แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง

แก่นไม้หอม บทที่ 3 : ตุ้มหูทอง

โดย : กิ่งฉัตร

Loading

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

พิกุลรู้เรื่องลูกชายกับนังเจ๊กตัดผ้าจะย้ายออกจากบ้านก็วันที่ซิ่วเฮียงหิ้วกระเป๋าออกจากห้องมาลา ร่างอ้วนกลมนั้นสั่นจนเหมือนกระเพื่อมไปทั้งตัวด้วยความโกรธ ใบหน้าที่ดำคล้ำเพราะกรำแดดโดยไม่ได้บำรุงรักษามาตลอดชีวิตนั้นยิ่งดำคล้ำราวก้นหม้อข้าว หล่อนอ้าปากแล้วหุบอ้าปากแล้วหุบก่อนหาเสียงตัวเองเจอชี้หน้าด่า

“พวกมึงปีกกล้าขาแข็งกันแล้วใช่ไหม เห็นบ้านกูเป็นอะไร นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป เห็นกูเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง…”

เสียงพิกุลดังคับบ้าน ยิ่งด่ายิ่งหยาบคายทั้งอวัยวะเบื้องสูงเบื้องต่ำถูกขุดขึ้นมาใช้หมด ตามด้วยการลำเลิกบุญคุณ หาว่าข้าวบ้านหล่อนไม่มียาง ผัวหนุ่มเมียสาวจึงไม่สำนึกบุญคุณ

ซิ่วเฮียงฟังนิ่งๆ เมื่อหมดใจแล้วความรู้สึกก็ชืดชา อยากด่าอะไรด่าไปคิดว่าเสียงลมเสียงฝน ไม่มีวันทำให้หล่อนสะดุ้งสะเทือนอีกแล้ว ส่วนพนมนั้นได้แต่ขยับตัวอย่างอึดอัด เขาไม่เคยทนฟังเสียงแม่ด่าขนาดนี้มาก่อน ส่วนมากพอพิกุลเปิดปากชายหนุ่มก็เผ่นแน่บไปแล้ว พอต้องมาทนฟังก็ขยับตัวไปมาทำอะไรไม่ถูก

กลับกลายเป็นสันต์ที่เงียบๆ อยู่ในโอวาทเมียมาตลอดเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมด้วยเหตุผลว่า

“จะย้ายออกไปทำไม ท้องไส้อยู่แบบนี้ คลอดแล้วอยู่ลำพังใครจะช่วยดูแลกัน จะไปหวังพึ่งไอ้พนมมันไม่ได้หรอกนะเฮียง”

ซิ่วเฮียงก้มหน้าลงซ่อนยิ้มหยัน เพราะพ่อผัวพอมีเมตตาอยู่บ้าง แม้จะไม่เคยช่วยอะไรอย่างจริงจังเพราะกลัวเมีย แต่สันต์ไม่เคยสร้างความลำบากใจให้  หญิงสาวเลยไม่พูดฉีกหน้าเขาว่า คิดว่าอยู่ที่นี่จะมีคนดูแลหรือ…

แต่ไม่ต้องเอ่ยปากเอง พิกุลก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย หล่อนหันไปแหวใส่ผัวอย่างไม่พอใจว่า

“เทวดามาเกิดในท้องนางฟ้านางสวรรค์หรือไงยะถึงคลอดแล้วต้องมีคนคอยดูแล กูเบ่งไอ้พวกนี้มาสามตัว ไม่เห็นต้องให้หมาตัวไหนมาช่วยดูแล” ยิ่งดูพูดยิ่งไม่พอใจ พิกุลกระแทกเสียงว่า “เออ…พวกมึงอยากจะไปกันนักใช่ไหม ไปเลย…ไปแล้วไม่ต้องกลับมากราบตีนกูขอกลับมาแล้วกัน”

