สูตรหวานซ่อนรัก บทที่ 5 : ทวงสัญญา
โดย : Feelgood
สูตรหวานซ่อนรัก โดย Feelgood เรื่องราวของ ปรีชญา ผู้ทำอาหารไม่เป็นแต่ถูกท้าให้ลงแข่งทำขนมโดยมีโรงงานขนมหวานของพี่ชายเป็นเดิมพัน ปฏิบัติการเรียนทำขนมจึงเกิดขึ้น โดยมีเขา…อดีตรักยากจะลืมเป็นคนสอน ผลลัพธ์เป็นอย่างไร สิ่งที่เขาทุ่มเทให้เธอจะเวิร์คไหม หาคำตอบได้ที่อ่านเอา anowl.co เว็บไซต์นวนิยายคุณภาพที่มาพร้อมความสนุก
ก้องภพรอจนบุตรสาวและเมธัสเดินพ้นออกไปจากห้อง จากนั้นลุกขึ้นมาปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครได้ยินบทสนทนาที่ท่านกำลังจะพูด
จากนั้นจึงหันมามองหน้ามัทนาที่ยังมีอาการตื่นกลัวให้เห็นจนน่าสงสาร เดาได้ไม่ยากว่าสิ่งที่มัทนาพูดออกมาเมื่อครู่นั้นเป็นความคิดของใคร แต่ไหนแต่ไรท่านไม่เคยเชื่อเรื่องสิ่งลี้ลับ หากแต่สิ่งที่มัทนาพูดออกมานั้น กระตุ้นความรู้สึกบางอย่างให้หลั่งไหลจนไม่สามารถกักเก็บความสงสัยนั้นไว้กับตัวได้อีก
“มัทมองเห็นคุณปู่ใช่ไหมลูก”
สิ้นคำถามนั้นสายลมที่สงบนิ่งก็ไหววูบราวกับจะตอบคำถามแทนหญิงสาวที่ยังคงมีอาการสั่นสะท้านให้เห็น
“หนูมัท…” ท่านเรียกย้ำอีกครั้งเมื่อมัทนายังนิ่ง
“หนูกลัว…ทำไมคุณปู่ไม่มาหาอาก้องเองล่ะคะ นี่ไง…อาก้องนั่งอยู่ตรงนี้”
“อาก้องเขามองไม่เห็นปู่น่ะสิ!”
อดีตประมุขของบ้านมีสีหน้าเศร้าสร้อยไม่ต่างจากครั้งยังเป็นคน หากมัทนากลัวท่านเช่นนี้เรื่องของปรีชญาจะลุล่วงไปได้อย่างไร
“งั้นคุณปู่ก็ลองไปหาคนอื่นสิคะ พี่โต้งกับยายต้อง หรือใครก็ได้ที่ไม่กลัวผีเหมือนหนู!”
มัทนายกมือขึ้นพนมกลางอก สายตายังคงจับจ้องไปที่ประตูบานใหญ่ น้ำตาไหลนองอาบทั่วใบหน้า พานทำให้คนมองหัวใจอ่อนยวบแต่ไม่อาจจัดการสิ่งใดได้ เมื่อท่านไม่ได้มองเห็นบิดาเช่นเดียวกับมัทนา เวลานี้จึงต้องคิดหาทางออกเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีที่สุด
“โธ่! อย่ากลัวปู่เลยนะลูก ปู่เองก็ไม่รู้จะทำยังไง ปู่แค่อยากช่วยเจ้าปีเท่านั้น และมัทก็เป็นเพียงคนเดียวที่มองเห็นปู่” คุณปู่วิเชียรขยับตัวเข้ามาใกล้ ทำให้คนบนเตียงรีบคว้าผ้าห่มมาคลุมศีรษะเอาไว้
“หนูมัท!” ก้องภพดึงตัวเพื่อนรักของบุตรสาวมากอดปลอบ
“คุณปู่ออกไปยืนตรงโน้นก่อน มัทกลัว!”
