สูตรหวานซ่อนรัก บทที่ 1 : ความสูญเสียของปรีชญา
โดย : Feelgood
สูตรหวานซ่อนรัก โดย Feelgood เรื่องราวของ ปรีชญา ผู้ทำอาหารไม่เป็นแต่ถูกท้าให้ลงแข่งทำขนมโดยมีโรงงานขนมหวานของพี่ชายเป็นเดิมพัน ปฏิบัติการเรียนทำขนมจึงเกิดขึ้น โดยมีเขา…อดีตรักยากจะลืมเป็นคนสอน ผลลัพธ์เป็นอย่างไร สิ่งที่เขาทุ่มเทให้เธอจะเวิร์คไหม หาคำตอบได้ที่อ่านเอา anowl.co เว็บไซต์นวนิยายคุณภาพที่มาพร้อมความสนุก
แสงของเปลวเพลิงที่สว่างวาบออกมาจากเตาเผาขนาดใหญ่ตรงหน้า เรียกสติของ ‘ปรีชญา’ ให้หวนกลับคืน
ความโศกเศร้าและความอ้างว้างเกาะกินหัวใจดวงน้อยจนแทบลืมว่าความสุขที่เคยมีนั้นหน้าตาแบบไหน หากไม่ได้เพื่อนรักอย่างมัทนาคอยอยู่เคียงข้าง เธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่าชีวิตในขณะนี้จะหันเหไปทางไหน
เพราะไม่ใช่แค่เพียงความสูญเสียที่เธอต้องเผชิญ แต่กลับเป็นความโกลาหลในครอบครัว ที่ซ้ำเติมให้เธอรู้สึกแย่มากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัวนัก
และมันก็แย่เสียจนมองไม่ออก ว่าเธอจะผ่านไปได้อย่างไรในวันที่หัวใจอ่อนแอถึงเพียงนี้
“ปีใหม่…”
เจ้าของชื่อวัยยี่สิบเก้าปีหันกลับไปมองต้นเสียง ดวงตากลมโตบวมแดงจนคนมองอดสงสารไม่ได้
รูปร่างบอบบางเสริมให้ภาพลักษณ์ของปรีชญาในสายตาของผู้เป็นอาน่าเป็นห่วงขึ้นอีกเป็นกอง แม่ของเธอจะรู้บ้างไหม ว่าหัวใจของลูกแหลกสลายจนไม่เห็นเค้าลางของเด็กสาวที่เคยร่าเริงและมีรอยยิ้มที่สดใสอีกเลย
“อาเกริกมีอะไรหรือเปล่าคะ”
เธอถามพร้อมกับหยิบกระดาษออกมาซับคราบน้ำตา ไม่สนใจว่าผู้ที่เอ่ยปากเรียกนั้นจะมีธุระเร่งด่วนอะไร
“อาจะให้หนูกลับก่อน ไม่ต้องอยู่รอจนเผาเสร็จหรอกลูก พี่โต้งกับยายต้องกำลังจะกลับบ้าน แม่ของหนูก็จะกลับไปพร้อมกัน อาก็เลยคิดว่า…”
“ปียังไม่กลับค่ะ ถ้าแม่อยากกลับพร้อมพี่โต้งก็ให้กลับได้เลย ปีจะรอกลับพร้อมพ่อ”
น้ำเสียงของหญิงสาวไม่มีแววยินดียินร้ายในสิ่งที่ได้ยิน หันกลับมาจ้องที่ภาพขนาดใหญ่อีกครั้งพร้อมกับเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้า ปลายนิ้วไล้สัมผัสไปมาบนกรอบกระจกอย่างเชื่องช้า พลันน้ำตาที่เอ่อล้นก็ไหลรินออกมาราวกับไม่มีทีท่าว่าจะเหือดหาย
“ปีอยากส่งคุณปู่ให้สุดทาง นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ปีจะทำเพื่อคุณปู่ได้”
“แต่หนูเหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้วนะลูก อาว่าหนูควรจะกลับไปพักผ่อนได้แล้ว”
“อาเกริกอย่าบังคับปีเลยนะคะ ปีอยากอยู่กับคุณปู่”
“ปี…”
“นะคะ…ปียังไหว ปีอยากอยู่จนเสร็จเรื่องก่อน”
“งั้นปีกลับพร้อมอาก็แล้วกัน”
เกริกพลบอกเพียงเท่านั้น ยืนมองหลานสาวอยู่ครู่ใหญ่ เข้าใจดีว่าเพราะอะไรปรีชญาถึงเศร้าโศกกับการจากไปของบิดาท่านถึงเพียงนี้
