สูตรหวานซ่อนรัก บทที่ 4 : คำขอร้องของวิญญาณ

สูตรหวานซ่อนรัก บทที่ 4 : คำขอร้องของวิญญาณ

โดย : Feelgood

Loading

สูตรหวานซ่อนรัก โดย Feelgood เรื่องราวของ ปรีชญา ผู้ทำอาหารไม่เป็นแต่ถูกท้าให้ลงแข่งทำขนมโดยมีโรงงานขนมหวานของพี่ชายเป็นเดิมพัน ปฏิบัติการเรียนทำขนมจึงเกิดขึ้น โดยมีเขา…อดีตรักยากจะลืมเป็นคนสอน ผลลัพธ์เป็นอย่างไร สิ่งที่เขาทุ่มเทให้เธอจะเวิร์คไหม หาคำตอบได้ที่อ่านเอา anowl.co เว็บไซต์นวนิยายคุณภาพที่มาพร้อมความสนุก

“คุณย่าไม่เป็นอะไรแล้วนะปี หลังจากทานยาเสร็จท่านก็หลับไป คุณหมอท่านฝากมาบอกด้วยว่าอย่าให้คุณย่าความดันขึ้นอีก เดี๋ยวจะเป็นอันตรายมากกว่านี้”

“อือ…” ปรีชญาตอบรับมัทนาเบาๆ สายตามองเหม่อออกไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย

“นี่ไอ้ปี แกเป็นไรไป นั่งเหม่อแบบนี้มานานร่วมชั่วโมงแล้วนะ”

เงียบ…ไม่มีเสียงตอบรับใดจากเพื่อนรัก มัทนาจึงชะโงกหน้าไปใกล้ แต่แทนที่เพื่อนจะหันมามองหน้าเธอเช่นทุกครั้ง เธอก็ยังคงเฉย

ปรีชญาก็ยังคงนิ่งเฉยราวกับไม่มีเธออยู่ตรงนั้น

“นี่แกจะเล่นแบบนี้จริงๆ เหรอ ได้ยินที่ฉันพูดหรือเปล่าไอ้ปี”

มัทนาเขย่าแขนเพื่อนอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา เสียงธารน้ำที่ไหลวนอยู่รอบกาย ไม่ได้ช่วยให้ปรีชญามีสติอย่างที่ควรเป็น มือทั้งสองข้างของเธอบีบเข้าหากันจนแน่น สายตาเต็มไปด้วยความเครียดขึง คิดไม่ตกว่าตัวเองควรจะทำอย่างไร กับคำท้าทายที่มีความรักของพี่ชายเป็นเดิมพัน

‘โรงงานขนมเป็นความรักของพี่ เมื่อถึงวันหนึ่ง…พี่จะส่งมอบความรักนี้ให้ปีได้ดูแลต่อนะ’

คำพูดนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของปรีชญา แม้ว่าการพูดคุยอันดุเดือดจะจบลงไปนานกว่าสองชั่วโมงแล้ว แต่หญิงสาวยังคิดไม่ตกว่าเธอควรทำอย่างไรต่อไป เพื่อให้ตัวเองเป็นผู้กุมชัยชนะในเกมที่ถูกสร้างขึ้นมา

เพราะในความจริงนั้น เธอทำขนมไม่เป็น ทอดไข่ดาวแบบง่ายๆ ก็แทบไม่รอด สิ่งที่ทำได้ง่ายและดีที่สุดในชีวิตคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ฉะนั้นจะคาดหวังให้ตัวเองชนะการแข่งขันจึงเป็นเรื่องที่ดูห่างไกลมากเหลือเกิน

“ไอ้ปี!”

“เออ…อยู่ใกล้กันแค่นี้จะตะโกนทำไมเล่า!” หญิงสาวมามองหน้าเพื่อนชั่วครู่ ไม่นานนักก็หันกลับไปจมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง

“ก็เรียกอยู่นานสองนานแล้วแกไม่ตอบ!”

มัทนาพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เข้าใจดีว่าเพื่อนคงมีเรื่องให้คิดมากมาย เพราะขนาดเธอได้ฟังเงื่อนไขที่ถูกตั้งขึ้น ยังรู้สึกเลยว่าชัยชนะของปีใหม่แทบไม่มีให้เห็น

“กำลังคิดอยู่ว่าควรจะทำยังไงต่อไป”

“แกไม่น่าไปตอบตกลงเลยนะไอ้ปี ฉันว่ามีอีกตั้งหลายวิธีที่จะทำให้อาพรรณหยุดบ้าได้”

“ตอนนั้นโมโห ไม่ชอบใจที่อาพรรณกล่าวหาว่าพ่อกับอาเกริกโกง แกก็รู้ว่าพ่อฉันรักพี่น้องมาก หากคิดจะโกงกันจริงๆ อาพรรณกับครอบครัวคงไม่ได้แม้แต่สตางค์แดงเดียวอย่างที่อาเกริกว่า”

“ฉันก็ว่าอย่างนั้น แต่ก็ช่างเถอะ…เพราะเวลานี้แกควรจะคิดหาทางออกให้ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก ว่าจะทำยังไงต่อไปกับเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้น”

ปรีชญาเม้มเรียวปากแน่น หลุบสายตาลงต่ำพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ เธอจะทำอย่างไรกับข้อเสนอที่รับปากแบบไม่คิด จะทำอย่างไรสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตพี่ชายจึงไม่ถูกแย่งชิง

ปิ่นประดับและก้องภพเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลูกโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้เห็น สติของปรีชญาเลื่อนลอยเสียจนคนมองยังนึกสงสาร ตั้งท่าจะถามลูกให้รู้เรื่องว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่เห็นท่าทางของปรีชญาในเวลานี้ ก็ทราบได้ทันทีว่าลูกคงยังไม่พร้อมที่จะตอบคำถามนั้นนัก

“ปีใหม่” คุณก้องภพเอ่ยเรียกลูกสาว มัทนาจึงขยับตัวออกห่างเพื่อให้พ่อลูกได้พูดคุยธุระสำคัญ

“มัทขอตัวนะคะ เชิญอาก้องกับอาปิ่นได้เลยค่ะ”

“มัทไม่ต้องไปไหนหรอกลูก อยู่ตรงนี้ก่อน จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำยังไงต่อไป”

“แต่หนู…”

ท่าทีอึกอักของมัทนาทำให้ปิ่นประดับรู้สึกหงุดหงิด เพื่อนสนิทของลูกคนนี้ไม่ค่อยลงรอยกับท่านนัก เหมารวมว่ามัทนาสนับสนุนให้ปรีชญาเป็นตัวของตัวเองจนมาดื้อกับท่าน ทั้งดื้อและไม่ฟังใครจนน่าหงุดหงิด

“อาไม่ว่าอะไรหรอก มัทเป็นเพื่อนรักคนเดียวของปี สนิทสนมกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย คงจะช่วยเพื่อนคิดหาทางออกได้ดีกว่าอาที่เป็นแม่” ไม่วายจะพูดเหน็บแนมเพื่อนลูกตามนิสัย

“จะพูดแบบนี้ทำไมคุณปิ่น ผมบอกแล้วใช่ไหม ว่านี่ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง”

“ไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก โน่น…หันไปถามลูกสาวคุณเถอะว่าจะเอายังไงต่อไป มีเวลาเดือนเดียวจะพอได้ยังไง กับคนที่ทำอะไรไม่ได้เรื่องอย่างยายปี” พูดไปแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยิ่งเห็นสายตาดุๆ ของสามีแล้วยิ่งหงุดหงิดใจ จะมีสักครั้งไหมที่ปรีชญาทำอะไรได้ดั่งใจท่านเหมือนที่ปกรณ์เคยทำ

