ชมา 5 ชีวิต บทที่ 2 : เป้

ชมา 5 ชีวิต บทที่ 2 : เป้

โดย : คีตาญชลี แสงสังข์

Loading

ชมา 5 ชีวิต เรื่องราวของลูกแมวขาวดำทักซิโด้ที่ได้ไปเจอเจ้าของในชาติที่แล้วและชาติที่สอง รวมถึงชาติที่หนึ่ง แถมยังพบว่าแขกที่มาเที่ยวฟาร์มเสตย์ก็ดันเป็นเจ้าของตัวมันในชาติที่สาม! ชมารู้ทันที่ว่าเรื่องไม่ธรรมดากำลังจะเกิดขึ้น! พบกับนวนิยายเรื่อง ชมา 5 ชีวิต โดย คีตาญชลี แสงสังข์ ที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านใน anowl.co

– 1 –

การประมวลผลจากการฟังทำให้ผมรู้ว่า

ปลายฤดูฝน 8 ปีก่อน ตอนที่ผมยังเป็นแมวตัวเมียวัยกลางชื่อ ‘หยก’ ฟ้าใสและเป้เป็นนักศึกษาปีสองอายุเพิ่งเต็มยี่สิบ บ่ายของฤดูฝนนั้นฟ้าใสกำลังตั้งใจเรียนอยู่ในห้องเรียนวิชาจิตวิทยาอุตสาหกรรมและองค์การซึ่งเป็นวิชาที่รับนักศึกษาเข้าเรียนทุกคณะ

“ใครรู้จักนายปรมัตถ์บ้าง” อาจารย์สาวคนสวยเงยหน้าจากกระดาษขานรายชื่อ ก่อนจะเคาะปากกาไปบนโต๊ะหน้าสุดที่ฟ้าใสนั่งอยู่ “คคนานต์ ว่าไง”

“คะ…ค่ะ…รู้จักค่ะ”

“เธอช่วยไปตามเขามาเรียนหน่อยนะ นี่มันจะหมดสิทธิ์สอบแล้ว”

“ค่ะอาจารย์” ฟ้าใสรับคำอย่างตื่นเต้น ตอนนั้นเป้-ปรมัตถ์ที่ใครก็รู้จักเป็นเดือนคณะ เขาดังมาก หล่อมาก และปากหมามากๆ การรับน้องของภาควิชาทำให้ไม่มีใครกล้าคิดกับเป้เกินเพื่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ฟ้าใสจะตื่นเต้นเมื่อต้องรับอาสาไปตามเขาถึงหอพัก

หอพักนักศึกษาชายอาคาร 5 หน้าตาเหมือนหอนักศึกษาหญิง ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น เพียงแต่ตอนที่ฟ้าใสไปถึงนั้นฟ้าเพิ่งหมาดฝน ไม่มีแขกผู้มาเยือนอื่นๆ ประชากรเกือบทั้งหมดจึงเป็นนักศึกษาชายที่อาศัยในหอนั้น

เป้เดินโหย่งๆ ลงมาหาเธอ เมื่อฟ้าใสบอกข่าวที่อาจารย์ฝากมาแล้ว ฝนก็เทกลับลงมาอีกรอบ คราวนี้ตกหนักจนเธอหน้าเสีย ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรใต้หอพักที่มีแต่ผู้ชาย ซึ่งครึ่งหนึ่งดูเถื่อนแบบพวกบ้าบอล

จริงอยู่ที่ฟ้าใสเกิดมาในยุคที่หญิงชายเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร้ข้อกังขา แต่ในเวลาเย็น ฟ้าปกคลุมด้วยเมฆฝน จนไฟอัตโนมัติริมถนนทำงาน ใต้หอพักที่มีเธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว ผมก็แน่แก่ใจว่าฟ้าใสคงไม่สะดวกใจนัก

“ไปกินข้าวระหว่างรอฝนหยุดก็แล้วกัน” เป้พูดง่ายๆ แล้วเดินนำฟ้าใสไปโรงอาหารใต้หอ ฟ้าใสก้าวตาม มีผู้ชายบางคนตะโกนถามเป้ว่ามากับใคร เขาสวนกลับว่าเพื่อนเมเจอร์ไม่ใช่แฟน แต่ไม่วายมีเสียงหวีดวิ้วตะโกนแซว