อาณาเขตบ้านรัตนพัทธ์นั้นกว้างขวาง คุณพ่อของท่านหรือคุณปู่วิเชียร รัตนพัทธ์ แบ่งที่ดินออกเป็นสามแปลงใหญ่ และอีกหนึ่งแปลงเล็ก
แปลงแรกมีหน้ากว้างของที่ดินมากกว่าแปลงอื่น ท่านยกให้นายก้องภพลูกชายคนโต เพราะลูกคนนี้ร่วมสร้างทุกอย่างกับท่านมาตั้งแต่แรกเริ่มจนสามารถตั้งตัวได้มาจนถึงปัจจุบันนี้
ที่ดินแปลงซ้ายติดกับถนนตัดใหม่ยกให้ลูกชายคนรองคือเกริกพล และที่ดินอีกฟากที่ติดกับคลองสายเล็กตลอดแนวนั้น ยกให้ลูกสาวคนเล็กที่ชื่อว่าพิมพรรณ
ส่วนแปลงย่อยที่เป็นเศษส่วนนั้น เป็นบ้านของคุณย่าอรุณศรี น้องสาวเพียงคนเดียวของคุณปู่วิเชียรที่ไม่มีครอบครัวหรือญาติที่ไหนเหลืออยู่อีก
คุณปู่วิเชียรอาศัยอยู่กับลูกชายคนโตมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ด้วยความที่บ้านหลังใหญ่ปลูกขึ้นเป็นหลังแรก จึงยึดติดที่นี่เป็นบ้านโดยไม่คิดจะย้ายไปอยู่กับลูกคนไหน
ซ้ำท่านยังติดหลานชายและหลานสาวบ้านนี้มากกว่าใคร โดยเฉพาะเด็กหญิงปีใหม่ ที่ใครๆ ต่างก็ทราบดีว่าเป็นเหมือนแก้วตาดวงใจของผู้เป็นปู่ จนทำให้พิมพรรณลูกสาวคนเล็กนึกน้อยใจบิดาอยู่เสมอ คิดเอาเองว่าท่านรักพราวลดาลูกของเธอน้อยกว่าหลานทุกคน
ดีหน่อยตรงที่พราวลดาไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเหมือนแม่ อาจจะเป็นเพราะเจ้าหล่อนมีนิสัยนิ่งเฉย ไม่ชอบสุงสิงกับใครเหมือนชัชชนผู้เป็นบิดา เธอจึงไม่กระวีกระวาดทำสิ่งใดเพื่อเอาใจผู้เป็นตาให้รักใคร่มากกว่าที่เป็นอยู่ คนที่จ้องแต่จะน้อยใจคุณปู่วิเชียรเป็นบ้าเป็นหลังนั้น จึงมีพิมพรรณแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น
“ไหม้หมดแล้วนะ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเก็บกระดูกอีกทีก็แล้วกัน” เสียงของสัปเหร่อรูปร่างผอมบางดังขึ้นหลังจากความเงียบเข้าปกคลุมบริเวณนั้นครู่ใหญ่
“พวกเราต้องมาที่นี่ตั้งแต่กี่โมงคะตาชื่น”
“เช้าหน่อยก็ดี ถ้าหนูปีอยากใส่บาตรตอนเช้าก็เตรียมของมาด้วยนะ”
“แล้วของอย่างอื่น…”
“บอกคุณก้องไว้หมดแล้ว อ้อ…พรุ่งนี้ใส่เสื้อผ้าสีสดใสหน่อยนะลูก ปู่จะได้ไม่อมทุกข์” คนพูดปรายตามองไปยังมุมหนึ่งของเมรุ เพียงครู่เดียวก็หันกลับมามองใบหน้าเศร้าหมองของปรีชญาอีกครั้ง
“ก็ดีเหมือนกัน คนเราไม่ควรจะจมอยู่กับความทุกข์นานนัก ประเดี๋ยวคนตายก็จะยิ่งเป็นห่วง” เสียงของสตรีรูปร่างสมส่วนดังแว่วมา ไม่นานนักก็เดินมาหยุดอยู่เคียงข้างปรีชญา อดเบ้ปากไม่ได้หลังจากเห็นสีหน้าหมดอาลัยตายอยากของแม่หลานสาวคนโปรดที่ร่ำไห้ออกมาตั้งแต่บ่ายจรดเย็นย่ำ
“นี่แม่พรรณ ถ้าเธอไม่มีอะไรจะพูดก็กลับบ้านไปเสีย พี่เห็นนายชัชกับยายพราวเดินไปขึ้นรถแล้วนี่ ทำไมเธอยังไม่ตามไปอีก”
“เอ๊ะ! นี่ไล่พรรณเหรอคะพี่เกริก!”