“ขอโทษที่ปีไม่เก่งเหมือนพี่ป็อกนะคะแม่”

ความอึดอัดที่กดทับอยู่ภายในเริ่มส่งผลต่อหัวใจดวงน้อยของปรีชญา ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยได้รับคำชมจากมารดา สิ่งเดียวที่หลุดปากมาให้ได้ยินบ่อยครั้ง คือคำพูดว่าเธอไม่เคยได้เรื่องเหมือนพี่ชาย

นานนับสิบปีที่ต้องกักเก็บความรู้สึกนั้นไว้กับตัว จนเริ่มตีตัวออกจากมารดามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่อยากถูกต่อว่าให้รู้สึกแย่ และร้ายที่สุดคือเธอไม่อยากให้แม่เอาเธอไปเปรียบกับใครเหมือนที่ผ่านมา แม้จะรู้แก่ใจดีว่าท่านหวังดีอยากให้เธอเป็นคนเก่งก็เท่านั้น

“อย่ามาร่ำไรกับฉันนะยายปี สรุปว่าคิดออกหรือยังว่าจะเอายังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น”

“นี่คุณปิ่น…ผมว่าคุณเงียบก่อนดีกว่า เรื่องนี้ผมจะเป็นคนพูดกับลูกเอง หวังว่าคุณคงเข้าใจและจะไม่พูดอะไรก็ตามที่ทำให้ลูกต้องรู้สึกแย่อีก”

ปิ่นประดับไม่ได้ตอบรับในคำขอ สะบัดหน้าใส่สามี เดินหนีไปนั่งอีกฟากของม้านั่งด้วยอารมณ์ขุ่นมัว แม้ปากจะพูดกับลูกออกไปแบบนั้น แต่ลึกๆ ท่านก็เป็นห่วงลูกสาวไม่น้อย ถึงแม้ปรีชญาจะไม่ได้เรื่องอย่างที่หวังอยากให้เป็น แต่ก็ไม่ใช่ว่าท่านไม่รักลูกคนนี้สักหน่อย

“เวลาหนึ่งเดือนจะพอสำหรับการทุกอย่างหรือเปล่า ถ้าไม่ทัน…พ่อจะไปตกลงกับอาพรรณใหม่อีกครั้ง หรือไม่…”

“อย่าเลยค่ะพ่อ ปีไม่อยากให้อาพรรณต่อว่าพ่อแบบเมื่อเช้าอีก และปีจะไม่ยอมให้พ่อต้องเสียสละอะไรเพื่ออาพรรณอีกแล้ว” เธอหันมาจับแขนบิดาแน่น ด้วยรู้ดีว่าประโยคที่ท่านจะเอ่ยออกมานั้นคำว่าอะไร

“แต่พ่อ…”

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เพราะปีจะไม่ยอมแพ้พี่พราวเด็ดขาด พ่อเชื่อปีนะ”

น้ำเสียงของปรีชญามั่นคงจนคนฟังเบาใจไปหนึ่งเปลาะ ท่านเชื่อว่าคนอย่างปรีชญาลองได้มุ่งมั่นตั้งใจทำสิ่งใดแล้ว จะพยายามจนกว่าตัวเองจะไม่ไหว

และลูกสาวคนนี้ไม่เคยถอดใจ ถ้าหากสิ่งนั้นเป็นเรื่องสำคัญของคนในครอบครัว ต่อให้ภรรยาหรือใครจะไม่เชื่อในความสามารถของลูก แต่ท่านกลับเชื่ออย่างหมดหัวใจ ว่าปรีชญาจะทำให้ท่านภูมิใจเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

“ปีจะทำยังไงต่อไป” ท่านวนกลับมาถามถึงสิ่งที่คาใจอีกครั้ง

ปรีชญาไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที เธอนึกย้อนไปถึงเงื่อนไขที่ถูกวางเอาไว้แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ความรู้สึกหนักอึ้งกดทับอยู่ภายในใจจนเธอรู้สึกหายใจไม่ออก