อาการสั่นสะท้านของมัทนาเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนก้องภพกลัวว่าเธอจะช็อกหมดสติไปอีกรอบ ตัดสินใจดึงผ้าห่มออกจากศีรษะของมัทนา แม้ว่าหญิงสาวจะขัดขืนอยู่บ้างแต่ท่านก็ออกแรงจนผ้าห่มนั้นหลุดพ้น จากนั้นจึงถอดสร้อยพระที่ห้อยคอมาตั้งแต่เด็กเพื่อให้หญิงสาวได้สวมใส่ เอ่ยปลอบประโลมอีกฝ่ายอย่างใจเย็น เพราะไม่อยากให้มัทนาหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อเช่นตอนนี้
“ใส่สร้อยพระนี้ไว้จะได้อุ่นใจ มัทไม่ต้องกลัวนะลูก คุณปู่ไม่ทำร้ายมัทหรอก”
“แต่มัท…”
“ใส่สร้อยพระติดตัวเอาไว้ หนูจะได้สบายใจมากขึ้น อาให้ยืมใส่ได้ชั่วคราว ไว้หายกลัวคุณปู่เมื่อไหร่มัทค่อยถอดมาคืนอา”
“ให้หนูยืมจริงๆ นะคะ”
“ให้ยืมจริงๆ อาไม่โกหกหรอกลูก”
มัทนาพยักหน้ารับทราบ รับสร้อยพระมาสวมแต่โดยดี ไม่ลืมที่จะท่องบทสวดมนต์แบบง่ายๆ ตามความเชื่อของตัวเอง จากนั้นจึงเงยหน้ามองไปรอบบริเวณห้องอีกครั้ง จนกระทั่ง…
“ทำไมหนูยังมองเห็นคุณปู่อยู่ล่ะคะอาก้อง!” เธอเขย่าแขนก้องภพอย่างแรงพร้อมกับถลามานั่งซุกแผ่นหลังของท่านด้วยเนื้อตัวสั่นเทาไม่ต่างจากเดิมนัก
“โธ่! ปู่ไม่ใช่วิญญาณร้าย จะกลัวพระไปทำไมเล่ายายมัท!” วิญญาณของคุณปู่วิเชียรส่ายหัวไปมาอย่างอ่อนใจ ไม่รู้ไปเอาความเชื่อมาจากไหนว่าผีต้องกลัวพระอยู่เสมอ
“พ่อครับ…ให้เวลามัทหน่อยนะครับ หลานกำลังตกใจ” เอ่ยพูดออกมาลอยๆ แม้ว่าจะมองไม่เห็นบิดาก็ตาม
“แต่ยายปีไม่มีเวลาแล้วนะก้อง!”
“คุณปู่บอกว่าปีไม่มีเวลาแล้วค่ะอาก้อง” แม้เสียงของมัทนาจะอู้อี้ แต่ก้องภพก็ได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน
“หากไม่มีเวลาแล้วมัทจะทำยังไง ตัวสั่นขนาดนี้จะคุยกับคุณปู่รู้เรื่องเหรอ”
หญิงสาวค่อยๆ เหลือบตามองไปยังหน้าต่างห้องที่ถูกเปิดกว้าง เห็นพี่ชายและปรีชญายืนจ้องหน้ากันแล้วไม่พูดสิ่งใดออกมาก็ไม่สบายใจตามไปด้วย จึงหันมามองคุณปู่วิเชียรที่ขยับมายืนอยู่ที่ปลายเตียงอีกครั้ง พยายามคิดหาทางออกให้ตัวเองอย่างสุดกำลังว่าเธอควรจะทำอย่างไรต่อไป เธอไม่อยากให้ปรีชญาพ่ายแพ้ แต่หนทางที่จะทำให้เพื่อนชนะก็ดูจืดจางเหลือทน ยิ่งมาเจอกับความกลัวผีของเธอด้วยแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่
คุณปู่วิเชียรเห็นแววตาสับสนของมัทนาแล้วตัดสินใจบางอย่างได้ คุกเข่าลงตรงหน้าเพื่อขอร้องให้มัทนายอมช่วยหลานสาว
“ปู่ขอร้อง…มัทต้องช่วยปู่นะลูก อย่าปล่อยให้พิมพรรณได้โรงงานขนมไปเด็ดขาด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น…”
มีอีกหลายถ้อยคำที่พูดต่อท้ายประโยคนั้นแต่เสียงของคุณปู่กลับขาดหาย มัทนาจับใจความไม่ได้ว่าท่านพูดสิ่งใดออกมา และเพราะอะไรสีหน้าและแววตายามที่พูดประโยคหลังนั้นถึงได้มีแต่ความกังวลจนเธอรู้สึกกลัว
กลัวว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องร้ายแรงจนเกินจะแก้ไข…
“คุณปู่พูดอะไรคะ มัทไม่ได้ยิน” หญิงสาวพยายามทำใจดีสู้เสือ ยังคงซุกอยู่ที่หลังของนายก้องภพที่เธอรักเหมือนพ่อ ชะโงกหน้าออกมาเล็กน้อยเพื่อมองสิ่งที่กลัวแสนกลัวให้เต็มตา
“ปู่บอกว่า…”
“ทำไมเสียงหายไป ทำไมพูดเรื่องนี้แล้วเสียงหายเหมือนวิทยุไม่มีคลื่นเลยล่ะคะ!”
