นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มของมิเชลฉายชัดถึงความพึงใจยามจ้องมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึงในความงามราวภาพเขียน หากแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยิ่งทวีความขุ่นเคืองจนต้องเอ่ยถามเขาซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง
“ฉันถามว่ามองฉันด้วยเหตุใด” หญิงสาวเริ่มเสียงดังจนเขาเห็นเด็กชายผมจุกที่ยืนอยู่ด้านหลังกระตุกแขนเบาๆ เพราะชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาเริ่มหันมามอง
“หามิได้ดอกคุณผู้หญิง กระผมเพียงแค่แปลกใจที่หญิงสยามพูดจาภาษาต่างชาติได้” เขาตอบกลบเกลื่อนด้วยไม่อาจบอกความจริงได้ว่าเขากำลังชื่นชมความงามของหล่อน
“แปลกอันใดกัน บ้านเมืองเรามีผู้คนต่างเชื้อชาติมากมายทั้งอยู่อาศัยแลติดต่อค้าขาย”
หญิงสาวพูดจบก็หันไปสั่งซื้อน้ำสำหรับตนเองและเด็กชายที่ยืนมองเขาอย่างสนใจ เมื่อมิเชลยิ้มให้เด็กคนนั้นก็ยิ้มตอบเขาจนตาปิดเผยให้เห็นฟันขาวเรียงกันไม่ต่างจากหญิงสาวที่มาด้วย หากแต่แตกต่างจากแม่ค้าที่ขายของให้เขาซึ่งเป็นหญิงสาวเช่นกันแต่ยามแย้มยิ้มกลับเห็นฟันเป็นสีดำ
“พี่โชติๆ นายคนนี้ท่าทางอยากคุยกับพี่นะจ๊ะ ฉันเห็นจ้องพี่ตาไม่กะพริบเทียว”
“มิต้องสนใจดอกเจ้าแดง พี่ว่าเราไปทางโน้นเถิด พี่บอกแม่ว่าจักเพียงเดินมาหาซื้อกระถางดินเผาจากเกาะเกร็ด”
“แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ใช่ไหมจ๊ะ” เด็กชายผมจุกย้อนอย่างรู้ทัน
“สมกับเป็นน้องรักพี่จริง เดี๋ยวพี่ซื้อขนมให้กิน”
“ฉันกินไม่ไหวแล้วจ้ะพี่โชติ เมื่อก่อนออกมาจากบ้านพี่ป้าแสงก็ให้กะละแมมากิน”
“เช่นนั้นเย็นนี้กลับไปกินข้าวแช่ที่เรือนพี่ก็แล้วกัน” หญิงสาวเอ่ยถึงอาหารประจำเทศกาลที่แม่ของหล่อนลงมือตระเตรียมการทำล่วงหน้ามาหลายวันโดยมีลูกสาวอย่างเธอช่วยเป็นลูกมือพร้อมทั้งบ่าวอีกหลายคน เมื่อกลางวันนี้แม่ก็นำไปทำบุญที่วัด ส่วนเธอไปบ้านมิสซิสเฮาส์แล้วจึงกลับมาตอนกลางวันจึงยังไม่ได้ลิ้มรสข้าวแช่ฝีมือมารดาเลย
“ดีจริง ฉันจะชวนใหญ่กับอ้นไปด้วยนะพี่”
“ได้สิ เดี๋ยวขากลับพี่จะแวะเรียกสองคนนั้นที่เรือนก็แล้วกัน พวกผู้ใหญ่เขาคงกินกันตั้งแต่เมื่อกลางวันที่วัดแล้ว มีแต่พวกเรานี่แหละที่ยังไม่ได้กิน” หญิงสาวพูดจบก็ออกเดินนำเด็กชายไปยังเรือขายของจำพวกดินเผา
