สูตรหวานซ่อนรัก บทที่ 2 : รอยร้าว

สูตรหวานซ่อนรัก บทที่ 2 : รอยร้าว

โดย : Feelgood

Loading

สูตรหวานซ่อนรัก โดย Feelgood เรื่องราวของ ปรีชญา ผู้ทำอาหารไม่เป็นแต่ถูกท้าให้ลงแข่งทำขนมโดยมีโรงงานขนมหวานของพี่ชายเป็นเดิมพัน ปฏิบัติการเรียนทำขนมจึงเกิดขึ้น โดยมีเขา…อดีตรักยากจะลืมเป็นคนสอน ผลลัพธ์เป็นอย่างไร สิ่งที่เขาทุ่มเทให้เธอจะเวิร์คไหม หาคำตอบได้ที่อ่านเอา anowl.co เว็บไซต์นวนิยายคุณภาพที่มาพร้อมความสนุก

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการต่างๆ ในงานศพของคุณปู่วิเชียร ห้องอาหารขนาดใหญ่ของบ้านรัตนพัทธ์ก็ถูกใช้เป็นห้องประชุมใหญ่ชั่วคราว สืบเนื่องมาจากพิมพรรณ ที่หมั่นเทียวไปเทียวมาเพื่อขอให้พี่ชายจัดการเรื่องพินัยกรรมให้สมบูรณ์ครบถ้วน เธอไม่เชื่อว่าบิดาจะไม่เขียนพินัยกรรมสั่งเสียเอาไว้อย่างที่พี่ชายกล่าวอ้างเสมอมา

ความคิดด้านเลวร้ายสนับสนุนให้คิดเพียงแค่ตนเองจะถูกพี่ชายโกง จึงไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป เหมือนที่คุณย่าอรุณศรีพยายามเกลี้ยกล่อมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

เช้าวันนี้จึงเดินทางมาถึงบ้านของก้องภพแต่เช้า ลากเอาสามีที่ดูไม่ยินดียินร้ายอะไรกับเรื่องสมบัติพัสถานให้ตามมาพร้อมกับลูกสาว

พราวลดา…บุตรสาวคนเดียวของพิมพรรณดูไม่สบอารมณ์นัก ที่ถูกแม่บังคับให้ตามมาคุยธุระ แต่ก็ไม่อาจขัดใจได้เพราะกลัวว่าจะถูกอาละวาดใส่ ครั้นจะขอให้พ่อช่วย ท่านก็ดูเหมือนจะไม่กล้ามีปากเสียงกับคนเป็นภรรยา

ถัดมาเป็นครอบครัวของเกริกพล พี่ชายคนรองของบ้าน เขาเดินมานั่งกลางโต๊ะตัวยาวโดยไม่คิดจะทักทายใครอย่างที่ควรทำ ที่ผ่านมาพยายามพูดหว่านล้อมให้น้องเข้าใจในสิ่งที่พ่อเคยพูด แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล มีเพียงแค่กวีพัฒน์และกษมา ที่เดินตามหลังบิดาของตนเข้ามานั่งเท่านั้น ที่ยกมือไหว้อาและอาเขยตามมารยาทที่พึงมี

“วันนี้ไม่ไปทำงานหรือโต้ง” ชัชชนเป็นฝ่ายเอ่ยถาม บรรยากาศในห้องอึมครึมจนท่านอึดอัด

“พ่อบอกให้มาฟังเรื่องสำคัญก่อน เสร็จจากที่นี่ค่อยกลับเข้าไปเคลียร์งานครับ” กวีพัฒน์ตอบกลับ ใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้บ่งบอกความรู้สึกว่าคิดอย่างไรกับคนถาม

“มีงานค้างเยอะเหรอ”

“สินค้าใหม่ที่พี่ป็อกทำค้างไว้กำลังไปได้ดี ตอนนี้ขนมเริ่มติดตลาดหลายตัว มีซัปพลายเออร์หลายเจ้ามาติดต่อขอซื้อขาย ผมไม่อยากให้ลูกค้าต้องรอนานครับ จึงจำเป็นต้องรีบเคลียร์”

“แล้วสูตรขนมตัวใหม่ล่ะ ไปถึงไหนแล้ว ทดลองขายดูหรือยัง”

