ชมา 5 ชีวิต บทที่ 5 : พรานติดบ่วง

ชมา 5 ชีวิต บทที่ 5 : พรานติดบ่วง

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

ชมา 5 ชีวิต เรื่องราวของลูกแมวขาวดำทักซิโด้ที่ได้ไปเจอเจ้าของในชาติที่แล้วและชาติที่สอง รวมถึงชาติที่หนึ่ง แถมยังพบว่าแขกที่มาเที่ยวฟาร์มเสตย์ก็ดันเป็นเจ้าของตัวมันในชาติที่สาม! ชมารู้ทันที่ว่าเรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น! พบกับนวนิยายเรื่อง ชมา 5 ชีวิต โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านใน anowl.co

– 1 –

วันนั้นที่ริมบึงน้ำฝั่งเล้าเป็ด เป้เลือกที่จะเดินหนี แต่หลังจากนั้นเขาก็จับจ้องมองฟ้าใสไม่วางตา โดยที่เธอนั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิด หรือถ้าจะรู้ตัวเธอคงจะเข้าใจผิดไปในทางอื่น

เป้พยายามกันแฟนต้าออกไปจากการยืนยันสิทธิ์การเลือกเพศที่ฟ้าใสพยายามทำให้ สาบานด้วยเกียรติของแมว ผมไม่ได้เข้าข้างเป้เพราะเขาเป็นเจ้าของผมมาสองชีวิต หรือเพราะเรานอนด้วยกันทุกคืน แต่ผมเองก็อดระแวงไม่ได้ว่า สิ่งที่ฟ้าใสกำลังทำนั้น ส่วนหนึ่งมันมาจากการเยียวยาความผิดในใจของตัวเอง

ฟ้าใสมีเรื่องราวขมขื่นในอดีต และมันเป็นความขมขื่นที่เก็บเอาไว้มิดชิด ฟ้าใสไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ แม้กระทั่งกับหลิน ช่วงเวลานั้นเธอมีแต่ผม ซึ่งยังเป็นข้าวโพด แมวขาวดำตัวเล็กๆ เป็นที่ระบาย

ผมไม่รู้ว่าเมื่อผมจากเธอมา ระหว่างนั้นเธอได้เล่าความรู้สึกนึกคิดให้หลินหรือใครฟังบ้างหรือยัง แต่ผมเชื่อว่าเธอไม่เคยลืมเรื่อง ‘น้องน้อย’ และรู้สึกผิดเสมอเมื่อนึกย้อนไปถึงเรื่องนั้น

แต่การใช้เวลาจับจ้องฟ้าใสของเป้ ก็เหมือนนายพรานสร้างกับดักจับสัตว์ แล้วดันเดินไปติดบ่วงของตัวเอง

ฟ้าใสอาจจะดื้อบ้างในบางเรื่อง แต่เนื้อแท้แล้วเธอเป็นคนในกรอบ แถมอ่อนโยนและดูเป็นผู้หญิงอย่างมาก ซึ่งถ้าจับเธอมานั่งคู่กับเป้แล้ว มันก็เหมือนพระอาทิตย์ กับพระจันทร์ หรือไม่ก็กระดาษทรายกับกระดาษชำระเนื้อละเอียดนั่นแหละ

ผิวของฟ้าใสนั้นละเอียดลออ ในขณะที่เป้สากไปด้วยขนบนสันกรามจนเขาต้องตื่นมาโกนมันในทุกๆ เช้า แฟนต้าเคยลงความเห็นว่า ถ้าเป้คิดอยากจะเป็นกะเทยขึ้นมาละก็ คงจะเปลืองฮอร์โมนน่าดู

ที่ผมยกตัวอย่างรูปร่างภายนอก ก็เพื่อจะบอกว่า เป้นั้นเต็มไปด้วยลักษณะของเพศชาย ส่วนฟ้าใสนั้นก็เต็มไปด้วยลักษณะของเพศหญิง การที่เป้เอาแต่จ้องมองฟ้าใส ด้วยข้ออ้างของการจับผิด มันก็ยิ่งให้เขาเห็นมุมอ่อนหวานที่ในตัวเขาไม่เคยมี

ผมรู้ว่าเป้โดนเล่นงานจนสะบักสะบอมก็ตอนที่เขาเผลอยิ้ม ขณะที่จ้องมองฟ้าใสยิ้มหวานให้ยายจันทร์ยายของต้นกล้า ตอนนั้นเธอช่วยยายจันทร์ขูดมะพร้าวด้วยเครื่องมือที่เรียกว่ากระต่ายขูดมะพร้าวอยู่หลังเรือนพักคนงาน

