แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา

แก่นไม้หอม บทที่ 5 : วาสนา

โดย : กิ่งฉัตร

Loading

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

 

สองสามวันถัดมาวาสนาก็มา ‘เยี่ยม’ ซิ่วเฮียงที่ห้องเช่า น้องสาวคนนี้ของพนมฉลาดมีเล่ห์เหลี่ยมมีลูกล่อลูกชนมาตั้งแต่เด็ก หล่อนไม่ใช้ดอกไม้ที่ยึดมาจากพี่สาวติดผม แต่กลับทำให้ผมตัวเองยุ่งเป็นกระเซิงยามเคาะห้องเรียกหน้าห้องเช่า

ที่สำคัญหล่อนไม่ได้มามือเปล่า แต่มีดอกโสนห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ติดมือมาด้วยห่อใหญ่ ดอกโสนเหล่านี้ไม่มีราคาค่างวดอะไร เก็บหาเอาได้จากข้างทาง แถมช่วงนี้ปลายฝนโสนออกดอกงามเต็มทุ่ง ไม่ต้องลุยเก็บมากแค่ต้นเดียวก็เก็บได้เป็นกอบเป็นกำ วาสนาเลิกงานเร็วหน่อยจากนั้นก็แวะข้างทางเก็บดอกโสน ดอกโสนบานเช้า ช่วงเย็นดอกจึงกำลังตูมงาม แม้เด็กสาวจะมือหนักรูดกิ่งเอาพรืดๆ อย่างมักง่าย ดอกก็ยังคงรูปสวยไม่ช้ำมากนัก

“พี่เฮียง ฉันเอาโสนมาฝากพี่เฮียง พี่เฮียงผัดดอกโสนกับไข่กับทำขนมดอกโสนอร่อย พ่อชอบ บ่นคิดถึงอยากกินฝีมือพี่เฮียงอีก ฉันเลยเด็ดมาเยอะหน่อยเผื่อพี่เฮียงจะตามใจพ่อแกบ้าง”

ซิ่วเฮียงยิ้ม หล่อนแค่ท้อง…ไม่ได้โง่ มีหรือจะรู้ไม่ทันเด็กสาวที่อ่อนกว่าหล่อนสองสามปีคนนี้ อ้าปากก็รู้แล้วว่าใครกันแน่ที่ชอบและอยากกิน แต่ก็เหมือนกับเพื่อนต่างวัยชั้นบนเคยเอ่ยไว้ ถึงจะรู้แต่ก็ห่วงหน้าตาตัวเองห่วงปากคนอื่น…ไม่อยากให้ใครมองหรือเอ่ยถึงในแง่ลบว่าไม่รู้จักดูแลพ่อแม่สามี เป็นสะใภ้ที่ไม่ได้ความ หญิงสาวเลยได้แต่บอกว่า

“ขนมดอกโสนทำไม่ได้หรอกไม่มีมะพร้าวทึนทึก” ซิ่วเฮียงบอก

“งั้นพี่เฮียงทำแค่ดอกโสนผัดไข่ก็พอ แต่ใส่ไข่ไก่หลายฟองหน่อยนะ ครั้งก่อนให้พี่ลัยผัด ดอกโสนกองใหญ่แกใส่ไข่ฟองเดียวแต่ยีกะปิใส่ลงไปทั้งช้อนพูนๆ แถมยังเหยาะน้ำปลาเพิ่มอีก เค็มอย่าบอกใครเชียว” วาสนาเล่าเจื้อยแจ้ว

ดอกโสนผัดไข่ทำไม่ยาก แต่ละบ้านก็มีสูตรต่างกันไป บางบ้านใส่น้ำปลา บางบ้านใส่กะปิ บ้านพิกุลนั้นผัดแบบเอาหอมแดงมาตำกับกะปิ ยีลงในกระทะกับน้ำมันผัดให้หอมแล้วจึงใส่ดอกโสนใส่ไข่ลงผัด ปรุงรสตามใจชอบก่อนตักใส่จาน อาหารจานนี้พิกุลบอกสูตรไปด่าไปครั้งเดียวซิ่วเฮียงก็ผัดออกมาได้หอมกะปิหอมน้ำมันกระทะ แต่มาลัยผัดกี่ครั้งก็ไม่อร่อย ส่วนมากเค็มไป ทว่าทุกคนก็ต้องกินเพราะพิกุลเสียดายค่ากะปิน้ำปลา

“ได้ หนาช่วยเด็ดก้านโสนหน่อยแล้วกัน จะได้เร็วขึ้น”