“ประเดี๋ยวก่อนคุณผู้หญิง” เสียงเรียกตามหลังของชายหนุ่มรั้งฝีเท้าที่กำลังเร่งรีบของโชติให้ช้าจนในที่สุดก็หยุดลง
“มีสิ่งใดฤๅ” หญิงสาวส่งสายตาเรียบเฉยอย่างที่มิเคยเป็น
“ผมอยากทราบว่าหากต้องการไปแถววัดสามพระยาตรงบางขุนพรหมต้องไปอย่างไร”
เขาแสร้งถามเพียงแค่อยากยืดเวลาพูดคุยกับหญิงสาวเท่านั้นเพราะถึงอย่างไรนายต่วนก็ต้องพาเขาที่นั่นอยู่แล้ว
“ท่านต้องการไปแถวนั้นด้วยเหตุใดกัน” คิ้วสีดำได้รูปขมวดเข้าหากันขณะดวงตาสีนิลกลมโตรื่นเริงบัดนี้มีวี่แววสงสัย
“ผมทราบมาว่าเป็นวัดเก่ามาแต่ครั้งแผ่นดินก่อนแลผู้คนละแวกนั้นเป็นชาวมอญ ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการค้าขายใบลานด้วย ผมเดินทางมาด้วยท่านกงสุลฝรั่งเศส มาเมืองบางกอกเพื่อหาข้อมูลไปเขียนหนังสือ”
เขาอธิบายละเอียดเพียงเพื่อให้เธอหยุดฟังซึ่งดูเหมือนความคิดของเขาจะถูกต้องเพราะหญิงสาวกำลังมองเขาอย่างสำรวจ
“มาด้วยท่านกงสุลฤๅ” แววตาของโชติแปรเปลี่ยนจากความเฉยเมยเป็นความรู้สึกที่มิเชลไม่อาจคาดเดาได้
“ใช่แล้วคุณผู้หญิง ตกลงว่าหากต้องการไปที่วัดนั้นต้องไปอย่างไร”
โชติปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วจึงตอบกลับไปอย่างสุภาพหากทว่ากลับยิ่งดูห่างเหินกว่าเดิมจนชายหนุ่มไม่กล้าถ่วงเวลาเธอไว้ต่อไป
“ท่านคงมิต้องวิตกไปดอก ผู้ติดตามของท่านคงนำทางไปได้เป็นแน่ ใช่หรือไม่จ๊ะน้า” หญิงสาวมองมิเชลและนายต่วนผู้ที่เธอคิดว่าเขาได้ยินรวมถึงเข้าใจบทสนทนาระหว่างเธอกับเจ้านายของเขาโดยตลอด จากนั้นโชติหันมาจูงมือเด็กชายแดงผู้กำลังจ้องเธอและมิเชลตาแป๋วด้วยความอยากรู้ ก่อนที่หญิงสาวจะออกเดินไปยังทิศทางตรงข้ามกับเขาโดยไร้คำตอบ
ทว่าในใจของมิเชลยังงงงันและเต็มไปด้วยคำถามว่าเหตุใดหญิงสาวจึงมีปฏิกิริยาราวต่อต้านเขาเช่นนี้
บ่ายคล้อยแล้วเมื่อหญิงสาวและแม่รวมถึงเด็กชายแดงกลับมาถึงเรือน ผู้คนละแวกบ้านผู้ซึ่งล้วนเป็นเครือญาติต่างทยอยเดินออกจากวัดกลับเรือนของตน เรือนสองชั้นริมน้ำของหญิงสาวที่คึกคักยามเช้า