ฟ้าใสหยิบจับเครื่องมือทำอาหารได้อย่างคล่องแคล่ว และมีน้ำใจช่วยเก็บกวาดอย่างที่คนแก่ๆ เรียกว่าคนมือบอน ผู้ชายแท้ๆ ที่สามารถแทรกตัวนอนท่ามกลางกองผ้าอย่างเป้ ถ้าไม่ตายเพราะรอยยิ้มนั่นก็ต้องตายตรงเสน่ห์ปลายจวักของผู้หญิงนั่นแหละ

ซึ่งในที่สุดเป้ก็ตอกตะปูปิดฝาโลงตัวเอง ตายสนิท ในวันที่ฟ้าใสไปช่วยเขาจัดห้อง ผมเห็นเป้ใช้วิธีโง่ๆ ดูง่ายๆ อย่างการทำหน้าเข้ม เขากระแอมสองสามรอบ เมื่อฟ้าใสหันไปถามว่า “มีอะไรหรือเปล่า” เมื่อรู้ตัวว่าเป้จ้องอยู่

หลังจากวันนั้นเป้ก็ลากฟ้าใสไปเป็นเพื่อนซื้อของในเมือง หรือชวนเธอไปทำโน่นทำนี่ในฟาร์ม ด้วยข้ออ้างว่าอยากจะแยกเธอให้ไกลจากแฟนต้า ทั้งๆ ที่แฟนต้าต้องไปโรงเรียนและได้เจอกับฟ้าใสเต็มวันในวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น

เรื่องนี้คนทั้งฟาร์มรู้ แต่คนไม่รู้ใจตัวเองก็คือนายเป้คนเดียวนั่นแหละ

ส่วนฟ้าใสนั้นเธอไม่ได้โง่ เพียงแต่เธอก็คงเขินและไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองถ้าผู้ชายไม่ได้พูดออกมาก่อน เวลาที่มีคนแซว โดยเฉพาะแม่พวกคนงานสาวๆ ฟ้าใสจึงบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ

ถ้าเรื่องจะไปในแนวนั้นก็ดีเหมือนกัน

เจ้าของในชาติที่หนึ่งและสองลงเอยกัน เจ้าของในชาติที่สามและสี่ก็อาจจะลงเอยกัน

จริงๆ แล้ว ผมอาจจะได้รับภารกิจเพื่อมาช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเป้และฟ้าใสให้ราบรื่นขึ้นก็เป็นได้ ผมคิดเองเออเองไปได้สามสี่วัน แล้วคำตอบนั้นก็มาถึง…

สัญญาณแรกมันเริ่มที่….

วันนั้น เป้เมานิดๆ เพราะไปลองชิมสูตรเหล้าป่าผสมน้ำแดง ที่นายจ๊อบคนงานคนหนึ่งผสมให้กินข้างที่พักคนงาน

จ๊อบรินส่วนผสม เอาเกลือปาดขอบแก้วแล้วส่งให้เป้ชิม

เป้ถามย้ำว่าไม่ได้มีส่วนผสมแปลกๆ อย่างน้ำกระท่อมใช่ไหม เมื่อจ๊อบบอกว่าไม่มี ในนั้นมีแค่เหล้าป่า น้ำแดง โซดาและมะนาวนิดหน่อย เป้เลยชิมเพลินไป 3 แก้ว โดยที่เขาหยุดชิมเพราะมีคนงานคนอื่นเตือนว่าเหล้ามันแรง และห้ามจ๊อบไม่ให้ผสมแก้วที่ 4 ให้เป้อีก

เป้บอกจ๊อบว่า เขารู้สึกถึงความร้อนตั้งแต่คอหอยลงไปถึงกระเพาะ มันไล่ความหนาวได้ชะงัดนัก

เป้ออกจากบริเวณที่พักคนงานเป็นเวลาราวๆ สามทุ่ม ไล่เลี่ยกับโตที่เดินโซเซออกไปก่อน เมื่อผ่านไปถึงบ้านพักหลังที่ 5 ของฟ้าใส ซึ่งเปิดไฟสว่างไปทั่วทั้งหลัง เป้ก็หยุดยืนมอง