วาสนาไม่อยากขยับตัว แต่ไม่มีทางเลี่ยงต้องช่วยเด็ดก้านโสนแล้วล้างอย่างไม่เบามือ จากนั้นก็สะเด็ดน้ำส่งๆ แล้วใส่ตะกร้ามาส่งให้ ระหว่างที่ซิ่วเฮียงลงมือผัดกับข้าวคนไม่อยากขยับตัวกลับไม่อยู่นิ่ง สายตากวาดมองไปรอบห้องเช่าเล็กๆ อย่างสนใจเต็มที่ จากนั้นก็เริ่มรื้อดูเสื้อผ้าพี่สะใภ้ ซิ่วเฮียงไม่ได้ตัดเสื้อใหม่ ของเก่าที่มีก็ถูกขยายขนาดให้เหมาะกับคนท้อง สาวๆ ร่างเล็กบางอย่างวาสนาใส่ไม่ได้ หล่อนเลยปล่อยมือ หันไปค้นตะกร้าสานที่ซิ่วเฮียงใส่ดอกกุหลาบผ้าไว้แทน ค้นแล้วคัดดอกสวยๆ ที่ติดเข็มกลัดหรือกิ๊บติดผมเรียบร้อยแล้วไว้สองสามอัน

พอดอกโสนผัดไข่ตักใส่จานใบใหญ่เตรียมให้ยกไปบ้านโน้น วาสนาก็ชูดอกไม้ในมือบอกตรงๆ ว่า

“พี่เฮียง พวกนี้ฉันขอนะ เห็นที่พี่ให้พี่ลัยไปแล้วอยากได้มากเลย สวยๆ แบบนี้ติดผมไปคนต้องมองทั้งตลาดแน่”

“หนารอเอาวันอื่นได้ไหม ของพวกนี้นับเตรียมส่งให้ร้านเจ๊เอ็งพรุ่งนี้แล้ว”

“ไม่อยากรอ อยากใช้วันนี้พรุ่งนี้เลย พี่เฮียงทำใหม่ส่งเขาเถอะ ฉันเอาไปแค่สองสามดอกเท่านี้เอง พี่เฮียงคงไม่งกของแค่นี้กับน้องกับนุ่งหรอกนะ”

ซิ่วเฮียงพูดไม่ออก รู้ว่าของอยู่ในมือแล้ววาสนาไม่ยอมปล่อยแน่ๆ หากแย่งกลับมาถ้าดอกไม้กลีบไม่ฉีกก็คงเป็นหล่อนที่ล้มหน้าคว่ำแน่ หญิงสาวจึงตัดใจให้ไป คิดว่าให้ไปเสียจะได้จบๆ ไม่มีปัญหา

ทว่าหล่อนประเมินวาสนาต่ำไป เด็กสาวนั้นเป็นพวกได้คืบจะเอาศอก พอได้ของไปง่ายก็แวะเวียนมาหาอยู่เรื่อยๆ หมดหน้าดอกโสนหล่อนก็เด็ดชะครามมาให้ทำไข่เจียวใบชะครามบ้าง ตำน้ำพริกกะปิกินกับใบชะครามบ้าง ขนาดเก็บพุทราป่าเป็นถังๆ มาให้ซิ่วเฮียงดองหรือเชื่อมให้ก็มี และทุกครั้งที่มาก็มักจะหยิบดอกไม้ผ้าไปด้วยคราวละหลายๆ ชิ้น บอกว่านายจ้างเห็นหล่อนใช้แล้วอยากใช้บ้าง เพื่อนที่ขายของในร้านด้วยกันอยากได้บ้าง

ตอนแรกซิ่วเฮียงนึกว่าวาสนาช่วยเอาดอกไม้ผ้าไปขายให้เลยไม่ค้านอะไร แต่พอไม่เห็นฝ่ายนั้นจ่ายเงินสักทีเลยทักถามขึ้น วาสนาทำหน้าตกใจร้องว่า

“นั่นเจ้านายหนานะ พี่เฮียงจะให้หนาไปเก็บเงินพี่ณีเขาได้ไง เขาไม่คิดหรือว่าจ้างหนาทำงานให้เงินเยอะๆ กับอีแค่ดอกไม้ผ้าราคาสามบาทห้าบาทยังจะเรียกเงินจากเขา แล้วพวกเพื่อนที่ร้านเขาก็คอยช่วยหนามาตลอด ดีกับหนายิ่งกว่าพี่แท้ๆ เสียอีก ไปเก็บเงินเก็บทองเขามันไม่ดูแล้งน้ำใจไปหน่อยหรือพี่เฮียง”

