แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว

แก่นไม้หอม บทที่ 2 : แม่ผัว

โดย : กิ่งฉัตร

Loading

แก่นไม้หอม นวนิยายออนไลน์ โดย กิ่งฉัตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ กับเรื่องราวที่จะทำให้คุณได้รู้ว่าผู้หญิงเป็นเมียและแม่ไม่ต่างจากแก่นไม้ที่แข็งแกร่ง มั่นคงและทรหดที่ยึดให้ใบได้แผ่กว้าง และหากโลกนี้เชื่อว่าผู้ชายเป็นใหญ่ แต่จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเป็นหยินที่โอบหยางทั้งสิ้น

แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้วว่า การเข้ามาเป็นลูกสะใภ้พิกุลคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วต่อให้เตรียมใจมากมายแค่ไหน ซิ่วเฮียงก็ไม่อาจคาดเดาฝีมือกดขี่ข่มเหงของแม่ผัวที่ชื่อพิกุลได้ เด็กสาวได้ยินมาเหมือนกันว่าคนไทยนั้นด่าเก่ง แต่ความเก่งของพิกุลนั้นมากเกินกว่ามาตรฐานที่หล่อนเคยได้ยินได้ฟังมามาก แม่ผัวหล่อนคนนี้สามารถด่าวนไปทั้งวัน สามารถสรรหาคำด่าได้อย่างมีสีสัน แม้จะไม่เฉียบคมเหมือนมีดแหลม แต่มีดทื่อๆ ที่กรีดเถือแต่ละวันนี่แหละที่สร้างความเจ็บปวดให้มากกว่านัก

ทุกวันนอกจากด่าว่าแล้ว พิกุลยังคอยจ้องจับผิดเด็กสาวทุกเรื่อง

ซิ่วเฮียงนั้นตัดเสื้อผ้าเก่งเพราะหล่อนช่วยแม่ย้อมผ้าเย็บผ้าเย็บดอกไม้ส่งขายมาตั้งแต่เด็ก ดอกไม้ผ้าที่หล่อนเย็บเป็นเข็มกลัดติดเสื้อหรือกิ๊บติดผมสวยเหมือนดอกไม้จริง งานบ้านงานเรือนหล่อนก็ทำได้ดีประณีตเรียบร้อย แต่แม่ผัวกลับด่าว่าหล่อนเป็นพวกมือห่างตีนห่างทำอะไรไม่ได้เรื่อง ซิ่วเฮียงทำอาหารเก่งเพราะหล่อนช่วยแม่ทำกับข้าวให้คนทั้งบ้านมาตั้งแต่เล็ก หล่อนจับมีดจับตะหลิวก่อนเด็กทั่วไปจับดินสอจับพู่กันเสียด้วยซ้ำ แต่แม่ผัวติว่ากับข้าวกับปลาที่หล่อนทำจืดชืดแดกไม่ลง

และแม้ปากจะบ่นว่าตำหนิ แต่พิกุลกลับให้หล่อนทำงานบ้านทุกอย่าง ตื่นเช้าขึ้นมาหุงข้าวเตรียมอาหาร เสื้อผ้าของคนในบ้านเมื่อก่อนมาลัยเป็นคนซัก แต่พอซิ่วเฮียงมาเป็นสะใภ้งานพวกนี้ก็ถูกโยนมาให้หล่อนทั้งหมด หนำซ้ำยังต้องเย็บเสื้อปักชุนกางเกงผ้านุ่งให้กับทุกคนในบ้านอีก

ตกเย็นหลังจากกินข้าวแล้ว พนมจะออกจากบ้านไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูง ส่วนซิ่วเฮียงที่ทำงานมือเป็นระวิงตั้งแต่เช้าต้องจัดการล้างถ้วยชาม เก็บกวาดบริเวณที่นั่งกินข้าวจนพื้นกระดานมันปลาบ จากนั้นเมื่อเรือโป๊ะถูกจูงเข้าเทียบท่า แม่ผัวหล่อนก็จะพาซิ่วเฮียงกับลูกสาวสองคนไปที่แพปลาเพื่อรับจ้างควักไส้ปลา

แพปลาขนาดใหญ่แทบทุกเจ้าเต็มไปด้วยปลาทูที่กองราวกับภูเขาลูกย่อมๆ คนงานที่ทำหน้าที่ควักไส้ปลาส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงกับเด็ก ส่วนพวกผู้ชายทำงานพวกใช้แรงงานขนปลาหรือนึ่งปลาที่ถูกทำความสะอาดแล้ว งานพวกนี้พนมไม่ยอมทำ เกี่ยงว่างานหนัก น่าเบื่อ เงินก็ไม่มาก สู้ไปช่วยเพื่อนขายของที่สถานีมหาชัยหรือไปขับเรือข้ามฟากท่าฉลอมมหาชัยไม่ได้ ซึ่งพิกุลก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้าลูกสะใภ้หรือลูกสาวไม่สบายหรืออิดออดไม่อยากทำ แม่ผัวของซิ่วเฮียงจะด่าว่าขี้เกียจสันหลังยาวตั้งแต่ออกจากบ้านไปจนถึงแพปลาเลยทีเดียว

การทำงานที่แพปลาไม่มีอะไรยาก แค่เปิดแก้มปลาดันเหงือกไปด้านหนึ่งแล้วดึงไส้ปลาทูออกมาเพื่อไปหมักเป็นน้ำปลาหรือทำแกงไตปลาเท่านั้น ปลาทูที่ล้วงไส้แล้วก็ใส่ถังไว้ ค่าแรงนับตามถังที่ทำได้ งานนี้ดูๆ แล้วเหมือนงานสบายไม่ต้องออกแรงแบกหาม ทว่าช่วงเวลาทำงานนั้นยาวนาน เรือโป๊ะทยอยกันเทียบท่า ปลาทูถูกถ่ายจากเรือสู่แพปลาตลอดเวลาจนเหมือนไม่รู้จักจบสิ้น ซิ่วเฮียงไม่ใช่คนเกี่ยงงานหนัก แต่วันแรกๆ หล่อนไม่ชินกับกลิ่นคาวปลา ไม่ชินกับการที่ทั้งตัวตั้งแต่ผมจรดเท้ามีแต่กลิ่นเหม็นคาวตลบไปหมด เลยรู้สึกเหมือนว่าเหม็นมากกว่าคนอื่นๆ