เขาไม่มีท่าทีจะก้าวต่อไป จนกระทั่งมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากในบ้าน บานประตูสีขาวเปิดผลัวะ เป้จึงกระโดดโหยง หลบเข้าไปในเงามืดหลังพุ่มไม้

แฟนต้า ต้นกล้า และฟ้าใสก้าวออกมาจากบ้าน พวกเขาหันมาเห็นผม ต้นกล้าร้องทักแล้วปรี่เข้ามาอุ้มผมขึ้นไปสมทบกับพวกที่เหลือตรงขอบประตู

“ลองไปอ่านดูนะ เพจนี้เขาให้ความรู้หลายเรื่อง” ฟ้าใสเอ่ยกับแฟนต้า

“นี่ต้าจะเอาจริงเหรอ เมื่อกี้ดูคลิปผ่าตัดแล้วมันน่าสยองอะ” ต้นกล้าเบ้ปาก

“พี่ถึงอยากจะให้คิดให้ดีๆ ไง” ฟ้าใสจับไหล่แฟนต้า “แต่ถ้าแฟนต้าตัดสินใจแล้ว เราจะเริ่มแผนการของเรา ด้วยการเข้าหาพี่โอกัน”

“ทำไมต้องเป็นอาโอล่ะครับ” ต้นกล้าถามอย่างสงสัย

“เพราะผู้หญิงย่อมต้องเข้าใจผู้หญิง” ฟ้าใสว่า กะพริบตาข้างเดียวส่งให้แฟนต้าอย่างรู้กัน

แฟนต้าหัวเราะชอบใจ

ต้นกล้าและแฟนต้าก้าวลงจากบ้านหลังที่ 5 ระหว่างทางเดิน ผมยังอยู่ในอกของต้นกล้า เมื่อพ้นบ้านหลังที่ 5 มาไกลแล้ว ต้นกล้าก็หยุดยืน ถามแฟนต้าอย่างจริงจังว่า แฟนต้าอยากจะผ่าตัดแปลงเพศจริงๆ หรือ

“ทำไมล่ะ” แฟนต้าถาม ต้นกล้ากอดผมเอาไว้แน่น

“ต้าจะว่าเรางี่เง่าไหมถ้าเราจา…” ต้นกล้ามีอาการลังเล

“จะอะไร”

“จา…ช่างมันเถอะ” เขาเปลี่ยนใจ แต่แฟนต้าไม่ยอม

ต้นกล้ายืนยันว่าจะไม่พูด ถ้าพูดไปแล้วแฟนต้าอาจจะโกรธเขา และหาว่าเขาเป็นคนใจแคบ ไม่ยอมเข้าใจโลกก็เป็นได้

“สัญญา…ด้วยเกียรติของกะเทยเลย พูดมาเถอะ เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ปอหนึ่งเลยนะ เราไม่เข้าใจอะไรผิดๆ หรอกน่า”

ต้นกล้าลังเล แต่แล้วก็พูดขึ้นด้วยสีหน้ากล้าๆ กลัวๆ

เขาบอกว่ายายจันทร์ยายของเขาเคยบอกว่า คนที่ต้องมาเป็นกะเทยในชาตินี้ ก็เพราะชาติที่แล้วเป็นคนเจ้าชู้ผิดลูกผิดเมียคนอื่น ชาตินี้จึงต้องมาชดใช้กรรมโดยต้องมาเป็นกะเทย ดังนั้นไม่ต้องมัวเสียเวลาผ่าตัดแปลงเพศให้เจ็บตัวหรอก แต่ให้เป็นคนดี ทำดีให้มากๆ ชาติต่อไปก็จะได้เป็นผู้หญิงหรือไม่ก็กลับมาเป็นผู้ชายแท้ๆ ได้แล้ว

“มันเหมือนการถูกลงโทษน่ะ พอชาติหน้าก็เริ่มต้นใหม่ได้” ต้นกล้าพูดเสียงเบา เหลือบมองแฟนต้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ

แฟนต้ายืนนิ่ง พักหนึ่งก็หัวเราะ “ชาติหน้า…”

“ก็นั่นน่ะสิ เรารู้ต้าไม่เชื่อหรอก” ต้นกล้าถอนหายใจ

“เดาไปเรื่อย รู้ได้ยังไงว่าไม่เชื่อ”