มัทนาขมวดคิ้วยุ่ง อ่านปากได้ว่าท่านพูดถึงพิมพรรณและสามี แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณปู่วิเชียรเอ่ยบอกในเรื่องอื่นๆ นั้น มีใจความสำคัญว่าอย่างไร
“เกิดอะไรขึ้นหรือหนูมัท”
ก้องภพขยับตัวเล็กน้อย เห็นสายตาของมัทนามองลงต่ำ ก็เดาได้ว่าบิดาคงกำลังนั่งอยู่บนพื้นไม้ ท่านจึงยอบตัวลงนั่ง ไม่ต้องการนั่งค้ำหัวบิดาแม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม
“กรุณาลุกขึ้นเถอะค่ะ” มัทนาถอยกรูดไปติดหัวเตียง “อย่าให้มัททำบาปโดยไม่ได้ตั้งใจ คุณปู่ลุกขึ้นนะคะ อาก้องก็ด้วย ลุกขึ้นให้หมดเลยค่ะ”
“มัทต้องรีบไปบอกเจ้าปีและต้องไปขอร้องให้เมษช่วยหลานสาวของปู่นะลูก”
น้ำเสียงของคุณปู่วิเชียรจริงจังจนมัทนาสัมผัสได้ ความหนักอึ้งในหัวใจเพิ่มพูนมากขึ้นจนเกินจะต้านทาน จ้างคนอื่นมาสอนปรีชญา ยังดีเสียกว่าการที่เธอเดินไปร้องขอให้เมธัสทำในสิ่งที่เขาพยายามหลีกหนีตลอดมา
“แต่พี่เมษอาจจะปฏิเสธ”
“ต่อให้ปู่ต้องกราบเมษเพื่อขอร้อง ปู่ก็จะทำ!”
“คุณปู่…”
“มัทคงไม่รู้ว่าคนที่คิดสูตรขนมให้ป็อกทั้งหมดคือพี่ชายของมัทเอง”
“คุณปู่ว่ายังไงนะคะ!” คนฟังตาโต อ้าปากหวอ
“มัทฟังไม่ผิดหรอก เรื่องนี้มีแค่ปู่ อาก้อง และตัวเจ้าป็อกเท่านั้นที่รู้”
คุณปู่วิเชียรทำท่าคล้ายกับถอนหายใจ เดินมานั่งอีกฟากของเตียงโดยที่มัทนาไม่ได้แสดงอาการตื่นกลัวมากไปกว่าเดิม เธอกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลที่พี่ชายปิดปากเงียบในเรื่องนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าปกปิดเลยสักนิด
“เมษเป็นคนคิดสูตรขนมและพัฒนาให้ป็อกทุกตัว”
“งั้นก็เป็นพี่เมษจริงๆ ด้วยที่จะช่วยปีได้”
“ใช่…ถูกอย่างที่มัทพูด มีแค่เมษเท่านั้นที่จะช่วยปีได้!”