กลับถึงบ้านทุกคนทั้งเหนื่อยทั้งง่วง ส่วนใหญ่ก็ล้างเนื้อล้างตัวลวกๆ แล้วล้มตัวลงนอน แต่ซิ่วเฮียงทนกลิ่นคาวคลุ้งที่ติดตัวมาจากแพปลาไม่ไหวต้องอาบน้ำสระผมฟอกสบู่ก่อนนอนทุกวัน หล่อนมั่นใจว่าใช้เวลาไม่มาก แต่แม่ผัวไม่ชอบใจด่าลั่นว่า

“ตะบอยอาบอยู่นั่นแหละ เป็นคุณนายมาจากที่ไหนกันยะแม่คุณ หรือหอยมึงใหญ่กว่าชาวบ้านเขาถึงล้างไม่สะอาดเสียที แล้วสบู่น่ะใช้ให้มันน้อยๆ หน่อย ของต้องซื้อมานะยะไม่ใช่สอยเอาได้จากต้นไม้ข้างทาง เงินทั้งนั้นที่มึงถูทิ้งลงท่อไป”

เสียงของแม่ผัวที่ชื่อพิกุล…แต่คำพูดจากปากไม่หอมเหมือนดอกพิกุลร่วงเหมือนในนิทานของไทยที่ซิ่วเฮียงเคยได้ยิน…ดังไปสามบ้านแปดบ้าน เรียกว่าบ้านอยู่ท้ายซอยคนที่อยู่บ้านหน้าปากซอยได้ยินกันทั่ว ซิ่วเฮียงทั้งโกรธทั้งอายจนน้ำตาซึม แต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมาเพราะกลัวถูกด่าซ้ำว่าหน้าบาง สิ่งเดียวที่หล่อนทำได้คือปรับทุกข์กับผู้ชายข้างตัว

พนมทำท่าเห็นใจ แต่ไม่เคยออกหน้าช่วยพูดกับแม่เขาเพื่อหล่อนสักคำ ชายหนุ่มทำเพียงปลอบว่า

“แม่แกก็บ่นไปงั้นแหละ แกเป็นคนปากร้ายใจดีไม่มีใครเขาถือสาแกหรอก เฮียงก็ทำตามใจแกหน่อยอย่าไปขัดใจอะไรแก อดทนหน่อยตามใจแกมากๆ อย่าเถียงอย่าดื้อ อยู่ด้วยกันไปนานๆ แม่แก คุ้นกับเฮียงเมื่อไหร่แกก็เลิกบ่นเลิกด่าเฮียงไปเองนั่นแหละ”

ซิ่วเฮียงยิ้มขมไม่อยากแย้งว่า แน่ใจหรือว่าเวลาจะช่วยได้ ดูอย่างพ่อสันต์ของเขาปะไร อยู่กินกับแม่พิกุลมายี่สิบกว่าปี คุ้นเสียยิ่งกว่าคุ้นยังโดนด่าทั้งเช้าทั้งเย็น แต่นั่นแหละ…พูดไปจะมีประโยชน์อะไร  ขนาดผัวกับลูกสาวยังถูกด่าไม่ไว้หน้า ลูกสะใภ้ที่เพิ่งเข้าบ้านอย่างทำได้ก็เพียงแค่กัดฟันทน  ช่วงแรกนั้นลำบากไม่น้อย หล่อนล้างตัวไม่สะอาด นอนทั้งที่เหม็นตัวเองตลบ พะอืดพะอมเพียงใดก็ต้องฝืนทน…

นอกจากทนทำงานกับปลาแล้ว เนื่องจากแพปลาแต่ละแห่งมีปลาทูเข้ามามากมาย เจ้าของแพก็ใจกว้างแบ่งปลาทูสดบ้างปลาทูนึ่งบ้างให้เพื่อนฝูงคนรู้จัก ให้กันทีเป็นเข่งเป็นลังใหญ่ๆ พวกคนงานก็ได้รับปลาคัดทิ้งบางส่วนหรือซื้อหาปลาได้ในราคาถูกแสนถูก ถูกและมีมากขนาดต้องเอาปลาทูมาใช้หมักเป็นน้ำปลากันเลยทีเดียว ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่กับข้าวส่วนใหญ่ในบ้านของคนขี้เหนียวอย่างพิกุลจึงเป็นปลาทู ปลาทูและปลาทู

ซิ่วเฮียงต้องกินปลาทูทุกวัน เบื่อแค่ไหนก็ต้องกิน ทำเองกินเอง กินปลาทูตอนเย็น ตอนค่ำก็ไปง้างแก้มดึงเหงือกควักไส้ปลาเป็นถังๆ เนื้อตัวรมด้วยกลิ่นคาวของปลาสดๆ จากพะอืดพะอมตอนแรกกลายเป็นค่อยๆ ชาชิน สุดท้ายความชาชินเปลี่ยนเป็นการต่อต้านรังเกียจรุนแรง

เนิ่นนานหลังจากนั้น เด็กน้อยที่ซิ่วเฮียงเลี้ยงมากับมือเคยถามอย่างแปลกใจว่า

“ทำไมเฮียงแจ้ไม่กินปลาทูล่ะ นี่ปลาทูแม่กลองของแท้นะ หน้างอ คอหัก ตัวใหญ่ขนาดนี้เข่งนึงสองสามตัวขายเกือบสามร้อยแน่ะ”

“ไม่กิน เหม็นคาว” ซิ่วเฮียงเลื่อนจานปลาทูทอดออกไปห่างตัว

คนถามเลยฉวยจานขึ้นมาดมฟุดฟิดด้วยความสงสัย

“เหม็นคาวตรงไหน ไม่เหม็นเลย หอมน่ากินออก”