“รู้สิ…จำได้ไหมตอนที่ต้ามึนหัวเพราะยาคุม เราเคยห้ามไม่ให้กินแล้วต้าบอกว่า ถ้าไม่กินตอนนี้จะให้กินชาติไหน เรารู้ว่าต้าไม่เชื่อเราหรอก อีกอย่างชาติหน้าก็ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า” ต้นกล้าก้มหน้า ทั้งคู่เงียบไปพักหนึ่ง ในที่สุดแฟนต้าก็ถามออกมาว่า

“กล้า…คนอย่างนายไม่เชื่อเรื่องชาติหน้าเหรอ”

“ไม่รู้สิ มันจะมีจริงๆ น่ะหรือ”

“แต่เราเชื่อนะ” แฟนต้าว่า ต้นกล้ามองตาค้าง

“เรา…อยากให้มีชาติหน้า เรา…อยากจะเชื่อว่าคนเราเกิดมาชดใช้กรรมเหมือนที่ยายจันทร์ชอบพูด มันทำให้คนอย่างเรามีความหวัง ถ้าชีวิตมันมีแค่ครั้งเดียว แล้วเราเลือกเกิดไม่ได้ มันจะน่าเศร้าแค่ไหนถ้าชาตินี้เราเกิดมาพิการ เวลาที่เราเห็นคนพิการ เวลาที่เราเห็นคนเป็นโรคประหลาด ถ้าคิดว่าพวกเขามาใช้กรรม เพื่อรอเวลาไปเกิดในชาติใหม่ มันทำให้เราเจ็บปวดน้อยลง – นายไม่เคยเจ็บปวดเวลาเห็นคนที่แย่กว่ามากๆ เหรอ”

ต้นกล้าส่ายหน้า เขาดูโง่ลงนิดนึง หลังจากที่ดูฉลาดมานาน

“ถึงฉันจะไม่มีพ่อแม่ แต่บางครั้งก็มีความสุขมาก จนรู้สึกว่าทำไมเราช่างโชคดีกว่าคนอื่นจัง รู้สึกโชคดีจนรู้สึกผิด”

“โชคดีจนรู้สึกผิด…” ต้นกล้าทวนคำ

“ฮือ…” แฟนต้าพยักหน้าแรง “คนอย่างนายไม่รู้ตัวหรือไงว่าตัวเองโชคดีแค่ไหน มีพ่อ มีแม่ มียาย มีอาหารดีๆ กิน มีคนซื้อพัดลมมาให้ รอบตัวนายมีแต่คนรัก มีแต่คนที่คิดถึงนาย”

“ก็…”

“ก็อะไร เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นทุกวันใช่ไหม นายเลยรู้สึกว่ามันธรรมดาจนไม่รู้สึกสินะ แต่คนไม่มีพ่อมีแม่อย่างฉันรู้สึก”

“จะบอกว่าต้าอิจฉาเราเหรอ”

“บ้า” แฟนต้าร้องเสียงหลง “ฉันจะอิจฉานายด้วยเรื่องอะไร อาโตกับอาโอเลี้ยงฉันมาอย่างดี ฉันรวยกว่านาย อยากได้อะไรก็ได้ และจะต้องเป็นผู้สืบทอดที่นี่นะ…ที่ว่ารู้สึกน่ะ เพราะฉันไม่มีพ่อแม่แล้ว จึงมองเห็นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อนายชัดเจนต่างหาก”

“แปลว่าชาตินี้ของเราดีแล้ว” ต้นกล้าถาม

“และจะดีขึ้นไปอีกในชาติหน้า ฉันชอบจะเชื่อแบบนี้ มันรู้สึกอุ่นใจดี”

“แปลว่าต้าจะรอชาติหน้าใช่ไหม เรื่องแปลงเพศ…”

“กล้าอยากให้รอเหรอ” แฟนต้าถาม ต้นกล้าจ้องเขม็งก่อนจะพูดว่า

“เป็นอย่างต้ามันไม่เหมือนคนพิการซะหน่อย ไม่ต้องรอชาติหน้าหรอก”

“หือ…”

“เราเคยได้ยินคนพูดว่า กะเทยไม่ใช่เพศแต่คือไลฟ์สไตล์” แฟนต้าเลิกคิ้ว ทำตาโต ต้นกล้าพูดต่อ “เราก็เลยคิดว่า ต้าก็เป็นของต้าแบบนี้ไม่เห็นต้องเปลี่ยนอะไรเลยก็ได้นี่นา”

