อรุณแสงรัก บที่ 2 : สิ้นเนื้อประดาตัว
โดย : SUDA
อรุณแสงรัก โดย SUDA นวนิยายอ่านฟรีที่อ่านเอามีให้คุณได้อ่านที่ anowl.co กับเรื่องของ “นวล” หญิงสาวจากสวรรคโลก ที่ชีวิตพลิกผันจนต้องมาใช้ชีวิตในกรุงศรีอยุธยาและได้ร่วมหัวจมท้ายกับชายหนุ่มบ้านใกล้เรือนเคียงที่ความสัมพันธ์เริ่มต้นจากความสงสาร เพียงแค่อยู่ร่วมกันแต่ไม่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนแบบนี้จะเรียกว่าความรักได้หรือไม่
นวลฟื้นขึ้นมาในกุฏิแม่ชีคนเก่า ร่างเล็กลุกขึ้นนั่งกอดเข่าร่ำไห้ด้วยความทุกข์ทรมานอีกครั้ง นึกเห็นภาพพ่อขวัญเลือดท่วมตัวในป่าช้าน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมามิขาดสาย เพราะนอกจากผู้เป็นพ่อแล้วก็มีเพียงพ่อขวัญคนเดียวที่เธอจะพึ่งพาอาศัย เมื่อรู้ว่าต้องสูญเสียทุกคนไปเช่นนี้…ความเจ็บปวดจึงทวีคูณจนแทบสิ้นสติลงตรงนี้
หญิงสาวเอาแต่นั่งร้องไห้คร่ำครวญจนแม่ชีต้องเข้าไปปลอบโยนอยู่พักหนึ่ง ความหวาดกลัวจึงเริ่มทุเลาลงบ้าง เธอไม่ได้ปริปากบอกใครเรื่องเห็นผีพ่อขวัญ แต่ก็แปลกใจไม่น้อยที่ตนฟื้นขึ้นมาในกุฏิแม่ชีได้
“สัปเหร่อวิ่งมาบอกว่าเจ้าเป็นลม นอนหมดสติอยู่หลังวัด”
แม่ชีเอ่ยอธิบายเมื่อเห็นความงุนงงในสายตา “ตั้งแต่เรือล่มจนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังมิได้พัก ข้าวน้ำก็มิยอมกินเช่นนี้จักมิให้เป็นลมเป็นแล้งไปได้อย่างไร ตั้งสติให้มั่นเถิดหนาแม่หญิง เรื่องร้ายเหล่านั้นมันผ่านพ้นไปแล้ว…จงหักอกหักใจเสียเถิด”
นวลได้ฟังจึงก้มหน้าตอบทั้งน้ำตา “ข้า…ข้ามิรู้จักทำอย่างไรต่อไปเจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าเป็นใครมาจากไหน เล่าให้ฟังได้หรือไม่”
“ข้าชื่อนวล เป็นชาวเมืองสวรรคโลกเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยตอบเสียงเศร้า “เหตุที่ได้ล่องเรือมากรุงศรีก็เพราะแม่เลี้ยงข้าอยากกลับมาเยี่ยมญาติ แลมิตรสหายของพ่อข้าก็ติดตามมาอีกหลายคนเพื่อเอาเครื่องสังคโลกมาขาย แต่ก็มาถูกโจรปล้นจนเรือล่มเสียก่อน แม่เลี้ยงของข้าก็หายไปกับสายน้ำ…ข้าจึงมิรู้จักไปตามหานางที่ใด”
“แล้วแม่เลี้ยงของเจ้าชื่อกระไร รู้จักญาติของนางหรือไม่”
“นางชื่อแม่วาดเจ้าค่ะ” นวลกล่าวตอบ แต่เมื่อเธอไม่รู้จักญาติของแม่วาดสักคน แม่ชีก็พลันถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง “แม่หญิงชื่อวาดทั่วกรุงศรีมีเป็นร้อยคนกระมัง หากมิรู้จักญาติของนางก็คงตามหามิพบแล้วหนา เจ้าก็อยู่กับข้าที่นี่ก่อนเถิดแม่นวล…ไว้ดีขึ้นกว่านี้ค่อยว่ากันใหม่”
ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันจึงทำให้นวลยอมนอนพักโดยดี ยอมกินข้าวกินน้ำจนกระทั่งเริ่มมีเรี่ยวแรงมากขึ้น เมื่อแม่ชีเข้านอนไปเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงออกมานั่งเหม่อริมระเบียงกุฏิ แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วท้องนภาชวนให้เงียบเหงานัก
