ชมา 5 ชีวิต บทที่ 3 : โต

ชมา 5 ชีวิต บทที่ 3 : โต

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

ชมา 5 ชีวิต เรื่องราวของลูกแมวขาวดำทักซิโด้ที่ได้ไปเจอเจ้าของในชาติที่แล้วและชาติที่สอง รวมถึงชาติที่หนึ่ง แถมยังพบว่าแขกที่มาเที่ยวฟาร์มเสตย์ก็ดันเป็นเจ้าของตัวมันในชาติที่สาม! ชมารู้ทันที่ว่าเรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น! พบกับนวนิยายเรื่อง ชมา 5 ชีวิต โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านใน anowl.co

– 1 –

เช้าวันนี้พิเศษกว่าทุกวัน ตรงที่โตจ้างชาวบ้านในหมู่บ้านเข้ามาเสริมแรงงานในไร่ด้วย ผมเดินนำเป้ไปยังโต๊ะอาหารเช้าบนอาคารส่วนกลาง มันสร้างด้วยไม้ท่อน ยกพื้นขึ้นมาเล็กน้อย ตัวอาคารกว้างขวาง หลังคาทรงปั้นหยามุงด้วยใบตองตึง รอบตัวเรือนล้อมรอบไปด้วยไม้ยืนต้นสูงชะลูด ส่วนใหญ่คือต้นตองตึงหรือต้นพลวงที่คนภาคกลางเรียก

ผมรู้เรื่องนี้เพราะทุกครั้งที่ลูกค้าถาม โอจะยิ้มตาหยีแล้วบรรยายถึงต้นไม้พวกนี้ด้วยความสุข

วันนี้มีนักท่องเที่ยวจากบ้านพักรับประทานอาหารอยู่สี่ห้าโต๊ะ พวกเขากินไปถ่ายรูปไป แต่ไม่มีฟ้าใสรวมอยู่ในจำนวนนั้น

เป้มองหาใครบางคนซึ่งผมเดาว่าเขามองหาคนคนเดียวกับผม ก่อนจะทำหน้าบึ้งแล้วตรงไปตักอาหาร ซึ่งมีไข่ดาว เบคอน สลัดผัก ข้าวต้มปลา และผลไม้ชนิดต่างๆ ซึ่งเกือบทั้งหมดผลิตได้จากฟาร์มของเราเอง

สิ่งแรกที่โตทำคือทักทายผมแล้วหันไปผายมือให้เป้ลงนั่ง

“ไข่แดงไหมชมา” โตถาม ผมเอามือวางลงบนตักเขา ไข่แดงก็ถูงส่งลงมาข้างตัว

ในชีวิตที่หนึ่ง ผมกับโตเติบโตมาด้วยกันในบ้านไม้หลังใหญ่ ซึ่งมีคนหลายรุ่นอยู่ร่วมกันในรั้วบ้าน

ครอบครัวของโตมีด้วยกัน 7 คน อยู่อาศัยบนบ้านไม้ยกพื้นสูง ส่วนใต้ถุนบ้านนั้นกั้นส่วนหนึ่งเป็นห้องแคบๆ หน้าห้องวางแคร่ขนาดใหญ่ มียายทวดแก่หง่อมอาศัยอยู่ในห้องนั้น

เยื้องไปด้านหลัง มีบ้านไม้ใต้ถุนสูงหลังใหญ่อีกหลังหนึ่ง ตา ยายและน้าๆ ของโตที่ยังไม่ได้แต่งงานรวมกันอยู่ที่นั่น ส่วนบ้านปู่และย่าของโตห่างจากบ้านโตแค่ช่วงหมาวิ่งไล่ โตจึงเป็นเด็กชายที่แวดล้อมไปด้วยเครือญาติ ซึ่งไม่ปลอดภัยเสียเลยในการเล่นซน เพราะเรื่องทุกเรื่องจะถึงหูแม่ และมันก็ไม่สนุกนักสำหรับลูกผู้ชาย

ในบรรดาเจ้าของผมทั้งหมด โตและครอบครัวของเขามองผมอย่างให้เกียรติความเป็นแมวที่สุด พวกเขาไม่ค่อยวุ่นวายกับผม ไม่เคยจับผมอาบน้ำ ไม่มีใครโวยวายเมื่อเห็นผมคาบนกเอาไว้ในปาก รวมทั้งไม่เคยต้องพาผมไปจิ้มขาด้วยเข็มบ่อยเกินความจำเป็นด้วย

เวลาอากาศหนาว พวกเขายินดีให้ผมนั่งอิงข้างกองไฟ โดยไม่เคยยกผมขึ้นมาเกาพุง หยิกแก้มหรือทำสิ่งใดๆ ที่เขาควรจะทำกับตุ๊กตาแต่ไม่ควรทำกับแมวเลย