เป้สั่งข้าวราดแกงเป็นไข่พะโล้กับพะแนงไก่ เมื่อเล่าถึงตรงนี้หลินก็หรี่ตา เบ้ปาก

“อะไร…” ฟ้าใสสงสัยกิริยาเพื่อน

“เหอะ…เนี่ยนะที่บอกว่าไม่ได้ปลื้ม…จำได้แม้กระทั่งกับข้าว”

ผมจ้องหน้าฟ้าใส เรื่องผ่านมาตั้ง 8 ปี!! นั่นมันครึ่งชีวิตแมวเลยนะนั่น!

 

การกินข้าวดำเนินไปเงียบๆ ฟ้าใสจำไม่ได้ทุกคำ แต่เธอจำได้ว่าเธอถามเป้ว่าทำไมไม่ไปเรียน เป้ตอบกลับว่าเพราะรู้สึกไม่ดี ฟ้าใสเดาไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น เป้ไม่ชอบอาจารย์ผู้สอนอย่างนั้นหรือ ไม่น่าเป็นไปได้ แต่แล้วเป้ก็บอกเธอว่า

“นักจิตวิทยาคลินิกอย่างเธอน่ะ เรียนไปเพื่อช่วยคน ส่วนนักจิตวิทยาอุตสาหกรรมอย่างฉัน เรียนไปเพื่อใช้คน”

ฟ้าใสไม่เข้าใจความหมายทั้งหมด แต่ความเป็นฟ้าใส เธอถามเขากลับอย่างเกรงใจว่า

“แปลว่าเมื่อรู้สึกไม่ดีก็ต้องทิ้งความรับผิดชอบไปเลยเหรอ ก็…ก็ ในเมื่อเลือกแล้วเราไม่ต้องรับผิดชอบเวลา เงินทอง ที่พ่อแม่ส่งเสียเราเลยเหรอ”

เป้อึ้งไปพักหนึ่ง

“ยัยบ้า” เขาพูดแค่นั้นแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อ

ไม่รู้ว่าคำพูดนั้นมันกระแทกเข้าตรงไหนของหัวใจเป้ เมื่อทั้งคู่กินข้าวเสร็จ ฟ้าแห้งฝนและอากาศด้านนอกกลับมาสดใสอีกครั้ง เป้ก็ชวนแกมบังคับฟ้าใสให้ออกไปข้างนอกกับเขา

เป้ขี่จักรยานยนต์ซ้อนฟ้าใสขึ้นไปยังอ่างน้ำบนเชิงเขาที่มองเห็นเมืองเชียงใหม่ได้ทั้งเมือง ปกติเวลาเย็นอย่างนี้ นักศึกษาและคนทำงานมักจะไปนั่งกินลมชมวิวอยู่ที่นั่น แต่ในวันหลังฝนกระหน่ำ หยาดน้ำที่เกาะพราวทำสนามหญ้าเฉอะแฉะ ซึ่งมันคงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนบางตาไปกว่าทุกวัน

เป้หย่อนก้นบนขอบกั้นทาง แล้วหันมาพยักพเยิดให้ฟ้าใสนั่งลงบ้าง

“เธอพูดถูกนะ” เขาเริ่มต้นหลังจากนั่งมองเมืองเชียงใหม่จากเนินเขามาพักใหญ่ แดดสีทองไล้เลียอากาศ มองเห็นเมืองอาบแสงสีทองสุกปลั่ง

ฟ้าใสหันไปมองเขา

“แปลว่าเป้จะกลับไปเรียนแล้วใช่ไหม”

“เป็นห่วงคนอื่นขนาดนี้เลยเหรอ” เขาถาม เสียงเหมือนโกรธ

“ก็…” ฟ้าใสบีบมือ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี

“งั้นช่วยพูดอะไรให้ฉันรู้สึกดี กว่าที่จะต้องรู้สึกว่า สิ่งที่ตัวเองกำลังทำ จะต้องทำ มันไม่ได้เป็นการเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์คนอื่น”