“แม่…” พนมเสียงอ่อย “แค่ย้ายไปอยู่แถวนี้เองนะ ไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงสักหน่อย”

“ไม่ได้ทำอะไร แค่เหยียบหัวกูเท่านั้น”

พนมเกาหัวแกรกๆ เหยียบหัวตรงไหนกัน แต่พิกุลไม่สนเรื่องเหตุผลหรืออะไรทั้งนั้นแล้ว หล่อนชี้หน้าด่าลูกชายว่า

“มึงคิดอะไรเป็นไหมไอ้พนม ไอ้ลูกโง่ เห็นเมียดีกว่าแม่ แหงละสิ…นอนพูดมันดีกว่านั่งพูด เมียมึงอยากแยกบ้านมึงก็แยกตามมัน ถ้านังเจ๊กให้แกไปโดดน้ำตายแกจะทำไหมหา”

“โธ่แม่…” ลูกชายทำคอย่น “โดดน้ำจะตายได้ไง ฉันว่ายน้ำแข็ง ลูกน้ำเค็มถ้าว่ายน้ำไม่ได้ก็อายเขาตายสิ”

“ไอ้ ไอ้ลูกเวร มึงกล้ามาย้อน เอาเลยอยากไปก็ไปเลย ไปแล้วไม่ต้องกลับมาเหยียบบ้านกูอีก”

ซิ่วเฮียงฟังแล้วเหมือนได้รับคำอนุญาต หล่อนยกมือไหว้สันต์อย่างนอบน้อมแต่แค่พนมมือให้พิกุลราวกับเสียมิได้ แต่พอก้มลงหยิบกระเป๋าเสื้อผ้า พิกุลก็เอ่ยเสียงแหลม

“เดี๋ยว ก่อนจะไปเปิดกระเป๋าให้กูดูก่อน มึงแอบขโมยของมีค่าอะไรไปจากบ้านกูบ้างหรือเปล่า”

ซิ่วเฮียงยิ้มขม ก้มลงเปิดกระเป๋าพร้อมเอ่ยเรียบๆ ว่า

“อยากดูก็ดูเถอะแม่ บ้านนี้สมบัติมากมาย เกิดหายขึ้นมาจะได้ไม่หาว่าเฮียงเอาไป”

พิกุลชะงัก คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำประชดจากปากนังเจ๊กตัดผ้าที่หล่อนดูแคลนว่าแหยแฝ่นเหลือทน

“นี่มึงแดกกูหรือนังเฮียง”

หญิงสาวไม่ตอบ แค่มองอีกฝ่ายนิ่ง

เกือบหนึ่งปีก่อนตอนออกจากสุพรรณ ซิ่วเฮียงก็เหมือนลูกหมาแรกเกิด ตื่นเต้นตาใสกับโลกใบใหม่ กระตือรือร้นกับทุกสิ่ง เปิดใจกับทุกอย่าง กระดิกหางเริงร่าพร้อมจะเป็นมิตรและมอบความรักให้กับมนุษย์ทุกคน แต่เมื่อลูกหมาน้อยถูกโบยตีทุกวัน นิสัยมองมนุษย์อย่างเป็นมิตรของมันก็เปลี่ยนไป ความเจ็บปวดทางกายและความหวาดกลัวจนกลายเป็นหวาดระแวงทางใจทำให้มันดุร้าย เริ่มแยกเขี้ยวและกัดผู้คน

ซิ่วเฮียงไม่กัด

หญิงสาวแค่ทิ้งความหวังที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับครอบครัวใหม่อย่างกลมเกลียวและมีความสุขไปแล้ว และเมื่อหล่อนหมดทั้งการมองโลกในแง่ดีและความอดทน สิ่งที่เหลืออยู่คือความเฉยชา ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับหญิงใจดำตรงหน้าอีกต่อไป

พิกุลเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น แต่หล่อนก็ยังสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนไปของนังเจ๊กตัดผ้า เหมือนซิ่วเฮียงโตขึ้นนับสิบปีในเวลาไม่ถึงขวบปีดี ทว่าพิกุลไม่ใส่ใจ หล่อนเห็นเพียงความแข็งข้อ การต่อต้านของผู้หญิงที่เคยยอมให้หล่อนเหยียบใต้ฝ่าเท้า และนั่นทำให้พิกุลเดือดดาล

“เออ…มึง บ้านกูมีของมีค่า กะปิน้ำปลามีค่าทั้งนั้น รู้ไว้เลยว่าเงินสลึงนึงกูก็จะไม่ให้มึงเอาติดตัวไป!”

พูดพลางก้มลงขยุ้มเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า รื้อค้นกระจุยกระจาย แม้แต่ชุดชั้นในพิกุลก็ใช้เท้าเขี่ยดู เขี่ยไปเหยียบไปอย่างแค้นใจ

ซิ่วเฮียงมองอาการอาละวาดของแม่ผัวด้วยอาการนิ่งสงบ ในใจนึกหยัน อย่าว่าแต่จะหยิบฉวยอะไรไปจากบ้านนี้เลย เทียบกับตอนเข้าบ้านแล้วข้าวของตอนนี้หล่อนพร่องไปเยอะ เรื่องเงินไม่ได้เอ่ยถึง…มันหมดไปนานแล้ว ส่วนเสื้อผ้าชุดดีๆ ที่เอาติดตัวมาด้วย วาสนาถือวิสาสะมาเปิดค้นหยิบเสื้อดีๆ ไปหลายตัว

‘พี่เฮียงมีเสื้อสวยๆ หลายตัว อยู่บ้านไม่ได้ใช้ขอฉันยืมไปใส่ขายของก่อนนะ ขายของหน้าร้านแต่งตัวปอนๆ เจ้าของร้านเขาไม่อยากจ้าง พี่เฮียงไม่ต้องห่วงนะฉันจะใช้อย่างถนอม’

จากการขอยืมวันนั้นกลายเป็นยึดเลยวันนี้ วาสนามีเหตุผลที่ดีว่า

‘พี่เฮียงท้องอยู่ใส่ไม่ได้หรอก อีกอย่างเสื้อพวกนี้พี่เฮียงตัดเองไม่ใช่หรือ อีกหน่อยถ้าจะใส่พี่เฮียงก็ตัดใหม่แล้วกัน อ้อ…ถ้าตัดแล้วอย่าลืมตัดให้ฉันด้วยนะ ฝีมือพี่เฮียงดี ใครเห็นก็ชมว่าสวยทั้งนั้น เออ…เดี๋ยวถ้ามีเงินฉันซื้อผ้ามาให้พี่เฮียงตัดให้ดีกว่า’

เด็กสาวพูดเองเออเองทั้งหมด ไม่ได้ถามความต้องการของซิ่วเฮียงสักคำ ดีแต่ที่ว่าวาสนาไม่เคยเก็บเงินพอซื้อผ้าได้เลย และซิ่วเฮียงก็ไม่มีเงินติดตัวพอให้น้องผัว ‘ยืม’ ไปซื้อผ้า หล่อนเลยไม่ได้ลงมือตัดเสื้อตั้งแต่มาอยู่สมุทรสาคร

ดังนั้นเสื้อผ้าที่อยู่ในกระเป๋าตอนนี้มีสภาพดีกว่ากองผ้าขี้ริ้วไม่มากนัก พิกุลหาอะไรก็หาไม่เจอ จึงทำได้เพียงชี้หน้าด่า

“มึงไปแล้วไม่ต้องกลับมาเลยนะนังเฮียง”

ซิ่วเฮียงกวาดเสื้อผ้าเก่าเข้ากระเป๋า เดินออกจากบ้านไม่เหลียวหลัง พนมเลิ่กลั่กนิดหน่อยก่อนตามเมียไป

พิกุลทำอะไรไม่ได้นอกจากด่าขรมพร้อมกระทืบเท้าเร่าๆ ตามหลังสองคนผัวเมียด้วยความแค้นใจ พอเหนื่อยหอบก็หยุดหันมาเห็นลูกสาวสองคนมองหล่อนตาโตอยู่ หล่อนก็ระบายอารมณ์ใส่ว่า

“มึงมองอะไรกัน งานการไม่มีทำหรือ ไปให้พ้นหน้ากูเลย เกะกะลูกตา!”