สองพี่น้องหันมามองหน้ากันฉับพลัน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่เข้าใจว่าพิมพรรณรู้เรื่องในโรงงานขนมหวานได้อย่างไร เมื่อหน้าที่หลักของอาและสามีนั้น อยู่ในส่วนของโรงงานแปรรูปน้ำมะพร้าวส่งออก ไม่ใช่โรงงานขนมหวานที่กำลังเติบโตอย่างถึงขีดสุดในเวลานี้

“อาพรรณรู้ด้วยหรือครับว่าที่โรงงานกำลังผลิตขนมตัวใหม่”

“ก็ไม่ใช่ความลับอะไรนักหนาไม่ใช่เหรอ” คนพูดเหยียดริมฝีปากเล็กน้อย “หรือโต้งมองว่าอาเป็นคนนอก ไม่มีสิทธิ์ในงานของพวกเธอล่ะ นี่ลืมไปหรือเปล่าหลานรัก…อากับอาชัชก็มีหุ้นอยู่ที่นั่นนะ”

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”

“ก็ดีแล้วที่ไม่คิด อะไรที่ไม่ใช่ของตัวเองก็อย่าไปอยากได้ เพราะบางทีเจ้าของอาจจะไม่ยอม” พิมพรรณเหยียดยิ้ม มองหลานชายด้วยแววตาท้าทาย จนทำให้เกริกพลชักจะทนกิริยาของน้องไม่ไหว

“พอแล้วคุณพรรณ พูดอะไรไม่เข้าท่า” ชัชชนแตะแขนภรรยาเบาๆ เพื่อปราม เกรงว่าสงครามขนาดย่อมจะเกิดขึ้นทั้งที่เรื่องสำคัญยังไม่ถูกพูด

“โอ๊ย! จะอะไรนักหนาคุณชัช ฉันมีปาก อยากพูดอะไรก็จะพูด เข้าใจไหม!”

“แต่คุณกำลังเสียมารยาท!”

“ฉันไม่สนเรื่องมารยาทกับคนที่คิดจะโกงน้องตัวเอง”

“คุณพรรณ!” ชัชชนชักเหลืออด

“ไม่ต้องมาขึ้นเสียงใส่ฉัน บอกแล้วไงว่าฉันมีปาก และหากอยากพูดอะไรฉันก็จะพูด!”

ชัชชนพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ราวกับคนที่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์จนถึงขีดสุด ร้อนถึงคนเป็นพี่ที่ไม่อาจทนมองกิริยาฉุนเฉียวของน้องได้

“หยุดบ้าสักทีพิมพรรณ ที่นายชัชเขาเตือนก็เพราะไม่อยากให้เธอแสดงกิริยาไม่ดีออกมา เด็กในบ้านมาเห็นมันจะพากันไปนินทาได้ ว่าเจ้านายมีนิสัยไม่ต่างจากแม่ค้าในตลาด” เกริกพลต่อว่าน้องสาวเสียงห้วน

“มากไปแล้วนะพี่เกริก!” เจ้าหล่อนทุบโต๊ะเสียงดัง

“แค่นี้ไม่เรียกว่ามากหรอก เพราะสิ่งที่เธอแสดงออกมา ก็เกินคำว่าพอดีไปมากเหมือนกัน”

“ไอ้พี่เกริก!”

“ถ้านั่งเงียบๆ ไม่ได้ก็กลับบ้านไป ให้ลูกกับผัวเธออยู่ฟังธุระตรงนี้แทนซะ!”

“คิดจะฮุบทุกอย่างเอาไว้คนเดียวละสิ ถึงมาไล่พรรณแบบนี้!”

“พิมพรรณ!” เกริกพลตวาดน้องสาวเสียงดัง ไม่คาดคิดว่าพิมพรรณจะมีความคิดเช่นนี้อยู่ในหัวได้

ตั้งแต่สมัยที่บิดายังมีชีวิต ท่านเปรยให้ลูกและหลานฟังอยู่บ่อยครั้ง ว่าต้องการให้ธุรกิจนี้เป็นของครอบครัวอย่างแท้จริง ทุกคนจะมีงานทำ ร่วมกันรับผิดชอบในส่วนของตัวเองตามหน้าที่ เงินปันผลรับตามหุ้นที่ตัวเองมี ซ้ำเงินรายเดือนที่ได้รับตามลำดับความเหมาะสมนั้น ย่อมได้รับมากพอที่จะเลี้ยงดูทุกคนให้อยู่ดีกินดีได้ ตัวท่านและพี่ชายอย่างก้องภพจึงไม่เคยคิดที่จะยึดทุกอย่างไว้กับตัว แม้ว่าพี่ชายสมควรจะได้รับสิทธิ์ขาดในฐานะผู้เริ่มต้นบุกเบิกอย่างเต็มภาคภูมิก็ตาม

“ไม่ต้องมาหาเรื่อง พรรณพูดถูกใช่ไหมถึงได้โกรธ!”