ที่โตให้เกียรติผมอาจเพราะโตแก่กว่าผมเพียงสี่ปี ดังนั้นเมื่อผมโตขึ้นเป็นหนุ่มเต็มตัว โตจึงเป็นเพียงเด็กชายเล็กๆ และตอนผมเข้าสู่วัยยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าแมวคราว โตก็เป็นแค่เด็กชายวัยประถมนุ่งกางเกงวอร์มขาดเข่า เที่ยววิ่งเก็บพุทราอยู่ตามคันนา ช่วงปิดเทอมบางครั้งผมกับโตก็วิ่งไปเจอกันกลางทุ่งบ้าง เป้าหมายของเราคือสัตว์ที่เล็กกว่า เวลาที่ผมจับนกได้ ในขณะที่โตใช้หนังสติกยิงได้แค่กิ่งก่า โตจึงมักมองผมด้วยดวงตากลมโต ที่เหมือนจะพูดได้ว่า –เจ๋งอะ–

ผมจากโตมาเพราะไปกัดกับแมวลายจนบาดเจ็บสาหัส ช่วงนั้นกลิ่นตัวเมียมันยั่วใจ ผมไม่อาจจะฝืนธรรมชาติ และธรรมชาติก็คัดสรรผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้เสมอ

การกลับมาเจอโตอีกครั้ง ทำให้ผมค่อนข้างตื่นเต้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าระยะเวลาที่ผ่านมาในแต่ละชีวิตมันทำให้ความรู้สึกและความทรงจำระหว่างผมและโตจืดจางลงเรื่อยๆ แต่อย่างว่า วัวเคยขาม้าเคยขี่ ตอนนี้เราจึงมีสัมพันธภาพใหม่ๆ เกิดขึ้นแล้ว

 

“เออ…แล้วสรุปได้หรือยังว่าจุลินทรีย์ตัวไหนย่อยสลายดีกว่ากัน” โตชวนเป้คุย พวกเขากำลังทดลองทำปุ๋ยหมักแบบไม่กลับกองตามสูตรวิศวกรรมแม่โจ้ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยในท้องถิ่น จุลินทรีย์ที่พวกเขาพูดถึงนั้นช่วยในการย่อยสลายซากพืชซากสัตว์ให้กลายเป็นปุ๋ยหมักได้เร็วขึ้น

“ผมว่าเหมือนกันนะครับ ทั้งจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง จุลินทรีย์หน่อกล้วย หรือจุลินทรีย์จาวปลวก มันก็ย่อยใบไม้ได้เร็วเท่าๆ กัน”

“อาก็ว่างั้นแหละ ใช้ๆ มันไปเถอะนะ อ้าวพูดแบบนั้นไม่ได้สิ คนเขามาดูงานเราก็ต้องเก๊กวิชาการหน่อย” โตว่า เป้หัวเราะร่วน

“ผมถึงอยากจะทำการทดลองสักเล็กน้อย”

“ทดลองอะไร”

“คือว่า…ถึงจะสรุปคร่าวๆ ตามสายตาได้ว่าจุลินทรีย์แต่ละชนิดย่อยสลายใบไม้ได้เหมือนๆ กัน แต่ผมสงสัยว่าแต่ละชนิดจะทำให้ปุ๋ยหมักของเรามีผลต่อการเจริญเติบโต รสชาติ ของพืชผลต่างกันหรือเปล่า ผมว่าจะลองใช้กับผักสลัด แยกเป็นแปลงๆ ดูว่ามันจะต่างกันไหม”

“ลองเลยๆ”

“อาโตว่าจะต่างกันไหมครับ”

โตเงยหน้าจากจานอาหาร “เอาจริงนะเป้ ปุ๋ยมันเสริมดิน ส่วนจุลินทรีย์มันก็แค่ตัวช่วยย่อยสลายปุ๋ย ธาตุอาหารมันมาจากใบไม้ ขี้วัว ซึ่งเป็นสิ่งตั้งต้น ดังนั้น…อาว่ามันไม่ต่างกันว่ะ แต่อาก็อยากให้ลอง”

“ครับ” เป้พยักหน้า ยิ้มรับ

ผมกระโดดขึ้นนั่งบนเก้าอี้ว่าง มองชายทั้งสอง พวกเขาดูสนิทสนมกัน พูดคุยกันถูกคอ นอกจากนั้นแล้วพวกเขาก็มีรูปร่างและความเป็นผู้ชายเถื่อนๆ คล้ายกันอยู่มาก แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้อ้วน แต่เมื่อเทียบกับบุญรอแล้ว พวกเขาก็ยังดูใหญ่เป็นยักษ์