“งั้น…ก่อนที่เราจะพูด เป้บอกหน่อยได้ไหมว่า ทำไมเป้รู้สึกแบบนั้น” ฟ้าใสว่าเกรงๆ เธอสารภาพว่าบอกไม่ถูกเหมือนกันว่า ทำไมจะต้องกลัวเพื่อนร่างโย่งคนนี้ด้วย แต่ผมคิดว่าเข้าใจนะ หน้าบูดๆ อย่างนายเป้ไม่ได้น่ามอง แม้เวลาหัวเราะก็ยังดูเหี้ยมอยู่ดี

“ก็ไอ้คำว่าพัฒนาศักยภาพน่ะ มันไม่ได้ทำเพื่อให้มนุษย์มีความสุข แต่มันสอนให้เรารู้ว่าสิ่งไหนที่จะทำให้มนุษย์ทำงานให้ได้ผลผลิตมากที่สุด เราก็แค่รู้สึกเหมือนทำทุกอย่างเพื่อหลอกใช้คน ไม่ได้ทำเพราะรักในความที่เราเป็นคนเหมือนๆ กัน”

“เป้…คิดเยอะเหมือนกันนะ” ฟ้าใสหลุดปาก เป้หัวเราะขื่น เขาพูดออกมาเรื่อยๆ

“คนเราเกิดมาด้วยสีขาวใช่ไหม จากนั้นชีวิตจะหยดสีดำลงมาที่ตัวเราทีละหยด ฉันเคยบอกกับตัวเองว่า ฉันจะพยายามไม่ให้สีดำหยดลงมาที่ตัวฉัน ดังนั้นฉันจึงมักจะคิดถึงเรื่องความถูกต้อง สิ่งที่สมควรจะเป็น ความเท่าเทียม จนบางครั้งฉันก็แสดงออกเหมือนพวกต่อต้านสังคม ไม่ได้พยายามจะเท่หรอกนะ แต่พอเธอพูดแบบนั้น” เป้หยุดพูดแล้วหันมามองหน้าฟ้าใส

“ฉันเลยเพิ่งรู้ว่า ตัวเองมองทุกอย่างเพียงด้านเดียว…มันเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไรนะ ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะไม่ให้มีสีดำหยดมาที่ตัวเราแท้ๆ”

ตอนนั้นฟ้าใสสารภาพว่าเธอใจเต้น ตึก ตึก และมือก็เย็นเฉียบ จู่ๆ คนเท่ๆ อย่างเขาก็พูดเหมือนยอมรับคำพูดของคนอย่างเธอ

เล่าถึงตรงนี้หลินก็อ้าปากค้าง “ติสต์แตกจริงๆ ด้วย หมอนั่น…อะไรจะขนาดนั้น”

“ก็ถึงบอกไง…เป้มันไม่ได้น่าที่จะรักขนาดนั้นหรอก…เข้าถึงยาก” ฟ้าใสสรุป

“แล้วหมอนั่นมีแฟนไหม ไม่ใช่แบบสาวๆ เข้ามาปลื้มนะ แบบว่าแฟนกันจริงจัง”

“ก็ต้องมีน่ะสิ”

“ใคร”

“ผู้หญิงคณะเดียวกันนั่นแหละ เป็นดาวอิ้งแล้วก็เป็นลีดด้วย” ฟ้าใสหมายถึงดาวของภาควิชาภาษาอังกฤษและเป็นเชียร์ลีดเดอร์

“คบนานไหม”

“ไม่รู้สินะ

เธอหันมายิ้มให้ผมซึ่งเพิ่งจะรู้ตัวว่ากำลังนั่งฟังเธอตาแป๋ว

“นั่นแน่…ฟังอยู่จริงๆ ด้วย” เธอล้อ ผมทำเป็นหาวแล้วก้มเลียตัว

“แล้วแกพูดอะไร ที่เป้บอกว่าให้พูดอะไรก็ได้ ที่ช่วยให้รู้สึกดีน่ะ” หลินยังไม่ยอมปล่อยผ่าน