นาทีนี้ความตกใจอยู่เหนือความกลัวทั้งหมดที่มี มัทนามองไปยังกรอบรูปขนาดใหญ่ที่ถูกแขวนอยู่บนผนังห้องด้วยความรู้สึกหลากหลาย เธอไม่เคยรู้เลยว่าพี่ชายของตัวเองคือคนสำคัญที่พี่ป็อกมักพูดถึงอยู่ตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ความรักที่พี่ป็อกมักจะพูดนั้น…
“ความรักที่พี่ป็อกพูดถึงบ่อยๆ ก็คือปี”
“เจ้าเมษเองก็มีความรักแบบเดียวกัน มัทลืมไปแล้วเหรอ”
เธอไม่ลืม…ไม่มีทางลืมแน่ว่าพี่ชายหลงรักเพื่อนของตัวเอง!
“ไอ้ปี แกชนะได้แน่ถ้าพี่เมษยอมช่วย!”
มัทนาโยนผ้าห่มให้พ้นจากตัวหลังจากสรุปกับตัวเองได้ว่าควรจะทำอย่างไร ถลาออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจสิ่งใด
แม้ว่าคุณปิ่นประดับจะต่อว่าที่เธอทำเสียงดังโครมครามเธอก็ไม่สน วิ่งหน้าตั้งออกไปเพราะต้องการพูดเรื่องนี้ให้พี่ชายยอมตกลงโดยไว เกมนี้ปรีชญาเพื่อนรักของเธอจะแพ้ไม่ได้ เพราะเดิมพันที่สำคัญนั้นไม่ได้มีเพียงแค่โรงงาน!
สองหนุ่มสาวหยุดเดินเมื่อเบื้องหน้าเป็นน้ำตกจำลองขนาดใหญ่ ที่เคยมาวิ่งเล่นด้วยกันสมัยที่ยังเป็นเด็ก เมธัสพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เมื่อสัมผัสได้ว่าดวงตาคู่หวานยังคงจับจ้องแผ่นหลังของเขาไม่ละไปไหน ความรู้สึกภายในใจที่พยายามกดทับให้จมลงสู่ก้นบึ้งหัวใจค่อยๆ ดันตัวขึ้นสูงจนจังหวะการเต้นของก้อนเนื้อในอกเริ่มแปรเปลี่ยน
“คิดถึงสมัยที่เราเป็นเด็ก พี่เมษเป็นคนสอนปีขี่จักรยาน เรามาเล่นตรงนี้ด้วยกันทุกวัน”
หญิงสาวเอ่ยทำลายความเงียบ คิดถึงความหลังที่เคยมีร่วมกันแล้วหัวใจก็อุ่นซ่าน ต่างจากเมธัสที่ยืนหันหลังเงียบ ไม่พูดสิ่งใดออกมาเพราะไม่อยากรื้อฟื้นบางเรื่องให้หัวใจต้องจดจำ
“พี่เมษหายไปไหนมาตั้งหลายปี ทำไมถึงไม่มาหาปีกับคุณย่าบ้าง” เธอรวบรวมความกล้าถามสิ่งที่คาใจออกไป ทั้งที่พอเดาได้ว่าเมธัสจะไม่พูดหากเขาไม่อยากพูด
“เล่าทั้งวันก็คงบอกเหตุผลไม่หมด”
“นั่นแปลว่าพี่เมษไม่คิดจะเล่าให้ปีฟังต่างหาก” หญิงสาวยิ้มให้ความผิดหวัง เดินหนีไปนั่งอีกฝั่งของสวนพร้อมกับใช้ปลายนิ้ววักน้ำในบ่อไปมา ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปเขาก็เป็นเหมือนเดิม เป็นคนเดิมที่เธอรู้จักแต่ไม่เคยเข้าใจ “ถ้าคุณปู่ไม่เสีย พี่เมษคิดจะกลับมาที่นี่อีกไหมคะ”