“นี่…”

“พอที…จะทะเลาะกันทำไม เสียงดังออกไปถึงข้างนอก”

พี่ชายคนโตร้องห้ามขณะเดินเข้ามาพร้อมภรรยา ปรายตามองน้องสาวชั่วครู่ ส่ายหน้าไปมาเบาๆ ราวกับหนักใจนักหนา

“ก็พี่เกริกมาหาเรื่องพรรณก่อน!” ได้ทีก็ฟ้องใหญ่โต

“ใครหาเรื่องใครกันแน่ ใครเริ่มเรื่องนี้ก่อน อาพรรณลองนึกดูดีๆ นะคะ!”

กษมาถอนหายใจอย่างคนเหนื่อยหน่าย เธอไม่อยากเจอหน้าอาสาวเพราะเหตุนี้ พิมพรรณไร้เหตุผลแถมยังชอบใช้อารมณ์เข้าสู้ พอแพ้ก็จะพาลและระรานคนอื่นโดยไม่สนใจใคร นิสัยแบบนี้ไม่รู้ไปได้มาจากไหน ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย!

“คิดจะเข้าข้างพ่อตัวเองหรือไงยายต้อง!”

“อย่ามาพาลกับหลาน พี่เคยบอกเธอหลายครั้งแล้วว่าให้เลิกนิสัยแบบนี้” ครั้งนี้ก้องภพเป็นฝ่ายปรามบ้าง หากท่านไม่พูดให้กระจ่าง สงครามขนาดย่อมตรงหน้าก็คงไม่จบลงโดยง่าย

“แหม! แตะต้องไม่ได้ ทั้งยายต้อง ทั้งแม่ลูกสาวสุดที่รัก”

ก้องภพพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับน้องสาวต่อ เพราะรู้ว่าจะไม่เกิดประโยชน์ใดนอกจากทำให้อารมณ์ขุ่นมัวอยู่อย่างนั้น

แต่อีกฝ่ายกลับไม่ลดละ เมื่อเห็นท่านเงียบ เจ้าหล่อนก็ยิ่งได้ใจ พยายามมองหาจุดอ่อนขนาดใหญ่ ที่มักจะมีไว้เพื่อถูกเล่นงานก่อนใครเพื่อนเพื่อระบายอารมณ์ของตน

“นี่แม่ปีใหม่ไปไหน ทำไมถึงไม่มารอฟังเรื่องสำคัญด้วยกัน”

“เธอมีปัญหาอะไรกับลูกสาวฉัน” ปิ่นประดับตวัดสายตามองคนถามทันที

“เปล่าหรอกค่ะพี่ปิ่น พรรณก็แค่ถามไปอย่างนั้น เพราะสุดท้าย…ไม่ว่ายายปีจะอยู่หรือไม่อยู่ก็คงไม่สำคัญอะไร” คนพูดยิ้มเยาะ จงใจให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่และพ่ายแพ้เหมือนที่ตนเคยเป็นบ้าง

“ฉันวานให้ยายปีไปรับอาศรี อีกเดี๋ยวก็คงมาถึง และขอบอกให้เธอทราบอีกครั้ง ว่าถ้ายายปีไม่สำคัญ วันนี้พวกเธอก็คงไม่โร่กันมาตั้งแต่เช้าเพราะกลัวว่าจะไม่ได้อะไร!”