สิ่งที่ทั้งคู่ต่างกัน ไม่ใช่ความสูงที่เป้อาจจะมีมากกว่าสักเล็กน้อย แต่ความต่างที่ว่ามันคือความซับซ้อน

ถ้าเป็นหนังสือ โตก็เหมือนหนังสือหัดอ่านพยัญชนะภาษาไทย ส่วนเป้นั้นเหมือนพวกหนังสือนักสืบ กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็บทสุดท้ายนั่นแหละ

ดังนั้นผมจึงมองโตออกว่ากำลังอารมณ์ดี และเขาคงกำลังคิดถึงงานลอกคลองในวันนี้ ส่วนเป้นั้นหลังจากกลับมาที่จานอาหาร เขาก็ดูเหมือนกลับมาคิดบางอย่างอีกครั้ง

เป้รีบกินข้าวแล้วผละจากโตไป ผมสงสัยเลยวิ่งตามไปดู เห็นเขาตรงดิ่งไปที่บ้านพักหมายเลย 5 ด้วยอาการเกือบจะพูดได้ว่าฉุน

“จะนอนไปถึงเมื่อไหร่ สายโด่งแล้วนะแม่คุณ”

เป้เคาะประตู เท้าสะเอว มีเสียงดังแว่วๆ ตอบมา แต่จับใจความไม่ได้

“นี่…อาโตรออยู่นะ ไม่ต้องสวยมากก็ได้”

“มาแล้วๆ” ฟ้าใสเปิดประตู เธอสวมรองเท้ายังไม่ครบคู่ด้วยซ้ำ เป้ผงะ ถามฟ้าใสว่า

“แต่งตัวอะไรของเธอ”

ผมจ้อง โก่งหลัง หางฟู ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าเป็นเธอหรอกนะ แต่หมวกที่มีผ้าปิดหน้า โผล่ออกมาแค่ดวงตา มันทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจเอาเลย

เป้มองผมแล้วหัวเราะใส่ฟ้าใส ก่อนร่างโย่งจะก้าวยาวๆ นำไปตามทางเดิน ฟ้าใสหันมาขอโทษผม ถอดหมวกบ้าๆ ออก แล้วก้าวเร็วๆ ตามเป้ไป

ทั้งคู่ตรงไปยังศาลานิทรรศการถาวรเรื่องป่า ดิน น้ำ ปุ๋ย โดยมีผมวิ่งเหยาะๆ ตามติดด้วยความอยากรู้อยากเห็น

โอโตซังฟาร์มสเตย์นั้นนับเป็นศูนย์เรียนรู้ ซึ่งเจ้าของอย่างโตพร้อมจะทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับคนที่อยากรู้ โตไม่ได้มองว่าตัวเองกำลังเสียสละ หรือกำลังเสียอะไรไป ไม่ได้รู้สึกมีบุญคุณ หรือคาดหวังการตอบแทน ดังนั้นเขาจึงใช้ชีวิตอย่างไม่ทุกข์ร้อน ไม่ได้แบกอะไรไว้บนบ่า สำหรับผม แววตาของโตเมื่อตอนเป็นเด็กหรือในตอนนี้จึงยังคงเหมือนเดิม

โตและบุญรอรออยู่กับคนงานอีกหกเจ็ดคน เป้บอกฟ้าใสว่าวันนี้เราจะไปลอกคลองไส้ไก่ แล้วหันไปบอกโตและคนอื่นๆ ว่า ฟ้าใสมาที่นี่ไม่ได้เพราะอยากจะมานอนเล่นชิวๆ แต่ตั้งใจจะมาเรียนรู้งานในฟาร์มด้วย ตอนที่พูดนั้นสีหน้าของเป้จริงจัง ก่อนจะหันไปยิ้มกับฟ้าใสอย่างจริงจังและจริงใจเช่นกัน

ผมจ้องมองฟ้าใส เห็นเธอแอบยิ้มแห้งๆ แต่เรื่องนี้ผมไม่โทษความซื่อบื้อของเป้หรอกนะ เพราะคนที่ทำให้เรื่องเลยเถิดมาถึงตอนนี้ก็คือตัวของฟ้าใสเองนั่นแหละ

เรื่องมันเริ่มมาจากวันแรกที่เป้และฟ้าใสได้พบหน้ากันบนทางเดินปูอิฐ หลังจากคำถามของเป้ที่ว่า

“อย่าบอกนะว่า สนใจการปลูกผัก…” เป้ก็ถามเสียงเยาะตามมาอีกว่า “ตามกระแสมาหรือไง”

“กระแสอะไร” ฟ้าใสตอบฉุนๆ

“ก็กระแสสโลไลฟ์ เห็นคนในเมืองเขาฮิตกัน”