“ก็…” ฟ้าใสทำท่านึก “จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรคมๆ หรอกนะ เพิ่งจะยี่สิบอะแก๊…..” เธอลากเสียงสูง “ก็พูดวนๆ งงๆ ไปดาดๆ ว่าอย่าเพิ่งตัดสินอะไร เราเพิ่งจะเรียนปีสองกันเอง บางทีถ้าเป้ได้ไปทำงาน เป้อาจจะได้ทำเหมือนที่ตัวเองอยากจะทำก็ได้”

“แล้วหมอนั่นก็เชื่อเลยเหรอ”

“ไม่เชื่อหรอก หัวเราะขำด้วยซ้ำ เหมือนแค่อยากจะเห็นฉันทำอะไรขำๆ เลยบังคับให้พูดมากกว่า”

“แต่ก็กลับไปเรียน” หลินถามย้ำ

“ใช่ เป้กลับไปเรียน”

“ฮือ…” หลินพยักหน้าขึ้นๆ ลงๆ ตาดำกรอกไปมาเหมือนคิดอะไรอยู่

ผมคิดตามสิ่งที่ฟ้าใสพูด…

โดยเนื้อแท้แล้วเป้รักพ่อของเขามาก เมื่อฟ้าใสชี้ให้เห็นถึงความรับผิดชอบที่เขาควรจะมีให้กับ ‘เวลา และเงินทอง ที่พ่อแม่ส่งเสียไป’ มันก็คงจะเหมือนจุดไฟขึ้นในป่ามืด เป้ได้เห็นความจริงอีกด้าน และคงตัดสินใจว่าจะกลับไปเรียนตั้งแต่ได้ฟังคำพูดนั้นของฟ้าใสใต้โรงอาหารแล้ว

 

– 2 –

พวกมนุษย์เชื่อว่าลมหนาวที่พัดใส่ขนนุ่มฟูของผมมาจากจีน ผ่านเวียดนาม ผ่านลาว ก่อนจะเข้าสู่ประเทศไทย แต่สำหรับผมนั้นมันพัดมาจากตีนเขาของสรวงสวรรค์ที่ด้านล่างเป็นนรกน้ำแข็ง เพราะบางปีมันก็หนาวกำลังสบายขน แต่บางปีทำผมขาแข็งแทบจะกระโดดไม่ขึ้นทีเดียว

เหมือนอย่างคืนนี้

ผมผละจากสองสาวเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น บ้านพักของพวกเธอนั้นเป็นหลังที่ห้า อยู่กึ่งกลางระหว่างบ้านพักทั้งสิบหลัง ไม่รวมอีกห้าหลังที่กำลังก่อสร้างอยู่ริมคลองไส้ไก่

อาหารเย็นสำหรับแขกสามารถร้องขอให้เสิร์ฟได้สองที่ คือที่ห้องพักหรือที่ห้องอาหารส่วนกลางซึ่งเจ้าของฟาร์มอย่างโอและโตจะกินข้าวและคอยต้อนรับแขกของที่พักอยู่ที่นั่นเสมอ

ฟ้าใสเลือกจะใช้เวลาส่วนตัวกับหลินที่ห้องพัก เพราะพรุ่งนี้เช้าเพื่อนรักของเธอจะต้องกลับกรุงเทพฯ อีกอย่าง วันนี้ก็หนาวมาก การได้นั่งชมแสงจันทร์ที่สะท้อนระยิบระยับบนบึงน้ำอยู่ในห้องพัก น่าจะเป็นทางเลือกที่เข้าท่ากว่า

ผมออกจากห้องเลขที่ 5 มาด้วยการร้องเหมียวๆ หน้าประตู ฟ้าใสฉลาดกว่าเป้ ไม่เพียงแต่เธอจะเข้าใจทันที แต่ยังทักผมว่า

“อ้าว…จะไปแล้วเหรอ นึกว่าจะอยู่กินอาหารเย็นด้วยกันซะอีก”

ผมรักเธอชะมัด ไม่ว่าชีวิตที่สามในร่างแมวตัวกลมสั้นพื้นขาวจุดดำชื่อข้าวโพดหรือการเป็นชมา เธอก็มักจะเข้าใจผมเสมอ