ร่างเล็กนั่งกอดเข่าพลางเหม่อมองท้องนภาด้วยความเศร้า นอกจากเรื่องสูญเสียบิดาไปแล้ว…เรื่องพ่อขวัญก็ทำให้เธอปวดใจมากนัก พ่อขวัญคือนายช่างหนุ่มอายุมากกว่าเธอหลายปี แม้มิได้ผูกพันกันทางสายเลือด แต่พ่อขวัญก็คอยเป็นเพื่อนเล่นและคอยดูแลเธอจนเติบใหญ่ เป็นเสมือนพี่ชายคนดีของเธอเสมอมา เมื่อบิดาเลือกให้ทั้งสองได้เคียงคู่…นวลจึงยอมรับการหมั้นหมาย
เห็นภาพเขาเลือดท่วมกายนวลก็ร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง เขาคงเจ็บปวดมิใช่น้อยกว่าจักสิ้นใจ พวกโจรป่าก็เลวทรามต่ำช้านัก พรากบิดาเธอไปแล้ว…ยังพรากพ่อขวัญผู้เป็นที่พึ่งของเธอไปด้วย
ร่างเล็กนั่งกอดเข่าสะอื้นไห้ขึ้นมาอีกหน แต่หากมัวนั่งตัดพ้อไปก็คงไร้ประโยชน์ เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้ เราต่างอยู่กันคนละภพภูมิแล้วจึงจำเป็นต้องลาจาก เธอยังมีลมหายใจจึงต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้ไหว มือบางยกปาดน้ำตาเบาๆ พลางเหม่อมองจันทราด้วยความทุกข์
“พ่อจ๋า…”
“พี่ขวัญจ๋า…มิเจ็บปวดแล้วใช่หรือไม่”
นวลเอ่ยกระซิบผ่านสายลมไป น้ำตาไหลอาบนวลแก้มน่าเวทนานัก “พ่อแลพี่ขวัญอย่าห่วงข้าเลยหนา ข้าสัญญาว่าจักดูแลตัวเองให้ดี ข้าสัญญาจักอยู่ต่อไปให้ได้…”
หลังจากเสร็จพิธีศพของนายกล่ำแล้วนวลก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป เธอจึงขออาศัยอยู่ที่วัดไปอีกสักพักหนึ่ง หญิงสาวคอยปรนนิบัติรับใช้แม่ชีและดูแลความสะอาดเรียบร้อยในวัดอยู่เสมอ เมื่อทุกอย่างเริ่มคลี่คลายลงแล้วเธอจึงเริ่มมีสติมากขึ้น ความเมตตาของแม่ชีและชาวบ้านที่นี่ทำให้เธอคลายความทุกข์ลงไปได้บ้าง…แม้จะยังคิดถึงผู้เป็นบิดาอยู่ทุกลมหายใจ
ยามบ่ายวันนี้นวลนั่งฟั่นเทียนอยู่ในกุฏิด้านหลัง หญิงสาวนั่งก่อไฟต้มรังผึ้งเก่าให้เดือดก่อนจะนำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง จากนั้นจึงทิ้งไว้ให้เย็นสนิทเพื่อเก็บเอาขี้ผึ้งที่ลอยบนผิวน้ำไว้ทำเทียนไข เธอเริ่มต้มรังผึ้งไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว บ่ายวันนี้จึงได้ขี้ผึ้งหลายแผ่น
หญิงสาวเก็บขี้ผึ้งเหล่านั้นมาหลอมให้ร้อนพอนวดได้ ก่อนจะเดินไปหยิบฝ้ายที่ซักตากไว้มาทำไส้เทียน แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นชายคนหนึ่งแบกทะลายมะพร้าวเดินผ่านหน้า เขาเองก็หยุดชะงักเช่นกัน…ก่อนจะเอ่ยถามเธอด้วยความงุนงง
“แม่หญิง เอ็งยังอยู่ที่นี่อีกรึ”
นวลยังไม่เอ่ยตอบคำใด หญิงสาวจ้องมองใบหน้าเขาอยู่นานโข…ก่อนจะจำได้ว่าเขาคือพ่อกล้า… ชายหนุ่มที่ช่วยชีวิตเธอในคืนนั้น
