต่เมียของเขาไม่พอใจหนักขึ้น บ่นว่าพอมีลูกชายหลีกังกับเมียก็ลืมลูกสาว ทิ้งลูกสาวให้เป็นภาระของบ้านเดิม ยิ่งตอนนี้ประเทศเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ทั้งสงครามกลางเมืองที่กรุ่นขึ้นอีกครั้งหลังสงครามโลกยุติทำให้เริ่มขาดแคลนข้าวปลาอาหารอย่างหนัก แม้ซิ่วเฮียงจะเป็นเพียงเด็กน้อยแต่ก็นับเป็นหนึ่งปากหนึ่งท้อง สิ้นเปลืองใช่น้อยเช่นกัน
หลีฮวงฟังเมียบ่นทุกวันจนรำคาญ รำคาญหนักเข้าก็ต่อปากต่อคำกลายเป็นทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เนืองๆ หลานสาวก็หน้าตาซีดเซียวผอมแห้งน่าเวทนา ดังนั้นเพื่อตัดปัญหา…เมื่อมีหญิงในหมู่บ้านคนหนึ่งจะเดินทางตามไปอยู่กับสามีที่เมืองไทย พี่ชายหลีกังจึงฝากซิ่วเฮียงลงเรือไปด้วย
เง็กซิมอายุไล่เลี่ยกับป้าสะใภ้ เดิมอยู่ทางเหนือแต่แต่งเข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน หญิงสาวร่างเล็กผิวขาวผ่องเป็นคนอัธยาศัยดี มีน้ำใจ ยิ้มเก่ง หัวเราะเสียงดัง แม้จะไม่มีลูกแต่ก็เข้ากับเด็กเล็กได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเวทนาหลานสาวหลีฮวงที่กินอยู่ราวขอทานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตลอดการเดินทางที่อัตคัตและยากลำบากเง็กซิมจึงดูแลซิ่วเฮียงอย่างดีเหมือนเป็นลูกสาวของตัวเอง
ซิ่วเฮียงไม่เคยได้รับความรักจากผู้ใหญ่มาก่อน เตี่ยกับม้ามาเมืองไทยตั้งแต่เด็กน้อยจำความไม่ได้ ลุงวางตัวเป็นผู้ใหญ่ใจดีแต่ห่างเหิน ส่วนป้าสะใภ้ไม่ดูดำดูดีแถมยังลำเอียงใช้งานหลานสาวไม่ใช้งานลูกของตัวเอง พอมาได้รับการดูแลอย่างดีจากเง็กซิม ซิ่วเฮียงก็ติดเง็กซิมแจ ยึดเอาอีกฝ่ายเป็นแม่เช่นกัน
ดังนั้นเมื่อถึงเมืองไทยและเง็กซิมจำต้องพาซิ่วเฮียงไปส่ง เด็กน้อยก็งอแงไม่อยากอยู่กับเตี่ยและม้าที่จำหน้าไม่ได้ อยากอยู่แต่กับเง็กซิม ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างเจ็บปวดและขวัญเสียจนเนื้อตัวสั่นไปหมด ร้องจนอาเส่งที่ยังอายุไม่ชนขวบตกอกตกใจร้องตาม
ห้องเช่าเล็กๆ แห่งนั้นจึงมีแต่เสียงเด็กร้องกระจองอแง หลีกังที่เหนื่อยจากงานคุมคนงานขนข้าวสารขึ้นลงเรือทั้งวันก็อดรนทนไม่ไหว พอเง็กซิมขอตัวกลับไปเขาก็ฟาดก้นลูกสาวที่ไม่ได้เจอหน้ากันหลายปีไปสองสามที ดุเสียงดังให้เด็กน้อยหยุดร้องไห้กวนใจ