ครั้นจะปล่อยให้อาพรรณได้ทุกสิ่งที่ต้องการนั้นก็ไม่อาจทำได้ เธอจึงคิดไม่ตกว่าจะหาทางเอาชนะพราวลดาได้อย่างไร เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าน้องสาวอย่างกษมา ไม่เคยคิดอยากได้สิ่งใดไปเป็นของตัวทั้งนั้น

“ปีจะหัดทำขนม คงไม่ยากเกินความสามารถของปีหรอกค่ะพ่อ”

“แกมีเวลาแค่เดือนเดียวนะปี ไม่ใช่สามเดือน และขนมไทยไม่ได้ทำง่ายเหมือนปอกกล้วย” ปิ่นประดับพูดเตือนสติลูก กลอกตาไปมาเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของสามีที่มองมาเป็นเชิงห้ามปรามอีกครั้ง

“ปีจะพยายามทำให้ได้ แม่ไม่ต้องย้ำหรอกค่ะ”

“แม่ก็ไม่ได้อยากย้ำและไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ปีรู้สึกไม่ดี แต่ปีต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม่ไม่มีทางยอมให้อาของลูกเอาโรงงานขนมไปเป็นของตัวเองแน่ พี่ป็อกรักที่นี่มากแค่ไหนปีก็รู้”

“ค่ะ…ปีรู้” ปรีชญาเบนหน้าหนีไม่ยอมสบตามารดา เพราะรู้ว่าคนที่แม่คิดถึงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกนั้นไม่ใช่เธอ

มัทนาเห็นเพื่อนเศร้าจึงตั้งใจจะเดินเข้าไปปลอบ แต่เสียงหวีดของลมที่รบกวนอยู่ข้างหูทำให้หญิงสาวหยุดชะงัก หันไปมองด้านหลังเมื่อแว่วเสียงคนเรียกอยู่ไกลๆ ตัดสินใจเดินไปอีกฝั่งของสวนหน้าบ้านเพราะอยากรู้ว่าใครกันที่มาตะโกนเรียกเธอไม่เลิกสักที

เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มตา ก็ทำให้มัทนาตัวแข็งทื่อ ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง อ้าปากค้างคล้ายกับจะพูดบางอย่างแต่กลับไม่มีเสียงหลุดรอด เนื้อตัวเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งจนไม่อาจขยับตัว ต่างจากอีกฝ่ายที่ดีอกดีใจเหลือเกินที่มีคนมองเห็นตัวเอง

“ดีใจเหลือเกินที่มัทมองเห็นปู่!”

วิญญาณของคุณปู่วิเชียรยิ้มร่า ขยับเข้ามาใกล้มัทนามากขึ้นจนหญิงสาวแทบช็อก สมองสั่งการให้สองเท้าเตรียมถอยหนี และออกแรงวิ่งให้ไวที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่เอาเข้าจริงแม้จะส่งเสียงกรีดร้องออกมายังยากเต็มทน ซ้ำเรี่ยวแรงก็จางหายไปดื้อๆ หัวใจของเธอเต้นรัวเพราะกำลังกลัวสิ่งเร้นลับที่แสนคุ้นเคย

“คุณ…ปู่” มัทนาเรียกอีกฝ่ายเสียงแผ่ว พยายามจะก้าวขาอีกครั้งแต่ทำไม่ได้

“ไม่ต้องตกใจ ปู่มาดี ปู่แค่อยากช่วยเจ้าปีเท่านั้น!”

“ชะ…ช่วย!”