“อ้อ! ข้า…ข้ายังอยู่จ้ะ” เมื่อได้สติแล้วนวลจึงรีบกล่าวตอบ มือบางคว้าเอาฝ้ายม้วนใหญ่ที่ซักตากไว้แล้วรีบกลับมานั่งหน้าเตาขี้ผึ้ง พ่อกล้าจึงเดินแบกทะลายมะพร้าวตามเข้ามาก่อนจะวางไว้ข้างเสา “ฝากเอ็งผ่าเอาน้ำมะพร้าวถวายแม่ชีด้วยหนา”
“ได้จ้ะ”
นวลพยักหน้ารับ แต่ยังไม่ทันอ้าปากสนทนาต่อพ่อกล้าก็เดินลับหายไปเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงรีบร้อนนัก เรื่องคืนนั้นเธอยังไม่ได้ขอบน้ำใจเขาสักคำ แต่เมื่อมีโอกาสได้พบกัน…พ่อกล้าก็หนีหายไปอีกจนได้
“แม่นวล มองหาใครรึ”
แม่ชีกล่าวถามก่อนจะเข้ามานั่งดูเธอฟั่นเทียนด้วย นวลจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธแล้วกลับมานั่งที่เก่า สองมือนวดขี้ผึ้งอุ่นๆ อย่างเชื่องช้า แม้เธอดูคลายความทุกข์ลงไปบ้างแล้ว…แต่ในดวงตาคู่ใสยังเจือไปด้วยความเศร้า
อันที่จริง…คำถามของเขาก็ทำให้ฉุกคิดขึ้นมาอีกครั้ง
นั่นสิหนา…
เรื่องมันผ่านมาหลายวันแล้ว…เหตุใดเธอจึงยังอยู่ที่นี่
“แม่นวล เป็นกระไรไปเล่า”
“ข้ากำลังคิดว่าควรทำอย่างไรเจ้าค่ะ” นวลก้มหน้าตอบเสียงเบา “ข้ามาอยู่กับแม่ชีได้สักพักแล้ว คงถึงเวลาต้องเริ่มชีวิตใหม่เสียที แต่เพราะเมื่อก่อนข้ามีพ่อคอยเป็นเสาหลักให้พักพิง เมื่อสิ้นพ่อไปแล้วข้าจึงรู้สึกมืดมนนัก…มิรู้ว่าหลังจากนี้ควรทำเช่นไร หรือข้าควรกลับสวรรคโลกไปปั้นถ้วยชามขาย”
“แล้วจักกลับไปอย่างไรเล่า”
“คงไปกับเรือสินค้าเจ้าค่ะ” นวลเอ่ยตอบ “เพราะเส้นทางไปสวรรคโลกนั้นยาวไกลนัก ข้าเองก็ไร้ที่พึ่งแลไม่มีเงินทองใดๆ หากเรือสินค้าใดมีเมตตาเขาคงให้ข้ากลับไปด้วย”
“มันมิอันตรายไปหน่อยรึแม่นวล”
แม่ชีกล่าวถามด้วยความเป็นห่วง “แม่หญิงตัวคนเดียวเช่นเจ้าจักเดินทางไปกับเรือสินค้าได้อย่างไร เจ้าก็รู้มิใช่รึว่าในเรือล้วนมีแต่ชายฉกรรจ์ทั้งนั้น แลเจ้าก็เป็นหญิงงามจึงย่อมเป็นที่หมายตา แค่หญิงหม้ายเดินทางกลางป่ายังถูกขืนใจให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง…แล้วหญิงงามอย่างเจ้าจักรอดพ้นเงื้อมมือไปได้อย่างไร”
“แต่ข้า…”
“ฟังคำข้าเถิดหนาแม่นวล แม่หญิงอย่างเรานั้นจักอยู่ที่ใดก็มิแตกต่างกันนัก เพราะหลวงท่านมิได้เรียกใช้แรงงานหรือเรียกเอาส่วย หากเจ้าจักเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ก็ย่อมได้”
นวลได้ฟังถ้อยคำของแม่ชีก็นิ่งเงียบไปนานโข ในใจยังมีความกังวลอยู่ไม่น้อย “อยู่ที่นี่ข้าก็มิรู้จักทำมาหากินอย่างไรเจ้าค่ะ…แต่หากจักพึ่งบารมีแม่ชีไปจนตายก็คงมิได้”
“แล้วเจ้าทำกระไรเลี้ยงชีพได้เล่า”
“ข้าปั้นถ้วยชามเป็นเจ้าค่ะ”