คืนแรกที่ซิ่วเฮียงได้กลับมาอยู่กับเตี่ยและม้าจึงเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยน้ำตา
และนับตั้งแต่คืนนั้นที่จุดดำเล็กๆ ปรากฏขึ้นหัวใจของซิ่วเฮียง ทุกวันทุกเดือนทุกปี…จุดเล็กๆ เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งต้องเสียสละไม่ได้เรียนเพื่อส่งให้น้องๆ ได้เรียนแทน เด็กหญิงตัวน้อยยามนั้นยิ่งรู้สึกเหมือนเตี่ยกับม้าไม่ยุติธรรมกับหล่อน
ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ซิ่วเฮียงพยายามอดทนอดกลั้นบอกตัวเองว่าโชคไม่ดีเองที่เกิดเป็นลูกสาวคนโต เป็นเฮียงเเจ้ของน้องๆ หล่อนจึงมีหน้าที่รับผิดชอบ ต้องอดทนทำงานอดทนฟังสียงบ่นของเตี่ยและม้าโดยไม่เคยปริปากบ่นหรือร่ำร้องในสิ่งที่ตนต้องการ
กระทั่งพนมก้าวเข้ามาในชีวิต
ในตอนแรกซิ่วเฮียงยังไม่ได้ตกลงใจคบหากับพนม แค่รู้สึกว่าเขาหน้าตาดีและรู้สึกดีที่เขามาตามจีบ สาวๆ ในตลาดทิ้งหางตาให้พนมกันทั้งนั้น แต่ชายหนุ่มกลับสนใจแต่ซิ่วเฮียง นั่น…ทำให้หล่อนรู้สึกทั้งเขินอายและภูมิใจ ความสัมพันธ์หนุ่มสาวเพิ่งเริ่มต้นไม่นาน เตี่ยก็เกิดได้ข่าวว่ามีผู้ชายไทยมาก้อร้อก้อติกลูกสาวคนโต
ซิ่วเฮียงยังไม่ทันอ้าปากอธิบาย เตี่ยก็ทั้งด่าทั้งใช้ไม้เรียวฟาดจนน่องหล่อนลายไปหมด เจ็บกายยังไม่เท่าเจ็บใจที่เตี่ยหาว่าหล่อนใจง่ายไม่รักดี ตามด้วยคำด่าว่าสารพัดโดยที่เด็กสาวไม่มีโอกาสเถียงแม้แต่คำเดียว คืนนั้นเด็กสาวไข้ขึ้นนอนสะอื้นด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ
และเป็นค่ำคืนนั้นเองที่เงาดำที่ฝังรากหยั่งลึกในใจมาเนิ่นนานก็แตกดอกออกผล
เตี่ยกับม้าไม่สนใจหล่อน แต่พนมให้เด็กสาวที่ทำงานในร้านขนมหวานแวะมาเยี่ยมและแอบเอาขนมที่หล่อนชอบมาให้ เขากระซิบให้เด็กสาวคนนั้นพูดอะไรดีๆ เกี่ยวกับเขาให้ซิ่วเฮียงฟัง
ซิ่วเฮียงไม่รู้เลยจนอีกนานหลังจากนั้นว่าเด็กสาวที่ชื่ออ้อยรายนี้จะเป็นพวกคลั่งไคล้เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่ถูกกีดกันที่สุด ดังนั้นแทนที่จะส่งขนมให้เฉยๆ เจ้าหล่อนกลับเพิ่มบทรำพึงรำพันถึงความรักของพนมให้ซิ่วเฮียงฟังด้วย เล่าว่าชายหนุ่มนั้นร้อนอกร้อนใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นห่วงสาวจนหน้าตาซีดเซียวน่าสงสาร