แต่มีอีกคนที่ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจสิ่งใดนอกจากตัวเอง เพราะผมยังไม่ทันก้าวพ้นประตูห้อง ยัยหลินจอมโวยวายก็สรรเสริญฟ้าใสว่า “ประสาท คุยกับแมวยังกับมันจะรู้เรื่อง”

และฟ้าใสก็เหมือนเดิม ตอบกลับยัยหลินด้วยเสียงหัวเราะ ไม่ถือสา ถ้าเป็นผมละก็…จะฝากรอยเล็บเอาไว้บนหลังมือขาวๆ ของหล่อนสักสามเส้น

 

– 3 –

หกโมงเย็นพระจันทร์ขึ้นแล้ว ทางเดินปูอิฐสว่างเป็นหย่อมๆ เพราะไฟสนามพลังงานแสงอาทิตย์ที่ปักเอาไว้บนพื้นหญ้า ผมวิ่งเหยาะๆ กะให้ทันเวลาอาหาร

แรกเริ่มเดิมทีเป้จะเป็นคนขยำข้าวให้ผม แต่โอซึ่งเกิดรักและหลงผมมากขึ้นทุกวันศึกษามาอย่างดีว่า อาหารแมวราคาแพงที่ควบคุมคุณภาพและโภชนาการตามความต้องการของช่วงวัย จะทำให้ผมมีอายุไขที่ยืนยาว ผมอยากจะอธิบายเรื่องแมว 9 ชีวิตให้โอฟังเหลือเกิน แต่มันคงจะยากเกินไป ผมจึงใช้วิธีการของผม ให้ได้มาซึ่งเนื้อ ปลา กุ้ง ถึงบางครั้งจะเป็นเพียงเนื้อไก่ชืดๆ แต่มันดีกว่าอาหารเม็ดแข็งๆ อยู่ดีนั่นแหละ

อาคารส่วนกลางสว่างเรืองอยู่ใต้แสงดาว อำเภอท่าตอนยังมืดอยู่มากเมื่อเทียบกับตัวเมืองเชียงใหม่ ลมหนาวพัดฉิว ได้กลิ่นหนู หอยทาก และแมลงกลางคืนลอยอยู่ในอากาศ ผมเกือบว่อกแว่กแวะข้างทางอยู่หลายครั้ง แต่กลิ่นปลาเผาที่ลอยมาจากอาคารส่วนกลาง มันเร้าความสนใจได้มากกว่า

ผมได้ยินเสียงหัวเราะของโตและคนอื่นๆ ดังแว่ว

โชคเข้าข้างผมแล้วละวันนี้….

 

บนโต๊ะอาหารมีโอ โต เป้ แฟนต้า บุญรอ และอ้อยคนงานเก่าแก่ ไม่มีแขกคนอื่น เดาได้ว่าช่วงนี้คงมีแต่พวกตามวิถีสโลว์ไลฟ์เข้าพัก ไม่มีพวกเข้ามาเรียนรู้งานเกษตรจริงจัง

โอ โต และเป้ พวกคุณได้รู้จักเขาไปบ้างแล้ว อีกคนที่น่าจะกล่าวได้ว่าเป็นคนสำคัญของบ้านก็คือแฟนต้า หมอนี่เป็นเด็กหนุ่มอายุ 17 เขาเรียกโอและโตว่าอา ผมไม่เคยเห็นพ่อแม่ของเขา รู้แต่ว่าเขาเป็นหลานชายแท้ๆ ของโต และดูเหมือนจะอยู่ที่นี่มาช้านานแล้ว

ในบรรดาคนทั้งหมดในไร่ คนที่ผมรู้ว่าไม่ควรเข้าใกล้ที่สุดคือแฟนต้า เขาไม่ใช่คนร้ายกาจ ไม่ได้เกลียดสัตว์หน้าขน เพียงแต่เขาไม่เคยปลื้มผมเหมือนกับที่คนอื่นๆ ปลื้ม ความสัมพันธ์ของเราจึงเป็นแค่ประชากรในพื้นที่ทับซ้อน ไม่ใช่เพื่อนและไม่ได้เป็นศัตรู เปรียบไปก็เหมือนนกกับกระต่ายในทุ่งหญ้านั่นแหละ