บัดนี้ดูจะเงียบลงเพราะท่าน้ำไม่มีเรือของผู้มาจับจ่ายสินค้าแล้ว นางแสงปล่อยให้บุตรสาวและเด็กชายผู้เป็นลูกสมุนขนของที่โชติอ้างว่าจะไปซื้อขึ้นเรือนกันเอง นางทราบดีว่าโชติเพียงแต่อยากเดินเล่นจึงทำทีเป็นขอไปซื้อของที่ท่าน้ำใกล้กับวัดส้มเกลี้ยงอันเป็นอาณาบริเวณที่ไม่ไกลจากเรือนคุณพร้อมหรือหลวงภูบดินทร์พิทักษ์ ด้วยว่าเรือนของขุนนางหนุ่มผู้นั้นปลูกอยู่ระหว่างวัดคอนเซ็ปชั่นและวัดเซ็นฟรังซิสซาเวียร์อันเป็นชุมชนคริสต์ทั้งสองแห่ง แม่จันภรรยาของคุณพร้อมนั้นเป็นบุตรสาวของขุนนางผู้นำชุมชนชาวญวนที่อพยพมาแต่ครั้งแผ่นดินก่อน ส่วนคุณพร้อมเป็นน้องสาวของเจ้าจอมวาดผู้สนิทคุ้นเคยกับเธอมาแต่ครั้งเยาว์วัย สองพี่น้องเป็นเชื้อสายท่านพระยาเจ้าของบ้านใกล้กับวังหน้านั่นเอง เมื่อคุณพร้อมแต่งงานได้ปลูกเรือนใกล้กับบ้านพ่อตาเนื่องด้วยทั้งตระกูลฝ่ายชายรู้กันดีว่าบ้านใหญ่นั้นท่านเจ้าของตั้งใจจะมอบให้กับพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดากลิ่น
“แม่จ๊ะ เดี๋ยวฉันขอตั้งสำรับของว่างตรงท่าน้ำนี้นะจ๊ะ จะให้เจ้าแดงแลเพื่อนมากินข้าวแช่กันตรงนี้” หญิงสาวบอกกล่าวขณะหยิบหม้อดินเผาใบย่อมจากเรือ
“ได้สิ แม่จะให้พวกบ่าวยกมาไว้ให้ วันนี้คุณพ่อคงมิกลับมารับข้าวเย็นหรือมิใช่” นางเอ่ยถามบุตรสาวผู้รู้ความเป็นไปของบิดายิ่งกว่านางผู้เป็นภรรยา
“จ้ะ เห็นว่าอยู่หารือกับคุณลุงเรื่องให้กงสุลเข้าเฝ้า” แววตาสนุกสนานรื่นเริงแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เมื่อเอ่ยถึงกงสุลจิตใจให้กระหวัดไปถึงเรื่องที่พบชายชาวฝรั่งเศสเมื่อครู่
“เรื่องการบ้านการเมืองแม่มิใส่ใจ ตัวเราเองก็เถิดแม่โชติ เป็นหญิงควรจักหัดอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนบ้าง มิใช่เที่ยวตะลอนไปเรื่อย เช้าบ้านแหม่มบ่ายก็บ้านเจ้าคุณ นี่ถ้ามิใช่สงกรานต์แม่อาจลืมไปแล้วเทียวว่ามีลูกสาว” เสียงมารดาอ่อนใจหากก็ไม่ได้เคร่งครัดด้วยรู้ดีว่าคุณพระผู้เป็นสามีรักและตามใจบุตรสาวคนเดียว ทั้งบ้านฝ่ายสามียังความคิดผิดแผกจากคนทั่วไปว่าบุตรสาวนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่โยงกับบ้านเพื่อปรนนิบัติสามีเพียงอย่างเดียว ดังเห็นได้จากคุณหญิงอ่วมพี่สามีของเธอผู้ที่เป็นคู่คิดให้สามีมาตลอด เมื่อน้องชายคนเดียวมีบุตรสาวคือแม่โชติคุณอ่วมจึงขอรับไปดูแลตั้งแต่เล็ก ถ่ายทอดความคิดอ่านที่เกินสมัยให้โชติหากแต่ไม่ลืมให้หญิงสาวได้กลับมาอยู่กับเธอบ้างเพื่อโชติจะได้ไม่ลืมว่าตนเองมีวงศ์วานว่านเครือเป็นคนบ้านลาน