ผมไม่รู้หรอกว่าทำไมคำถามของนายเป้ถึงทำให้ฟ้าใสไม่พอใจ และผมก็ไม่รู้ว่าการใช้ชีวิตช้าๆ มันยากเย็นตรงไหน ถึงต้องมาทำถึงที่นี่ ก็แค่นอนผึ่งพุง จะข้างโอ่ง กลางแดดเช้า หรือบนสนาม มันก็คือการใช้ชีวิตช้าๆ แล้วไม่ใช่หรือ

แต่ฟ้าใสทำหน้าเหมือนโดนดูถูก เธอเชิดหน้าแล้วตอกกลับไปว่า เธอไม่ได้มาตามกระแสอะไรทั้งนั้น เธอรู้ว่าโอโตซังปรับตัวจากบ้านพักตากอากาศมาทำฟาร์มสเตย์ช่วงวิกฤติโควิด เธออยากมาศึกษาการจัดการพื้นที่ตามระบบ โคก-หนอง-นา เพราะเธอรู้ว่าสิ่งที่สำคัญในการดำรงชีวิตคือยาและอาหาร ซึ่งทั้งสองสิ่งได้มาจากดิน และดินจะดีได้นั้นมาจากการบริหารจัดการน้ำ

โอโตซังฟาร์มสเตย์บริหารจัดการน้ำได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากมีน้ำใช้ตลอดปีสำหรับผักปลอดสารพิษและน้ำใช้ในครัวเรือนแล้ว ก็ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ จนตอนนี้ผลิตออกมาแทบไม่ทันความต้องการของตลาดคนรักสุขภาพ

“เธอรู้จักโคกหนองนาด้วยเหรอ” เป้ไม่ปิดบังความประหลาดใจ

“รู้สิ” ฟ้าใสจ้องตาเป๋ง

เป้ตาค้าง แล้วรีบกลบเกลื่อนด้วยการกระแอม ผมอยากจะบอกหมอนั่นเหลือเกินว่า ผมเห็นฟ้าใสยืนฟังยูทูบที่โอเปิดทิ้งเอาไว้โดยบังเอิญ และผู้ชายหัวโล้นที่ยืนพูดเสียงเนือยๆ แบบพระเทศน์ในคลิปนั้น ก็พูดถึงเรื่องความสำคัญของดิน น้ำ อาหาร ยา อะไรๆ พวกนั้น เหมือนที่ฟ้าใสบอกกับเป้เปี๊ยบ

แต่อย่างที่ผมเคยบอกแล้วว่านายเป้คนนี้ทั้งซื่อและบื้อ ขนาดผมเล่นขว้างลูกบอลกระดาษกับเขาเกินห้ารอบ หมอนี่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะจำแมวตัวเองได้เลย ดังนั้นผมจึงเห็นแววตาปลาบปลื้มที่เป้แอบซ่อนเอาไว้ใต้สีหน้าที่ทำเป็นเข้ม

และตอนนี้ ในขณะที่เขาพูดว่าฟ้าใสไม่ได้มาที่นี่เพื่อมานอนเล่นชิวๆ ให้โตและคนงานคนอื่นๆ ฟัง เป้ก็กำลังปลาบปลื้มอยู่ในท่าทางเคร่งขรึม และได้ถ่ายทอดความมุ่งมั่นที่เป้เชื่อว่าฟ้าใสมี ไปให้โตและบุญรอด้วย

“เห็นสวยๆ บอบบาง ไม่คิดว่าคุณจะสนใจงานของที่นี่ มาครับ ผมจะถ่ายทอดวิชาที่คุณโตสอนมาให้อย่างเต็มที่เลย” บุญรอพูดจริงจัง โดยมีโตพยักหน้าสำทับหนักแน่น ฟ้าใสก้มศีรษะรับอย่างประดักประเดิด

และก่อนที่เรื่องจะดำเนินไปจนกลายเป็นฉากอันแสนซาบซึ้ง ก็มีคนงานตะโกนแซวมาว่า ไม่ต้องถึงมือลุงหรอก คุณเป้เขารอสอนอยู่ บุญรอจึงหัวเราะแหะๆ ออกมา เหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังผิดคิว

ผมมองผู้ชายในศาลา…อยากจะเบ้ปาก ถ้าแมวทำได้น่ะนะ

บางทีแล้วคงจะไม่ได้มีแต่นายเป้เท่านั้นกระมังที่ซื่อบื้อ

ทำไมมนุษย์ผู้ชายนักขุดดินพวกนี้ถึงคิดไปได้นะว่า มนุษย์คนอื่นๆ จะเห็นว่างานถางหญ้า ปลูกผัก จะน่าสนใจกว่าการได้นอนสบายๆ บนระเบียงริมน้ำของห้องพักไปได้