แม่ชีได้ฟังถ้อยคำก็ยกยิ้มละมุน ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่นวลคงไม่ได้ออกนอกวัดเลยสักครั้ง เธอจึงไม่รู้ว่าที่นี่คือย่านขายเครื่องปั้นดินเผาแห่งใหญ่ในกรุงศรี ถัดจากวัดไปไม่ไกลก็เป็นปากคลองสระบัว ซึ่งชาวบ้านริมคลองก็ล้วนผลิตเครื่องปั้นดินเผาขายทั้งนั้น หากนวลปรับเปลี่ยนวิชาปั้นเครื่องสังคโลกเป็นมาเป็นปั้นหม้อดินเผาขายย่อมไม่เกินความสามารถ
“เอาอย่างนี้แล้วกัน…ข้าจักให้ชาวบ้านช่วยปลูกเรือนให้เจ้าได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ที่ดินตรงนั้นเคยเป็นเรือนเก่าของข้าก่อนจักมาบวชเป็นชี แลข้าจักฝากฝังชาวบ้านแถวนั้นให้ช่วยดูแลเจ้าด้วย…ดีหรือไม่”
นวลยังนั่งเงียบครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น ในหัวคิดทบทวนว่าตนควรตัดสินใจอย่างไร หากจะกลับไปกับเรือสินค้าก็คงอันตรายเกินไปอย่างที่แม่ชีว่า และที่สวรรคโลกก็มีเพียงลุงที่รังเกียจเธอกับพ่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอจึงไม่เหลือญาติมิตรใดที่จะขอความช่วยเหลือได้อีกแล้ว
แม้กลับไป…ก็คงไม่ต่างจากอยู่ที่นี่
สุดท้ายนวลจึงเลือกเริ่มต้นชีวิตใหม่ ร่างเล็กก้มกราบแทบตักแม่ชีด้วยความซาบซึ้ง “เป็นพระคุณเหลือเกินเจ้าค่ะ แม้ชีวิตของข้าอาภัพเสียจนกลายเป็นหญิงสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ก็ยังมีบุญที่ได้มาพึ่งบารมีแม่ชีในวันนี้ พระคุณของท่าน…ข้าจักไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต”
“มิเป็นไรดอก”
แม่ชียกยิ้มละมุน ก่อนจะดึงร่างเล็กของเธอมากอดไว้หลวมๆ “ข้าเห็นดีเห็นงามที่เจ้าจักเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ แม้การใช้ชีวิตของแม่หญิงกรุงศรีนั้นลำบากลำบนมิน้อย แต่ขอให้เจ้าอดทน เข้มแข็ง แลตั้งมั่นในความดีเถิดหนา หากวันใดมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจก็กลับมาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
แสงอรุณโผล่พ้นขอบฟ้าเป็นสัญญาณของวันใหม่ บรรยากาศเช้านี้ดูสดชื่นแจ่มใส หมู่แมกไม้ผลิใบเขียวขจีเต็มท้องทุ่ง ยอดไม้ไหวเอนตามแรงลมอากาศเย็นสบายนัก วันนี้พ่อกล้าถือผลไม้เข้าวัดมาเช่นเคย มีมะม่วงสุกกระบุงใหญ่วางไว้ใต้กุฏิของแม่ชีดังเดิม เขาไม่ได้ถวายตามพิธีรีตองนักเพราะต้องรีบกลับไปปั้นหม้อขาย หลังจากวางไว้เรียบร้อยแล้วจึงหันหลังกลับในทันที
“พ่อกล้า จักรีบไปไหนรึ”
แม่ชีเดินลงจากกุฏิพลางกล่าวทักทาย ชายหนุ่มจึงเดินตามมาก่อนจะนั่งคุกเข่าแล้วพนมมือไหว้ “มิได้เร่งรีบกระไรดอกขอรับ ข้าเพียงอยากกลับไปปั้นหม้อให้เสร็จเท่านั้น”
“อย่างนั้นรึ…”
แม่ชีส่งยิ้มให้ด้วยความเมตตา “อยู่ที่เรือนเป็นอย่างไร สุขสบายดีหรือไม่”
“สบายดีขอรับ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของแม่ชี เขาจึงเงยหน้าสบตาพลางส่งยิ้มให้ “แม่ชีอย่าห่วงทางนี้เลยหนาขอรับ แม้อยู่ตามลำพังแต่ข้าก็สุขสบายดี ท่านจงตั้งใจบำเพ็ญกุศลด้วยจิตใจสงบเถิด ข้าขออนุโมทนาบุญด้วย”