“ฉันก็มาอยู่บ้านแล้วนี่จ๊ะ แม่อย่าบ่นนักเลย” หญิงสาววางของในมือตรงใต้ถุนเรือนอันเป็นที่เก็บใบลานที่รับมาจากบ้านบางตะไนย์เมืองนนทบุรีอันเป็นแหล่งปลูกต้นลาน มีบ่าวหญิงมาหยิบไปเก็บในห้องอย่างรู้งาน
“แล้วนี่แซมไปไหนเล่าจ๊ะ” หญิงสาวมองตรงเสาเรือนซึ่งจานข้าวคลุกปลาทูพร่องไปจนเกือบหมด
“แม่มิรู้ดอก แต่วันๆ มันก็วิ่งไปทั่วแถวนี้แหละ”
“ซนจริงๆ แซม แซม อยู่ไหนเนี่ย” หญิงสาวเดินร้องเรียกไปยังทิศทางที่มารดาชี้ เสียงเรียกเหมียวๆ ของหญิงสาวดังไปทั่วบริเวณ มีเสียงตอบรับไกลๆ อย่างรู้ว่าเจ้านายร้องเรียกหากก็ยังไม่เห็นตัว หญิงสาวจึงเดินออกไปบ้านใกล้ๆ โรงอบลานที่อยู่หลังบ้านแต่ก็ไม่พบ หญิงสาวจึงเดินเรื่อยไปใกล้กับทางไปวัดก็เห็นใบหน้ากลมเล็กภายใต้ขนสีดำเงางามดวงตาสีดอกบวบ ขนใต้คอมีสีขาวเป็นกระจุก เจ้าตัวเล็กกำลังเดินแกมวิ่งมาหาหญิงสาวอย่างออดอ้อน เมื่อมาถึงมันกลิ้งตัวลงแทบเท้าผู้เป็นเจ้าของพลางเอาหัวถูไถไปกับมือหญิงสาวที่กำลังทรุดตัวนั่งเล่นกับเจ้าเหมียวแสนซน
“ไปเที่ยวหน้าวัดมาอีกแล้วใช่หรือไม่ คราวที่แล้วหลวงพ่อบอกว่าเอ็งขโมยปลาย่างฤๅ ข้าให้ข้าวมิอิ่มหรือแซม ซนนักเทียว” หญิงสาวเอื้อมมือไปขยุ้มพุงกลมของเจ้าเหมียวอย่างหมั่นเขี้ยวก่อนอุ้มเจ้าสี่ขาขึ้นมาแนบอกอย่างรักใคร่เอ็นดู
โชติอุ้มแมวตัวโปรดเดินไปบ้านเด็กชายใหญ่และอ้น ไม่นานเด็กชายทั้งสองก็เดินมาพร้อมหล่อนและเข้าวิ่งไปสมทบกับแดงซึ่งรออยู่ที่ริมน้ำ โชติเดินทอดน่องตามไปอย่างสบายใจแต่ขณะที่หญิงสาวกำลังหันหลังกลับเข้าไปในบ้านก็กลับได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ และการสนทนาภาษาฝรั่งเศสระหว่างชายสองคน
“หลังนี้แหละขอรับที่มีโรงอบลาน ได้ยินว่าใหญ่ที่สุดในละแวกแลมีใบลานมากมายให้เลือกซื้อ” หญิงสาวยืนชะงักอยู่อย่างนั้น มือที่อุ้มเจ้าเหมียวขนดำเป็นมันวาวรัดแน่นจนมันดิ้นหลุดจากพันธนาคารไปยังทิศทางตรงข้าม และเมื่อหันไปเพื่อจะจับมันหญิงสาวก็พบสบตากับดวงตาประกายเจิดจ้าคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความยินดีเปล่งประกายชัดเจนโดยมิต้องเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา
“คุณผู้หญิง!”
ริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อของฝ่ายชายแย้มยิ้มออกมาเผยให้เห็นฟันสวยรับกับใบหน้าเรียวมีเหลี่ยมสันได้รูป
“ท่านเองฤๅ” โชติอุทานออกมาอย่างแผ่วเบา แม้ไม่แปลกใจที่เห็นเขาที่นี่หากแต่เธอกลับไม่คิดว่าจะต้องเจอกันอีก
“คุณอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่” เขาเดาได้ทันทีด้วยกิริยาที่หญิงสาวแสดงออกมานั้นชัดเจน
“ใช่ นี่บ้านฉันเอง ท่านต้องการสิ่งใด” เมื่อเห็นเจ้าเหมียวกำลังเดินสำรวจรอบตัวชายหนุ่มอย่างไม่หวั่นเกรงโชติจึงร้องเรียกออกไป “แซม มานี่มา” หากแต่เจ้าแซมกลับมิได้นำพา มันยังคงเดินดมไปรอบๆ รองเท้าสีดำของชายหนุ่ม
“แมวของคุณหรือ” เมื่อเห็นหญิงสาวพยักหน้าเขาจึงสนทนาต่อไป “น่ารักมากทีเดียว”
“แซม เข้าบ้านเร็ว” หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งจนชายสไบสีเขียวขาบระลงกับพื้นแล้วตั้งใจเรียกชื่อสัตว์เลี้ยงของหล่อนอีกรอบ คราวนี้เจ้าเหมียวหมดความสนใจจากผู้แปลกหน้าแล้วผละมาหาเจ้าของอย่างเต็มใจ
“บ้านคุณขายใบลาน เหตุใดจึงมิใคร่บอกผม” เขาเอ่ยยิ้มๆ
“มิใช่เรื่องต้องบอก วันนี้ร้านปิดแล้ว ท่านต้องการใบลานมากสักเท่าใด วันพรุ่งมารับได้ ฉันจะแจ้งคนให้ตระเตรียมไว้” โชติยืนขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบหากก็มิได้ห้วนจนอีกฝ่ายรู้สึกว่าไร้น้ำใจ
“มิต้องดอก วันหน้าผมคงมาอีกด้วยตนเอง”
หญิงสาวจ้องมองดวงตาอีกฝ่ายราวต้องการค้นหาความนัย หากแต่เธอกลับมิพบความเคลือบแคลงแฝงเร้นสิ่งใดนอกจากความความจริงใจที่ส่งมา ชายหนุ่มก้มศีรษะแสดงการกล่าวลาแล้วหันหลังกลับไป โชติมองเขาที่เดินไกลออกไปครู่หนึ่งจึงเลี้ยวเข้าบ้าน หญิงสาวตรงไปยังศาลาริมน้ำที่บัดนี้เด็กชายสามคนกำลังนั่งหัวร่อรอหญิงสาวอย่างเพลิดเพลิน เมื่อเห็นโชติกำลังเดินมาพวกเขาก็ตะโกนเรียกอย่างดีใจแล้วจึงรีบจัดแจงที่นั่งตรงกลางบนตั่งยาวสำหรับหญิงสาว ก่อนจะเปิดชามข้าวอันมีน้ำลอยดอกชมนาดหอมกรุ่นให้เธออย่างเอาใจ จากนั้นทั้งสามจึงค่อยๆ เปิดชามของตนแล้วลงมือรับประทานข้าวแช่พร้อมกับข้าวที่ต่างมีสำรับแยกของตนอย่างเอร็ดอร่อยโดยที่ไม่รู้ว่าหญิงสาวกำลังมีเรื่องครุ่นคิดในใจสักนิด
“ยังมินอนดอกหรือ แม่โชติ” เสียงทุ่มต่ำของบิดาเอ่ยถามอย่างห่วงใยเมื่อก้าวขึ้นเรือนแล้วเห็นบุตรสาวยังนั่งรออยู่ตรงหอนั่ง โชติหยิบใบลานออกมาสานเป็นรูปปลาตะเพียนอย่างครุ่นคิด อากัปกิริยาที่แสดงออกมาดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจงานตรงหน้านอกจากเพียงแค่ทำเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงผู้ที่รอคอยหญิงสาวจึงวางงานในมือโดยพลันแล้วขยับตัวออกจากหมอนอิงในลักษณะนั่งตรงอย่างกระตือรือร้น
“คุณพ่อมาพอดี ลูกกำลังรออยู่ทีเดียว” ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาล้วนแสดงชัดเจนว่าบุตรสาวบ้านนี้สนิทสนมกับบิดา
“รอพ่อ มีเรื่องใดฤๅแม่โชติ” พระนรินทรราชเสนากล่าวบุตรสาวพลางนั่งลงเคียงข้างอย่างเอ็นดู