ซิ่วเฮียงอยากจะบอกว่า กลิ่นเหม็นคาวนั้นไม่ได้เกิดที่ตัวปลาตรงหน้า แต่มันฝังลึกในความทรงจำ ทั้งเหม็นและขมขื่นจนแค่คิดว่าต้องกินปลาพวกนี้ลงไป ท้องไส้หล่อนก็ป่วนปั่นอยากจะอาเจียนแล้ว…

แต่เกรงว่าพูดไปจะหาว่าคนแก่ ‘ดัดจริต’ หล่อนจึงแค่ยิ้มๆ ไม่เล่าไม่อธิบายใดๆ

การตัดสินใจของผู้คนต่อของบางสิ่งหรือหลายสิ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ตาเห็น จมูกรับกลิ่น ลิ้นรับรสเท่านั้น แต่มันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่มีกับสิ่งของเหล่านั้นด้วย และปลาทูกับซิ่วเฮียงนั้นถือว่าเลวร้ายสุดขีดจริงๆ เพราะกว่าจะชินกับกลิ่นคาวปลาซิ่วเฮียงแอบนอนร้องไห้อยู่แทบทุกคืน ร้องจนหยุดร้องเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะมีแรงร้องได้อีก

เมื่อก่อน…เด็กสาวที่เติบโตเป็นหญิงสาวในชั่วข้ามคืนเคยคิดว่าอยู่บ้านลำบากเหลือเกิน ต้องตื่นแต่เช้ามาหุงข้าวทำกับข้าว สายซักผ้า กลางวันก็ช่วยแม่เย็บผ้าประดิษฐ์ดอกไม้ผ้า ตกบ่ายก็รีดผ้า หล่อนทำงานบ้านสารพัดตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แต่อย่างน้อยอยู่บ้านหล่อนก็กินอิ่มทุกมื้อ อาจจะได้ขนมน้อยกว่าน้องๆ ชิ้นสองชิ้น แต่ก็อิ่ม ไม่ต้องกินไม่เคยเต็มท้องหรือแอบซ่อนอาหารไม่ให้แม่ผัวเห็น

อยู่บ้าน…เหนื่อยก็พัก ง่วงก็นอน เตี่ยกับม้ารู้ว่าหล่อนไม่ใช่คนขี้เกียจ หล่อนไม่เคยอยู่เฉย ไม่มีงานบ้านก็หยิบผ้ามาเย็บดอกไม้ไว้ขาย แต่พิกุลด่าหล่อนทุกวันว่าขี้เกียจสันหลังยาว ซิ่วเฮียงทำงานจนแทบจะล้มพับแต่กลับพักไม่ได้ กลางวันทำงานบ้านกลางคืนไปควักไส้ปลาพุงปลา

อยู่บ้าน…เตี่ยกับม้าด่าหล่อนบ้างเหมือนกันแถมบางครั้งยังลงไม้ลงมือ ซิ่วเฮียงเสียใจน้อยใจแต่ไม่เคยรู้สึกแสบร้อนไปทั้งหัวใจเหมือนตอนถูกพิกุลกระทบกระแทกแดกดัน

ทุกวันหล่อนต้องหวาดระแวงคอยดูสีหน้าแม่ผัว ใช้ชีวิตเหมือนหนูที่อยู่ในกรงแมว กลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ

แต่ทุกวันที่ซิ่วเฮียงทนอยู่ ทนทำงานหนัก ทนถูกเอารัดเอาเปรียบ ทนฟังเสียงด่าเสียงกระแทกแดกดันของพิกุล ทน…ทน…ทนได้เพราะเชื่อว่าพนมรักหล่อน ทุกครั้งที่ท้อซิ่วเฮียงจะนึกถึงสายตาของพนมที่เคยมองหล่อนด้วยความรัก มองเหมือนจะกลืนกิน มองเหมือนกับว่าหล่อนคือโลกทั้งใบของเขา ความทรงจำนั้นทำให้หล่อนยังยืนหยัดอยู่ได้ไม่ล้มคว่ำลงไป

ทุกวันหญิงสาวพร่ำบอกให้ความหวังกับตัวเองว่า สักวันมันต้องดีขึ้น คงจะมีสักวันที่แม่สามีจะมองหล่อนในแง่ที่ดีขึ้น หรือไม่ถ้าซิ่วเฮียงมีลูกสักคน พิกุลอาจเห็นแก่หลานและไม่เล่นงานหล่อนมากนัก

ทว่า…ซิ่วเฮียงฝันหวานมากเกินไป พิกุลไม่ได้ดีใจหรืออ่อนลงแม้แต่น้อยเมื่อรู้ว่าลูกสะใภ้ตั้งท้อง ตรงกันข้ามหล่อนดูหงุดหงิดบ่นอย่างไม่เกรงใจว่า

“จะรีบมีกันทำไม พวกมึงมีปัญญาเลี้ยงลูกกันแล้วหรือ สุดท้ายก็เดือดร้อนกูอีก”

พนมฟังคำบ่นแบบกระแทกกระทั้นของมารดาโดยไม่โต้แย้งสักคำ ตอนซิ่วเฮียงบอกเขาเรื่องลูก พนมก็เหมือนจะตื่นเต้นดี แต่สักพักก็เหมือนจะหายเห่อ ยิ่งมาเจอพิกุลอบรมเขาก็คล้อยตามโดยง่าย แม้ตอนนี้อายุชายหนุ่มจะขึ้นเลขสองนำหน้าไม่ถือว่าเป็นเด็กแล้ว มีเมียแล้ว แต่ยังไม่อยากมีภาระรับผิดชอบ ยิ่งมารดาแจกแจงความยุ่งยากเรื่องเลื้ยงดูเด็กเขายิ่งฝ่อไม่อยากเหนื่อยยาก ทว่าพนมนั้นไม่ถนัดเรื่องแก้ปัญหา ไม่รู้จะรับมืออย่างไร เขาเลยทนฟังพิกุลบ่นอยู่ครู่ก่อนอ้างว่านัดเพื่อนไว้แล้วติดปีกหนีออกจากบ้านไป