“เช่นนั้นก็ดี” แม่ชีพยักหน้ารับ มือเหี่ยวย่นตามกาลเวลานั้นหยิบเอามะม่วงสุกขึ้นมาดูใกล้ๆ “มะม่วงเต็มกระบุงเช่นนี้ข้าจักกินหมดได้อย่างไร ขอเก็บไว้สักสิบลูกนำถวายพระสงฆ์ท่าน ส่วนที่เหลือขอแบ่งไว้ให้แม่นวลเถิดหนา”
“นางยังมิกลับสวรรคโลกหรือขอรับ”
“มิได้กลับไปดอก แต่นางคงอยู่ในวัดอีกไม่นานนัก เพราะข้าจักให้ชาวบ้านช่วยปลูกเรือนให้นางอยู่ ปลูกลงท้ายคลองติดกับเรือนเจ้านั่นละหนา”
“ปลูกเรือนให้นางอยู่ท้ายคลอง…อยู่กับข้าหรือขอรับ”
“ใช่…”
เมื่อพ่อกล้าเงียบไปนานโข แม่ชีจึงเอ่ยอธิบายอีกครั้ง “เวทนานางบ้างเถิดหนาพ่อกล้า…นางไม่มีที่พึ่งใดอีกแล้ว เจ้าก็รู้ว่ามีหญิงสาวอยู่ในวัดนานไปอาจเกิดข้อครหา ข้าจึงจักให้ชาวบ้านปลูกเรือนให้นางอยู่ แต่ข้าก็นึกเป็นห่วงเหลือเกิน…แม้หลังจากนี้จักมีเรือนไว้ซุกหัวนอน แต่เรื่องข้าวปลาอาหารนั้นเล่า หากนางไม่มีประทังชีวิตจักทำเช่นไร”
“จักให้นางอยู่เรือนตัวคนเดียวหรือขอรับ”
แม่ชีพยักหน้ารับเบาๆ สายตาจ้องมองพ่อกล้าอยู่นานก่อนจะกล่าวขอร้อง “คงต้องฝากให้เจ้าช่วยดูแลนางแล้วหนา หากวันใดพอมีปลาร้าปลาแห้งเหลืออยู่บ้าง…ก็แบ่งปันนางบ้างเถิด”
ชาวบ้านช่วยกันปลูกเรือนให้หญิงสาวที่ท้ายคลองติดกับทุ่งนาด้านหลัง โดยสร้างเป็นเรือนเครื่องผูกทำจากไม้ไผ่ง่ายๆ โครงสร้างเรือนใช้หวายและตอกมัด มุงหลังคาด้วยใบจาก เมื่อช่วยกันสร้างก็ใช้เวลาเพียงห้าวันเท่านั้น พ่อกล้าเองก็มาช่วยปลูกเรือนให้เธอเช่นกัน…และดูเหมือนจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการปลูกเรือนครั้งนี้ด้วย
นวลกราบลาแม่ชีย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนใหม่ทันทีที่แล้วเสร็จ แม้อาศัยอยู่ตัวคนเดียวแต่เธอก็รู้สึกสงบสุขไม่น้อย รอบเรือนหญิงสาวมีต้นไม้ใหญ่ให้เงาร่มรื่น อากาศเย็นสบาย แต่ยามค่ำคืนก็ไม่ได้วังเวงน่ากลัวเพราะมีเรือนอีกหลังที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ หากมีเรื่องร้ายขึ้นมาเธอคงไปขอความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ
หญิงสาวใช้ชีวิตในเรือนหลังน้อยอย่างเงียบสงบ ประทังชีวิตไปได้ด้วยข้าวเปลือกและปลาแห้งที่แม่ชีมอบไว้ให้ แต่เมื่อหลายวันผันผ่านอาหารแห้งเหล่านั้นจึงเหลือน้อยลงทุกที นวลจึงเก็บผักริมคลองมาลวกจิ้มน้ำพริกเพื่อบรรเทาความหิว เพราะเธอหาปลาไม่เป็น หรือหากจะปลูกข้าวเองก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายจึงต้องดิ้นรนทำมาหากินโดยหวังหาของป่าไปขายประทังชีวิต