ซิ่วเฮียงฟังแล้วหัวใจที่แห้งเหี่ยวเหมือนดอกไม้ขาดน้ำก็พองฟูแบ่งบาน สาวน้อยที่น้อยอกน้อยใจและเจ็บช้ำคิดว่า ไม่เป็นไร ถึงเตี่ยกับม้าจะไม่รักหล่อนแต่พนมรักก็เพียงพอแล้ว
เตี่ยด่าซิ่วเฮียงว่าใจง่าย ไม่รักนวลสงวนตัวใช่ไหม ดีเลย…ไหนๆ เตี่ยคิดแบบนี้แล้วหล่อนก็จะเป็นแบบที่เตี่ยต้องการ คงสมใจเตี่ยแล้ว
ซิ่วเฮียงตัดสินใจแล้วจึงฝากอ้อยให้ช่วยนัดหมายพนมให้ พอถึงเวลานัดเด็กสาวก็เก็บเสื้อผ้าและของมีค่าเล็กน้อยที่สะสมไว้ยัดลงกระเป๋าใบเล็กก่อนหิ้วออกจากบ้านไปกับชายคนรัก หล่อนก้าวสู่โลกกว้างด้วยความเชื่อมั่น…มั่นใจว่าตัวหล่อนเก่งพอจะเอาตัวรอดได้ มั่นใจว่าชายข้างตัวจะดูแลหล่อนได้ตามที่เขาให้คำมั่น แถมเขายังสัญญาว่าเมื่อพร้อมเขาจะพาหล่อนกลับมาขอขมาเตี่ยและแม่
คืนนั้นในเรือเมล์แดงที่วิ่งล่องตามแม่น้ำท่าจีนจากสุพรรณบุรีมุ่งลงใต้ สาวน้อยซิ่วเฮียงเหมือนอยู่ในความฝัน อิ่มเอมกับความสุขจากคำหวานที่พนมกระซิบอยู่ข้างหู ชายหนุ่มวาดภาพชีวิตใหม่ที่งดงาม มีแต่ความรักความเข้าใจและชีวิตที่รื่นรมย์ เขาสัญญาว่านับแต่นี้ซิ่วเฮียงจะไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอีกแล้ว…
แต่เมื่อก้าวขึ้นจากเรือที่มหาชัย สมุทรสาคร ซิ่วเฮียงก็ได้เรียนรู้ว่าสิ่งหนึ่งที่เชื่อถือไม่ได้คือคำพูดของผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายคนแรกในชีวิตหล่อน
พนมบอกหล่อนว่าครอบครัวเขาทำประมง คุยฟุ้งราวกับว่าเป็นเจ้าของแพปลา แต่อันที่จริงแล้วพ่อของเขาเป็นอดีตไต้ก๋งเรือประมงที่เกษียณอายุมาเป็นคนงานประจำที่แพปลาแห่งหนึ่ง แม่เขาก็เป็นคนงานรับจ้างที่แพปลาเดียวกัน และอย่างที่เตี่ยปรามาสไว้…ร้านขนมใหญ่ที่สุพรรณนั้นพนมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร เขาเป็นแค่ลูกจ้างที่สนิทสนมกับลูกชายเจ้าของร้านเท่านั้น