“พี่ไม่ว่าง ไม่ใช่ว่าไม่อยากมา”
“ถ้านั่นไม่ใช่เหตุผลจริงๆ พี่เมษก็ไม่ควรพูด เพราะปีไม่ได้อยากฟังคำพูดบ่ายเบี่ยง”
เมธัสหันมองคนตัวเล็กที่พยายามไม่สนใจเขาด้วยแววตาอ่านยาก หากพูดเหตุผลที่ติดค้างอยู่ภายในใจออกไป คนที่จะรับไม่ได้และจะเสียใจมากที่สุดคงไม่พ้นเธอ
เมื่อเขารับปากเพื่อนรักอย่างปกรณ์ไว้แล้วว่าจะไม่พูด สิ่งนั้นก็ควรถูกกระทำต่อไปเช่นนั้น จนกว่าปรีชญาจะพร้อมรับฟังทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
“เมื่อครู่พี่เดินเข้าไปหาคุณย่า ได้ยินเด็กในบ้านพูดถึงเรื่องของปี” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นทำลายความเงียบ
“เรื่องไหนคะ” ปรีชญาถามโดยไม่หันมาสบตา รู้ว่าเขาจงใจเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่ต้องการพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากพูด “เรื่องของปีมีตั้งหลายเรื่อง เราสองคนไม่ได้เจอกันร่วมสิบปี พี่เมษไปได้ยินเรื่องไหนมาหรือคะ ปีจะได้อธิบายถูก”
“ปีที่แล้วเราก็เจอกันในงานป็อกทุกวัน ปีลืมไปแล้วเหรอ”
เป็นอีกครั้งที่คนฟังแค่นยิ้ม หมุนตัวกลับมามองเขาอีกครั้งด้วยนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย เธอจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้เขาคนที่แสนดีคืนกลับมา จะต้องพยายามมากแค่ไหนเพื่อให้เขากลับมาเป็นเมธัสคนเดิมของเธอ
คนที่เคยพูด…ว่าเขาจะเป็นแค่ของเธอเท่านั้น
“ทำไมเราสองคนถึงเดินมาอยู่ในจุดนี้ได้”
น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความอ้างว้างจนเมธัสจุกในอก แต่ถึงอย่างนั้นก็แสดงความรู้สึกใดออกมาไม่ได้นอกจากนิ่งเฉย และพยายามบ่ายเบี่ยงหัวข้อสนทนา
“พี่ไม่เข้าใจว่าปีหมายถึงอะไร”
“พี่เมษโกรธปีเรื่องอะไรคะ ทำไมเราสองคนถึงได้ห่างเหินกันแบบนี้”
“คิดมากเกินไปแล้วปีใหม่ พี่จะไปโกรธอะไรเราได้” เมธัสคลี่ยิ้มเล็กน้อย พยายามทำตัวให้เป็นปกติ แต่ไม่เข้าใกล้เธอมากเกินกว่าจำเป็น เขาจะไม่ทำอะไรก็ตามเพื่อให้เธอรู้สึกกับเขามากไปกว่าคนที่คุ้นเคยกัน
เขาไม่อยากเป็นคนผิดคำสัญญา เมื่อรับปากไปแล้ว…เขาก็ควรทำให้ได้อย่างที่รับปาก!