แฟนต้ามีเพื่อนสนิทชื่อต้นกล้า เขาเป็นลูกชายของบุญรอและอ้อย วันนี้ผมยังไม่เห็นต้นกล้า เขาอาจจะอยู่เฝ้ายายที่บ้านพักคนงานหรือที่ไหนสักแห่งที่มี ‘ใบพัด’

ผมย่างเท้าเข้าไปอย่างเงียบเชียบ โดดผลุงขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกับโต เขาสะดุ้งโหยง ก่อนจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เป้ซึ่งนั่งเก้าอี้ตัวติดกันเพียงแค่เหล่มองแต่ไม่กระโตกกระตาก บทสนทนาบนโต๊ะดำเนินไปเรื่อยๆ ถึงตอนนี้ผมไม่ได้ตั้งใจฟัง เพราะกำลังหาจังหวะประสานสายตากับโตอยู่ แล้วมันก็ได้ผล เขาตักชิ้นปลาแล้วแอบส่งลงมาบนหน้าขาตัวเอง ผมก้มลงกิน เมื่อหมดแล้วก็ใช้ฝ่าเท้านุ่มนิ่มแตะเบาๆ บนตักของเขา เป็นการบอกว่าให้ส่งเนื้อปลาลงมาอีก

“เอ…ชมาไปไหนเนี้ย ไม่เห็นมากินอะไรเลย” โอเพิ่งสังเกตเห็นว่าผมหายไป “มีใครเห็นบ้างไหม”

“เห็นเดินตามพี่ๆ ห้องห้าอยู่เมื่อเย็น ตามมาสองวันแล้วมั้ง” แฟนต้าตอบ ก่อนจะประสานสายตาเข้ากับผมซึ่งนั่งอิงโตอยู่พอดี

“งั้นเหรอ” โอหัวเราะ “ประหลาดแมวจริง”

โอว่า ก่อนจะค่อยๆ ลุกยืนชะโงกข้ามโต๊ะมองประสานสายตากับผม ซึ่งผมเดาเอาว่าเธอมองตามสายตาแฟนต้าที่จ้องเอาๆ อย่างไม่คิดจะช่วยปกปิด

ผมจ้องเธอตอบตามประสาแมว ตั้งใจจะไม่หลบตา แต่ให้ตายไปเลย สายตาของโอทำผมอดไม่ได้ที่จะยกเท้าขึ้นมาล้างหน้า ซึ่งถ้าหูไม่ฝาดละก็ ผมเหมือนได้ยินใครบางคนกลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“พี่โต…เอาอีกแล้วนะคะ” โอว่าเสียงอ่อน

“เอาอะไร้…” โตเสียงสูง

“ก็ชมามันนั่งอยู่กับพี่ ถ้าไม่ได้แอบให้อาหารคนกับมัน พี่โตจะเงียบทำไม”

“ไหน…อ้าว ชมา…มานั่งตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร” โตลากเสียง เฉไฉ สอดนิ้วเข้าใต้รักแร้ของผมแล้วยกขึ้นชู พวกเราสบตากัน

ผมเห็นโอถอนหายใจ ส่ายหัว พอรู้ตัวว่าตำหนิสามีต่อหน้าคนอื่น โอจึงหยุดเรื่องของผมเอาไว้แค่นั้น

 

วงอาหารจบลงประมาณสองทุ่ม พวกเขานัดแนะกันเรื่องลอกคลองไส้ไก่ บทสนทนาของที่นี่มีตั้งแต่เรื่องมูลสัตว์ ไปจนถึงเทคโนโลยีชีวภาพ ส่วนเรื่องตื่นเต้นนั้นถึงจะมีอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดคือการทดลองเพาะเห็ดที่โคนต้นยางนาได้เป็นผลสำเร็จ แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นข่าวราคาเดียวกับดาราคลอดลูก เพราะแมวอย่างผมไม่กินเห็ดและก็ไม่สนใจดาราด้วย

 