“ลูกอยากทราบเรื่องที่เจ้าคุณลุงหารือกับคุณพ่อเจ้าค่ะ ได้ยินว่ากงสุลฝรั่งเศสจะเข้าเฝ้าในหลวงใช่หรือไม่คะ” สีหน้ากระตือรือร้นของโชติทำเอาผู้เป็นบิดาที่เคร่งเครียดมาทั้งวันยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน
“อยากรู้ไปด้วยเหตุใดกัน มิใช่เรื่องของผู้หญิง” วาจาของบิดาเอ่ยตำหนิหากแววตาแสดงออกชัดเจนว่าภูมิใจในตัวบุตรสาวที่สนใจและใส่ใจความเป็นไปของบ้านเมืองซึ่งผู้เป็นบิดาปลูกฝังมาแต่วัยเยาว์
“หามิได้เจ้าค่ะ วันนี้ลูกไปเดินซื้อของแถวสามเสนระหว่างรอแม่คุยกับน้าจัน บังเอิญได้เจอฝรั่งคนหนึ่ง เขาบอกว่าเขามากับกงสุลคนใหม่ค่ะ” หญิงสาวส่งขันน้ำลอยดอกมะลิให้บิดาและหยิบพัดมาโบกไปมาอย่างเอาใจ “วันก่อนได้คุยกับครูเฮาส์ ลูกก็ถามท่านเรื่องนี้แต่ท่านไม่ใคร่รู้รายละเอียดมากนักดอกค่ะ”
“ท่านกงสุลคนใหม่มาถึงแล้วจริงดังที่ลูกรู้ แลวันพรุ่งจักเข้าเฝ้าในหลวงเพื่อเจรจาเรื่องเขตแดนเขมร” พระนรินทรราชเสนามีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังขึ้นมาทันทีที่เอ่ยถึงเรื่องความเมือง
“แลคุณพ่อคิดว่าครานี้ฝรั่งเศสจักบังคับให้ในหลวงทำตามที่เจรจาได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เรื่องนี้ทางโน้นบีบเราว่าตนเองมีสิทธิ์เหนือดินแดนเขมรด้วยเข้าครองญวนได้สำเร็จ แต่ทางเขมรเองเข้าสวามิภักดิ์กับราชสำนักสยามมานาน แลหวังว่าเหตุการณ์จะเป็นไปตามที่พ่อคาดหวัง” ผู้เป็นบิดาเอ่ยอย่างเคร่งขรึมหากแววตาคล้ายมีบางสิ่งซ่อนเร้นลึกล้ำซึ่งบุตรสาวกลับไม่ได้สังเกต
“คราวสัญญาเรื่องภาษีแลคนในบังคับก็เช่นกัน มาคราวนี้จักมาเอาเปรียบเรื่องดินแดนอีก เหตุใดทั้งอังกฤษแลฝรั่งเศสจึงมิเข้ามาฉันมิตรเยี่ยงพวกมิชชันนารีเจ้าคะคุณพ่อ” กระแสเสียงอ่อนใจของหญิงสาวที่เอ่ยเรื่องการทำสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศสแสดงให้เห็นว่าเธอเข้าใจสถานการณ์บ้านเมืองอย่างดี มือขวาที่กำลังโบกพัดไปมาชะงักลง แววตาหญิงสาวไม่สดใสรื่นเริงเช่นเดิม
“ยามนี้สิ่งที่เราทำได้ก็คงต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์กับทั้งอังกฤษแลฝรั่งเศสให้ได้ทั้งสองฝั่ง หากเพลี่ยงพล้ำอาจเป็นเราเองที่จักต้องเสียเปรียบ นั่นย่อมหมายถึงผู้คนที่ไม่รู้เรื่องต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย” พระนรินทรราชเสนาเอ่ยเสียงสุขุม แววตามองไปบนท้องฟ้าที่บัดนี้แสงจันทร์ส่องลงมาตรงลานกลางบ้านสว่างนวลตา เมื่อหันมามองหน้าบุตรสาวก็พบดวงตากลมโตที่เคยสุกใสมีวี่แวววิตก สองพ่อลูกสบตากันอย่างเข้าใจโดยมิเอ่ยคำใดออกมาด้วยต่างรู้ดีว่าทุกอย่างต้องรอเวลาเพื่อให้เหตุการณ์คลี่คลาย สุดแท้แต่ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดเท่านั้นเอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 33 : โมงยามแห่งความทรงจำ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