ฟ้าใสตกลงใจพักที่นี่ถึง 5 สัปดาห์ก็จริง แต่ผมเชื่อว่าเธอมาเพื่อผึ่งพุง ไม่ได้อยากจะมาทำงานหนักในฟาร์มอย่างคนบ้าพลังเหมือนนายเป้หรอก

 

– 2 –

“อยากเรียนรู้งานในโอโตซังงั้นเหรอ อยากเรียนรู้ผู้ชายละสิไม่ว่า” แฟนต้าว่า เขาจ้องมองฟ้าใสและเป้จากระยะไกลตาเป๋ง

ตอนนี้ผมมาอยู่ในศาลาใต้ป่าไผ่ เพราะความสนใจของผมสั้นเกินกว่าจะไปเดินตามฟังเรื่องป่าสามอย่างประโยชน์สี่อย่าง ที่เป้บรรยายให้ฟ้าใสฟังก่อนลงมือขุดคลองไส้ไก่ ซึ่งผมเคยฟังมาเป็นร้อยรอบแล้ว

“ทำไมพูดแรงแบบนั้นล่ะ” ต้นกล้าที่ใจเย็นกว่า ใสซื่อกว่า รวมทั้งไม่ใส่ใจโลกกว่าติงเพื่อนสนิท

“น้อยไปไม่ว่า” แฟนต้าคว่ำปาก

“หึงเหรอ” ต้นกล้าล้อ แฟนต้าค้อนขวับ

“เห็นคนสวยๆ นมโตๆ หน่อยไม่ได้นะ เข้าข้างเชียว ไอ้พวกบ้ากาม” แฟนต้าจิกกัด ต้นกล้าหัวเราะลั่น เหมือนเขาจะถูกใจที่ยั่วโมโหแฟนต้าได้

ผมอาจจะกล่าวถึงแฟนต้าไปบ้างแล้ว ว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มอายุ 17 แต่ลืมอธิบายบุคลิกภาพบางอย่าง ที่ภาษาสมัยนี้เขาเรียก LGBTQ+ แฟนต้าเป็นสับเซตหนึ่งในนั้น ตัวเขาและเพื่อนของเขาระบุสถานะตัวเองว่า ‘กะเทยน้อย’

คนในฟาร์มเรียกแฟนต้าว่า ‘คุณต้า’ ส่วนชื่อแฟนต้าของเขานั้นเป็นการเติมคำที่เขาใช้เรียกตัวเอง รวมทั้งแนะนำชื่อนี้ให้แขกและผู้คนใหม่ๆ ที่เพิ่งจะรู้จักกันด้วย ดังนั้นผมจึงเรียกเขาว่าแฟนต้า เพราะเราพึ่งรู้จักกัน

แฟนต้าสนิทสนมกับเป้ที่อยู่อาศัยที่นี่มาหลายเดือน ถึงเขาจะเรียกตัวเองว่ากะเทยน้อย แต่แฟนต้าก็ช่วยงานในไร่ได้อย่างไม่เหยาะแหยะ เช้าวันเสาร์เขากับต้นกล้ามักจะเข้าไปช่วยเป้จับหนอนในแปลงผักกางมุ้ง และสามารถหิ้วถุงขี้วัวหนัก 10 กิโลกรัมได้ไม่แพ้คนที่เรียกตัวเองว่าผู้ชายแท้ๆ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลที่เป้ชอบแฟนต้าเอามาก แม้เขาไม่เคยเอ่ยออกมาตรงๆ แต่แววตาที่เป้มองเด็กหนุ่มอย่างแฟนต้าและต้นกล้านั้นมันเต็มไปด้วยความชื่นชมเอ็นดู

ดังนั้นผมจึงไม่แน่ใจว่าแฟนต้า ‘หึง’ จริงๆ แบบที่ต้นกล้าแกล้งว่าหรือแค่อิจฉาที่พี่ชายคนสนิท มีคนที่อาจจะสนิท ‘กว่า’ ก้าวเข้ามาในฟาร์ม

ส่วนต้นกล้านั้นเขาเป็นเด็กหนุ่มตัวเล็กเหมือนบุญรอผู้เป็นพ่อ พูดกลางด้วยสำเนียงเหนืออย่างชัดเจนเหมือนพ่อ ใจดีก็เหมือนพ่อ แต่ต้นกล้าไม่ได้ขี้อายและถ่อมตัวเท่าบุญรอ นิสัยข้างบู๊ของต้นกล้าได้มาจากอ้อยผู้เป็นแม่ เขาจึงไม่เรียกแฟนต้าด้วยคำว่า ‘คุณ’ เหมือนคนอื่นๆ และออกจะชอบยั่วล้อแฟนต้าซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหลานชายของเจ้านายพ่อและแม่ของตัวเองด้วย