ตอนอยู่สุพรรณพนมคุยเหมือนเขามีบ้านหลังใหญ่ ทว่าบ้านหลังใหญ่นั้นแท้จริงเป็นแค่บ้านไม้สองชั้นเก่าๆ ที่สร้างอย่างแออัดในชุมชนท้ายซอย ชั้นบนของบ้านมีสองห้องนอน พ่อกับแม่ของพนมนอนห้องหนึ่ง น้องสาวสองคนของเขานอนอีกห้อง ส่วนพนมนั้นนอนชั้นล่าง ห้องของเขาเรียกว่าห้องได้ไม่เต็มปากเท่าไรนักเพราะเป็นแค่ส่วนที่ตีไม้กั้นแบ่งพื้นที่ส่วนครัว ห้องส้วม และที่ซักล้างด้านหลังมาพอให้อาศัยหลับนอนได้เท่านั้น
แต่ในบรรดาคำโกหกของพนม เรื่องที่เลวร้ายที่สุดในความรู้สึกของซิ่วเฮียงคือเรื่องแม่ของเขา
พนมยืนยันว่าแม่ของเขาใจดีและต้องรักใคร่ลูกสะใภ้ตัวเล็กผิวขาวผ่องราวกับกระเบื้องเคลือบอย่างหล่อนแน่นอน ทว่าพิกุลแม่ผัวร่างใหญ่ผิวคล้ำหน้ากลมผมดำหยิกไม่ถูกชะตา ‘นังเจ๊กตัดผ้า’ ที่ลูกชายพาเข้าบ้านตั้งแต่เห็นหน้า คำทักทายแรกที่ซิ่วเฮียงได้ยินจากปากพิกุลคือ
“มึงเอาตัวเองรอดแล้วหรือไอ้พนม ถึงได้พาผู้หญิงเข้าบ้านกู ยังไม่ทันบวชให้กูเลยมึงเบียดเสียแล้วไอ้ลูกเวร”
“โธ่แม่ ฉันไม่ได้กลับบ้านตั้งนาน แทนที่จะคุยกันดีๆ ว่าคิดถึง แม่ด่าฉันเสียแล้ว แม่จ้ะ…นี่ซิ่วเฮียง”
ซิ่วเฮียงฝืนยิ้ม ยกมือไหว้อีกฝ่ายพร้อมทักทายชัดถ้อยชัดคำว่า
“เฮียงไหว้จ้ะแม่”
สิ่งหนึ่งในชีวิตที่ซิ่วเฮียงภูมิใจนักหนาคือหล่อนพูดไทยได้ชัดเจน
แม้จะเกิดเมืองจีนและเติบโตมาในครอบครัวที่พูดแต่ภาษาจีน แถมยังไม่ได้เรียนโรงเรียนไทย แต่ซิ่วเฮียงพูดไทยได้ไม่ต่างจากคนไทย ทั้งนี้เพราะหล่อนเป็นคนหัวดีหัวไวมาก ถึงจะไม่ได้เรียนโดยตรงแต่ก็อาศัยฟังที่น้องๆ ท่องสูตรคูณ ท่องอาขยานหรืออ่านหนังสือเสียงดังตอนหัวค่ำ พอมีเวลาหล่อนก็ให้อาเส่งสอนภาษาไทยให้ เล่านิทานหรือเรื่องสนุกๆ ที่เรียนมาจากโรงเรียนให้ฟัง ตอนอยู่ลำพังกับน้องสองคน…สามพี่น้องก็คุยกันเป็นภาษาไทยแทนภาษาจีน ย่านที่พักอยู่มีคนไทยอาศัยอยู่ไม่น้อย ซิ่วเฮียงก็คุยกับเขาเป็นภาษาไทยได้คล่อง เด็กสาวเป็นคนอัธยาศัยดี ยิ่งถ้าไม่ได้อยู่ภายใต้สายตาเข้มงวดของหลีกังหล่อนยิ่งคุยเก่งคุยสนุก เพื่อนบ้านทั้งคนไทยคนจีนจึงออกจะเอ็นดูไม่น้อย ไปซื้อของต่อรองอะไรก็ง่าย ดังนั้นเมื่อเย็บดอกไม้ขายให้ร้านผ้าในตัวเมือง เซียมลั้งจึงให้ลูกสาวคนโตเป็นคนไปเจรจาซื้อขายและส่งของ
แต่พิกุลไม่สนใจว่าซิ่วเฮียงจะพูดไทยชัดหรือไม่ชัด ขนาดหน้าหล่อนยังไม่อยากมองเสียด้วยซ้ำ“กองไว้ตรงนั้นแหละ ฉันไม่รับไหว้จากคนแปลกหน้าหรอก เสียมือ!”