“นั่นของขายนะหนา พี่ทำขายไม่ได้ทำมาแจกเป็นทานให้ใคร” ซิ่วเฮียงฟังแล้วของขึ้นเหมือนกัน ท้องหล่อนโตขึ้นทุกวัน มือเท้าเริ่มบวม ตัดผ้าลำบากขึ้น ทำงานได้น้อยลง น้องสามีก็มาหยิบฉวยดอกไม้ไปอยู่เรื่อยๆ ต่อให้ใจดีหรือใจเย็นแค่ไหนก็อดไม่ไหวเหมือนกัน

ทว่าวาสนาเองไม่เคยใส่ใจพี่สะใภ้ร่างเล็กที่ยอมลงให้มาตลอดเท่าไรนัก หล่อนยักไหล่บอกว่า

“ก็ให้ไปแล้วนี่ หนาไม่กล้าไปเก็บเงินเขาหรอก เดี๋ยวเขาจะหาว่าหลอกขายของ เงินหนาก็ไม่มี ให้แม่ไปหมดแล้ว ถ้าพี่เฮียงอยากได้นักเดี๋ยวหนาจะไปขอแม่มาให้”

ซิ่วเฮียงฟังแล้วแค้นใจจนน้ำตาคลอ เงินที่เข้าพกเข้าห่อของพิกุลแล้วถ้าไม่ใช่เรื่องเข้าวัดทำบุญมีหรือจะถูกควักออกมาใช้โดยง่าย ยิ่งมาจ่ายให้หล่อน…พิกุลคงมายืนด่าสามวันสามคืนไม่เลิกแน่ หญิงสาวจึงจำใจกัดฟันบอกว่า

“ครั้งนี้ให้มันแล้วไปเถอะ แต่ต่อไปหนาห้ามมาเอาดอกไม้จากบ้านพี่อีกนะ”

วาสนาเบ้ปาก ลอยหน้าลอยตาตอบว่า

“ถ้ารู้ว่าพี่เฮียงงกขนาดนี้หนาก็ไม่เอาหรอก กะอีแค่ดอกไม้ผ้า เชอะ!”

ซิ่วเฮียงตัดใจเรื่องเงินเพราะอยากให้เรื่องจบ แต่วาสนากลับไปฟ้องพิกุล หาว่าซิ่วเฮียงบอกให้หล่อนเอาดอกไม้ผ้าไปให้เจ้านายและเพื่อนๆ ที่ร้าน แล้วเรียกเก็บเงินแพงๆ พอวาสนาบอกว่านึกว่าให้เปล่าไม่ได้บอกว่าต้องซื้อ ตอนนี้จะไปให้เก็บเงินหล่อนทำไม่ได้ ซิ่วเฮียงเลยกระทบว่ายกให้ถือว่าทำทานไป แต่ต่อไปห้ามไปเอาอะไรจากบ้านนั้นอีก ข้าวสักเม็ดแกงสักคำก็ไม่ต้องไปเอา พิกุลถูกลูกสาวคนเล็กเป่าหูก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง มายืนด่าซิ่วเฮียงว่าเป็นนังเจ๊กเนรคุณ ไม่มีน้ำใจ ตระหนี่ถี่เหนียว งกเงิน ไม่เห็นหัวคนในครอบครัวผัว คำที่ขุดขึ้นมาก่นด่าถ้าไม่หยาบคายก็ล้วนเป็นเรื่องใต้สะดือ หาว่าหญิงสาวทำคุณไสยใส่พนม

ซิ่วเฮียงฟังแล้วหน้าดำคล้ำกัดฟันแน่นด้วยความแค้นใจ คราวนี้แม้พวกเพื่อนร่วมเรือนจะช่วยออกหน้ามาไล่ให้ แต่พิกุลที่ฟังคำ ‘เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่น’ ของวาสนามาเต็มสองหูโกรธหนักจริงๆ ทุกครั้งที่มีปัญหาหล่อนไม่เคยแตะต้องลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แต่คราวนี้หล่อนเรียกพนมไปด่าสาดเสียเทเสีย พนมพยายามจะหาทางหลบเหมือนทุกครั้งแต่คราวนี้พิกุลไม่ยอมปล่อย ชายหนุ่มจึงต้องทนฟังแม่ด่าจนหูชาไปหมด

กลับมาถึงที่ห้องเช่าเขาจึงระบายอารมณ์ใส่ซิ่วเฮียง บ่นว่า

“แค่ดอกไม้สองสามดอกก็ทำให้เป็นเรื่องได้ เฮียงก็รู้นิสัยหนามัน งกแต่หน้าใหญ่ใจโตชอบเอาหน้า เฮียงก็น่าจะหยวนๆ ยอมมันไปหน่อยจะได้ไม่มีเรื่อง”