“พี่เมษจะไม่พูดออกมาจริงๆ ใช่ไหมคะ”
ความเงียบคือคำตอบที่ปรีชญาได้รับ น้อยครั้งนักที่จะรู้สึกน้อยใจใครสักคนเหมือนที่กำลังรู้สึกกับคนตรงหน้า เธอและเขารู้จักกันมาเกือบชั่วชีวิต มีหรือเธอจะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร
“ก็ได้…ปีไม่อยากรู้แล้วก็ได้ ปีคงไม่ใช่คนสำคัญของพี่เมษเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว”
“ปีใหม่”
“เมื่อครู่พี่เมษถามปีว่ายังไงนะคะ”
เอาสิ…เมื่อเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็จะทำคืนบ้าง อย่างน้อยการทิ้งระยะห่างระหว่างกัน ก็น่าจะดีกว่าการวิ่งล่าหาคำตอบที่อยากฟังแต่กลับไม่มีวันได้ยิน
“เกิดอะไรขึ้นกับปี ยายมัทถึงได้รีบแจ้นมาที่นี่ตั้งแต่เช้า” คนตัวโตนั่งลงตรงข้าม วนเข้าประเด็นเดิมที่ยังค้างคาใจไม่หาย “ถ้าปีไม่เคยมองว่าพี่เป็นคนนอก ปีคงเล่าได้ใช่ไหม”
คนนอกงั้นเหรอ…ปรีชญาอยากย้อนถามเสียจริงว่าใครกันแน่ที่คิดแบบนั้น แต่ก็ป่วยการที่เธอจะพูด คนอย่างเมธัสหากอยากรู้สิ่งใด เขาจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบนั้น และเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นสำหรับเขา
“ว่ายังไงล่ะปี” เขาเรียกเธออีกครั้งเพื่อย้ำในสิ่งที่ถาม
“อาพรรณอยากได้หุ้นของพี่ป็อกในส่วนที่คุณปู่ถือแทนเอาไว้ แต่อาเกริกไม่ยอมให้พ่อยกให้ คุณย่าเองก็ไม่ยอม ตกลงกันไม่ได้ก็เลยทะเลาะกันใหญ่โตจนเรื่องราวบานปลาย สุดท้ายปีก็เลยต้องมาตกที่นั่งลำบาก”
“ก่อนหน้านั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมปีถึงพูดแบบนี้”
ความสงสัยบวกกับความแคลงใจในเรื่องที่ตนเองเคยประสบพบเจอ ทำให้เมธัสพยายามไล่ต้อนเพื่อเอาคำตอบจากปรีชญาให้ได้ อีกทั้งยังไม่มั่นใจ ว่าเรื่องที่ตนได้ยินมานั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ครั้นจะถามสิ่งใดจากน้องสาวเพื่อให้ความจริงกระจ่าง เขาก็ยังไม่สามารถทำได้ สถานการณ์ต่างๆ บีบคั้นให้เขาต้องเป็นคนเอ่ยปากถามปรีชญาด้วยเอง ทั้งที่เขาไม่ควรจะทำเลยด้วยซ้ำ
“พี่เมษ!” ผู้มาใหม่ร้องเรียกพี่ชายเสียงดัง คนที่กำลังจะอ้าปากเล่าเรื่องของตนเองจึงหยุดพูดในทันใด
“เป็นอะไรยายมัท มีเรื่องอะไร ทำไมถึงวิ่งหน้าตื่นมาแบบนี้!”
มัทนาย่อตัวเล็กน้อย ใช้ฝ่ามือเท้าไปที่หัวเข่า ส่ายหัวไปมาพร้อมกับสูดอากาศเข้าปอดจนเต็มที่ จากนั้นจึงถลาเข้าไปเกาะแขนพี่ชายเอาไว้ด้วยสีหน้าจริงจังมากกว่าเดิม
“มัทมีเรื่องสำคัญจะพูดกับพี่เมษ ต้องพูดกันเดี๋ยวนี้เลยค่ะ!” เธอบอกพี่ชายด้วยน้ำเสียงสั่นไหว ความเหนื่อยเล่นงานอย่างหนัก ไม่คิดว่าเวลาไม่กี่นาที สองคนนี้จะพากันเดินมาไกลถึงสวนหลังบ้าน
“หายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติแล้วพูดช้าๆ ว่าเรื่องสำคัญของมัทคืออะไร!”
“ไม่ได้ค่ะ มัทรีบ!”
“สำคัญมากเลยงั้นเหรอ”
เมธัสหรี่ตามองน้องสาวอย่างจับสังเกต มองอาการสะดุ้งของมัทนาเมื่อครู่นี้แล้วนึกแปลกใจขึ้นมาอีกรอบ กอปรกับสายตานั้นมองต่ำลงไปเพื่อพิจารณาบางสิ่ง ทำให้เห็นว่าขณะนี้ที่ลำคอขาวนวลของน้องสาวมีสิ่งที่เป็นของรักของหวงของผู้มีพระคุณสวมอยู่
“มัทเป็นอะไร ทำไมถึงบีบแขนพี่แน่นขนาดนี้”
“มัท…”
“บอกไปเลยว่าเห็นวิญญาณของปู่!”