ปิ่นประดับตอบกลับเสียงแข็ง อดีตครูจ้องตาน้องสามีนิ่งงันราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่ายให้ได้ และเมื่อพิมพรรณไม่แสดงฤทธิ์เดชใดออกมา นอกจากมีท่าทีแข็งกร้าวใส่ ท่านจึงหันมาหาหลานสาวที่นั่งอยู่อีกฟาก ราวกับไม่อยากสนใจคนที่ไร้มารยาทเช่นนั้น

“ยายต้อง…ลุกไปตามแม่เรามาที อีกเดี๋ยวคุณทนายเอื้อมาถึงจะได้ไม่เสียเวลารอใคร”

“ได้ค่ะป้าปิ่น”

กษมารับคำอย่างว่าง่าย บรรยากาศภายในห้องใหญ่ไม่ได้ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งอย่างที่เคยเป็น จึงรีบออกมาจากห้องโดยไม่ทันสังเกตว่าลูกพี่ลูกน้องของตนเองก็ลุกตามมา

 

คุณย่าอรุณศรีนั่งลงที่ตำแหน่งหัวโต๊ะโดยมีปรีชญาและกวีพัฒน์ช่วยกันประคอง หญิงชราเอ่ยขอบใจหลานทั้งสอง ก่อนจะหันไปมองทุกชีวิตในรัตนพัทธ์ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง

ท่านนึกไม่ออกว่าหากทนายประจำครอบครัวอ่านข้อความในกระดาษที่พี่ชายเขียนเอาไว้จบ พิมพรรณและลูกหลานคนอื่นจะมีท่าทีอย่างไรต่อสิ่งที่ถูกระบุเอาไว้ และจะพูดสิ่งใดที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจออกมาให้เจ้าของบ้านต้องช้ำใจบ้าง

สายตาของท่านเหลือบมองภาพถ่ายขนาดใหญ่ ที่ถูกแขวนไว้เคียงข้างรูปปกรณ์หลายชายคนโต อยากให้พี่ชายช่วยดลใจพิมพรรณให้หายโลภ ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาในเวลานี้จะได้สิ้นสุดลงเสียที

คนที่ไม่ได้ยินดียินร้ายกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตรงหน้าคงมีแค่เพียงปรีชญา เธอไม่ได้เดินมานั่งข้างมารดาอย่างที่ควรทำ แต่กลับเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อนั่งลงเคียงข้างกษมา ก้มหน้าลงราวกับไม่อยากสบตาใคร ภาพถ่ายที่ติดอยู่บนผนังทำให้เธอไม่อยากเข้ามาในห้องนี้อีก

แต่สุดท้าย…แม่ก็บังคับเธอจนได้

“ไปนั่งข้างแม่สิลูกปีใหม่” สุรีฉาย…ภรรยาของเกริกพลหันมาบอกหลานสาว

“พี่ปี…”

“ให้พี่นั่งตรงนี้ด้วยคนนะต้อง พี่ไม่อยากอยู่ใกล้แม่”

คนฟังได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เข้าใจดีว่าปัญหาของพี่สาวและป้าสะใภ้ยังไม่จางหาย นับตั้งแต่ที่ปกรณ์จากไป ความหวังของคนเป็นแม่ก็พุ่งตรงมาที่ปรีชญาคนเดียว

แน่นอนว่าเธอตั้งตัวไม่ติด และไม่เคยต้องการในสิ่งที่มารดายัดเยียด เธอไม่อยากเป็นคนเก่งเหมือนพี่ชาย ไม่อยากเป็นคนที่ทุกคนฝากความหวัง เธอแค่อยากเป็นปีใหม่ เป็นปรีชญา รัตนพัทธ์ หญิงสาวที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างที่เคยเป็นมาตลอดชีวิต

หากแต่ชีวิตก็ไม่เมตตาให้เธอได้ทำอย่างใจ จึงพาลให้นึกไปถึงเรื่องราวที่เคยพูดคุยกับพี่ชายไว้ พี่ชาย…ที่เป็นโลกใบใหญ่และที่ที่แสนปลอดภัยสำหรับเธอ

‘ปีทำอะไรหรือจะเป็นอะไรก็ได้ ขอแค่ปีมีความสุข พี่ยินดีสนับสนุนทุกอย่าง’

‘พี่ป็อกพูดจริงหรือเปล่า’ หญิงสาวยิ้มระรื่น

‘พูดจริงทุกคำ ปีเป็นความรักของพี่ ฉะนั้นอะไรที่ปีทำแล้วมีความสุข พี่ก็จะมีความสุขกับปีในทุกๆ เรื่อง’

‘ปีชอบเขียนหนังสือ ปีเป็นนักเขียนได้มั้ย’

‘ได้สิ…ถ้าปีรักที่จะทำ ปีก็ทำได้เลย พี่จะคอยอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจให้ปีเสมอ’

‘ปีรักพี่ป็อกที่สุดในโลกเลยค่ะ’