แฟนต้ามองต้นกล้าด้วยความทึ่ง ก่อนจะกระโดดเข้าไปรัดต้นคอเพื่อนรัก

“ไอ้ต้น ไอ้ต้น ไอ้ต้น ทำไมนายมันน่ารักแบบนี้”

ลมหนาวพัดพรูผ่านใบหน้าพวกเรา อ้อมกอดของต้นกล้าอบอุ่น ผมเดาเอาว่าตอนนี้แฟนต้าก็คงจะรู้สึกถึงความอบอุ่นเช่นเดียวกัน

การมีเพื่อนนี่ดีจริงๆ เลยนะ…

ถ้าพวกเขาเข้าใจภาษาแมวได้ ผมอยากจะพูดคำนี้กับแฟนต้าออกไปจริงๆ

 

– 2 –

ตอนที่ผมทิ้งตัวจากอ้อมกอดต้นกล้า แล้ววิ่งกลับมาบ้านเลขที่ 5 เป้กำลังทุบประตูบานสีขาวอยู่ เมื่อฟ้าใสเปิดประตู ก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเป้ถามสวนออกไปทันทีที่เห็นหน้าว่า

“จะพูดจะทำอะไรคิดให้มันรอบคอบหน่อยนะ”

“มะ…หมายถึงอะไร” ฟ้าใสถามงง

ผมรู้สึกว่าเหล้าสูตรพิเศษ 3 แก้วของจ๊อบกำลังทำงาน

“ก็เธอกำลังส่งเสริมให้แฟนต้าทำอะไรอยู่ล่ะ”

“ส่งเสริมงั้นเหรอ นี่นายพูดบ้าเรื่องอะ…อ๋อ” ฟ้าใสร้องเหมือนนึกอะไรได้ “เรื่องเพจน่ะเหรอ ฉันแค่ให้แฟนต้าเข้าไปอ่าน ไปศึกษาชีวิตคนข้ามเพศดูก่อนว่าเป็นยังไง พวกเขาเข้าไปแชร์ความรู้และเรื่องชีวิตประจำวันกันที่นั่น”

เป้พยักหน้าหงึกๆ สีหน้าไม่ดีขึ้น แต่เขาตัดสินใจหันหลังกลับ เป็นฟ้าใสเองที่ยังไม่กระจ่างใจ เธอเดินไปดักหน้า แล้วพูดน้ำเสียงอย่างขอความเห็นใจว่า

“เป้ นายเข้าใจหน่อยได้ไหม นายกลัวว่าแฟนต้าจะถลำลึกอย่างนั้นเหรอ ของอย่างนี้มันพูดชักจูงกันไม่ได้หรอกนะ”

“เธอแน่ใจหรือว่ามันไม่ได้” เป้สวน

“นี่นายเป้” ฟ้าใสเริ่มโมโห ความอดทนของเธอคงถึงขีดจำกัดแล้ว “อย่าทำตัวเป็นพวกพ่อแม่ไร้สาระพวกนั้นหน่อยเลย รู้ไหมว่าทำไมฉันลาออกมาเรียนต่อ ก็เพราะฉันเบื่อที่จะเจอพวกพ่อแม่ที่ทำเป็นเปิดกว้าง ยอมรับลูกได้ ขอให้เป็นคนดีก็พอ” ประโยคหลังฟ้าใสเรียนเสียงกระแนะกระแหน สาบานได้ว่าผมไม่เคยเห็นกิริยาแบบนี้ของเธอมาก่อน เป็นไปได้ว่ามันอาจจะไปจี้จุดอะไรบางอย่างที่ฟ้าใสได้พบเจอมา

เป้ไม่ตอบ จ้องฟ้าใสตาไม่กะพริบ

“แล้วยังไงรู้ไหม เอาเข้าจริงพวกเขาก็ช็อปปิงหมอ หาทางรักษา มีความหวังลมๆ แล้งๆ อยู่นั่นละว่าลูกอาจจะสับสน พอโตขึ้นก็อาจจะหายได้เอง ของอย่างนี้มันหายกันได้ด้วยเหรอ มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโรคภัย มันเกิดขึ้นเพราะพวกเขาเกิดมาผิดร่าง เกิดมาเป็นแบบนั้นของมันเอง”