อีกฝ่ายเชียร์เสียงดัง แต่มัทนากลับหน้าเจื่อน ออกแรงบีบแขนพี่ชายแรงขึ้นกว่าเดิมตามระดับความกลัว ปรีชญาจึงเดินเข้ามาแตะหลังเพื่อนเอาไว้ เมื่อเธอรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ชักไม่ชอบมาพากลเข้าไปทุกที
“บอกเจ้าเมษไปเลยสิยายมัท ว่าหนูมองเห็นปู่ เราจะได้เข้าเรื่องสำคัญกันเลย”
“พี่เมษ…” มัทนาเรียกพี่ชายอีกครั้ง
“นี่เราเป็นอะไรกันแน่ กำลังกลัวอะไร บอกพี่ได้หรือเปล่า”
“มัทเห็นคุณปู่” เธอบอกพี่ชายเสียงแผ่ว ความประหม่าทำให้ความตั้งใจเดิมที่จะพูดจางหาย เห็นสายตาของพี่ชายมองมาเหมือนไม่เชื่อเธอยิ่งอยากจะร้องไห้ออกมา “อย่าทำหน้าเหมือนไม่เชื่อสิคะ มัทเห็นคุณปู่จริงๆ นะพี่เมษ ไม่อย่างนั้นมัทคงไม่ตกใจจนเป็นลมไป”
“นี่…อย่ามาล้อเล่นแบบนี้นะมัท เกิดใครมาได้ยินเข้าจะหาว่าพี่อบรมเรามาไม่ดี มีอย่างที่ไหนเอาคนตายมาพูดถึงเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น”
“ยายมัทไม่ได้ล้อเล่น แต่น้องพูดจริงนะเจ้าเมษ!” ผู้ที่ถูกพาดพิงพยายามตะโกนเสียงดัง หากมีลมหายใจเหมือนเก่าก่อน คงถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่ากับสิ่งที่ได้ยินในเวลานี้
“มัทไม่ได้ล้อเล่นนะพี่เมษ มัทกลัวผีจะแย่ ลืมไปแล้วหรือไงคะ”
“แกเห็นคุณปู่จริงๆ เหรอมัท” เธอถามเสียงแผ่ว
มีเพียงปรีชญาเท่านั้นที่เชื่อเพื่อนรักอย่างสนิทใจ โดยที่มัทนาไม่จำเป็นต้องอธิบายหรือพิสูจน์สิ่งใดให้ชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่ กระแสลมเบาบางที่วนอยู่รอบตัว พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่ท่วมท้นในหัวใจ ทำให้ปรีชญาเชื่ออย่างสุดใจว่าคุณปู่คงอยู่ไม่ห่างจากเธอในเวลานี้
“คุณปู่มาปรากฏตัวให้ฉันเห็นเพราะอยากช่วยแก และท่านบอกฉันว่า…” มัทนาเงียบไปครู่ใหญ่ เงยหน้าสบตากับพี่ชายแล้วตัดสินใจพูดทุกอย่างออกมา “คนที่จะช่วยแกได้ มีแค่พี่เมษคนเดียวเท่านั้น”
“ว่าไงนะ!” เมธัสถามน้องเสียงห้วน ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาดื้อๆ
“มัทไม่ได้พูดเล่นนะพี่เมษ”
“พี่ไม่ตลกด้วยนะมัท!” เมธัสลุกขึ้นมายืนสบตาน้องด้วยสายตาขุ่นมัว
“มัทรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลก และรู้ว่าเป็นเรื่องยากที่พี่เมษจะเชื่อ แต่คุณปู่บอกมัทมาแบบนี้จริงๆ และมัทเองก็เชื่อแบบนั้น” หญิงสาวเดินเข้ามาจับแขนพี่ชายไว้แน่น “พี่เมษเชื่อมัทนะคะ”
“ไม่…พี่ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด!” ชายหนุ่มสะบัดแขนออก
คุณปู่วิเชียรเห็นท่าไม่ดีจึงเดินวนไปวนมา พยายามนึกถึงเรื่องราว หรือคำพูดระหว่างตนเองและเมธัสอยู่นาน กระทั่งนึกออกว่ามีคำพูดใดที่เมธัสจะรับรู้ได้ทันที ว่ามีแค่ท่านเท่านั้นที่ล่วงรู้ จึงโพล่งออกมาโดยไม่ทันคิดสิ่งใดให้รอบคอบ