มาลัยคอตกเดินกลับขึ้นไปที่ห้องนอน ส่วนวาสนาที่เจ้าเล่ห์กว่าพี่สาวเหลือบมองกองผ้าของคนทั้งบ้านที่ยังไม่ได้ซัก กับข้าวเช้าที่ซิ่วเฮียงเตรียมไว้ให้แล้วก่อนหยิบกระเป๋าออกจากห้อง คิดว่าตอนนี้คงยังไม่มีใครอยากกินอะไร แต่พอแม่หายโมโหก็คงหิว หิวแล้วคงกินเกลี้ยง กินแล้วทีนี้จานชามใครเก็บล้างล่ะ

เด็กสาวกลอกตาก่อนเลียนแบบพี่ชาย เผ่นแน่บ…

“ฉันไปทำงานก่อนนะแม่ พี่ณีเขาสั่งให้วันนี้ไปเร็วหน่อย ไปละ”

“อ้าวอีนี่ รีบร้อนไปไหนกัน” พิกุลว่า ตามไม่ทันความคิดลูกสาวคนเล็ก

เมื่อบ้านว่าง สันต์ที่สงบปากสงบคำมาตลอดก็เอ่ยเบาๆ อย่างเกรงใจเมียว่า

“จะอะไรหนักหนากับเฮียงมันนักแก เด็กมันก็ดีทำงานให้แกงกๆ ทุกอย่าง แล้วในท้องมันก็หลานเรา…”

“กูไม่นับ” เมียบังเกิดเกล้าของเขาสวนกลับทันที “ชังมัน ชังแม่มันด้วย ไม่รู้ทำไมเห็นหน้ามันแล้วไม่ถูกชะตา ขวางหูขวางตานัก เกลียดมันเลยละ ผู้หญิงแถวนี้ดีๆ หน้าตาดีมีตังค์มีถมถืดไอ้ลูกโง่ไม่เอา มันดันไปคว้าเจ๊กคว้าจีนมาเป็นเมีย เฮอะ…นังซิ่วเฮียงตัวมาร เพราะมันแท้ๆ ทำให้กูอดเกาะชายผ้าเหลืองไอ้พนมขึ้นสวรรค์”

เฮ้อ…สันต์ถอนใจยาว นึกเวทนาลูกสะใภ้เชื้อสายจีนจับใจ

“อย่างกับว่าไม่มีเฮียง ไอ้พนมมันจะยอมบวชให้แกงั้นแหละ…”

พิกุลไม่สนใจคำเปรยเบาแสนเบาของผัว หล่อนมัวแต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันหมายมั่นปั้นมือว่า

“นังเจ๊กมันไม่มีเงินติดตัวสักบาท ไอ้พนมก็มีแต่กระเป๋ากลวงๆ งานที่แพกูก็จะไม่ให้มันทำอีก ดูสิว่าน้ำหน้าอย่างมันกับไอ้พนมจะหากินได้ยังไง อีกไม่กี่วันเถอะมันต้องคลานกลับมาเหมือนหมาและกูนี่แหละจะเอาตีนลูบหน้ามัน!”