“แล้วแต่เธอจะคิด พ่อตายทั้งคนไม่เห็นโศกเศร้า ห่วงอยู่แต่เรื่องเดียว…” น้ำเสียงของคนพูดเงียบหาย เมื่อเห็นพี่ชายของมัทนาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับประคองคุณย่าอรุณศรีเอาไว้
พิมพรรณหันไปมองคุณอาของเธอแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ อยากจะเข้าไปพะเน้าพะนอเพื่อเอาใจ เพราะหวังให้ท่านเอนเอียงมาทางตนเองบ้าง แต่ท่านกลับไม่ยอมห่างคนที่ตนเองเกลียดชังแม้แต่น้อย จึงทำให้ความขุ่นมัวภายในใจพุ่งสูงขึ้นเป็นเท่าทวี
คุณย่าอรุณศรีปรายตามองหลานสาวคนเล็กเพียงครู่ เรื่องที่ถูกร้องขอทำให้ท่านไม่พอใจในความคิดของพิมพรรณเป็นอย่างมาก หากแต่ยังพูดอะไรเพื่อสั่งสอนหลานไม่ได้ เพราะเวลาในแต่ละวันนับตั้งแต่พี่ชายจากไป มีแต่เรื่องให้ต้องจัดการมากมายจนท่านยังนึกสงสารหลานชายทั้งสองคน ที่แทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนเหมือนคนอื่นเสียบ้าง
และคนอย่างพิมพรรณก็ไม่ได้ว่านอนสอนง่ายแบบคนที่ยอมรับฟังคำพูดของใคร ท่านจึงคิดไม่ตก ว่าหลังจากพิธีการต่างๆ เสร็จเรียบร้อย รัตนพัทธ์จะวุ่นวายจากความโลภในใจคนมากน้อยแค่ไหน
“ทำไมอาศรียังไม่กลับอีกล่ะครับ นี่ก็เย็นมากแล้ว เดี๋ยวจะเลยเวลาทานยานะครับ” เกริกพลเดินเข้ามาใกล้ผู้เป็นอา เมธัสจึงถอยห่างตามมารยาท
“อาว่าจะวานให้เจ้าเมษไปส่งที่บ้าน ไม่อยากกลับพร้อมแม่ปิ่น ขี้เกียจฟังเขาบ่นลูกสาว” สายตาฝ้าฟางมองไปยังหญิงสาวที่ถูกพูดถึงชั่วครู่ “เจ้าปีน่าสงสาร แม่ปิ่นก็ไม่เห็นใจลูกบ้างเลย”
“เรื่องนี้พี่ก้องคงจัดการได้ อาศรีอย่าห่วงเลยครับ”
“แน่หรือว่าไม่ต้องห่วง ใช่เรื่องในบ้านอย่างเดียวหรือไง ที่พี่ชายเราต้องจัดการน่ะ”
คำถามนั้นทำให้คนฟังนึกกรุ่นโกรธ พิมพรรณหน้างอ เดินฉับๆ มาหาอาศรีและพี่ชาย จ้องตาเมธัสด้วยสายตาดุดัน จนชายหนุ่มต้องยอมปล่อยแขนคุณย่าอรุณศรีแล้วเดินหนีไปอีกฟาก เพื่อเปิดโอกาสให้ทั้งสามได้พูดคุยกันอย่างเต็มที่ ซึ่งอันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากฟังหรืออยากรับรู้สิ่งใด เพราะเขาเองก็พอจะเดาได้ ว่าเรื่องที่คุณนายพิมพรรณจะพูดนั้น คงไม่พ้นเรื่องที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ในบ้านรัตนพัทธ์ตอนนี้!