“ไอ้พนมมึงก็ดีแต่หัวหดหนีลงรูอย่างเดียว ขยันแต่ก่อเรื่อง ครั้งก่อนก็สร้างเรื่องให้กูตามล้างตามเช็ด ขอให้บวชมึงก็หนีไปสุพรรณ กลับมาดันเสือกหนีบเอานังเจ๊กหน้าขาวมาด้วย แล้วนี่ก็ทิ้งขี้ให้กูเช็ดอีก ไอ้หอกหัก”

พิกุลที่รู้จักนิสัยลูกชายดีด่าตามหลังลูกชายเสียงดังตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอย ส่วน ‘ขี้’ นั้นหน้าขาวราวกระดาษ ตาแดงก่ำ กำมือแน่นกลั้นไม่ให้น้ำตาแห่งความอดสู คับแค้นและเกลียดชังไหลออกมา

สุดท้ายเป็นสันต์ที่เวทนาลูกสะใภ้ที่หน้าตาซีดเซียวเหมือนจนล้มพับลงได้ทุกวินาทีเต็มที เลยพูดตัดบทไปว่า

“ก็แค่เด็กคนเดียว ปากท้องเดียวมันจะสิ้นเปลืองอะไรสักแค่ไหนกัน อีกอย่างลูกไอ้พนมก็หลานแกแท้ๆ แกจะอะไรหนักหนาหือพิกุล”

“ถามฉันไหมล่ะว่าอยากได้ไหม พ่อแม่มันยังเอาตัวกันไม่รอดเลย เหนื่อยกูอีก…” พิกุลบ่น

ซิ่วเฮียงอยากจะเถียงว่าหล่อนเอาตัวรอดได้ พิกุลไม่ต้องเลี้ยงดูอะไรหล่อนเลย ค่ากินค่าอยู่…ถ้าคิดจากค่าแรงจากแพปลาของหล่อนที่แม่ผัวริบไปจนหมดก็ต้องถือว่าพอเพียงแล้ว แถมหล่อนยังต้องทำงานบ้านทุกอย่าง ทุกวันนี้ใครกันแน่ที่เหนื่อยสายตัวแทบขาด

แต่เพราะพิกุลเป็นแม่ของพนม ซิ่วเฮียงไม่อยากแตกหักหรือสร้างปัญหาให้เขา หญิงสาวจึงเหมือนคนน้ำท่วมปากเถียงกลับไม่ได้ โชคดีที่พ่อสามีเหมือนรู้จึงโบกมือไล่ให้หล่อนกลับเข้าห้องไปเสีย ตัวเขาปลอบเมียว่า

“เอาเถอะน่า เฮียงมันคงไม่ปล่อยให้แกเลี้ยงหลานคนเดียวหรอก ลูกมันมันก็ต้องช่วยเลี้ยง แกอย่าตีตนไปก่อนไข้เลยพิกุล”

พิกุลฮึดฮัด แต่คงเพราะด่าลูกชายกับนังเจ๊กตัดผ้าจนเหนื่อยแล้ว หล่อนจึงยอมถอยไม่บ่นต่อทำเสียงกระแทกข้าวของในมือค้อนควักลมแล้งไปเรื่อยเปื่อย

ซิ่วเฮียงเห็นแม่สามีเงียบเสียงไปก็นึกโล่งใจ คิดว่าพิกุลอาจจะยอมรับเรื่องหลานได้แล้ว แต่หล่อนคิดในแง่ดีเกินไปเหมือนเคย ทุกวันพิกุลหาเรื่องด่าลูกสะใภ้อยู่แล้ว พอซิ่วเฮียงท้องและแพ้ท้องหนักมาก หญิงสาวไปทำงานที่แพปลาไม่ได้เพราะเหม็นคาวจนอาเจียนหมดไส้หมดพุง พิกุลก็ด่าหนักขึ้น หาว่าซิ่วเฮียงดัดจริต ทำเป็นแพ้หนักเพราะอยากอู้ไม่อยากทำงานบ้างหรืออยากอ้อนผัวบ้าง แม้ซิ่วเฮียงจะกินอะไรไม่ได้จนผอมหัวโต พิกุลก็ยังหาว่าลูกสะใภ้ตอแหลอยู่ดี

เมื่ออาการแพ้เริ่มดีขึ้น ซิ่วเฮียงก็เหมือนผู้หญิงท้องทั่วไปที่อยากกินนั่นกินนี่ หล่อนอยากบำรุงเด็กในครรภ์ด้วย แต่ติดตรงที่ไม่มีเงินซื้อผลไม้หรือขนมพิเศษอะไรเลย เงินสะสมที่ติดตัวมาจากบ้านใช้หมดไปนานแล้ว ค่าแรงจากการทำงานที่แพปลาพิกุลเก็บหมดไม่มีเหลือถึงมือหล่อน จะขอพนมชายหนุ่มก็บอกว่าไม่มีและไล่ให้หล่อนไปขอจากแม่เขา

ครั้งหนึ่งซิ่วเฮียงอยากกินน้ำอัดลมน้ำดำมาก มากจนแค่คิดก็น้ำลายสอไปหมด หล่อนอยากกินจนยอมเอ่ยปากขอเงินจากพิกุล ทว่าแม่สามีกลับร้องลั่นว่า

“โอ๊ย…ลูกในท้องมึงนี่ช่างวิเศษวิโสเหลือเกินนะแม่คุณ ปากสูงกินน้ำเปล่าไม่ได้ ร่ำร้องจะกินน้ำหวานขวดละหกสลึงสองบาท ไม่รู้เลยหรือไงยะว่าของดีของแพงแค่ไหนกินเข้าไปแล้วก็ออกมาเป็นขี้เป็นเยี่ยวเหมือนกันหมด โคตรเหง้ามึงรวยนักหรือถึงได้กินล้างกินผลาญแบบนี้ ถ้าดัดจริตแพ้อยากกินอะไรนักก็ไปสอยมะยมข้างทางจิ้มเกลือเอา หรือถ้ายังเสี้ยนอยากกินน้ำดำก็วักน้ำล้างปลาน้ำหมักปลากินไป ไป๊” พิกุลกวาดตามองสะใภ้จีนที่หล่อนไม่ถูกชะตาตั้งแต่เห็นหน้าแล้วเบ้ปากเอ่ยว่า “แหม…อยากกินของแพง ถ้าอยากนักมึงควรหนีตามลูกเศรษฐี ไม่ใช่หอบผ้าตามไอ้พนมมา!”

