สาปแสงรัก บทที่ 4 : นางในฝัน

สาปแสงรัก บทที่ 4 : นางในฝัน

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

สาปแสงรัก โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องรักของผู้ชายธรรมดาที่ต้องคำสาปที่ว่า เมื่อพบรักแท้จะพบแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น “อานุภาพ” ชายที่ไม่มีพลังอำนาจเหมือนชื่อของเขาเลย แถมยังไม่มีของวิเศษ เวทย์มนตร์คาถา แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแรงอาฆาตพยาบาทที่สาปส่งข้ามภพข้ามชาติได้ ติดตามเอาใจช่วยเขาได้ในอ่านเอา anowl.co

อานุภาพได้ยินเสียงคลื่นลมทะเลดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เขายืนอยู่หน้าเรือนไทยหลังใหญ่ กำลังมองดูผู้ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดเรือนไป เมื่อชายหนุ่มก้าวขาเดิน อานุภาพก็รู้สึกเหมือนว่าเขาเองเป็นคนที่ก้าวเดินไป ครั้นจะหยุดเดินก็ไม่อาจทำได้ ทำได้เพียงรับรู้ความรู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนไหวประหนึ่งเป็นร่างกายของตนเอง ต่างกันแต่ว่าเขาไม่อาจบังคับร่างกายนี้ได้

ชายหนุ่มผู้ที่ขึ้นเรือนมาสวมเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวสีโศก นุ่งโจงกระเบนสีขาบ ทับด้วยผ้าคาดเอว ปล่อยชายผ้าไว้ด้านหน้า เมื่อขึ้นเรือนมาก็พบชายผู้สูงวัยกว่าดูน่าเกรงขาม นุ่งผ้าแบบลอยชาย ไม่สวมเสื้อ มีผ้าขาวม้าพาดไหล่นั่งรออยู่บนตั่งไม้นอกชานเรือน ชายหนุ่มยอบตัวลงนั่ง ก้มลงกราบ

“กระผมกราบท่านขอรับ” ชายหนุ่มว่า

“พ่อน่ะเอง ออแสงสิหนา ไหว้พระเถอะ มิต้องมากพิธีดอก วันนี้ได้เจอกันเสียทีหนา ฉันก็เป็นแค่ออทองดำ ชาวเกาะ มิต้องเรียกขานว่าท่านดอก เรียกพ่อลุงอย่างชาวบ้านเห็นจักควรกว่า”

“เป็นพระคุณขอรับ แต่ท่านเป็นนายบ้านบนเกาะนี้ กระผมจะเรียกขานเยี่ยงนั้นได้เยี่ยงไร”

“เอาเถิด ฉันมิถือดอก วันวานฉันต้องเอาธุระหลายเรื่องจึงมิได้ไปต้อนรับถึงหาด พ่อได้พักผ่อนพอหายเหนื่อยแล้วรึ”

“หายเหนื่อยแล้วขอรับ อากาศที่นี่น่าสบายยิ่งนัก”

“ฉันได้รับหนังสือที่คุณหลวงกรมวังท่านส่งมาฝากฝังพ่อแสงแล้ว ฉันดีใจนักที่จักได้นายช่างฝีมือดีมาช่วยงานตกแต่งวัดบนเกาะของเรา ฉันน่ะ หวังจักให้วัดนี้งามเลื่องลือไปทุกเกาะในทะเลแถบนี้เลยเทียว พ่ออย่าให้แพ้วัดบนเกาะใดในทะเลนี้หนา” เมื่อสนทนากันไปนายบ้านก็มีความเป็นกันเองกับผู้มาเยือนมากขึ้น

“กระผมจักทำสุดฝีมือเลยขอรับ”

“คุณหลวงท่านว่าพ่อแสงฝีมือดีนักทั้งงานปูนปั้นที่หลวงท่านโปรดแลงานปูนปั้นเมืองเพชรเลยเทียวรึ”

“แม่ของกระผมเป็นคนเมืองเพชร กระผมเองก็เกิดแลโตที่เมืองเพชรอยู่ถึงสิบสามปี จึงได้เรียนงานปูนปั้นจากครูช่างทางโน้น เมื่อไปอยู่พระนครกระผมก็ได้เรียนรู้งานการบูรณะวัดจากการติดตามคุณพ่อไปส่งกระเบื้องตามวัดน่ะขอรับ”

“พ่อของพ่อแสงเป็นเจ้าของโรงเผากระเบื้องที่หลวงท่านริเริ่มให้ทำรึ”

“มิได้ขอรับ พ่อของกระผมเป็นพ่อค้าสำเภาขอรับ จึงต้องนำกระเบื้องจากเมืองจีนไปส่งให้วัดตามที่หลวงท่านสั่ง”