ซิ่วเฮียงหน้าเสีย พนมรีบเกาะแขนมารดาเอ่ยเสียงอ่อนปะเหลาะเอาใจว่า
“คนแปลกหน้าที่ไหนกัน คนกันเองทั้งนั้น ฉันพาเฮียงมาเป็นลูกสาวแม่อีกคนไง”
“ไม่อยากได้ กูมีนังสองคนนั่น…” พิกุลชี้ไปทางเด็กสาววัยอ่อนกว่าซิ่วเฮียงเล็กน้อยสองคนที่นั่งมองมาด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายแกมอยากรู้ มาลัยน้องสาวคนโตหน้าถอดแบบพิกุลแถมยังตัวใหญ่ท้วมเหมือนกันอีกด้วย ส่วนวาสนาคนเล็กนั้นหน้าตาดีคล้ายพนมเอวบางร่างน้อยผิดพี่สาว เด็กสาวทั้งคู่เรียนจบระดับประถมมาแล้วไม่ได้เรียนต่อ ทุกวันนี้ตอนน้ำลดก็ออกไปงมหอยเผื่อเอาไปขายที่ตลาดบ้าง รับจ้างจิปาถะรวมถึงทำงานที่แพปลา เงินหาได้เท่าไรพิกุลเก็บเรียบหมด ทั้งเงินลูกเงินผัว แต่พอพูดถึงลูกๆ หล่อนก็จะบ่นว่าเหนื่อยกับการหาเลี้ยงและดูแลคนทั้งบ้าน ครั้งนี้ก็เช่นกัน “กูก็เหนื่อยจะตายห่ะอยู่แล้ว มึงยังหาเรื่องพาใครมาบ้านกูอีก”
“แม่ไม่ต้องเหนื่อยกับเฮียงหรอกจ้ะ เฮียงทำงานเก่ง ฉันพาเฮียงมาช่วยดูแลแม่ไง แม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก”
พิกุลมองเด็กสาวที่ทั้งเล็กเตี้ยและตัวบางเหมือนปลาหมึกลอกหนังตากแห้งแล้วเบ้ปากอย่างดูถูก
“น้ำหน้าอย่างนี้จะทำงานอะไรได้”
“เฮียงทำงานได้ทุกอย่างแหละแม่ ซักผ้า ถูบ้าน ทำกับข้าว อยู่สุพรรณเฮียงก็ดูแลบ้านดูแลน้อง จริงไหมเฮียง” พนมหันหาซิ่วเฮียงส่งสัญญาณให้หล่อนสนับสนุนคำพูดของเขา
ซิ่วเฮียงที่กำลังมึนงงกับความเย็นชาและหยาบกระด้างของ ‘แม่ผู้ใจดีและต้องรักใคร่สะใภ้ตัวเล็กแน่นอน’ ได้แต่มองท่าทางบอกใบ้ให้คล้อยตามเขาของพนมอย่างหวั่นใจ ก่อนหลุดปากรับคำไปว่า
“จ้ะ เฮียงเคยทำทุกอย่าง…”
“นั่นไง ต่อไปแม่ก็ให้เฮียงช่วยแม่ช่วยพ่อทำงานบ้านแล้วกัน นะแม่นะ ฉันหาคนมาช่วยแม่แล้ว แม่จะได้สบาย”
“เออ ขอให้มันจริงเถอะ ไม่ใช่มากระดิกตีนนอนสบายเหมือนมึงนะไอ้พนม ไม่ใช่ลูกใช่เต้าอย่าหวังจะให้กูเลี้ยงดูสบายๆ เลย” พิกุลแดกดัน แต่พนมที่รู้จักมารดาดีรีบเข้าไปกอดร่างอวบของพิกุลแน่น ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เปลี่ยนคำกระแทกของอีกฝ่ายเป็นการตอบรับเสียอย่างนั้น
“แม่ยอมรับเฮียงแล้ว ขอบใจนะจ๊ะแม่ ฉันรู้ว่าแม่ใจดีที่สุดเลย”
“ไอ้เวร กูบอกเมื่อไหร่ว่ากูยอม…”
ชายหนุ่มไม่รอให้มารดาพูดจบก็หอมแก้มคล้ำๆ นั้นฟอดใหญ่ ก่อนคว้ากระเป๋าผ้ามือหนึ่งอีกมือฉวยแขนซิ่วเฮียงที่ยังยืนมึนงงให้ตามเข้าไปในห้องนอนข้างครัว เขาโยนกระเป๋าส่งๆ เข้าห้องหันมาปิดประตูปัง เสียงดังรับกับเสียงด่าตามหลังยืดยาวของพิกุลพอดี