หลังบทสนทนา แฟนต้ายังคงจ้องจับผิดฟ้าใสต่อไป ส่วนต้นกล้านั้นเขาหันกลับไปมุ่งสมาธิกับใบพัดที่ถูกติดตั้งบนฐานไม้ สายไฟที่กระดุ๊กกระดิ๊กทำผมห้ามใจตัวเองที่จะยื่นอุ้มตีนไปเขี่ยเล่นไม่ได้ ต้นกล้าหัวเราะแล้วแกว่งสายไฟแรงๆ กระตุ้นให้ผมตะครุบ แต่เขาก็เหมือนพวกผู้ชายคลั่งชัยชนะดาษๆ นั่นแหละ..

–ไม่ปล่อยให้ผมได้สัมผัสสายไฟแม้ปลายเล็บ แถมคอยหัวเราะดังลั่นเมื่อผมพลาดเป้า จนผมต้องถอยไปนั่งเลียอุ้งตีนตัวเองเพราะรู้สึกเขิน

“ทำอะไร” แฟนต้าถาม

“กังหันพลังงานแสงอาทิตย์” ต้นกล้าตอบ

“ทำไปทำไม” แฟนต้ายืดตัวขึ้น เหล่มอง มีความรำคาญใจในสีหน้า ต้นกล้าไม่ได้เงยหน้ามอง ตอบว่า

“อยากทำก็ทำ ต้าเถอะ วันหยุดยาวทั้งทีไม่หาอะไรทำบ้างหรือไง”

“แล้วมันต้องทำอะไรขนาดนี้เลยเหรอ” แฟนต้าสวน “ถามจริงๆ เถอะ ทำไมกล้าถึงชอบพัดลม ชอบใบพัดอะไรขนาดนี้ มันเริ่มมาจากอะไรเหรอ พ่อแม่ไม่รักเลยต้องรักพัดลม หรืออะไร” แฟนต้าใช้นิ้วเขี่ยสายไฟ จิกกัด

ต้นกล้าเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน ไม่ถือสา เขาทำท่านึกอยู่นานก่อนจะบอกว่า เขาเองก็จำอะไรไม่ได้เหมือนกัน แม่กับพ่อเล่าว่าเขาชอบพัดลมมาตั้งแต่เด็ก พ่อเห็นว่าเป็นของเล่นที่ถูกดี เวลาไปไหนเลยมักซื้อพัดลมใส่ถ่านตัวเล็กๆ มาฝาก พอคนอื่นเห็นว่าเขาชอบพัดลม เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง รวมทั้งเจ้านายอย่างโตและโอก็เลยสรรหาสารพัดพัดลมมาให้เขาเป็นของขวัญ กว่าเขาจะรู้ตัวต้นกล้าก็ครอบครองพัดลมชนิดต่างๆ เกือบร้อยตัวแล้ว

“ตอนนี้เลยพัฒนามาเป็นใบพัด” แฟนต้าสรุป

“ฮือ…ก็อย่างนั้นแหละ”

“นายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”

“พัดลม พลังงานแสงอาทิตย์” ต้นกล้าตอบเรียบๆ ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง แฟนต้าพยักหน้าแล้วว่า

“พวกผู้ชายนี่หมกหมุ่นเหมือนกันเนอะ”

“พูดอย่างกับต้าไม่ใช่ผู้ชาย” ต้นกล้าว่า แต่แล้วเขาก็คงนึกอยากจะตบปากตัวเอง เมื่อเห็นแฟนต้าเท้าสะเอวมองตาเขียว ก่อนจะเดินกระแทกเท้าออกจากศาลาไป ผมเห็นต้นกล้าเกาคาง แล้วหันมาพูดกับผม

“ก็พูดความจริงนี่นะชมา” เขากะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพูดออกมาอีกว่า

“แต่ฉันก็ไม่น่าพูดเลยนะ”

ผมร้องเหมียวๆ รับ จริงๆ อยากจะบอกว่าไม่เป็นไรหรอก แต่ต้นกล้าดันเข้าใจไปว่าผมตอบว่า ‘ใช่’

 

– 3 –

บ่ายหนึ่ง ฟ้าใสลากขากลับมาที่อาคารส่วนกลางด้วยความหมดเรี่ยวแรง ในขณะที่คนอื่นๆ ยังคงทำงานต่อในคลองไส้ไก่