ปรีชญาปรายตามองความวุ่นวายขนาดย่อมที่เกิดขึ้นหน้าเมรุด้วยหัวใจแหลกสลาย เสียงถกเถียงที่แว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะหลังจากบิดาของเธอเดินมาสมทบดูเหมือนจะใหญ่โตขึ้น ไม่มีทีท่าว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะจบลงได้ง่ายๆ ทั้งที่ความจริงแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ควรหยิบยกเอามาพูดให้คนนอกได้ยิน
ตาชื่นเข้าใจว่าหญิงสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจของผู้มีพระคุณรู้สึกอย่างไร ท่านจึงเดินเข้ามาใกล้ แตะแขนปรีชญาเล็กน้อย เพื่อส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเดินตามตัวเองลงมาทางบันไดข้างเมรุ ไม่อยากให้หญิงสาวต้องแบกรับสิ่งใดเข้าไปในหัวใจมากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นเรื่องยาก ที่จะบอกให้ปรีชญาไม่ทุกข์กับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“กลับไปพักผ่อนเถอะหนูปี ตรงนี้ผู้ใหญ่เขาคงคุยกันอีกพักใหญ่”
“อาพรรณไม่น่าเป็นหนักถึงขนาดนี้” เธอเปรยเบาๆ สายตาเหม่อลอยเพราะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมหลังจากคุณปู่จากไป เรื่องวุ่นวายในบ้านถึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเช่นนี้
“เขาอาจจะเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว แต่แกไม่เคยเห็นมากกว่า”
น้ำเสียงติดขุ่นเคืองของหญิงสาวอีกคนดังขึ้น สายตาที่ตวัดมองไปยังบุคคลที่ถูกพูดถึงนั้น บ่งบอกสภาวะอารมณ์ของคนพูดได้เป็นอย่างดี
“ยายมัท!” เมธัสปรามน้องสาว ไม่อยากให้พูดสิ่งที่เขาและน้องเคยเผชิญออกมาให้ใครรับรู้
“ช่างเถอะเมษ อย่าไปเอ็ดน้องเลย ที่มัทพูดมานั่นก็ไม่ได้ผิดไป” ตาชื่นโบกมือไปมา คล้ายกับจะบอกเมธัสทางอ้อมว่าอย่าถือสาน้องสาว
“เห็นไหมล่ะ ว่ามัทมองอาพรรณไม่พลาดหรอก!”
คนเป็นน้องหันมายักคิ้วหลิ่วตา เมธัสจึงได้แต่พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ กับการที่น้องสาวถูกถือหางจากชายชราตรงหน้า
“แม่คุณนายพิมพรรณเขาเอาแต่ใจตัวเองมาตั้งแต่เด็ก นิสัยนี้คงแก้ไม่หายง่ายๆ หรอกลูก” พูดพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เห็นครอบครัวนี้มาตั้งแต่ยังไม่มีสิ่งใด กระทั่งตั้งตัวได้จนอยู่ในระดับเศรษฐี
“เป็นเพราะเรื่องลูกสาวคนสุดท้องของคุณปู่ใช่มั้ยคะตาชื่น” มัทนาเอ่ยถามไม่ทันไร พี่ชายก็เดินเข้ามาหยิกแขนอย่างแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้า
“มัทเจ็บนะพี่เมษ!”