“เฮียงก็ไม่อยากมีเรื่องนะพนม แต่หนาทำไม่ถูก ดอกไม้ที่หนาเอาไปน่ะยี่สิบกว่าดอกนะไม่ใช่สองสามดอก เอาไปทุกสีทุกแบบเลย ทั้งกิ๊บทั้งเข็มกลัด แวะมาทีก็เอาครั้งละสามดอกห้าดอก แล้วนี่ถ้าหนาเอาไปใช้เองเฮียงจะไม่ว่าเลยแต่หนาเอาไปแจกทั้งเจ้านายทั้งเพื่อนที่ร้าน ถ้าเฮียงไม่ทักขึ้น หนาก็คงหยิบไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น”

“คนเราหัวนึงมันจะติดดอกไม้ได้กี่ดอกกันเชียว แจกได้ครั้งสองครั้งก็ไม่มีใครอยากได้แล้ว เฮียงก็คิดเล็กคิดน้อยเกิน อีกอย่างเงินแค่ไม่กี่บาทถือว่าให้หนามันไป…”

“เงินไม่กี่บาทไม่นับว่าเงินหรือ” ซิ่วเฮียงย้อนถามอย่างแค้นใจ เงินแต่ละบาทหล่อนหามาได้อย่างยากลำบาก กินอยู่อย่างประหยัด จะซื้ออะไรก็คิดแล้วคิดอีก แต่วาสนามาถึงก็คว้าดอกไม้หล่อนไปแจกราวกับเป็นดอกโสนริมทาง แล้วจะไม่ให้ซิ่วเฮียงเฉยอยู่ได้อย่างไร

“เฮียง! อย่างกนักเลยน่า” พนมที่ทั้งถูกด่าทั้งถูกกรอกหูทำให้คล้อยตามพิกุลอย่างง่ายดาย เขาเหนื่อย หงุดหงิด ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ แต่แม่ก็กดดันเขาเหลือเกิน ถูกด่ามาไม่พอกลับถึงที่พักเมียที่เคยอ่อนหวานตามใจยังมาทำเสียงเขียวตาขวางใส่เขาอีก ชายหนุ่มเลยโพล่งออกมาอย่างไม่เกรงใจ “เงินไม่กี่บาทก็ไม่กี่บาทสิ หนามันเป็นน้องฉัน…เฮียงจะคิดว่ามันเป็นน้องเฮียงด้วยไม่ได้หรือไง ช่วยสนับสนุนให้มันได้หน้ากับนายกับเพื่อนฝูงหน่อย นั่นถึงจะเป็นสิ่งที่ครอบครัวเขาทำกัน ไม่ใช่เอะอะก็จะไปเรียกเงินมันทุกบาททุกเม็ด”

ความรู้สึกแรกของซิ่วเฮียงคือเจ็บจี๊ดจากคำตำหนิของพนม เจ็บก่อนเปลี่ยนเป็นความรู้สึกแน่นในอกเหมือนใครเอาโม่หินมาวางทับ แต่จากนั้นหญิงสาวก็โกรธจนตัวสั่นอย่างคุมไม่อยู่

“งกหรือ ครอบครัวหรือ เฮียงถามหน่อยเถอะ พนมพูดออกมานี่เชื่อแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม” หญิงสาวไม่รอคำตอบแต่เอ่ยต่ออย่างขมขื่นว่า

“พนม…ตั้งแต่วันแรกที่เฮียงเหยียบมหาชัย มีสักวันไหมที่เฮียงไม่ได้ทำอะไรเพื่อพนมเพื่อครอบครัวของพนม เฮียงทำงานบ้านทุกอย่าง ซักผ้า ทำกับข้าว กวาดบ้านถูกบ้าน หมักน้ำปลาแล่ปลาตากปลา กลางคืนก็ไปทำงานที่แพ เงินสักบาทก็ไม่ได้ อยากจะกินอะไรก็ต้องแบมือขอแม่เหมือนขอทาน แม่พนมไม่ให้ไม่พอยังด่าเฮียงเหมือนหมูเหมือนหมา พอแยกบ้านออกมา กับข้าวกับปลาเฮียงทำส่งให้บ้านโน้นไม่ขาด หนาเอาพุทราป่ามาให้ดองบ้างเชื่อมบ้างทีละกะละมังใหญ่ เกลือน้ำตาลพริกไม่เคยควักจ่ายสักบาทแต่เอาไปขายหมด เฮียงไปส่งดอกไม้เห็นเต็มสองตาแต่ไม่เคยบ่นไม่เคยถามถึง แถมหนาจะเอาดอกไม้ไปติดเสื้อไปติดผมเฮียงก็ให้ แต่จะเอาไปเที่ยวด้วยแจกบ้างขายบ้างแล้วเอาเงินเข้าพกเข้าห่อตัวเองหมดมันควรไหม พอเฮียงทวงขึ้นก็กลายเป็นว่าเฮียงงก เฮียงเป็นพวกคิดเล็กคิดน้อย แล้วที่แม่พนมทำกับเฮียงหนาทำกับเฮียง อย่างนี้เรียกว่าครอบครัวหรือ”