สันต์ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมพิกุลถึงได้ร้ายกับซิ่วเฮียงนัก เหตุผลข้างๆ คูๆ ก็ยกมาเล่นงาน คนเราแค่ไม่ถูกชะตาจะเหยียบย่ำกันให้ตายไปข้างเชียวหรือ ทั้งๆ ที่เข้าวัดเข้าวาเป็นประจำ ทำบุญแต่ไม่เคยคิดจะทำทานทำกุศล ไม่คิดจะมีเมตตาให้กับคนที่เป็นเหมือนคนในครอบครัว

เห็นทีที่หลวงตาพูดเสมอว่า จิตที่มืดบอดคือสิ่งเลวร้ายที่สุดคงจะจริงแท้ทีเดียว

 

ระหว่างที่พิกุลทำนายอนาคตด้วยความสะอกสะใจนั้น ซิ่วเฮียงกับพนมก็ออกจากบ้านตรงไปยังห้องเช่าที่เช่าไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ห้องนี้เป็นห้องชั้นล่างของเรือนแถวสองชั้น แต่ละชั้นมีหกห้อง ห้องน้ำและห้องอาบน้ำสร้างแยกอยู่ด้านหลัง

อันที่จริงซิ่วเฮียงไม่ค่อยชอบห้องเช่าแห่งนี้เท่าไรนักเพราะห้องเก่าและคับแคบ ห้องน้ำห้องท่าเจ้าของห้องเช่าไม่ดูแลเท่าที่ควรทำให้ค่อนข้างสกปรกและมีกลิ่นตลอด ที่ร้ายสุดคือเรือนแถวนี้อยู่ห่างจากบ้านพิกุลไม่ถึงแปดร้อยเมตรดี ทว่าหญิงสาวไม่มีทางเลือกมากนักเพราะแม้จะมาอยู่มหาชัยได้ร่วมปี แต่นอกจากแพปลาและตลาดแล้วหล่อนไม่เคยได้ออกไปไหน พิกุลกับสันต์นั้นไปงานบุญงานวัดไม่ว่าจะสงกรานต์วันเข้าพรรษาออกพรรษาไม่เคยขาด นำอาหารไปถวายพระใส่ซองทำบุญคราวละมากๆ แต่ลูกสะใภ้อย่างซิ่วเฮียงนอกจากทำกับข้าวให้แม่ผัวและน้องๆ ผัวถือไปวัดแล้ว โบสถ์วัดดังๆ ของสมุทรสาครหล่อนไม่เคยก้าวผ่านสักครั้ง

และแม้จะเป็นคนที่อัธยาศัยดี มีน้ำใจ คบหาผู้คนได้ง่าย แต่ภายใต้สายตาจับผิดและปากร้ายเหมือนกรรไกรของพิกุล ต่อให้ซิ่วเฮียงดีกว่านี้อีกสิบเท่าก็ไม่มีใครอยากข้องเกี่ยวด้วย ดังนั้นจึงยากที่หญิงสาวจะหาห้องเช่าเอง ต้องอาศัยพนมดูแลเรื่องนี้ให้ สุดท้ายจึงได้ห้องเล็กราคาแพงแถมยังใกล้บ้านเดิมจนน่าหงุดหงิดใจ

ซิ่วเฮียงได้แต่ปลอบตัวเองว่าทนๆ ไปก่อน พอตั้งหลักได้ค่อยหาทางขยับขยายหาที่ใหม่ที่ดีกว่านี้

ส่วนเรื่องค่าเช่าและค่ากินอยู่นั้น ตอนแรกพนมยังกังวล แต่ซิ่วเฮียงคิดทุกอย่างไว้รอบคอบแล้ว หญิงสาวหยิบตุ้มหูคู่หนึ่งที่ซ่อนไว้อย่างดีออกมา

ตุ้มหูทองลายดอกไม้หนักหนึ่งสลึงคู่นี้เง็กซิมที่รับซิ่วเฮียงเป็นลูกบุญธรรมอย่างไม่เป็นทางการมอบให้เด็กสาวเป็นของขวัญวันเกิดอายุสิบห้าปี แม้ลายนี้จะค่อนข้างจะเทอะทะไม่เหมาะกับเด็กสาวๆ เท่าไรแต่เง็กซิมที่ถือว่ามากดีกว่าน้อยบอกว่า