แฟนต้าวางแก้วน้ำลงตรงหน้าเธอตามคำสั่งของโอด้วยสีหน้าบึ้งตึง ฟ้าใสไม่ทันสังเกตและพูดกับแฟนต้ายาวเหยียด ว่าถึงจะทำงานใต้ร่มไม้แต่การขุดลอกคลองก็กินแรงจนปวดแขนปวดขาไปหมด เธอไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกผู้ชายที่นี่ถึงหุ่นดี กินเท่าไรก็ไม่อ้วน เพราะใช้กล้ามเนื้อพอๆ กับการเข้าฟิตเนสทีเดียว

“เสียเวลาเท่ากัน แต่ทำเกษตรมันได้เนื้องานและไม่ต้องเสียเงินจ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวด้วยเนอะ” ฟ้าใสออกความเห็นอารมณ์ดี แฟนต้านั่งคอแข็ง

“พี่คงต้องหาอะไรทำตอนที่กลับเข้าเมืองบ้าง เอ…จะปลูกสวนครัวในกระถางมันจะได้ออกกำลังกายไหมนะ” ฟ้าใสเอามือแตะคาง แฟนต้าเหลือบตามอง แย้งด้วยสีหน้าเย็นชา

“แต่มันก็ทำให้ตัวดำ มือพัง ไม่เหมือนเล่นฟิตเนส”

ฟ้าใสดื่มน้ำ ถอดถุงมือ เธอพลิกดูผ่ามือและหลังมืออย่างพิจารณา

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะ ใส่ถุงมือรักษาความชุ่มชื้นของผิวค่อนข้างดีทีเดียว” เธอว่า ก่อนจะผละจากความสนใจในมือตัวเองเป็นหน้าจอแท็บเล็ตของแฟนต้าที่เริ่มทำงานอีกครั้ง

เมื่อเธอเห็นว่าแฟนต้าดูอะไรอยู่ ฟ้าใสก็แทบร้องกรี๊ด

“บอนนี่…แฟนต้าก็ชอบดูช่องนี้เหมือนกันเหรอ พี่ก็ชอบนะ” เธอขยับเข้าไปใกล้ โดยไม่ทันเห็นสีหน้ารังเกียจจางๆ ของแฟนต้า

บนหน้าจอเป็นหญิงคนหนึ่ง ใบหน้ายาว ตัวสูง แต่งหน้าจัด กำลังสอนทำอาหารด้วยลีลากรีดกราย มือของหล่อนเหี่ยวและใหญ่ แต่ใบหน้านั้นเรียบตึงเหมือนผ้าที่ขึงด้วยสะดึงอย่างไรอย่างนั้น

สารภาพเลยว่าผมประเมินอายุหล่อนไม่ถูกจริงๆ  แต่รู้สึกคุ้นอย่างไรบอกไม่ถูก

“เป็นคนที่เจ๋งมากๆ เลย แฟนต้ารู้ประวัติเขาไหม” ประโยคหลังฟ้าใสหันไปถาม แฟนต้าส่ายหัว

“บอนนี่เคยเล่าตอนไลฟ์สด ว่าเขาแปลงเพศเมื่อแปดปีก่อน ตอนนั้นอายุก็สี่สิบปลายๆ แล้ว ตอนแรกคนในครอบครัวไม่มีใครเห็นด้วย แต่เขาก็ต่อสู้จนคนที่บ้านยอมรับ ได้เป็นอย่างที่ตัวเองอยากเป็น” ฟ้าใสเล่าด้วยดวงตาและน้ำเสียงชื่นชม

“ดูสิ” ฟ้าใสชี้ไปที่จำนวนผู้ติดตามช่อง “เขาประสบความสำเร็จมากเลยนะ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่วัยรุ่น จะว่าแก่แล้วก็ได้ แต่มีคนตามดูเขาทำอาหารตั้งสี่แสน ช่องของดาราบางคนยังไม่มีคนตามเยอะเท่านี้เลย”

“ผู้หญิงเขาก็ชอบดูกะเทยเหมือนกันเหรอ” เสียงของแฟนต้ายังแข็งไม่เลิก

“ทำไมล่ะ สำหรับพี่” ฟ้าใสยกมือแตะหน้าอก “บอนนี่คือผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงที่น่านับถือ เธอต้องพยายามกว่าผู้หญิงทั่วไปตั้งหลายเท่า พี่ทำงานให้คำปรึกษา แฟนต้าคงไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงที่เกิดมาผิดร่างน่ะ มันต้องใช้แรงกายแรงใจแค่ไหนที่จะทำให้ได้กลับคืนร่างที่ควรจะเป็น”

“งะ…งั้นเหรอ”

“อื้อ” ฟ้าใสตอบแล้วยิ้มกระจ่าง ผมเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของแฟนต้า ตอนนี้เขาคงรับมือไม่ถูก ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรกับผู้หญิงตรงหน้าดี