“ใช่…ปู่อยากช่วย เพราะปู่เป็นห่วงเจ้าปีมาก และปู่ไม่อยากให้โรงงานที่ป็อกทำไว้ให้น้องและครอบครัวต้องตกไปเป็นของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าปี เพราะฉะนั้นมัทต้องช่วยปู่ด้วยนะลูก”

“คะ…คุณปู่ก็ไปหาปีเองสิคะ มาให้หนูเห็นทำไม นะ…หนูกลัวนะคะ!” เสียงของมัทนาสั่นไหวจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ หยาดน้ำตาเอ่อคลอจนแทบล้น แต่กระนั้นเธอก็พยายามจะพูด

“ปีมองไม่เห็น และที่บ้านก็ไม่มีใครมองเห็นปู่เลย ตอนนี้มีแค่มัทคนเดียวที่ได้ยินเสียงเรียกของปู่”

ท่านบอกพร้อมกับยิ้มสดใสให้อีกฝ่ายเหมือนครั้งที่ยังมีชีวิต นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ตนเองเคยสละเลือดในกายเพื่อช่วยเหลือมัทนาในวัยเด็ก เชื่อว่าสายสัมพันธ์ในครั้งนั้นคือสิ่งที่ทำให้มัทนามองเห็นวิญญาณตนเอง

ยี่สิบปีก่อนเด็กหญิงมัทนาถูกรถชน ขณะที่กำลังจะขึ้นรถกลับบ้านพร้อมบิดาที่อยู่ทำงานกับก้องภพจนเย็นย่ำ เวลานั้นมีรถเก๋งคันหนึ่งเสียหลัก พุ่งเข้าชนเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถจนกระเด็นไปไกล ภาพนั้นทำให้สองพ่อลูกที่เดินตามออกมาตกใจเป็นอย่างมากและรีบปรี่เข้าไปดูอาการเด็กหญิงผู้เคราะห์ร้ายที่หมดสติเพราะแรงชน

รถฉุกเฉินนำตัวสองพ่อลูกไปส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน คุณปู่วิเชียรวิ่งตามมัทนาและธวัชเข้าไป เพราะรู้เต็มอกว่าสองพ่อลูกไม่มีใครที่ไหน แต่คนเจ็บหายเข้าไปในห้องฉุกเฉินได้ราวสิบห้านาที พยาบาลในห้องก็วิ่งหน้าตื่นออกมาเพื่อแจ้งว่ามีบางสิ่งที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์

สอบถามจนทราบความ ว่าเด็กหญิงมัทนาเสียเลือดมาก ซ้ำกรุ๊ปเลือดที่ต้องการนั้นก็กำลังขาดแคลน ท่านจึงอาสาที่จะช่วยเหลือเด็กหญิงที่รักเหมือนลูกเหมือนหลานโดยไม่คิดไตร่ตรองอะไร แม้ว่าลูกชายจะพยายามค้านเพราะสุขภาพของท่านในขณะนั้นก็ไม่ได้แข็งแรงก็ตาม

“หรือเป็นเพราะมัทเคยได้รับเลือดของปู่ มัทก็เลยมองเห็นปู่!”

“หนู…หนูไม่รู้” มัทนาส่ายหน้าเป็นพัลวัน

“แต่ปู่คิดว่าใช่! ดีทีเดียวที่ปู่ตัดสินใจช่วยชีวิตมัทอย่างไม่คิดลังเล!”

“แต่หนูกลัวคุณปู่!”

น้ำตาของหญิงสาวไหลเปื้อนใบหน้าเป็นทางยาว ความหวาดผวาเล่นงานมัทนาเสียจนลมแทบจับ ปลายนิ้วสั่นระรัว ลมหายใจขาดห้วงจนหน้าของเธอเริ่มซีดขาว เธอไม่เคยลืมบุญคุณของคุณปู่วิเชียรในเรื่องนี้ และไม่คิดเช่นเดียวกัน ว่าเธอจะต้องตอบแทนบุญคุณนั้นด้วยการช่วยเหลือวิญญาณ!

“ไม่ต้องกลัวหรอกลูก ปู่ก็ยังเป็นคุณปู่ใจดีของหนูกับเจ้าปีเหมือนเดิม” คุณปู่วิเชียรขยับตัวมาใกล้อีกนิด พยายามยื่นฝ่ามือมาสัมผัสร่างของมัทนาแต่ทำไม่ได้ “เบื่อจริง…ทำไมเป็นวิญญาณแล้วหยิบจับอะไรไม่ได้นะ!” ท่านเปรยออกมาเบาๆ พร้อมกับสติของมัทนาที่ดับวูบลง

“ยายมัท!”