หญิงสาวฟังแล้วสะอึกจุกแน่นในอกไปหมด ตามปกติพิกุลก็พูดจาจิกกัดแบบนี้ ยามไม่ท้องซิ่วเฮียงก็พยายามไม่ใส่ใจปล่อยคำด่าคำเสียดสีนั้นผ่านหูไป แต่ตอนท้องอารมณ์ของหล่อนอ่อนไหวเป็นพิเศษ ทำให้คำด่าที่ควรจะชาชินแล้วกลับเหมือนหนูสกปรกที่กัดทึ้งร่างกายและจิตใจ ทำให้อยากจะกรีดร้องดังๆ ด้วยความเกลียด

แต่ทำไมไม่รู้ซิ่วเฮียงร้องไม่ออก มีแค่น้ำตาแห่งความอัดอั้นที่ไหลลงอาบแก้ม

และนั่นทำให้พิกุลยิ่งโมโห

“ไม่ต้องมาทำสนิมสร้อยแถวนี้ ผัวมึงไม่อยู่ไม่ต้องมาทำตัวเป็นแม่วิไลวรรณ (1)  แสดงบทบีบน้ำตาเรียกร้องความสงสาร ดัดจริตอ้อยส้อย ไปเลยนะไปให้พ้นหน้ากู เสนียดตากูจริงๆ เลยนังเจ๊กหน้าขาวนี่ แม่ก็อย่างนี้ไม่รู้ลูกมันออกมาจะล้างผลาญกูขนาดไหน ไอ้พนมมันโง่ถึงได้คว้าผู้หญิงแบบนี้มาเป็นเมีย”

ซิ่วเฮียงร้องไห้อย่างคับแค้นใจ ร้องจนปวดตาจมูกตันหายใจไม่ออกต้องหอบหายใจทางปาก สมัยก่อนอยู่บ้านเตี่ยเป็นคนปากร้าย มักด่าว่าหล่อนประจำ ซิ่วเฮียงเจ็บปวด น้อยใจแต่ไม่เคยรู้สึกแค้นจนเหมือนจะกระอักแบบนี้ หล่อนไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมพิกุลถึงได้จงเกลียดจงชังหล่อนมากขนาดนี้

หล่อนเคยถามพนมด้วยคำถามนี้ แต่เขาปลอบปัดๆ แบบขอไปทีด้วยคำพูดเดิมๆ ว่า

“แม่แกก็เป็นแบบนี้แหละ ปากร้ายใจดี เฮียงอย่าคิดอะไรมากเลย ทนๆ แกหน่อย พออีกสักพักแกเห็นความดีของเฮียงแกก็เลิกบ่นเลิกด่าไปเอง”

พนมกล้าบอกเสียที่ไหนว่าความชิงชังระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้คู่นี้เกิดขึ้นเพราะเขา พิกุลอยากให้ลูกชายคนโตบวชเรียนเพื่อให้หล่อนและผัว ‘เกาะชายผ้าเหลือง’ ขึ้นสวรรค์นานแล้ว แต่ชายหนุ่มบ่ายเบี่ยงมาเรื่อย กระทั่งช่วงงานบุญใหญ่วัดโกรกกราก พนมกับเพื่อนปากเปราะไปเกี้ยวแม่ค้าขายขนมในงาน ตามตอแยไม่เลิกไม่รา แม่ค้าสาวมีลูกผัวแล้วและไม่มีใจกับพวกพ่อพวงมาลัยแบบพนมจึงด่าทอไปหลายคำ พนมกับเพื่อนโมโหเลยคว่ำถาดขนมไปหลายถาด แถมยังปัดตะเกียงแก๊สล้มไฟลวกแขนแม่ค้าสาว สามีกับพี่ชายแม่ค้าเลยตามมาเอาเรื่อง กะจะกระทืบพวกพนมให้จมตีน พิกุลต้องควักเงินจ่ายค่าเสียหายและค่าทำขวัญไปไม่น้อยเรื่องจึงสงบลง

หลังเกิดเรื่องพิกุลขอให้ลูกชายบวชเผื่อกล่อมเกลาให้เขาเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น แต่พนมอ้างว่าผัวแม่ค้ารายนั้นยังตามข่มขู่ เขาขอไปหางานทำกับเพื่อนที่สุพรรณก่อนสักห้าหกเดือน พอกลับมาสมุทรสาครเมื่อไหร่จะบวชให้แม่เกาะชายผ้าเหลืองสมใจ แต่พอเอาเข้าจริงๆ พนมกลับพาซิ่วเฮียงกลับมาด้วย และเหมือนเคยที่เขาหาเรื่องอ้างไปเรื่อยว่า

‘เฮียงไม่อยากให้ฉันบวช ไม่รู้ไปเอาความคิดมาจากไหนว่ากลัวฉันบวชแล้วจะไม่สึก เฮียงเลยอยากให้ช่วยกันทำมาหากินก่อนสักสองสามปี แม่ก็รอหน่อยเถอะนะ ให้เฮียงมันสบายใจคุ้นเคยกับที่นี่หน่อยแล้วฉันจะบวชให้แม่แน่นอน’

พิกุลผิดหวัง ด่าลูกชายว่าได้เมียแล้วลืมแม่ แต่พนมทำหูทวนลมเสีย แถมมีอะไรที่ขัดใจแม่ก็โทษว่าเป็นความคิดของซิ่วเฮียง