‘พี่ก็รักปีมากที่สุดเหมือนกัน’

นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้พูดเรื่องความฝันของตัวเองกับพี่ชายในห้องนี้ เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้บอกรักพี่ชาย และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้าย…ที่เธอได้รับอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นจากคนที่เข้าใจเธอมากที่สุดในชีวิต

“พี่ปีร้องไห้ทำไม” กษมาเขย่าแขนพี่สาวเบาๆ เพื่อเรียกสติ

“แค่คิดถึงพี่ป็อกกับคุณปู่น่ะ”

กวีพัฒน์ลุกจากเก้าอี้ของตัวเอง เดินอ้อมมาหาปรีชญาแล้วดึงมากอดโดยไม่พูดสิ่งใดออกมา ภาวนาให้น้องสาวหลุดพ้นจากความโศกเศร้า เด็กหญิงผู้ร่าเริงของเขาหายไปแบบไม่หวนกลับมา

ปรีชญาคนที่มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะหายไปพร้อมกับการจากไปของคุณปู่ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเมื่อไหร่เธอจะกลับมามีรอยยิ้มที่สดใสได้ จึงตัดสินโทร.หามัทนาตั้งแต่เช้า วางแผนดึงปรีชญาออกจากความเศร้าโดย ไม่คิดบอกใครนอกจากกษมาน้องสาวของตัวเอง

“เลิกร้องไห้ได้แล้วปี ผู้ใหญ่เขามีธุระจะพูด อย่าทำตัวอ่อนแอแบบนี้ แม่ไม่ชอบ”

“ป้าปิ่นครับ”

“อย่าเข้าข้างน้องนะโต้ง ที่ยายปีไม่ยอมโตสักที ก็เพราะมีพวกพี่ๆ คอยให้ท้ายกันแบบนี้” ท่านเว้นจังหวะเล็กน้อย มองเลยไปยังภาพของบุตรชายแล้วพูดต่อ “หมดป็อกกับคุณพ่อไป โต้งก็ยังจะตามใจน้องอีก”

“นั่นสิ ยายเด็กไม่รู้จักโต ปีนี้อายุก็ไม่น้อยแล้วนะปีใหม่” พิมพรรณได้ทีก็จีบปากจีบคอพูด

“เอาละ…พวกเธอเลิกว่าหลานฉันสักที เราควรเข้าเรื่องสำคัญได้แล้ว คุณเอื้อมารอพูดธุระอยู่ และเขาคงไม่มีเวลามานั่งฟังพวกเธอต่อว่ายายปีของฉันทั้งวันหรอกนะ”

คุณย่าอรุณศรีแสดงออกชัดเจน ว่าท่านไม่พอใจในกิริยาของปิ่นประดับและพิมพรรณ คำว่า ‘ยายปีของฉัน’ เป็นคำพูดติดปากที่คนในบ้านได้ยินบ่อยครั้ง และเมื่อท่านเอ่ยปากพูดคำนี้ออกมา ย่อมหมายความว่ากำลังโกรธใครสักคนที่ชอบเปรียบเทียบปรีชญากับคนอื่นจนท่านนึกรำคาญ

“เข้าเรื่องเถอะคุณเอื้อ ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก เบื่อพวกคนไร้หัวใจ!”

“ครับพี่ศรี”

ทนายสูงวัยค้อมศีรษะให้คุณย่าอรุณศรีเล็กน้อย ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับนำเอกสารสำคัญออกมาจากแฟ้มหนังเก่าๆ ที่ถือติดมือมา พิมพรรณเป็นคนแรกที่ขมวดคิ้วยุ่งเพราะนึกสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมพินัยกรรมที่ถูกเขียนไว้จึงมีสภาพคล้ายกับกระดาษเขียนจดหมายธรรมดาเท่านั้น

ซึ่งคุณทนายเอื้อเองก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างแต่อย่างใด แม้จะสังเกตเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามจากพิมพรรณ ผิดจากพี่น้องคนอื่นที่มีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตามุ่งมั่น ที่บ่งบอกถึงความเชื่อใจที่มีต่อท่าน คนที่ทำงานกับคุณวิเชียรมาเนิ่นนาน จนกระทั่งอีกฝ่ายลาลับไปตลอดกาล

“หยิบเอกสารผิดหรือเปล่าคะอาเอื้อ นี่มันกระดาษสมุดนี่คะ”