“ชักจะพูดจาไม่เข้าท่า ใช่เรื่องของเราที่ไหน!” น้ำเสียงของเมธัสเรียบนิ่ง แต่มัทนารู้ดีว่าพี่ชายกำลังไม่พอใจที่เธอถามออกไปแบบไม่คิด
“เอาเถอะเมษ เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร คนเก่าคนแก่ในละแวกนี้เขาคุ้นเคยกับครอบครัวพี่เชียรมานาน เรื่องที่แม่คุณนายเขาอิจฉาน้องไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรอก” ตาชื่นพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หยิบซองใบจากและยาเส้นออกมามวนแล้วจุดสูบ “พ่อเราสองคนก็รู้เรื่องนี้ ไม่เคยเล่าให้ฟังบ้างเหรอ”
“พ่อเคยบอกว่าอาพรรณอิจฉาน้องตัวเอง เพราะคุณปู่กับคุณย่ารักลูกคนเล็กมาก”
“ไม่ใช่รักมากกว่าลูกคนอื่นหรอก แต่ลูกสาวคนเล็กเขาขี้โรค ป่วยกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่เกิด แม่คุณนายเลยอิจฉา คิดว่าพ่อแม่รักน้องมากกว่าตัวเอง เลยติดนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่เด็กจนโต พี่เชียรก็เหลือเกิน…คิดว่าลูกสาวมีปมในใจ พอเจ้าคนเล็กไม่อยู่ ก็เลยตามใจลูกสาวคนที่สามจนเสียนิสัยแบบนี้”
ปรีชญานั่งฟังเงียบๆ เพราะสิ่งที่ตาชื่นพูดออกมานั้นไม่ผิดไปจากสิ่งที่เธอรับรู้ คุณปู่เคยบอกเธอว่าสงสารอาพรรณก็เลยไม่อยากขัดใจ พี่ชายอีกสองคนก็เห็นตรงกับความคิดพ่อ เลยปล่อยให้ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเรื่อยมา หวังเอาไว้ว่าเมื่อบุตรสาวเติบโตขึ้นจะคิดได้เองว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งปรีชญาก็ได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว ว่าความหวังนั้นไม่มีเค้าลางที่จะเกิดขึ้นจริงเลยสักนิด
อยากได้ต้องได้…นั่นเป็นคำนิยามที่เธอคิดว่าตรงตัวมากที่สุดสำหรับผู้เป็นอา
“นิสัยคนเรายิ่งโตก็ยิ่งแก้ยาก พี่เชียรแกบ่นให้ฟังบ่อยๆ เวลาเจอกัน” ใบจากมวนที่สองถูกม้วนขึ้นมาจุดสูบอีกครั้ง สายตาของตาชื่นมองออกไปเบื้องหน้าราวกับกำลังจ้องมองบางสิ่ง “แกไม่อยากให้ลูกเสียคน แต่ดูสิ…ผลผลิตมันไม่โกหกเราเลยสักนิด”
“ช่างเขาเถอะครับตาชื่น ป่วยการที่จะพูดถึงเรื่องที่แก้ไขไม่ได้” เมธัสเอ่ยตัดบท สงสารปรีชญาจับใจแต่ไม่อาจพูดสิ่งใดออกมาได้
“เออ…ตาก็ไม่อยากพูดถึงนักหรอก หมดพี่เชียรไปคนหนึ่ง คนแถวนี้คงไม่มีใครอยากไปวุ่นวายกับรัตนพัทธ์นัก แม่คนนี้เขาหวงสมบัติของตัวยิ่งกว่าอะไร”
“สมบัติที่พี่ชายช่วยกันสร้างมาพร้อมกับคุณปู่ ตาชื่นต้องพูดแบบนี้ถึงจะถูก” มัทนาเบ้ปาก วาดวงแขนขึ้นมากอดอกเพราะหมั่นไส้คุณนายพิมพรรณเป็นทุน
“พูดมากเกินไปแล้วนะยายมัท!”
“มากตรงไหน มัทพูดความจริงนะพี่เมษ” คนเป็นน้องแย้ง ปรายตาไปมองคนที่ถูกพูดถึงด้วยสายตาขุ่นมัว “เมื่อวานเขาพูดไม่ดีกับมัท หาว่ามัทจะมาเกาะอาก้องกินเหมือนพ่อ ไม่รู้ว่าเอาอะไรคิด!”
“มัท!”