พิกุลที่ไม่ถูกชะตากับซิ่วเฮียงอย่างประหลาดอยู่แล้วยิ่งโกรธยิ่งชิงชังลูกสะใภ้ หาว่าหล่อนเป็นพวกนอนยุผัวให้ไม่เชื่อฟังแม่ ซิ่วเฮียงก็เป็นพวกไม่มีปากมีเสียง อดทนอดกลั้น ข่มง่าย ส่วนพื้นนิสัยพิกุลเป็นพวกชอบข่มคนที่อ่อนกว่าอยู่แล้วจึงยิ่งเหยียบลูกสะใภ้ไว้ใต้ฝ่าเท้า ใช้หล่อนเป็นที่ระบายอารมณ์ยามที่บังคับเล่นงานอะไรลูกชายไม่ได้

โชคไม่ดีที่ตอนพิกุลด่านั้นหล่อนด่ากราดอย่างเดียวไม่เคยเอ่ยถึงสาเหตุปัญหาที่อยู่ในใจจริงๆ ซิ่วเฮียงจึงไม่เคยรู้เลยว่าความชิงชังของแม่ผัวนั้นมีบ่อเกิดมาจากไหน รู้แต่ว่าแม่ผัวเห็นว่าหล่อนเป็นตัวมารที่เข้ามาในชีวิตลูกชายเท่านั้น

ซิ่วเฮียงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน จนถึงวันนี้…อารมณ์แปรปรวนของหญิงมีครรภ์กับน้ำหวานหนึ่งขวดทำให้ความอดทนอันแสนขมขื่นถึงจุดสิ้นสุด หล่อนไม่เชื่อคำหว่านล้อมของพนมอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าต่อให้หล่อนทำงานจนมือหงิกพิกุลก็ไม่มีทางชื่นชมยินดี ทำดีเพียงไหนสิ่งที่ตอบแทนกลับมามีเพียงการจับผิดและทำด่าทอ

พิกุลไม่เคยเห็นความดีของใครนอกจากความดีจอมปลอมของตัวเอง ซิ่วเฮียงแน่ใจว่าไม่ว่าจะทำตัวดีวิเศษเหมือนนางฟ้าเทวดาลงมาโปรดสัตว์ แม่ผัวใจดำเหมือนอีกาอย่างพิกุลก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจมารักเอ็นดูหล่อนได้

แล้วทำไมหล่อนต้องทน ทำไมต้องยอมทำงานเหมือนวัวเหมือนควายตั้งแต่สายจนเกือบเช้า ทำไมต้องยอมถูกด่าตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหลับตาลง ทำไมต้องยอมอดๆ อยากๆ ขนาดน้ำหวานขวดเดียวอยากจะกินใจแทบขาดยังกินไม่ได้

ซิ่วเฮียงตัดสินใจแล้วว่าหล่อนจะไม่ทนอยู่ร่วมบ้านกับแม่ผัวอีก หญิงสาวชวนพนมย้ายออก ไม่ต้องไปหาบ้านเช่าเลิศหรูอะไร ขอแค่ห้องเช่าเล็กๆ พอซุกหัวนอนไปก่อน จากนั้นค่อยๆ ขยับขยาย

พนมตะลึงไปกับความคิดของซิ่วเฮียง เขามีท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน

“ทำไมต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่น อยู่บ้านนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว”

ซิ่วเฮียงฟังแล้วยิ้มขม ในบ้านนี้คนที่สบายดีเห็นจะมีแต่ผู้ชายตรงหน้าหล่อนคนเดียวนั่นแหละ เมื่อก่อนหญิงสาวนึกว่ามีแต่คนจีนที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาว ทว่าพิกุลทำให้หล่อนรู้ว่าจะเหมารวมว่าคนจีนแบบนั้นคนไทยแบบนี้ไม่ได้ คนจีนที่รักลูกสาวก็มีถม คนไทยที่รักแต่ลูกชายอย่างพิกุลก็มีให้เห็นเหมือนกัน

แม้พิกุลจะด่าลูกชาย แต่ก็ควักเงินจากชายพกส่งให้มือเป็นระวิง อีกทั้งลูกชายหล่อนหล่อนด่าได้คนเดียว คนอื่นแตะต้องไม่ได้ น้องสาวสองคนมีหน้าที่รับใช้พี่ชาย ส่วนซิ่วเฮียงรับใช้คนทั้งบ้านอีกที คนอื่นในบ้านกินข้าวกับปลาทูแบบไม่มีทางเลือกอื่น ขนาดสันต์เองก็ต้องก้มหน้าก้มตากินไปไม่บ่น มีแต่ชมว่าซิ่วเฮียงเก่งที่รู้จักพลิกแพลงนำปลาทูมาทำกับข้าวแบบต่างๆ ที่เขาไม่เคยกินมาก่อน แต่พนมเป็นคนเดียวในบ้านที่เลือกได้ อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ลุกหนีหายออกจากวงสำรับพร้อมเงินติดมือ พิกุลด่าตามหลังลูกชายคนเดียวว่า

“ไอ้ลูกล้างผลาญ” จากนั้นก็กินข้าวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่ถ้าเปลี่ยนคนเป็นสันต์หรือสามสาวที่เหลือในบ้านลุกเดินออกไปหาอะไรกินนอกบ้านแบบนี้ พิกุลด่าบ้านแตก แถมไม่ด่าเปล่า อะไรที่อยู่ใกล้มือ…แม่ผัวซิ่วเฮียงคว้าขว้างใส่หัวผู้ที่คิด ‘ขบถ’ หมด

และเวลาที่พิกุลเปิดฉากด่า คนอื่นหนีไม่ได้ แต่พนมเผ่นแน่บไปตั้งแต่แม่เขาเริ่มโหมโรงแล้ว ดังนั้นบ้านนี้จึง ‘สบายดี’ สำหรับพนม แต่เป็นนรกสำหรับซิ่วเฮียง