เสียงไก่ขันแว่วมาตามลมทำให้นวลสะดุ้งตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หญิงสาวลุกอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้วจึงถือกระบุงไปเก็บผักบุ้งริมคลอง แต่เมื่อเดินผ่านเรือนที่อยู่ใกล้กัน สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ใต้ถุน แต่เมื่อมองดูจนชัดเจนว่าเขาเป็นใคร…ร่างเล็กก็นิ่งชะงักไปทันที
“นั่น…พี่กล้าหรือจ๊ะ”
หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความงุนงง…เธอเพิ่งรู้ว่าพ่อกล้าเป็นเจ้าของเรือนหลังนี้ มิน่าเล่าจึงได้มาช่วยปลูกเรือนให้เธอตั้งแต่เช้าจรดค่ำ…ที่แท้เรือนเขาก็อยู่ติดกันนี่เอง
เมื่อพ่อกล้าพยักหน้าเป็นคำตอบนวลจึงเดินเข้าไปทักทาย เช้ามืดวันนี้เขาก่อไฟปิ้งปลาจนส่งกลิ่นหอม มือข้างหนึ่งดึงผ้าผูกเอวมาเช็ดหน้าเบาๆ แล้วพาดบ่าไว้
“เอ็งจักออกไปไหนแต่เช้ารึ”
“ไปเก็บผักบุ้งจ้ะ” นวลเอ่ยตอบ หญิงสาวนั่งลงบนแคร่ใต้ถุนเรือนแล้ววางกระบุงไม้ไผ่ไว้ข้างกาย เพราะมีเพียงเรือนเขาที่ตั้งอยู่ใกล้กัน นวลจึงคิดว่าผูกมิตรกับเขาไว้ย่อมเป็นการดีแน่
“เรื่องคืนนั้นข้าขอบน้ำใจพี่มากหนา หากมิได้พี่ช่วยไว้…ข้าคง…”
“มิเป็นไรดอก” พ่อกล้าตอบก่อนจะพลิกปลาแห้งบนเตาอีกครั้ง “ว่าแต่เอ็งเถิด ออกมาอยู่ตัวคนเดียวเช่นนี้มิกลัวอันตรายรึ หากมีคนร้ายบุกปล้นยามค่ำคืนเอ็งจักทำเช่นไร”
คำถามของเขาทำให้นวลนึกฉงนอยู่ไม่น้อย ก็เรือนเธอกับเขาอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม หากมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเพียงเธอตะโกนดังๆ เขาก็ได้ยิน แล้วจะมีอันตรายได้อย่างไรกัน…ยกเว้นเพียงเขาจะไม่ยินดีช่วยเหลือ
พ่อกล้าเห็นเธอนั่งเงียบไป ชายหนุ่มจึงลุกเดินเข้ามาหาแล้วห่อปลาปิ้งใส่ใบตองให้เธอด้วย “แม่ชีให้ปลูกเรือนเอ็งไว้ติดกับเรือนข้า ก็เพราะหากมีเหตุร้ายใดเอ็งจักได้ขอความช่วยเหลือ แต่เอ็งรู้ใช่หรือไม่… ว่ามีชายอยู่ ‘ในเรือน’ กับอยู่ ‘ข้างเรือน’ นั้นแตกต่างกันนัก…หากวันใดข้าไม่อยู่แล้วเอ็งจักเรียกหาใคร”
“ข้ารู้จ้ะ” นวลกล่าวตอบ “ขอบน้ำใจพี่นักที่ยินดีช่วยเหลือ แต่คนอย่างข้ามิได้กลัวอันตรายมากถึงเพียงนั้น หากจักมีผัวเพียงเพราะให้คอยคุ้มครองดูแล…ข้าขออยู่เป็นสาวเทื้อเสียดีกว่า”
พ่อกล้าเผลอยิ้มจางๆ เมื่อได้ฟังเหตุผลของหญิงสาว ดูแล้วแม่หญิงต่างเมืองผู้นี้คงดื้อรั้นไม่เบา แต่หากจะปล่อยให้ทำมาหากินเลี้ยงชีพตามลำพัง เขาก็นึกเป็นห่วงไม่น้อย
“พี่อยู่ตัวคนเดียวหรือจ๊ะ”
นวลกวาดสายตามองใต้ถุนเรือนก่อนจะเอ่ยถามด้วยความงุนงง เพราะดูแล้วเรือนหลังนี้ไม่น่าใช่เรือนที่มีแม่หญิงคอยเก็บกวาดให้ บริเวณใต้ถุนมีหม้อดินเผาวางเรียงรายไม่เป็นระเบียบ นวลจึงเดาว่าพ่อกล้าทำอาชีพปั้นหม้อไหขาย หญิงสาวถือวิสาสะเดินดูรอบเรือนด้วยความสนใจ…กระทั่งมองเห็นเตาเผาอยู่หลังเรือนก็พลันอุทานด้วยความตื่นเต้น
“พี่กล้า! นี่เตาเผาของพี่รึ!”