เมธัสร้องเรียกน้องสาวเสียงดัง หลังจากเห็นอีกฝ่ายเป็นลมล้มพับลงไปต่อหน้า รีบถลาเข้ามาคว้าตัวน้องเอาไว้แล้วอุ้มกลับเข้าไปในบ้านของคุณย่าอรุณศรี ปรีชญาได้ยินเสียงโวยวายแว่วมา และเมื่อจับใจความได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็รีบวิ่งไปยังทิศทางที่เมธัสร้องตะโกนเรียกคนในบ้านทันที

 

นานทีเดียวกว่ามัทนาจะฟื้น หญิงสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ความฝันเมื่อครู่ทำให้เธอกลัวจนหัวใจเต้นรัว ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเธอจะฝันเห็นคุณปู่วิเชียรทั้งที่ไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกัน

“เมษ…หนูมัทฟื้นแล้วลูก!” คุณก้องภพร้องบอกเมธัสเสียงดัง

“เป็นยังไงบ้างมัท ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นลมไปได้” คนตัวโตรีบปรี่เข้ามาดูอาการน้องสาว

“นั่นสิ…ปกติแกแข็งแรงจะตาย เดินเที่ยวได้เป็นวันๆ ฉันยังไม่เคยเห็นแกบ่นว่าเหนื่อย แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น ทำไมแกถึงเป็นลม”

“ฉัน…”

“โอเคหรือเปล่ามัท ยังมีอาการเวียนหัวหรือหน้ามืดอยู่ไหม” ชายหนุ่มถามน้องสาวอีกครั้ง น้อยครั้งนักที่เขาจะเห็นมัทนามีอาการสับสนจนตอบสิ่งใดไม่ได้

“ไอ้มัท! แกได้ยินฉันหรือเปล่า นี่แกเป็นอะไรไป”

ปรีชญาใช้วิธีเดียวกับที่เพื่อนใช้ เธอเขย่าแขนมัทนาไปมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่ง ซ้ำเพื่อนยังหันรีหันขวางไปมาราวกับว่ากำลังมองหาสิ่งใด นั่นจึงยิ่งทำให้เธอสงสัย ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัทนากันแน่

“ปี…ฉันฝันเห็นคุณปู่”

“แกฝันเห็นคุณปู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อครู่ที่หลับไปนี่น่ะเหรอ” คนถามขมวดคิ้วยุ่ง เงยหน้าสบตากับเมธัสและบิดา ราวกับอยากถามความเห็นว่ารู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่มัทนาพูด

“ใช่…ฉันฝันว่าคุณปู่มาหา ท่านบอกว่าดีใจที่ฉันมองเห็น ท่านอยากช่วยแกด้วยนะไอ้ปี!”

“แกว่าไงนะ” ปรีชญาทำหน้าคล้ายกับไม่เชื่อ

“คุณปู่บอกว่าอยากช่วยแก แต่ไม่มีใครมองเห็นท่านนอกจากฉัน ท่านก็เลย…”

มัทนาอ้าปากค้าง ขนลุกซู่เมื่อเห็นวิญญาณของคุณปู่ยืนอยู่ตรงหน้า อาการช็อกโดยฉับพลันของน้องสาวทำให้เมธัสตกใจ ใช้หลังมือแตะหน้าผากเพื่อวัดไข้ จากนั้นจึงแตะแก้มมัทนาเบาๆ เพื่อเรียกสติให้กลับคืน ไม่เข้าใจว่าน้องสาวเห็นสิ่งใดที่ประตูห้อง ถึงได้มีอาการตื่นตะลึงแบบนี้

“มัท! ได้ยินพี่หรือเปล่า ยายมัท!”