“ไม่ผิดหรอก พี่วิเชียรเขียนจดหมายอาไว้แค่ฉบับเดียว เขียนไว้ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนตอนที่คุณแม่ของพรรณเสีย กระดาษนี่ก็เลยดูเก่าไปตามเวลา แต่อาขอรับรองว่าข้อความทุกอย่างยังชัดเจนและครบถ้วนทุกคำ”

“แต่…” พิมพรรณขมวดคิ้วยุ่ง

“เชิญอ่านข้อความที่พ่อเขียนไว้เถอะครับอาเอื้อ พวกเรากำลังรอฟัง” ก้องภพรีบตัดบท กลัวว่าพิมพรรณจะซักถามสิ่งใดต่อจนเกิดเรื่องยุ่งยาก

“หากจะพูดกันตามตรง จดหมายฉบับนี้เป็นข้อความสั่งเสียเรื่องสมบัติส่วนตัวของพี่วิเชียร จะคิดว่าเป็นพินัยกรรมก็คงได้ แต่อาจจะไม่ได้ถูกต้องตามกฎหมายหรือเป็นทางการอย่างที่ใครบางคนเข้าใจ อาอยากให้ลูกหลานทุกคนตั้งใจฟังข้อความในจดหมายนี้ให้ดี เพราะนี่คือความต้องการแท้จริงของพี่วิเชียรทั้งหมดในขณะที่สติของท่านยังครบถ้วน”

ทนายเอื้อเงยหน้าสบตาชายสูงวัยบนกรอบรูปขนาดใหญ่ชั่วครู่ สายลมพัดผ่านหน้าไปทั้งที่ภายในห้องไม่ได้เปิดหน้าต่างสร้างความประหลาดใจให้ท่านอยู่บ้าง แต่เพียงครู่เดียวหลังจากคิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร เสียงแหบแห้งที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานจึงดังขึ้น

‘หากวันใดที่พ่อไม่อยู่บนโลกนี้ ขอให้ลูกทั้งสามคนจงรู้ไว้ ว่าพ่อรักลูกทุกคนเท่ากัน ขอให้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุก จงสอนลูกหลานของตัวเองให้รักกันเหมือนที่พ่อพร่ำสอนมาโดยตลอด

 เรื่องที่ดินและสิ่งปลูกสร้างภายในรัตนพัทธ์…พ่อแบ่งให้ลูกอย่างเท่าเทียม จะโอนกรรมสิทธิ์ให้หลังจากเขียนจดหมายฉบับนี้อีกครั้ง แต่ที่ดินส่วนของอาศรี…พ่อขอห้ามไม่ให้ใครไปวุ่นวายจนกว่าจะถึงเวลาสุดท้าย และหากอรุณศรีประสงค์จะยกที่ดินให้ใคร ก็ขอให้ทุกคนยึดถือตามความต้องการนั้นแต่โดยดี

เงินในบัญชีรวมถึงเงินในตู้เซฟ ขอฝากให้นายก้องภพ รัตนพัทธ์ บุตรชายคนโตเป็นคนจัดการแบ่งเงินให้พี่น้อง เงินค่าเช่าที่ดินและอาคารในตลาด ยกให้เกริกพลรับผิดชอบ แบ่งเงินนั้นออกเป็นสองส่วน มอบให้แก่อรุณศรีไว้ใช้จ่ายในทุกเดือน เงินส่วนที่เหลือให้นำไปช่วยเหลือชุมชนและวัดเหมือนที่พ่อเคยทำเสมอมา

เครื่องประดับมีราคาในส่วนที่เป็นของพ่อ ให้ก้องภพแบ่งออกเป็นสามส่วน พ่อยกให้ลูกทั้งสามคนเท่าๆ กัน แต่เครื่องประดับเก่าแก่ของแม่ พ่อขอฝากให้ก้องภพจัดการมอบให้พิมพรรณและพราวลดาทั้งหมด

ค่าเช่าสวนมะพร้าวที่สวนต่างจังหวัด ทั้งบ้านและที่ดินรวม 20 ไร่ พ่อขอยกให้นายก้องภพเป็นผู้ดูแล และเมื่อเด็กหญิงปรีชญา รัตนพัทธ์ มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์เมื่อไหร่ ขอให้ยกกรรมสิทธิ์นั้นให้ลูกสาวโดยสมบูรณ์ทันที