พนมฟังแล้วชะงักไปเล็กน้อย เขาเป็นผู้ชาย…เคยสนใจเรื่องหยุมหยิมอะไรแบบนี้ที่ไหนกัน ดังนั้นพอซิ่วเฮียงแจกแจงด้วยน้ำเสียงเย็นชาที่ข่มไว้ไม่ให้สั่นตามแรงอารมณ์ ชายหนุ่มจึงรู้สึกผิดเล็กน้อย ฟังๆ ดูแล้วรู้สึกไม่เป็นธรรมกับซิ่วเฮียงจริงๆ แต่ไม่เป็นธรรมแล้วยังไงล่ะ บ่นไปแล้วด่าไปแล้วจะดึงคำพูดกลับมาคงไม่ได้ ที่สำคัญเขาเป็นพวกไม่ชอบเสียหน้าขอโทษ ดังนั้นพนมจึงเลี่ยงด้วยการทำเสียงไม่พอใจถามกลับไปอย่างขึงขังว่า

“เฮียงทวงบุญคุณกับฉันหรือ”

ซิ่วเฮียงหัวเราะเบาๆ เสียงขม เปรยว่า

“ความผิดเฮียงอีกสินะ”

พูดจบน้ำตาแห่งความน้อยใจก็หยดลงมา หญิงสาวพยายามอดกลั้น แต่ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ขนาดพูดตรงๆ แบบนี้แล้วแทนที่เขาจะเห็นใจกลับหาว่าหล่อนลำเลิกบุญคุณเสียอย่างนั้น

พอเห็นน้ำตาเมีย พนมก็ถอนใจ สมัยก่อนซิ่วเฮียงใบหน้าเล็กๆ ผิวขาวราวกับเครื่องกระเบื้อง จมูกเล็ก คิ้วโก่ง ตาเรียวเหมือนตากวาง ยามร้องไห้น้ำตาเกาะพราวที่ขนตา จมูกแดงเรื่อปากแดง ชวนให้นึกเห็นใจชวนสงสารไม่น้อย แต่ตอนนี้เพราะตรากตรำทำงานหนักแถมท้องโตใหญ่ แม้ผิวจะยังขาวแต่ดูหมองไม่นวลกระจ่างเหมือนเดิม มองไม่ว่าใกล้หรือไกลจะเห็นว่าผิวหยาบกระด้างมีฝ้าขึ้นจางๆ เหมือนเครื่องกระเบื้องที่มีฝุ่นจับ ที่สำคัญใบหน้าของหญิงสาวตอบจนคางเรียวแหลม แต่ตัวพองมือเท้าบวมใหญ่ ร้องไห้ทีชวนให้เวทนา ไม่ได้รู้สึกบีบหัวใจใดๆ แม้แต่น้อย

พนมกลอกตา เบื่อกับปัญหาทะเลาะเบาะแว้งของพวกผู้หญิง เบื่อคำด่าของแม่เบื่อน้ำตาเมีย ใจนึกอยากจะหลุดให้พ้นจากสถานการณ์นี้โดยเร็ว ดังนั้นเสียงเขาจึงอ่อนลงไม่น้อยเมื่อเอ่ยว่า

“เฮียงไม่ผิดหรอก ฉันเองที่ผิดอารมณ์เสียใส่เฮียง อย่าร้องไห้เลยนะเฮียง กำลังท้องกำลังไส้ร้องไห้ไม่ดีกับลูกนะ…” ชายหนุ่มยังปลอบใจอีกหลายคำ พอเห็นซิ่วเฮียงหยุดร้องไห้แล้วและมีสีหน้าดีขึ้น เขาก็รวบรัดว่า “ต่อไปเฮียงก็ไม่ต้องสนใจบ้านโน้นแล้วกัน กับข้าวถ้าทำมาเผื่อพ่อเดี๋ยวฉันเอาไปส่งที่โน่นเอง แม่มาว่าอะไรก็ถือเสียว่าแกให้พร ไม่ต้องไปสนใจ ถ้าหนามันมาก็ไม่ต้องเปิดประตูรับมัน”