“ก็มันจริงนี่…พ่อช่วยงานอาก้องกับอาเกริกมาตลอด ไม่เคยเกาะใครกินอย่างที่เขาว่า เรื่องที่คุณปู่ส่งให้พี่เมษกับมัทเรียนนั่นก็คนละเรื่อง เขาจะเอามาพูดเป็นบุญคุณของตัวเองไม่ได้”
เมธัสถอนหายใจออกมาเบาๆ เหลือบตามองใบหน้าซึมเศร้าของปรีชญาอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้น้องสาวพูดต่อ โชคดีที่มัทนาเข้าใจในสิ่งที่คนเป็นพี่ต้องการจะสื่อมากพอ สิ่งที่เตรียมจะพรั่งพรูออกมาจึงสงบลงพร้อมกับสีหน้าที่เจื่อนลงของเธอ
“ฉันขอโทษนะปี โมโหมากไปหน่อยเลยไม่ทันคิด”
“ช่างเถอะ…ฉันรู้ดีว่าอาพรรณเป็นคนยังไง” ฝืนยิ้มให้เพื่อนเล็กน้อยแล้วเดินไปนั่งที่ม้านั่งอีกฟาก
“หนูปี…ตารู้ว่าเป็นเรื่องยากที่หนูจะก้าวผ่านเรื่องพวกนี้ไปให้ได้”
“ปีรู้ค่ะว่ามันยาก เพราะปีที่แล้วก็พี่ป็อก ปีนี้ก็…”
จู่ๆ ปรีชญาเงียบไปเพราะไม่อาจพูดสิ่งใดออกมาได้ ก้อนสะอื้นตีบตันอยู่ในลำคอจนไม่อาจฝืน ความสูญเสียที่ต้องเผชิญหนักหนาเหลือเกินในความรู้สึกภายใน ความมั่นคง ความรักที่ยิ่งใหญ่ ความไว้ใจในตัวใครสักคนของเธอถูกพรากจากไปในระยะเวลาห่างกันแค่หนึ่งปี
มัทนารู้ว่าเพื่อนกำลังคิดถึงพี่ชายที่จากไป เธอจึงเดินมาใกล้แล้วคว้าตัวเพื่อนมากอด เสียงสะอื้นของปรีชญาบาดหัวใจคนฟังจนไม่อาจทนมอง
“เข้มแข็งนะปี แกจะผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้ ฉันจะอยู่ข้างแกไม่ไปไหนเด็ดขาด”
“ขอบใจนะมัท”
หญิงสาวผละออกจากอ้อมกอดเพื่อน หันไปหาตาชื่นแล้วถามในสิ่งที่อยากรู้ เห็นท่านจ้องบางสิ่งอยู่หลายครั้งหลายหน แต่มองตามไปทีไรก็ไม่เคยเห็นสิ่งใดนอกจากความว่างเปล่า
“ตาชื่นเป็นเพื่อนกับปู่มานาน แถมยังเป็นสัปเหร่อมาทั้งชีวิต ตาชื่นเห็นคุณปู่อยู่แถวนี้บ้างไหมคะ”
“หนูปี…”
“พี่ป็อกจะมารับคุณปู่ไปอยู่ด้วยกันไหม ปีกลัวว่าคุณปู่จะเหงา”
ไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมาหลังจากได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวพูด หยาดน้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตาของปรีชญาอีกครั้ง เมธัสเป็นคนแรกที่ไม่อาจทนมอง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ายื่นให้แต่ปรีชญาไม่รับ เธอบีบมือของตัวเองแน่นราวกับต้องการสะกดกลั้นบางอย่าง
เขาจึงย่อตัวลงตรงหน้าเธอพร้อมกับซับคราบน้ำใสที่ไหลรินให้อย่างเบามือ ดึงฝ่ามือทั้งสองที่บีบรัดกันจนแน่นออก ไม่ต้องการให้เธอสะกดกลั้นสิ่งใดไว้กับตัว เด็กหญิงปีใหม่ของเขาควรจะมีแต่ความสุขเหมือนที่ผ่านมา
เนิ่นนานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้เจอหน้า นานเท่าไรที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มสดใส คงนานพอๆ กับความรู้สึกที่หยั่งรากฝังลึกอยู่ในหัวใจ ความรู้สึกที่พยายามปกปิดเอาไว้และไม่คิดจะแสดงออกมาให้เธอรู้
“อย่าร้องไห้เลยนะ คุณปู่คงชอบให้ปียิ้ม ป็อกเองก็ด้วย ทั้งสองคนชอบเห็นปีมีความสุข ปีลืมไปแล้วเหรอ” น้ำเสียงของเขาอ่อนหวานจนคนฟังใจสั่น
“ปีคิดถึง…”
เมธัสหลุบตาลงต่ำ มองข้อมือของเขาที่ถูกเธอกอบกุมเอาไว้ ไม่อยากได้คำขยายความในถ้อยคำนั้น ว่าเธอคิดถึงพี่ชายที่จากไปเพราะอุบัติเหตุ คิดถึงคุณปู่ที่จากไปด้วยโรคชรา หรือคิดถึงเขา…คนที่พยายามพาตัวเองออกมาจากทุกความทรงจำของเธอ