อ่านมาถึงตรงนี้ ความตึงเครียดในห้องกว้างก็เกิดขึ้นฉับพลัน พิมพรรณเป็นคนแรกที่เตรียมจะลุกขึ้นมาค้าน แต่ชัชชนกลับปรามเอาไว้ เพราะเข้าใจว่าเนื้อความในจดหมายนั้นยังมีต่อ

คนที่เครียดขึงตามมาคือพี่ชายทั้งสองของเจ้าหล่อน ก้องภพและเกริกพลลอบมองกันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวล กลัวว่าน้องสาวจะโวยวายขึ้นมาอีกรอบ หากได้ฟังประโยคสุดท้ายที่ถูกระบุเอาไว้ในจดหมายฉบับสำคัญที่ผู้เป็นพ่อร่างไว้ต่อหน้าท่านทั้งสอง

‘สวนมะพร้าวอีกแห่ง มีที่ดินรวม 30 ไร่ ยกให้เป็นส่วนกลาง เงินที่ขายผลผลิตได้ ให้นำไปเป็นเงินกองกลางเพื่อใช้เป็นทุนการศึกษาของเด็กยากไร้ดังเดิม ไม่ว่าพ่ออุปการะใครอยู่ในขณะนั้น ขอให้ก้องภพและเกริกพลรับผิดชอบ จนกว่าเด็กที่ได้รับทุนทรัพย์จากพ่อจะเรียนจนจบตามสมควร

ส่วนโรงงานมะพร้าวหอมที่พ่อและก้องภพ บุตรชายคนโตช่วยกันก่อตั้ง ยกให้ก้องภพเป็นผู้จัดการ และมีสิทธิ์ขาดในการดูแลแต่เพียงผู้เดียว โรงงานแห่งนี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง พ่อขอยกให้เป็นสมบัติส่วนกลางของครอบครัว โดยมีก้องภพเป็นคนจัดการทุกอย่างแทนพ่อ

หุ้นที่พ่อถือครองอยู่ ให้แบ่งออกเป็นห้าส่วนตามจำนวนลูกหลาน และโรงงานขนมที่กำลังก่อตั้งขึ้น พ่อยกกรรมสิทธิ์ขาดนี้ให้ผู้ที่ริเริ่มและยอมเหนื่อยเพื่อผลักดันธุรกิจของครอบครัวเราให้เติบโต นั่นคือนายก้องภพและนายปกรณ์ รัตนพัทธ์ โดยสมบูรณ์

ขอให้ลูกทุกคนยึดถือทุกสิ่งที่พ่อประสงค์ตามนี้ พ่อแบ่งทุกอย่างให้ลูกหลานอย่างเท่าเทียม และพ่อมีเหตุผลสำคัญรองรับในทุกการตัดสินใจ ขอให้ลูกทุกคนเข้าใจพ่อ และอย่าทะเลาะกันเพียงเพราะสมบัตินอกกาย…รักลูกและหลานทุกคน

ทันทีที่ทนายเอื้อพับจดหมายเก็บและค้อมศีรษะลง พิมพรรณก็ลุกพรวดขึ้นมาจ้องหน้าพี่ชายทันที ชี้หน้าก้องภพอย่างเหลืออด เลือดภายในกายพลุ่งพล่าน ความเดือดดาลภายในใจส่งให้เธอไม่อาจทนฟัง หรือยอมให้ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นได้เหมือนที่ผ่านมา

“คิดจะฮุบโรงงานไว้เป็นของตัวเองคนเดียวใช่ไหมไอ้คนขี้โกง!”

“เป็นบ้าอะไรของเธอพิมพรรณ!” เกริกพลถามน้องสาวอย่างเหลืออด สายตาดุดันไม่ได้ทำให้พิมพรรณนึกกลัวเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

“ไอ้พวกขี้โกง รวมหัวกันโกงน้อง!”

ก้องภพมองภาพนั้นแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ คาดไม่ถึงว่าพิมพรรณจะกล่าวหากันแบบนี้ ทั้งที่ใครต่อใครต่างก็ทราบดี ว่าหากท่านคิดจะทวงสิทธิ์ขาดนั้นจากพ่อแล้วละก็…ท่านจะได้ทุกอย่างมาเป็นของตัวเองอย่างสมบูรณ์พร้อมตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้วด้วยซ้ำ

 



Don`t copy text!