“หนาคงไม่กล้ามาแล้วละ แตกหักกันเสียขนาดนี้” ซิ่วเฮียงประเมิน

และพอได้รับการปลอบโยนความโกรธแค้นความน้อยใจเมื่อครู่ก็ลดลงไปมาก ยิ่งได้รับคำอนุญาตจากพนมว่าไม่ต้องสนใจแม่กับน้องสาวคนเล็กของเขาอีกยิ่งสบายใจ และพอคิดว่าวาสนาจะไม่มากวนใจหรือสร้างปัญหาอะไรให้อีก หญิงสาวก็อารมณ์ดีขึ้นมาก

“พนมหิวหรือยัง เฮียงผัดข้าวผัดให้เอาไหม หรืออยากกินไข่ผัดไชโป๊”

ชายหนุ่มไม่อยากกินทั้งสองอย่าง ว่ากันตามตรงฝีมือทำอาหารของซิ่วเฮียงจัดว่าดี ถึงจะรสอ่อนไปหน่อยแต่ก็กลมกล่อม แต่วัตถุดิบที่ทำกับข้าวนั้นมีน้อยเหลือเกิน มีไข่กับบรรดาผักต่างๆ เป็นหลัก เนื้อสัตว์ก็จะเป็นปลา หอย หรือไม่ก็กุ้งฝอยราคาถูกที่หญิงสาวไปซื้อมาจากแพปลา นานทีถึงจะมีหมูมีไก่ ดังนั้นกับข้าวจึงวนอยู่ไม่กี่อย่าง ไม่ผักผัดไข่ก็ไข่ผัดผัก สำหรับพนมแล้ว…ก๋วยเตี๋ยวหรือบะหมี่หมูแดงราคาถูกๆ ในตลาดยังอร่อยกว่ากับข้าวบ้านเยอะ

ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้า

“เฮียงอยากกินอะไรก็ทำกินเองเถอะ เย็นนี้ฉันคงต้องไปกินข้าวบ้านแม่ แล้วคงค้างที่โน่นเลย”

“พนมจะค้างบ้านนั้นอีกแล้วหรือ อาทิตย์นี้ค้างที่โน่นมาหลายคืนแล้วนะ” ซิ่วเฮียงเอ่ยเสียงเบา ตั้งแต่ท้องหล่อนใหญ่ ขยับตัวอุ้ยอ้าย พนมก็นิ่วหน้ากังวล บ่นว่ากลางคืนกลัวนอนกลิ้งไปทับท้องหล่อน เขาเลยแยกตัวไปนอนเสื่ออีกผืน แต่ช่วงนี้เป็นฤดูหนาวที่อากาศหนาวเป็นพิเศษ นอนบนเสื่อเปล่าๆ ไม่สบายตัวเท่าไร พนมจึงกลับไปนอนที่บ้านโน้นอาทิตย์ละหลายคืน

แม้ซิ่วเฮียงจะปลื้มใจไม่น้อยที่สามีเป็นห่วงเป็นใย แต่หญิงท้องใหญ่เจ็ดแปดเดือนมีหรือจะไม่กลัวยามต้องอยู่ลำพัง หญิงสาวกลัวสารพัด กลัวคนเข้ามาทำร้าย กลัวปวดท้องคลอดกะทันหัน กลัวว่าลุกขึ้นมานั่งกระโถนกลางดึกแล้วจะล้มคว่ำไปโดยไม่มีใครรู้ใครเห็น

แต่…จะเอ่ยปากขอให้พนมลำบากทนนอนเสื่อแข็งห่มผ้าห่มผืนบางทั้งคืน ซิ่วเฮียงก็เกรงใจเขา ไม่อยากให้พนมไม่สบายตัวเพราะหล่อน ดังนั้นหล่อนจึงได้แค่หลุดปากแล้วนิ่งเงียบไป

“ฉันเป็นห่วงเฮียงเหมือนกันนะ แต่แม่นะ…เฮ้อ…” พนมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนจนใจ “ยังไงก็เป็นแม่ ถึงแกจะผิดบ้างถูกบ้างคนเป็นลูกก็ต้องทน ช่วงนี้แกอารมณ์ไม่ดี ฉันต้องกลับไปให้แกเห็นหน้าบ่อยหน่อย แม่แกจะได้ไม่มาพาลใส่เฮียง ฉันเป็นคนกลางก็ไม่อยากให้ทั้งแม่และเฮียงไม่สบายใจ”

ซิ่วเฮียงไม่มีทางเลือก พนมไม่อยากให้หล่อนไม่สบายใจ หล่อนเองก็ไม่อยากให้เขาไม่สบายใจเช่นกัน

ชายหนุ่มอยู่พูดปลอบใจอีกสองสามคำ นั่งเล่นฟังวิทยุที่ซิ่วเฮียงเพิ่งเจียดเงินซื้อมาฟังแก้เหงาอยู่ครู่ก็ลุกอาบน้ำแต่งตัวใหม่แล้วออกจากบ้านไป