‘ตอนนี้ไม่เหมาะต่อไปก็เหมาะ อีกอย่างครึ่งสลึงมันทองน้อยเหลือเกิน สู้สลึงนึงไม่ได้ สลึงนึง ฉุกเฉินขึ้นมาจะได้ขายได้ราคาหน่อยครึ่งสลึงมีแต่ขาดทุน ลื้อเก็บไว้ให้ดีนะอาเฮียง เง็กซิมให้เป็นของขวัญติดตัว ออกเรือนไปจะได้ไม่อายใครเขา’

หลีกังและเซียมลั้งรู้เรื่องตุ้มหูทองคู่นี้ แม้จะรู้สึกว่าของมีค่าขนาดนี้ไม่ควรให้เด็กสาวๆ เก็บไว้กับตัว แต่ทั้งคู่ก็ไม่ดึงดันริบไว้ ยอมปล่อยให้ซิ่วเฮียงเก็บรักษาไว้เอง เพียงแต่กำชับว่า ถ้าทำหายนอกจากจะเสียใจแล้วยังจะต้องเจ็บตัวจากการถูกทำโทษอีกด้วย

ดังนั้นยามที่หนีออกจากบ้าน ตุ้มหูคู่ใหญ่จึงถูกซ่อนในพกในห่อติดตัวซิ่วเฮียงตลอดเวลา

ตุ้มหูคู่นี้หญิงสาวรักมากเหลือเกิน อย่าว่าแต่จะใส่เลย แม้แต่สัมผัสยังไม่กล้าเพราะกลัวว่ามันจะหมอง ยามนี้จึงได้แต่หยิบออกมาอย่างอาลัย ถ้ารู้อย่างนี้ได้สวมสักครั้งสองครั้งคงจะดีไม่น้อย…

หากสุดท้ายซิ่วเฮียงหักใจยื่นมันออกห่างตัว

“พนมช่วยเอาไปขายที”

“โห ตุ้มหูทองสวยเชียว” พนมตาวาว รีบถาม “เฮียงเอามาจากไหน”

“แม่บุญธรรมให้มา” หล่อนตอบเสียงเบา “ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ  เฮียงคงไม่เอาออกมาขาย”

ชายหนุ่มเดาะตุ้มหูในมือเหมือนคะเนน้ำหนัก เปรยๆ ว่า

“มีแค่ตุ้มหูใช่ไหมจ๊ะเฮียง”

“แค่นี้แหละ”

“ได้ เฮียงไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง”

คืนนั้นพนมกลับมายัดเงินใส่มือซิ่วเฮียงด้วยใบหน้าผ่องใส แต่ฝ่ายหลังนับธนบัตรในมือแล้วนิ่วหน้า

“หกสิบบาทเองหรือ ทองบาทละสี่ร้อย ตุ้มหูหนักสลึงนึงน่าจะได้สักร้อย” น้ำเสียงของหญิงสาวผิดหวังจริงๆ

“เฮียงไม่รู้อะไร ร้านทองเขี้ยวลากดินจะตาย พอเห็นว่าเป็นทองของที่อื่นไม่ได้ซื้อจากร้านเขา เขาก็กดราคา แถมยังต้องเสียค่าธรรมเนียมหยุมหยิมนั่นนี่ ฉันยืนต่อรองราคาอยู่นานเขาถึงได้ยอมให้มาเท่านี้”

“พนมลองถามร้านอื่นหรือยัง ร้านอื่นอาจจะให้ราคาดีกว่านี้”

“เดินถามมาหมดตลาดแหละ พูดเหมือนกันหมด ราคาเดียวกัน”