เป้กัดริมฝีปากแน่น เขาไม่ตอบฟ้าใสออกมาสักคำเดียว

อย่างที่ผมเคยบอกว่าเป้ต่างจากโตตรงความซับซ้อน ผมคาดเดาความคิดของเขาไม่ถูก และฟ้าใสก็คงเช่นเดียวกัน ดังนั้นหลังการระเบิดอารมณ์ใส่เป้ ฟ้าใสก็หน้าเจื่อนลงเมื่อเห็นแววตาขมขื่นของผู้ชายตรงหน้า เป้ก้มลงมาอุ้มผม หนีบเอาไว้ใต้รักแร้ ฟ้าใสที่ยังต้องการความชัดเจนดักหน้าไม่ยอมให้เป้ไป

“เป้…นี่โกรธฉันเหรอ”

เป้ไม่ตอบ มองเมินไปทางอื่น

“เป้…ฉันไม่เข้าใจจริงๆ นายเองก็เป็นนักจิตวิทยา นายควรจะเป็นคนที่เข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ดีที่สุด นี่นายเกลียดกะเทยเหรอ“

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ”

“ใช่…นายไม่ได้พูด แต่สีหน้านายมันพูด นายไม่รู้ตัวหรอกว่ามันแสดงตัวตนมาชัดขนาดไหน”

เป้นิ่ง ในที่สุดก็หันหลังเดินหนี ฟ้าใสตะโกนไล่หลัง

“เป้…นายไม่เคยอยู่ใกล้พวกเขาอย่างฉัน รู้ไหมกว่าเด็กคนหนึ่งจะเข้าใจตัวเอง พวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง กว่าพวกเขาจะได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น รู้ไหมว่าพวกเขาต้องผ่านความเจ็บปวดอะไรมาบ้าง ไม่ว่าคนพวกนี้จะเป็นอะไรในสายตานายนะ แต่รู้ไว้ด้วย สำหรับฉัน พวกเขากล้าหาญและยิ่งใหญ่ที่สุด”

สิ้นประโยคนั้นเป้ก็หันกลับมา เขาสาวเท้าสามทีก็ถึงตัวฟ้าใส ผมขนลุกตั้ง เมื่อเห็นเขายื่นฝ่ามือใหญ่โตมาบีบต้นแขนฟ้าใสเอาไว้แน่น

“ฟังนะฟ้าใส ฉันนี่แหละ…ฉัน-คือ-คน-ที่ รู้จักพวกเขาดีกว่าอะไรทั้งหมด” เป้เน้นคำ มันช่างเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก

 

ตั้งแต่บ่ายวันนั้น สีหน้าของเป้ก็เคร่งเครียดขึ้น เขาเอาเวลาส่วนใหญ่ปลูกต้นไม้บนโคกเพื่อหมกตัวอยู่ในจุดสูงสุดของที่ดิน

ผมตามเป้ไปในเช้าวันหนึ่ง เห็นเขาขุดดินอยู่ตามลำพัง เมื่อได้จำนวนหลุมตามต้องการแล้ว เขาก็เอาตะเคียนบ้าง แคนาบ้าง กันเกราบ้าง ลงหลุม ก่อนจะกลบดิน รดน้ำ ด้วยท่าทางไร้วิญญาณเหมือนเป็นเครื่องจักรอัตโนมัติ

ไม่มีเงาของฟ้าใส เป้ร้องขอให้บุญรอช่วยเป็นพี่เลี้ยงเธอแทนเขา ซึ่งทำให้ในแปลงเพาะกล้าที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนดอกไม้บานของฟ้าใสและเป้กลายเป็นพื้นที่สีตุ่นๆ ราวกับมีควันเผาถ่านสีเทาเป็นรัศมีล้อมอยู่

อย่างไรก็ตามผมรู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นแค่การแสดงออกอย่างประชดประชัน ไม่ลดราวาศอกของคนสองคน การที่เราผ่านช่วงเวลาสำคัญมาด้วยกันทำให้ผมรู้ดีว่า ทั้งเป้และฟ้าใสนั้นมีมุมมองที่ต่างกันเพราะประสบการณ์ที่พวกเขาต่างได้พบเจอ แต่ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นระหว่างพวกเขามันก็ยังทำให้ทั้งคู่แอบดูกันและกันอยู่บ่อยๆ

แน่นอน เมื่อมันไม่อาจรอดพ้นสายตาแมว ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์สันโดษ ก็ย่อมไม่รอดสายตามนุษย์ที่นับเป็นสัตว์สังคม ในที่สุดโตก็ต้องออกโรงมาจัดการปัญหานี้…

 



Don`t copy text!