“พี่ว่าเขาคือผู้หญิงที่เกิดมาผิดร่างเหรอ”

“ใช่” เสียงฟ้าใสแน่วแน่ “มันเหมือนวิญญาณตอนที่จะเกิดเข้าร่างผิด แต่ข้างในเขาก็เป็นผู้หญิงเหมือนพี่ เหมือนผู้หญิงทุกๆ คน”

แฟนต้าพยักหน้ารับ สีหน้าก่ำกึ่งระหว่างความงงและการระมัดระวังตัว ส่วนฟ้าใสนั้นยิ้มตอบอย่างกระจ่างใส

อย่างที่ผมเคยเล่า ฟ้าใสถูกเลี้ยงดูอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ เธอมองทุกอย่างใสสะอาด ชีวิตของฟ้าใสไม่ค่อยมีสีเทา มีแค่สีขาวกับสีดำ ดังนั้นเมื่อเธอปักใจกับอะไรไปแล้ว เธอก็จะยึดมั่นกับสิ่งนั้นอย่างสุดหัวใจ แต่แฟนต้าไม่ได้สุดโต่งอย่างฟ้าใส ถึงเขาจะเป็นกะเทยน้อยอย่างที่เรียกตัวเอง แต่เขาก็ไม่เคยพูดว่ากะเทยคือผู้หญิง การได้ยินฟ้าใสพูดว่าบอนนี่คือผู้หญิงที่เกิดผิดร่าง ด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เชื่อมั่นเช่นนั้นจริงๆ ผมคิดว่ามันทำให้แฟนต้าที่มองฟ้าใสอย่างมุ่งร้าย รับมือไม่ค่อยถูก

“พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ ว่าจะนอนสักงีบ แล้วค่อยตื่นมาช่วยคุณโอทำอาหารเย็น ได้เห็ดมาจากใต้ต้นยางนาเยอะเลยละ เป้ภูมิใจนักหนา ไม่รู้มันเพาะยากหรือยังไง”

“เห็ดระโงดนอกฤดู” ต้นกล้าเฉลย แต่เหมือนทำให้ฟ้าใสยิ่งงง

“ปกติชาวบ้านจะไปเก็บเห็ดระโงดในป่าตอนหน้าฝน ปีหนึ่งได้กินกันครั้งเดียว คราวนี้อาโตกับพี่เป้เขาทดลองทำเห็ดนอกฤดูใต้ต้นยางนาตามวิธีที่กรมป่าไม้เขาสอน แล้วมันก็งอกขึ้นมาจริงๆ”

“อ้อ…เก่งจัง” ฟ้าใสตาโต ทึ่งในสิ่งที่แฟนต้าเล่า แล้วลุกขึ้นลงอาคารส่วนกลางไปอย่างอารมณ์ดี

แฟนต้ามองตามฟ้าใส ผมเห็นความฉงนฉงายในดวงตาดำขลับของเขา

คนที่เกิดผิดร่างอย่างนั้นหรือ ถ้าผมเป็นแฟนต้า ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไรกับฟ้าใสและเรื่องนี้ดีเหมือนกัน

แต่ผมในฐานะแมว แถมมีเก้าชีวิต ผมจึงมีความคิดเห็นส่วนตัวที่ค่อนข้างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา เรื่องเพศเมีย เพศผู้ หญิงหรือชายสำหรับผมนั้นไม่ใช่เรื่องที่แตกต่าง ถ้าผมจะมีความรู้สึกอยากจะเป็นเพศนั้นเพศนี้เข้าจริงๆ ผมก็แค่รอ สักวันผมก็จะได้วนไปเป็นจนครบทุกเพศนั่นแหละ

แต่สำหรับมนุษย์ คงจะมีสิ่งที่รอไม่ได้อยู่เต็มไปหมด ชีวิตพวกเขานั้นวุ่นวาย คำว่าใช้ชีวิตช้าๆ หรือสโลว์ไลฟ์ของมนุษย์ จึงห่างไกลกับการนอนนิ่งๆ มองฟ้า หรือหายใจให้ช้าลง ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังสรุปไม่ได้ว่าไอ้ชีวิตช้าๆ ของมนุษย์นั้นมันคือการนั่งจิบกาแฟนานๆ วิ่งไปวิ่งมาเพื่อเซลฟีในที่ไกลบ้าน หรือเป็นแบบไหนกันแน่

อย่างไรก็ตามคำพูดนั้นของฟ้าใสก็ทำให้เกิดบางอย่างขึ้นในโอโตซังฟาร์มสเตย์

บางอย่าง…ชนิดกลับหัวกลับหาง

 



Don`t copy text!