นวลรีบหันกลับมาถามท่าทางดีใจอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่ใสลุกวาวด้วยความตื่นเต้น เตาเผาหลังใหญ่แผ่ความร้อนในแนวนอนคลายเตาประทุนในสวรรคโลก ปากเตามีช่องใส่ฟืน ห้องวางถ้วยดินเผาอยู่ตรงกลางและปล่องไฟอยู่ด้านหลัง หากเป็นอย่างที่เธอคิด…เธอก็ยังมีหนทางทำมาหากินต่อไปได้
ไม่ต้องเก็บของป่าประทังชีวิตอีกแล้ว…
“ใช่…ของข้าเอง”
พ่อกล้ากล่าวตอบด้วยสีหน้างุนงง “ข้าเพิ่งรื้อเตาเก่าออกแล้วสร้างใหม่ได้มิกี่เดือน ก่อนหน้านี้เป็นเตาสี่เหลี่ยมเว้นช่องใส่ไฟด้านละสี่ช่อง เผาได้ทีละน้อยนักจึงทำให้ของมิพอขาย แต่เตาเผาแบบใหม่นี้พวกริมคลองสระบัวอีกฝั่งนิยมสร้างกัน ทั้งให้ความร้อนมากแลยังเผาได้มากกว่า”
“ดีจริง…”
นวลเดินปรี่เข้ามาหาชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มสดใส “เช่นนั้นพี่ช่วยเผาถ้วยกระเบื้องให้ข้าได้ไหม”
“เอ็งหมายความว่าอย่างไร”
“ข้าอยากลองปั้นเครื่องถ้วยขายจ้ะ” นวลกล่าวตอบพลางเดินไปดูบ่อหมักดินของพ่อกล้า ก่อนจะลองสัมผัสเนื้อดินอย่างเบามือ “ดินเหนียวกรุงศรีก็มิต่างจากสวรรคโลกสักเท่าใด เนื้อดินเหนียวดีแค่มีสีคล้ำกว่าเท่านั้น เช่นนั้นข้าจักลองปั้นเครื่องถ้วยขายอย่างที่เคยทำกับพ่อ แต่ข้าใช้เตาเผาไม่เป็น…พี่ช่วยเผาเครื่องถ้วยให้ข้าทีเถิด”
“ถ้วยกระเบื้องรึ ข้าเผาไม่เป็นดอก”
“ลองดูก่อนเถิด” นวลหันกลับมาส่งสายตาอ้อนวอน “ข้ามีเพียงวิชาปั้นเครื่องถ้วยที่จักพอเลี้ยงชีพได้ ขาดแต่เพียงคนช่วยเอาเข้าเตาเผาเท่านั้น พี่ช่วยข้าทีเถิดหนา หากพี่ทำสำเร็จเมื่อใด…ข้าจักนำไปขายแล้วแบ่งเบี้ยให้กึ่งหนึ่ง”
“กระไรกันแม่หญิง ยังไม่มีสักเบี้ยเอ็งก็คิดจ้างข้าแล้วรึ”
“พี่ก็ลองดูก่อนแล้วกัน…”
นวลกล่าวย้ำคำเก่า หญิงสาวคว้าเอากระบุงไม้ไผ่กลับเรือนโดยมีห่อปลาปิ้งของพ่อกล้าติดมือมาด้วย ร่างเล็กเดินตัวปลิวไปในความมืด…ก่อนจะหันกลับมาหาชายหนุ่มอีกครั้ง “ข้าจักลองปั้นถ้วยดินมาให้ลองเผา…พี่เตรียมฟืนไฟไว้ให้ดีเถิด”