ซิ่วเฮียงถอนใจ ตอนแรกนึกว่าจะได้สักร้อยหรือหย่อนไปสักห้าบาทสิบบาท สุดท้ายได้มาแค่หกสิบ เงินแค่นี้หักค่าเช่าห้องค่าข้าวสารอาหารแห้ง ไม่รู้จะอยู่ได้นานแค่ไหน

แต่เอาเถอะ หมาจรจัดมันยังไม่อดตาย คนมีมือมีเท้ามีแรงอย่างหล่อนต้องไม่อดตายแน่นอน

หญิงสาวยอมรับราคาทองที่ได้อย่างจนใจ ทำอะไรไม่ได้นอกจากนึกตำหนิร้านทองอยู่ในใจว่าช่างเอาเปรียบคนเสียจริง ตอนซื้อราคาสูงลิ่ว แต่พอขายคืนกลับกดราคาลงเกือบครึ่ง

หล่อนไม่รู้เลยว่าตำหนิผู้ต้องหาผิดคน

ร้านทองที่พนมเอาตุ้มหูไปขายนั้นจริงๆ นับว่าใจกว้างมาก พอเห็นว่าเป็นตุ้มหูจากร้านทองเยาวราชก็ยอมรับซื้อในราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งพนมยังโปรยเสน่ห์เต็มที่ คนดูแลรับซื้อทองเป็นหลานสาวเจ้าของร้านพนอมเป็นสาวใหญ่วัยสามสิบเศษ รูปร่างสูงท้วม ผิวขาว หน้าตาเรียบๆ ไม่โดดเด่น สมัยยังสาวพยอมเคยมีแฟนเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี เสียดายเขาประสบอุบัติเหตุจากไปก่อน หลังจากนั้นผู้ใหญ่พยายามหาหนุ่มๆ มาดูตัว แต่พยอมที่ชอบหนุ่มรูปหล่อไม่พอใจสักคน เลือกอยู่นานก็เลือกไม่ได้ จึงครองตัวเป็นสาวโสดมาตลอด

และเพราะพนมเป็นหนุ่มหน้าตาดี ผิวคล้ำคิ้วเข้มจมูกโด่ง มีลักษณะหลายอย่างที่คล้ายกับคนรักเก่าที่ยังติดแน่นในใจของพยอม หญิงสาวจึงค่อนข้างรู้สึกดีกับชายหนุ่มเป็นพิเศษ พนมเองก็เป็นคนปากหวานช่างเจรจา เห็น ‘เจ้าของร้าน’ มีลักษณะหลายอย่างคล้ายพิกุลก็จับจุดง่าย พูดจาอ่อนหวาน แต่งเรื่องว่ามาขายตุ้มหูเพราะจะเอาเงินไปรักษาแม่ที่ป่วยหนักอยู่ พยอมเลยทั้งเอ็นดูและสงสาร นอกจากให้ราคาดีพิเศษแล้วค่าธรรมเนียมอะไรก็ไม่คิดสักสลึง

พนมจึงออกจากร้านทองพร้อมเงินเต็มกระเป๋า แต่พอใกล้ถึงบ้านเขาก็หยุด ‘ชักส่วน’ ออกมาใส่กระเป๋า แล้วส่งที่เหลือให้ซิ่วเฮียง

ซิ่วเฮียงเชื่อใจผู้ชายของหล่อนจนไม่เอะใจอะไร แถมยังกัดฟันดึงธนบัตรส่วนหนึ่งในมือส่งให้พนม ให้เขามีเงินติดกระเป๋าไว้เพื่อต้องการซื้ออะไรนิดหน่อย

แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้าบอกว่า

“เฮียงเก็บไว้เถอะ คนท้องอาจจะอยากกินจุบกินจิบ หรือไม่ก็เก็บไว้…เรายังต้องใช้เงินตอนลูกคลอดอีกเยอะ”