“เฮียงไม่สบาย” ซิ่วเฮียงบอกตรงๆ หล่อนเคยเกรงใจพนมไม่อยากพูดไม่ดีเรื่องพิกุลให้เขาไม่สบายใจ แต่ตอนนี้หญิงสาวทนไม่ไหวแล้ว ใครจะว่าหล่อนไม่ดีไม่เคารพแม่ผัวก็ให้พูดไป ถ้าให้ทนอยู่แบบนี้ต่อไปสักวันหล่อนคงเป็นบ้าแน่นอน “แม่ด่าเฮียงทุกวัน”

“แม่แกด่าเพราะหวังดี”

ซิ่วเฮียงหัวเราะเพราะอดไม่อยู่จริงๆ หล่อนถาม

“หวังดีตรงไหน”

“ตรงที่อยากให้พวกเราขยันทำงานทำการ”

“ตื่นเช้าเฮียงทำกับข้าว ซักผ้า ถูบ้าน หมักน้ำปลาหรือไม่ก็แล่ปลาตากแดด ตอนบ่ายรีดผ้า ทำกับข้าวมื้อเย็น ล้างจานทำความสะอาดครัว แล้วก็ไปทำงานที่แพตั้งแต่ดึกจนกว่าเรือโป๊ะจะเข้าท่าหมด อย่างนี้ยังขยันไม่พอหรือพนม” หญิงสาวถามน้ำเสียงน้อยใจ

พนมอึกอัก เขารู้ว่าซิ่วเฮียงทำงานบ้านทุกอย่าง เมื่อก่อนมาลัยซักผ้ารีดผ้าส่วนวาสนาทำกับข้าว ตอนนี้ทั้งคู่มีเวลาออกไปงมหอยหรือรับจ้างขายของในตลาดมากขึ้น ส่วนเขานั้นไม่ได้ผลกระทบอะไรเลยไม่ค่อยใส่ใจนัก พอซิ่วเฮียงแจกแจงแบบนี้ชายหนุ่มก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ก่อนเลี่ยงว่า

“เมื่อก่อนอยู่บ้านที่สุพรรณเฮียงก็ทำงานแบบนี้ไม่ใช่หรือ”

“ทำ แต่ไม่ได้ทำทุกอย่างของทุกคนแบบนี้”

เซียมลั้งนั้นยามไม่ได้เย็บดอกไม้ก็ช่วยลูกสาวคนโตกวาดบ้านถูบ้านทำกับข้าว ซิ่วเซียงก็มีหน้าที่ซักผ้าตากผ้าก่อนไปเรียนหนังสือ เลิกเรียนมาก็ช่วยงานบ้านก่อนทบทวนบทเรียนก่อนนอน อาเส่งเป็นลูกรักก็จริงแต่เลิกเรียนกลับมาก็ต้องมาช่วยเก็บผักเก็บหญ้ารดน้ำสวนครัวด้านหลังบ้าน ไม่มีใครทิ้งงานทั้งหมดให้ซิ่วเฮียงแล้วเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเหมือนที่ครอบครัวของพนมทำ

“จะให้ฉันบอกลัยกับหนาให้ช่วยงานเฮียงไหม” พนมเสนอ ลัยคือมาลัย หนาคือวาสนา

ซิ่วเฮียงส่ายหน้า น้องสาวสองคนของพนมนั้นมาลัยคนโตหน้าเหมือนแม่แต่นิสัยเงียบๆ เหมือนพ่อ เหมือนแม้แต่เรื่องกลัวแม่จนหัวหด พิกุลสั่งอะไรก็ทำตามไม่กล้าขัดขืน แต่ก็ยังถือว่าพอมีน้ำใจช่วยอะไรพี่สะใภ้ได้ก็พยายามช่วยอยู่ ผิดกับวาสนาที่หน้าตาดีเหมือนพ่อเหมือนพี่ชาย ทว่านิสัยกลับคล้ายพิกุล เด็กสาวใช้ซิ่วเฮียงเหมือนใช้คนรับใช้ แต่เดิมก็ไม่ค่อยได้ช่วยงานบ้านเท่าไรแค่ทำกับข้าวนิดๆ หน่อยๆ กับดูแลล้างถ้วยชามเท่านั้น ตอนนี้มีซิ่วเฮียงแล้วยิ่งสบาย ทิ้งงานทุกอย่างให้พี่สะใภ้ ส่วนตัวเองนั้นพยายามหางานเป็นลูกจ้างในตลาดในมหาชัย เพราะไม่ชอบไปงมหอยตากแดดตัวดำเหมือนมาลัย ตัวพิกุลเองก็เหมือนจะเอ็นดูลูกสาวคนเล็กอยู่พอสมควร เพราะถึงแม้จะยังบังคับให้ไปทำงานที่แพตอนค่ำ แต่ทำไปได้ไม่กี่ชั่วโมงหล่อนก็ไล่ลูกคนนี้กลับด้วยเหตุผลที่ต้องตื่นไปรับจ้างขายของในตลาดตอนเช้า

สรุปแล้วมาลัยขี้กลัว วาสนาชอบเอาเปรียบ แต่ทั้งคู่ไม่เคยพูดจาด่าทอหรือเหน็บแนมให้ซิ่วเฮียงช้ำใจ

ไม่เหมือนกับพิกุล

ซิ่วเฮียงคิดว่าตัวหล่อนก็เหมือนกับโคนันทวิศาลที่อาเส่งเคยเล่าให้ฟัง นี่ถ้าพิกุลพูดกับหล่อน…ไม่ต้องอ่อนหวานเอาใจ…แค่ขอให้พูดด้วยเมตตาสักนิด หญิงสาวก็พร้อมจะทำงานถวายหัวให้แบบไม่คิดชีวิต

“เฮียงไม่ได้อยากให้ลัยหรือหนามาช่วยงาน เฮียงทำงานหนักได้ แต่เฮียงทนแม่ด่าไม่ไหวแล้ว”