ซิ่วเฮียงไม่ได้ออกไปส่งพนมถึงไม่เห็นว่าออกจากห้องเช่าชายหนุ่มไม่ได้เดินไปทางบ้านเก่า แต่มุ่งตรงไปทางตลาดแทน

หญิงสาวไม่รู้ว่าพนมโกหกเรื่องกลับไปนอนบ้านแม่ตลอด ไม่รู้ว่าทุกคืนที่เขาไม่ได้นอนที่ห้องเช่านั้นชายหนุ่มไปอาศัยนอนกับเพื่อนกับคนอื่นที่ตลาด

ทุกวันนี้งานขับเรือข้ามฟากท่าฉลอมกับมหาชัยเขาก็ไม่ได้ทำแล้ว ซิ่วเฮียงเห็นชายหนุ่มออกไปทำงานแต่เช้าทุกวันและไม่เคยเอ่ยปากบ่นเรื่องเงินทองขาดมือ จึงไม่ระแคะระคายเลยพนมว่างงานมาเป็นเดือนแล้ว

และเพราะไม่รู้อะไรเลยซิ่วเฮียงจึงทุ่มเทความคิดทั้งหมดไปที่เรื่องงานและเรื่องลูก หญิงสาวยังไม่กล้าเตรียมของใช้เด็กอ่อนมากนักเพราะถือตามความเชื่อว่าถ้าเด็กยังไม่คลอดไม่ควรเตรียมของใช้เด็กอ่อนเพราะจะทำให้เกิดโชคร้าย แต่น้าแก้วมิตรต่างวัยของหล่อนเตือนว่า

“ไม่เตรียมของตอนนี้เอ็งจะไปเตรียมตอนไหน ผัวเอ็งคงพึ่งพาได้อยู่หรอก…”  ปลายเสียงของคนถามเจือแววเยาะเล็กน้อย

ซิ่วเฮียงฟังแล้วไม่โกรธอะไร นิสัยพนมขนาดน้าแก้วเพิ่งรู้จักได้ไม่นานยังพอเดาได้ แล้วมีหรือคนที่อยู่กับเขามาปีกว่าจะไม่รู้ พนมนั้นมีข้อดีตรงที่รักใคร่ห่วงใยหล่อนมาก นอกเหนือจากนั้นเรียกว่าหาอะไรดียากเหลือเกิน พิกุลเลี้ยงลูกชายมาเหมือนเทวดา ตามใจตะพึดตะพือ เวลาเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาพิกุลพูดทันทีว่าลูกคนอื่นผิด ลูกฉันไม่ผิด เข้าข้างลูกชาย ส่งเสริมเขาในทางที่ผิดตลอด จริงอยู่ที่พิกุลด่าพนมบ้างเหมือนกัน แต่ชายหนุ่มกลับไม่กลัวเสียงและคำด่าของผู้เป็นแม่แม้แต่น้อย รำคาญน่ะใช่แต่ไม่กลัว ดังนั้นพิกุลจึงบังคับอะไรลูกชายไม่ได้เลย

ตัวพนมเองก็เป็นพวกเอ้อระเหยลอยชาย งานการถ้าคิดอยากทำก็ทำขันแข็ง แต่พอเบื่อไม่อยากทำก็หลังติดเตียงไม่ยอมลุกไม่ยอมขยับไปไหนเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มสามารถนอนอยู่ในห้องได้เป็นวันๆ คอยแต่จะกินอาหารสามมื้อ งานบ้านงานเรือนเขาไม่เคยแตะ อาหารไม่ถูกปากไม่กิน มีชีวิตสบายยิ่งกว่าลูกเศรษฐีในตลาดเสียอีก

ดังนั้นจะหวังพึ่งให้พนมช่วยหาของใช้เด็กอ่อนให้ช่วงหล่อนอยู่ไฟคงเป็นไปไม่ได้

“หรือหวังจะให้แม่ผัวเอ็งหาให้ล่ะ”

คราวนี้ซิ่วเฮียงยิ้มแห้ง พิกุลหรือจะช่วยหล่อน ช่วยฆ่าด้วยการให้จมน้ำลายตายเสียละมากกว่า ทุกวันนี้พิกุลยังมายืนด่าหล่อนอยู่ไม่เคยขาด

ส่วนม้าเซียมลั้งนั้น…หญิงสาวเคยเขียนจดหมายกลับบ้านไปสองสามฉบับ ทว่าไม่เคยได้รับจดหมายตอบกลับจากทางสุพรรณบุรีเลย