– 4 –

ผมเดินตามเป้กลับบ้านพัก ซึ่งเป็นหลังสุดท้ายเลขที่ 10 ตอนที่เราผ่านบ้านเลขที่ 5 เป้หยุดยืนมองครู่หนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมา ก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋าเดินทอดน่องต่อไปบนทางสัญจร

พระจันทร์ลอยสูงขึ้น บริเวณช่วงที่ไร้ต้นไม้แสงกล้าของมันสร้างเงาของเราทั้งสองทอดยาวไปบนทางเดิน อิฐแดงที่ใช้ปูพื้นให้ผิวสัมผัสสากกว่าหน้าฝนซึ่งเต็มไปด้วยตะไคร่แต่ก็เย็นเท้าแมวดี เป้พูดออกมาว่า

“ดีจังเลยนะ”

ผมไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร อาจจะหมายถึงตัวผมหรือไม่ก็เพื่อนของเขาในบ้านเลขที่ 5 ก็ได้ อันที่จริงเขาก็เป็นมนุษย์ที่โตเต็มวัยแล้ว การจะสนใจผู้หญิงขึ้นมาสักคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก ติดนิดเดียวตรงที่ผู้ชายในครอบครัวของเป้มักจะประหลาด ถ้าเป็นพวกมนุษย์คงจะใช้คำว่า ‘อาภัพ’ ดังนั้นผมจึงเห็นเป้ระมัดระวังในความสัมพันธ์ เขามักปิดกั้นตัวเองด้วยคำพูดขวางโลก อาจจะเคยมีผู้หญิงที่คุยๆ กันบ้าง แต่ตลอดเวลาที่ผมใช้ชีวิตอยู่กับเป้ในช่วงเวลาของ ‘หยก’ ผมยังไม่เคยเห็นเขาเอาผู้หญิงคนไหนเข้าบ้านไปให้พ่อดูสักคนเดียว

 

บ้านหลังที่ 10 ซุกซ่อนอยู่หลังเถาเสาวรส ซึ่งขึ้นเลื้อยไปตามค้าง พระจันทร์หย่อนคู่แฝดลงบนผิวน้ำในบึง มองเห็นแสงพริ้งพรายยามลมรำเพยผ่าน ผมหยุดยืนมอง นึกถึงชีวิตทั้ง 5 ครั้งของตัวเองแล้วเหมือนจะนึกอะไรได้

ครั้งนี้ผมชื่อชมา เป็นแมวของเป้ และของฟาร์มที่มีโอกับโตเป็นเจ้าของ

ครั้งที่แล้วผมชื่อหยก เป็นแมวของเป้

ครั้งที่สามผมชื่อข้าวโพด เป็นแมวของฟ้าใส

ครั้งที่สองผมชื่อฝอยทอง เป็นแมวของโอ

และครั้งแรก…

ผมชื่อเฉินหลง…

เป็นแมวของโต…

ให้ตายไปเลย ผมหางชี้ รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล บางทีแล้วการที่ผมซุกซนปีนขึ้นไปเล่นในห้องเครื่องรถยนต์จนติดรถออกมาข้างนอก ก่อนจะพลัดตกลงมาจากรถและเดินโซซัดโซเซไปจนเจอเป้ อาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ บางอย่างอาจจะนำผมกลับมาพบเป้ และนำพวกเราทุกคนมาพบกัน

ผมขนตั้ง มองบรรยากาศยะเยือกรอบตัว ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ร่างผมก็ลอยหวือ

“อาบน้ำก่อนนอนนะวันนี้ เข้าไปไล่ลูกไก่ในเล้ามาไม่ใช่เหรอไอ้เน่า” เป้คว้าผมขึ้นมาหนีบไว้ในรักแร้ เรียกผมด้วยชื่อเล่นที่เขาตั้งให้ ผมเริ่มดิ้นรน กางเล็บ และข่วนเขา

ปล่อย ปล่อยนะโว้ย ผมร้องลั่น แล้วสำเนียกได้ว่า ไอ้อารมณ์กึ่งสยดสยองเมื่อกี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความไม่ชอบมาพากลอะไรหรอก แต่มันเกิดเพราะลางสังหรณ์ที่ไอ้โหดเป้มันจะอาบน้ำผมอีกแล้ว…

 



Don`t copy text!