“ก็แค่คำด่า” พนมเริ่มหงุดหงิด “อดทนหน่อยไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้”

“ทำไมไม่ได้ คนอื่นเขาทนกันได้ทั้งนั้น”

“เพราะคนอื่นที่พนมว่าคือลูกผัวแม่พิกุลไง แต่เฮียงไม่ใช่…” ซิ่วเฮียงตาแดงด้วยความอัดอั้นตันใจ แต่พยายามคุมไม่ให้น้ำตาไหลออกมา หล่อนร้องไห้เพราะพิกุลมามากแล้วมากเกินไปแล้ว “แม่พนมไม่เคยคิดว่าเฮียงเป็นคนบ้านนี้เลย อย่างที่แม่แกพูดไว้วันแรกแหละว่าเฮียงเป็นแค่คนแปลกหน้า ลูกในท้องก็เป็นแค่ภาระไม่ใช่หลานแก แกไม่อยากมีหลานเพราะกลัวหลานจะเป็นปลิงสูบเลือดสูบเนื้อแก”

“แม่แกไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย เฮียงคิดมาก”

“ทุกคำพูดของแม่พิกุลทำให้เฮียงคิดน้อยไม่ได้หรอก แม่พนมเกลียดเฮียง และเฮียงก็เหนื่อยกับการพยายามทำให้แม่แกรักแล้ว พนม…เฮียงไม่ไหวแล้วจริงๆ เราย้ายออกเถอะ เราจะอาศัยอยู่กับแม่พิกุลกับพ่อตลอดไปไม่ได้หรอกนะ พอมีลูกห้องแค่นี้ไม่พอนอนหรอก ที่เดินแทบไม่มีจะปูฟูกนอนให้ลูกตรงไหน พื้นก็เย็น เราหาบ้านใหม่ที่ดีกว่าที่นี่เถอะ เช่าห้องสักห้องก็ได้ ห้องที่เป็นห้องจริงๆ พนม…ถ้าพนมไม่เห็นแก่เฮียงก็เห็นแก่ลูกเถอะนะ”

พนมยกมือก่ายหน้าผาก สำหรับผู้ชายที่เกียจคร้านและรักสบายจนเข้าขั้นหยาบอย่างเขา ห้องที่สร้างจากไม้เก่าเต็มไปด้วยรอยแตกมาตีเป็นฝาสูงไม่เคยมีปัญหาอะไร พื้นที่แม้จะเล็กขนาดแมวดิ้นตายแต่พอตั้งตั่งนอนและตู้พลาสติกหลังหนึ่งมุมห้อง พื้นปูนเย็นจริงชื้นจริงแต่พอปูเสื่อน้ำมันแล้วก็ไม่ได้แย่อะไร แค่ที่ซุกหัวนอนไม่ใช่หรือ มันจะอะไรกันนักกันหนาเชียว…

ความคิดของเขาสะดุดเมื่อได้ยินเสียงคนเดินปึงๆ จากชั้นบนลงมาเข้าส้วมที่อยู่ติดกับฝาห้องเขา คนนั้นน่าจะเป็นพิกุลเพราะทำเสียงดังตึงตังอย่างไม่เกรงใจใคร เสียงขับถ่ายหนักๆ เสียงราดน้ำโครมคราม

ซิ่วเฮียงยิ้มขม หล่อนรอจนคนปวดหนักคนนั้นเดินกระแทกเท้ากลับขึ้นไปแล้ว จึงเอ่ยอย่างมุ่งมั่นว่า

“พนมไม่ย้ายก็ได้ แต่เฮียงไม่อยู่แน่”

“ถ้าไม่อยู่บ้านนี้แล้วจะไปอยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มเสียงอ่อนลงมาก “ค่าเช่าบ้านจะเอาจากไหน ค่ากินค่าอยู่ แล้วยังต้องเตรียมเงินไปค่าหมอค่ายาตอนคลอดอีก”

“เฮียงทำงานหาเงินได้” ซิ่วเฮียงตอบอย่างดีใจที่เห็นอีกฝ่ายเริ่มคล้อยตาม

“ถ้าเฮียงย้ายออกแม่แกต้องโกรธจนไม่ยอมให้ไปทำงานที่แพปลาสมบัติแน่”

“ถ้าทำที่นี่ไม่ได้ก็ไปทำที่อื่น มหาชัยไม่ได้มีแพปลาเจ้าเดียวเสียหน่อย”

“แม่แกตามไปอาละวาดแพแตกหมดแหละ จะแพใครก็ช่างแกสนที่ไหนกัน” พนมคาดเดาได้จากนิสัยของมารดา

“งั้นเฮียงไม่ไปทำงานที่แพปลา เฮียงจะหางานอื่นทำ สองมือมี เรี่ยวแรงมี เฮียงไม่กลัวว่าจะอดตายหรอก ขนาดหมาข้างถนนมันยังไม่เคยอดตายเลย เราจะแพ้หมาได้ยังไง” ซิ่วเฮียงเอ่ยอย่างสดใส สองมือยกวางทาบหน้าท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อย ดวงตาดำสนิทคู่นั้นเป็นประกายด้วยความคาดหวัง

พนมทำเสียงเหมือนเออออในลำคอ ใจคิดว่าคนกำลังท้องกำลังไส้อย่าเพิ่งไปขัดใจอะไรแล้วกัน อยากจะย้ายไปอยู่เองก็ย้ายไปก่อน ถ้าไปแล้วเอาตัวไม่รอดก็กลับมาให้แม่แกด่าสักหน่อยเท่านั้นเอง

 

เชิงอรรถ :

(1) วิไลวรรณ วัฒนพานิช นักแสดงหญิงชื่อดังเจ้าของฉายา “ดาราเจ้าน้ำตา” วิไลวรรณมีผลงานการแสดงทั้งภาพยนตร์และละครโทรทัศน์มากมาย และเธอเป็นนักแสดงนำหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม รางวัลตุ๊กตาทองในปี พ.ศ. 2500



Don`t copy text!