เงียบ…มัทนาไม่ตอบ แต่พยักหน้ารัวจนเมธัสกลัวว่าน้องสาวจะเป็นอะไรไป

“มัทนา!”

“ปะ…ปีคุณปู่อยากช่วยแก ท่านบอกให้แกไปเรียนทำขนมกับพี่เมษ!”

มัทนาไม่สนใจเสียงเรียกของพี่ชาย หันมาคว้าแขนปรีชญาเอาไว้แน่นโดยไม่ละสายตาจากภาพที่เห็นตรงหน้า ปากก็ละล่ำละลักบอกในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาเพราะหวาดกลัวการมองเห็นวิญญาณสุดหัวใจ

“อะไรนะ” เมธัสถามน้องเสียงดัง เงยหน้าสบตากับปรีชญาด้วยความสับสนไม่ต่างกันนัก

“ต้องให้พี่เมษสอน พี่เมษสอนปีได้แน่!”

“ไอ้มัท…ทำไมมือแกเย็นแบบนี้ แกเป็นอะไร ตั้งสติหน่อย!”

หญิงสาวไม่ตอบคำถามของเพื่อนแต่บีบมือของปรีชญาไว้แน่นว่าเดิม พยักหน้ารับทราบอีกครั้ง เมื่อได้ยินในสิ่งที่วิญญาณร้องขอ จึงเอ่ยปากบอกพี่ชายถึงสิ่งที่จำเป็นต้องทำ

“พี่เมษต้องช่วยปีนะ มีแค่พี่เมษคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเพื่อนมัทได้”

“มัท!” เมธัสมองไปยังจุดที่มัทนามอง เมื่อเห็นว่ามีแค่ความว่างเปล่าเขาจึงหันมาถามมัทนาอีกครั้ง “นี่มัทมองเห็นอะไร แล้วเป็นอะไรไปทำไมถึงตัวสั่นแบบนี้”

คนเป็นน้องส่ายหน้า หันมาหาปรีชญาแล้วคว้าตัวเพื่อนมากอดเอาไว้โดยไม่พูดสิ่งใดออกมา ปล่อยให้เมธัสและปรีชญามองหน้ากันด้วยความสับสน ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรมัทนาถึงพูดแบบนั้นออกมา ทั้งที่รู้ดีว่าทั้งสองคนมีความรู้สึกใดต่อกัน

คุณก้องภพเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ ท่านพอเดาออกว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นมาอย่างไร จึงตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งเคียงข้างปรีชญา มองใบหน้ามัทนาแล้วนึกสงสารจับใจ ในหน้าที่ที่อีกฝ่ายต้องทำเพื่อช่วยบุตรสาวของตนเอง

“หนูมัท…อาขอคุยกับหนูหน่อยได้มั้ยลูก”

“แต่หนู…” มัทนายอมลืมตามองอีกฝ่าย เมื่อท่านลูบศีรษะของเธอเบาๆ

“เมษกับปีออกไปรอข้างนอกก่อน พ่อมีธุระสำคัญจะถามหนูมัท และถ้าเป็นไปได้…ปีก็ถามพี่เมษดูนะ ว่าจะสอนปีทำขนมได้อย่างที่หนูมัทบอกหรือเปล่า”

“แต่พ่อคะ…”

“อาฝากปีด้วยนะเมษ ถ้าเมษช่วยได้และไม่ลำบากใจอะไร อาก็อยากให้เมษช่วยน้องสักครั้ง”

เมธัสถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับปรีชญา โดยที่อีกฝ่ายก็เดาไม่ได้ว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไรกับคำร้องขอนั้นของบิดา เธอเดินตามเมธัสออกไปอย่างว่าง่าย เมื่อคนเป็นพ่อส่งสายตาไล่เธอทางอ้อมโดยไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดออกมา

พ่อนะพ่อ…ไม่คิดจะปรึกษากันก่อนหรือไง!

 



Don`t copy text!