เมื่อมัทนาได้ทราบถึงคำบอกกล่าวนั้น สีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลก็เปลี่ยนเป็นตื่นตะลึงในทันที หญิงสาวหันมามองหน้าพี่ชายสลับกับมองหน้าเพื่อน เดินไปกระซิบบางอย่างกับเมธัสตามคำสั่งของคุณปู่ ทันทีที่เขาได้รับฟังถึงถ้อยคำนั้น ใบหน้าที่เครียดขึงก็แปรเปลี่ยนไปไม่ต่างจากมัทนา
‘ผมรักปีใหม่ ถ้าปู่มั่นใจในตัวผม ยกเขาให้ผมได้ไหมครับ’
ชายหนุ่มในวัยยี่สิบสามปีเอ่ยถามคุณปู่วิเชียรอย่างตรงไปตรงมา เรื่องนี้มีแค่ท่านกับเมธัสเท่านั้นที่รู้ ว่าสัญญาใจระหว่างลูกผู้ชายมีสิ่งใดเป็นเดิมพัน
“บอกเจ้าเมษแบบนี้ เรื่องนี้มีแค่ปู่เท่านั้นที่รู้!”
“มันเป็นเรื่องจริงใช่ไหมพี่เมษ” มัทนาพยักหน้ารับ ก่อนจะหันมากระซิบถามพี่ชาย เดาได้ไม่ยากว่าปรีชญาไม่รู้เรื่องนี้ และพี่ชายก็แสดงพิรุธออกมามาก จนเธอเชื่อเกินครึ่งว่านี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต
“อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระกับพี่นะยายมัท!”
เมธัสเอ็ดน้องเสียงดังพร้อมกับเดินหนีไปทันที มัทนาจึงรีบปรี่ไปขวางหน้าพี่ชายเอาไว้ ไม่สนใจสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามของปรีชญา เพราะเธอรู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดให้อีกฝ่ายทราบ
“อย่าเดินหนีมัท พี่เมษไม่เคยหนีปัญหา”
“เว้นเรื่องนี้” เขาตอบเสียงเรียบ ไม่สบตาน้องสาว
“เว้นไม่ได้ เพราะถ้าพี่เมษยังหนักแน่นในคำพูดนั้นอยู่ พี่เมษก็ควรจะช่วยปีนะ”
เห็นพี่ชายอ่อนลงมัทนาก็เริ่มอ้อน เมธัสไม่ใช่คนใจแข็งโดยเฉพาะกับน้องสาว และเขาจะไม่ขัดใจหากเรื่องนั้นเป็นเรื่องสำคัญของเธอ
“มัทไม่อยากให้ปีแพ้ ถ้าความรักของพี่ป็อกกับพี่เมษเป็นสิ่งเดียวกัน และพี่เมษยังยืนยันว่าทุกความรู้สึกที่พูดกับคุณปู่ในวันนั้นเป็นความจริง พี่เมษต้องไม่ทิ้งปีนะ” เธอกระซิบบอกพี่ชายเสียงสั่น
“คุณปู่พูดอะไรอีก”
“บอกว่ายกปีให้พี่เมษแล้ว และคุณปู่ทวงสัญญาที่พี่เมษเคยพูด”
“งั้นตอบมา ว่าพี่พูดกับคุณปู่ว่าอะไร” เขาถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
“ไม่มีอะไรจะแลก นอกจากสัญญา…ว่าจะรักเขาให้มากกว่าที่รักตัวเอง”
เป็นประโยคที่ตรึงเมธัสไว้นิ่งงัน คำพูดนั้นเป็นของเขาจริงอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอย่างไรกับปัญหาตรงหน้าได้ เพราะเรื่องที่น้องสาวพูดนั้น ไม่มีใครล่วงรู้นอกจากคุณปู่วิเชียรจริงๆ เขาจึงหันไปมองหน้าปรีชญาชั่วครู่ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับเอ่ยถามในสิ่งที่ปรีชญาไม่คิดว่าจะได้ยิน