ซิ่วเฮียงห่อตัวหัวหดเหมือนทุกครั้งที่ได้ยินเตี่ยด่าหรือบ่นว่าหล่อน แต่พนมกลับหัวเราะอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจนัก เขาบอกเด็กสาวว่า
“อย่ากลัวแม่แกเลยเฮียง แม่น่ะแกดูดุดูปากร้ายแต่จริงๆ ใจดี เฮียงอดทนกับปากแม่แกหน่อยนะ เอาใจคนแก่ อ่อนให้แกมากๆ ขยันทำงานให้แกเห็น ฉันเชื่อว่าแม่แกต้องรักต้องหลงเฮียงเหมือนที่ฉันหลงเฮียงแน่ๆ”
เด็กสาวที่กำลังหวั่นใจกับเสียงก่นด่านอกห้องรู้สึกเหมือนเสียงนั้นอ่อนเบาลงอย่างมาก คำหวานส่งเสริมให้กำลังของพนมทำให้ซิ่วเฮียงอบอุ่นไปทั้งหัวใจและใบหน้า ตั้งแต่จำความได้จนถึงทุกวันนี้ไม่เคยมีใครพูดคำว่ารักคำว่าหลงกับหล่อนมาก่อน พนมเป็นคนแรกที่เอ่ยคำนี้
ซิ่วเฮียงไม่ใช่คนโง่ แต่หล่อนก็เป็นแค่เด็กสาวที่อัดแน่นด้วยแรงอารมณ์ ยิ่งเตี่ยและม้ากดมากเท่าไร ซิ่วเฮียงยิ่งโหยหาต้องการ ต้องการความรักที่แสดงออกให้เห็น ต้องการเป็นที่ยอมรับ ต้องการเป็นที่รักของใครสักคน
และด้วยความที่ทั้งอ่อนวัยและอ่อนต่อโลกเหลือเกินทำให้ซิ่วเฮียงแยกไม่ออกระหว่างความรักกับความใคร่ ยามนี้ได้ยินคำหวานของชายหนุ่ม เห็นสายตาพนมมองใบหน้าขาวปานกลีบดอกมะลิ จ้องดวงตาดำสนิทที่มองเขาด้วยประกายเจิดจ้า มองพวงแก้มนวลที่ซับสีแดงเรื่อขึ้นของหล่อนด้วยสายตาเหมือนอยากจะกลืนกิน เด็กสาวก็ยิ่งหัวใจพองโต เหมือนแผ่นดินที่แห้งผากมานานได้รับฝนเย็นฉ่ำโปรยปรายไม่ขาดสาย
หล่อนปักใจแล้วว่าพนมมองมาด้วยสายตาแห่งความรัก ดังนั้นไม่ว่าสิ่งที่เขาคุยโม้เรื่องงานเรื่องบ้านหรือเรื่องแม่ของเขาล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร คงเพราะพนมรักเฮียงเขาถึงพูดแบบนั้นเพราะอยากจะดูดีในสายตาหล่อน เขารักหล่อนต้องการหล่อนถึงขนาดนั้น…
พนมเห็นสีหน้าแววตาที่เต็มไปด้วยความเทิดทูนและเขินอายของซิ่วเฮียงแล้วอดไม่ได้ต้องกอดเด็กสาวไว้ หอมแก้มนวลเปล่งปลั่งหลายครั้งด้วยแรงอารมณ์ กระซิบถามว่า
“ดีใจไหมเฮียงที่เราจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
ซิ่วเฮียงพยักหน้าเอียงอาย ตอนนี้เสียงด่าของพิกุลไม่ต่างอะไรกับเสียงนกร้องเพลง เด็กสาวเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่า ตราบใดที่พนมยังคงมองมาด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักใคร่แบบนี้ กอดหล่อนไว้อย่างเสน่หาเช่นนี้ ซิ่วเฮียงคนนี้ก็พร้อมบุกป่าฝ่าดงไปกับเขาจนลมหายใจสุดท้าย