เตี่ยกับม้าคงยังไม่ให้อภัยหล่อนแน่ ฉะนั้นจะหวังพึ่งพาให้ม้ามาหาตอนหล่อนคลอดลูกคงเป็นไปไม่ได้แน่

จะอาศัยน้าแก้วกับเพื่อนร่วมบ้านเช่าคนอื่นๆ ซิ่วเฮียงก็เกรงใจ ดังนั้นหญิงสาวจึงพยายามไม่สนใจความเชื่อโบราณแล้วเริ่มหาผ้ามาเย็บเบาะให้ลูก เตรียมผ้าอ้อม ผ้าห่มและข้าวของจำเป็นอื่นๆ

ผ้าอ้อมนั้นซิ่วเฮียงหาผ้านุ่งหรือผ้าขาวม้าเก่ามาเย็บไม่ได้ ผ้านุ่งที่หล่อนมีตอนนี้ล้วนเนื้อหยาบแข็งเพิ่งใช้งานมาปีเศษ ไม่เหมาะกับผิวของเด็กอ่อน ผ้าขาวม้าของพนมที่ใช้อยู่ก็ยังใหม่มาก ผืนเก่าเขาทำหายไปไหนแล้วไม่รู้ จึงไม่สามารถเอามาทำผ้าอ้อมได้เช่นกัน หญิงสาวเลยตัดสินใจซื้อผ้าสาลูเนื้อนุ่มลายน่ารักมาตัดเป็นผ้าอ้อมและผ้าห่มให้ลูก

ไม่รู้ว่าพิกุลไปได้ข่าวมาจากไหน หล่อนรีบแล่นมาด่าปาวๆ หน้าห้องซิ่วเฮียงว่า

“นังเจ๊กล้างผลาญ ลูกมึงตูดทำด้วยทองหรือวะถึงต้องซื้อผ้าใหม่มาทำผ้าอ้อม ผ้านุ่งเก่าของกูกับผ้าขาวม้าพ่อไอ้พนมมีตั้งมากมายก่ายกองทำไมไม่รู้จักเอามาใช้ นังเนรคุณมีเงินฟุ่มเฟือยตำน้ำพริกละลายแม่น้ำแต่ไม่รู้จักเคยแบ่งให้บ้านผัวสักบาท นังเจ๊กสมุนเทวทัตมีปัญญาหาเงินแต่ไม่รู้จักทำบุญ ชาตินี้ไม่เข้าวัดไม่ทำบุญ อย่าได้หวังว่าชาติหน้าจะสบายเลยมึง”

ซิ่วเฮียงที่อยู่ในห้องเช่ายิ้มหยัน ด่าวนอยู่เป็นนาน สุดท้ายสิ่งที่แม่ผัวของหล่อนต้องการก็คงมีแค่เงินเท่านั้น หญิงสาวเปิดห้อง ท้องใหญ่ยื่นโย้ออกไปด้านหน้าแต่ตัวไม่ก้าวพ้นกรอบประตู พูดเสียงดังฟังชัดว่า

“ฉันอยากจะสบายชาตินี้ไม่อยากสบายชาติหน้า ถ้าแม่อยากทำบุญก็หาเงินถวายพระท่านเองเถอะ แม่จะได้ไปสบายจริงๆ สมดังที่แม่ตั้งใจ”

พิกุลยืนงงอยู่ครู่เพราะไม่นึกว่าซิ่วเฮียงจะเปิดประตูออกมา แต่พอตรองคำพูดของนังสะใภ้เจ๊กดู หล่อนก็แผดเสียงลั่น

“นังเฮียง มึงแช่งกูหรืออีเวร…”

ซิ่วเฮียงไม่รอฟังคำด่ารีบปิดประตูปัง พิกุลพุ่งตัวมาตบประตูด่าโขมงโฉงเฉง แต่หญิงสาวไม่สนใจ หล่อนยังยิ้มออกมาด้วยซ้ำเมื่อลูบผ้าอ้อมเนื้อนุ่มที่ตัดและวางซ้อนไว้อย่างเบามือ

พิกุลมาแล้วก็ไป ทำอะไรไม่ได้นอกจากด่า แต่วาสนาที่จู่โจมเข้ามาหลังจากนั้นสร้างความตระหนกให้ซิ่วเฮียงได้มากกว่ามาก น้องสาวคนเล็กของพนมร้องไห้ตีโพยตีพายเสียงดังว่า

“พี่เฮียง เพราะพี่แท้ๆ ทำให้ฉันถูกไล่ออกจากงาน พี่ณีไล่ฉันออกแล้ว ฉันไปขายของที่ตลาดไม่ได้แล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะพี่คนเดียว!”



Don`t copy text!