ซิ่วเฮียงมองพนมอย่างซึ้งใจ ถ้าเขาดีกับหล่อนและลูกอย่างนี้ ต่อให้พิกุลจะดุร้ายแค่ไหน ต่อให้ชีวิตจะยากลำบากเพียงใด หล่อนก็พร้อมจะสู้โดยไม่ย่อท้อ

เมื่อได้เงินมาจ่ายค่าเช่าห้องล่วงหน้า ซื้อกุญแจมาล็อกห้องเรียบร้อย ซิ่วเฮียงก็ฉวยโอกาสวันที่พิกุลไปทำบุญที่วัดแอบเอาเงินที่เหลือกับเสื้อผ้าดีๆ ที่พอเหลืออยู่ไปซ่อนไว้ที่ห้องเช่าก่อน พอได้จังหวะเหมาะถึงบอกพ่อแม่ผัวเรื่องย้ายออกแล้วหิ้วกระเป๋าออกมาจากบ้านมาเลย

ฉะนั้นต่อให้พิกุลฉีกกระเป๋าค้นก็ไม่เจออะไร

เมื่อมาถึงห้องเช่าที่เล็กแคบและว่างเปล่า ซิ่วเฮียงยิ้มกว้างอย่างที่ไม่เคยยิ้มหลายเดือน ผิดกับพนมที่กวาดตามองแล้วบ่นอุบอิบ

“ไม่มีอะไรเลย จะกินอยู่กันยังไงละเนี่ย” บ่นแล้วนึกได้เสริมว่า “เฮียงกำลังท้อง กินอยู่ลำบากจะกระทบถึงลูกหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“ไม่กระทบหรอก เฮียงแข็งแรงลูกก็แข็งแรงดี แรกๆ เราทนลำบากกันไปก่อน เดี๋ยวออกไปซื้อของที่จำเป็น จากนั้นค่อยๆ สะสมเอา”

ซิ่วเฮียงตอบอย่างกระตือรือร้น หล่อนเอาของไปเก็บ เสื้อผ้าที่ถูกพิกุลทั้งเขี่ยทั้งเหยียบเอาใส่กะละมังเตรียมซัก เครื่องครัวยังไม่มีไม่เป็นไร แรกๆ ยอมทนซื้อข้าวกินไปก่อนจากนั้นค่อยเริ่มซื้อข้าวสาร กะปิ น้ำปลา แต่ไม่เอาปลาทู…ไม่เอาอีกแล้ว…

หญิงสาวยิ้มแบบหุบไม่ลง ความรู้สึกอิสรเสรีเป็นเช่นนี้เอง

เช้าวันใหม่ซิ่วเฮียงตื่นไปตลาดแต่เช้าตรู่ หล่อนซื้ออาหารกินง่ายๆ เครื่องครัวบางชิ้น กลับถึงห้องเช่าหญิงสาวปลุกพนมขึ้นมากินข้าว จากนั้นค่อยออกจากบ้านไปตลาดมหาชัย

ซิ่วเฮียงเดินวนทั้งตลาดอยู่สองรอบ ก่อนเลือกร้านขายผ้าที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก หญิงสาวเข้าร้านไปมองหาคนขายที่ดูเป็นผู้ใหญ่และมีอำนาจ ตรงเข้าไปยกมือไหว้พร้อมแนะนำตัวอย่างอ่อนน้อมว่า

“ฉันชื่อเฮียงจ้ะ อยากจะมาซื้อผ้าสักหน่อยและอยากถามด้วยว่าร้านเจ๊รับฝากขายดอกไม้ผ้าไหมจ๊ะ เดี๋ยวฉันทำตัวอย่างให้เจ๊ดูก่อน ถ้าเจ๊ถูกใจฉันขอฝากขายหรือเจ๊จะให้ทำส่งก็ได้นะจ๊ะ ฉันทำได้ทั้งปลีกและส่ง ราคาไม่แพง”



Don`t copy text!