“อ้อ บุตรชายเจ้าสัวหรือนี่ หากมิบอกก็มิรู้ ด้วยพ่อมิได้ไว้เปีย”

“พ่อของกระผมอยากให้เป็นอยู่ตามขนบของชาวสยามขอรับ แม้เรียกขานก็ให้เรียกว่าพ่อ แทนเรียกเตี่ยขอรับ”

“อ้อ เยี่ยงนี้เองรึ” ทองดำจะสนทนาต่อไปอีกก็พลันเหลือบไปเห็นเด็กชายผมจุกแอบอยู่ข้างประตูเรือนจึงร้องทักขึ้น

“อ้าว เจ้าพุด ไปยืนแอบทำกระไรกงนั้นเล่า เข้ามาๆ”

เด็กชายค่อยๆ เดินย่องเข้ามานั่งลง เยื้องไปทางเบื้องหลังของแสงเล็กน้อย

“เจ้ามายืนแอบดูกระไรรึ” ทองดำกล่าวถามเด็กชาย แม้เสียงจะเข้มแต่ก็เจือความเอ็นดู

“พุดอยากรู้ว่าคนพระนครหน้าตาเป็นเยี่ยงไร” เด็กชายตอบด้วยท่าทีเหนียมอาย

ทองดำหัวเราะลงคอแล้วว่า “เออ ดูเบามันมิได้นะเจ้าคนนี้…แลเห็นแล้วเป็นเยี่ยงไร ไหนว่ามาซิ”

“สวยขอรับ สวยกว่าพ่อลุงขอรับ”

“อุบ๊ะ ไอ้นี่” พ่อลุงตบเข่าฉาด แล้วหันไปกล่าวกับผู้ที่พุดชมว่าสวย “นี่น่ะเจ้าพุด ลูกบ่าวในเรือนนี้ มันรู้มากนัก”

“มิรู้มากดอกขอรับ พุดยังมิรู้กระไรตั้งมาก” เด็กชายว่า

“เออ ฟังมันว่า…” ทองดำชอบใจ

“แล้วเจ้าอยากรู้กระไรเกี่ยวกับพี่รึ” แสงถามเด็กชาย

“พ่อลุงบอกว่าคุณพี่จักมาปั้นรูปในวัด กระผมอยากรู้ว่าคุณพี่จักสอนให้กระผมปั้นได้บ้างหรือไม่ขอรับ”

“เจ้าชอบปั้นดินรึ”

“กระผมชอบช่วยคุณพี่เดือนปั้นข้าวหนมขอรับ”

“คุณพี่เดือน…” แสงทวนคำด้วยความสงสัย

“ลูกสาวฉันเอง เดี๋ยวก็คงจักยกข้าวหนมมารับรองพ่อดอก นั่น พูดถึงก็มา…”

แสงมองไปในทิศทางที่ทองดำบอก เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าทอพื้นเมืองแขนยาว ผ้าซิ่นกรอมเท้ายกถาดอาหารขึ้นมาบนเรือน แสงแดดส่องมาจากด้านข้างต้องใบหน้าหญิงสาวผู้นั้นทำให้ชายหนุ่มเห็นหน้าหล่อนไม่ชัด

 

“พี่อ้าย พี่อ้ายเป็นอะไรครับ”

เสียงเรียกของเด็กชายทำให้อานุภาพที่นอนหลับกระสับกระส่ายรู้สึกตัวตื่น เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ความที่หลับไปนานทำให้สายตาไม่ชินกับแสง เมื่อสายตาค่อยหายพร่าเลือนเขาก็เห็นหน้าเด็กชายที่ชะโงกมาใกล้ตรงหน้า

“พุด เจ้าพุดรึ” ชายหนุ่มรำพึงถาม

“พุดไหน ใครครับ นี่ชเลนะครับ”

อานุภาพค่อยๆ นึกลำดับเหตุการณ์จึงนึกขึ้นได้ว่าเขาอยู่ที่เรือนรับแขกบ้านคุณมัทนาบนเกาะเดือนดับ และเรื่องราวที่เขาไปที่เรือนไทยโบราณนั้นคงเป็นแค่ความฝัน เขามองหน้าเด็กชายแล้วอดคิดไม่ได้ว่าชเลช่างเหมือนกับเด็กชายผมจุกที่เขาพบในความฝันราวกับเป็นคนคนเดียวกัน ต่างกันตรงที่ไม่ได้ไว้ผมจุกเท่านั้น

“เหมือนกันมากเลย” อานุภาพเผลอรำพึงออกมา

“เหมือนกัน อะไรเหมือนกันครับ”

“เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอก แล้วพี่มานอนอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย”

“ก็พี่อ้ายจมน้ำ พ่อชเลเป็นคนช่วยพี่อ้ายไว้นะครับ”

คำพูดของชเลทำให้อานุภาพนึกได้ว่าเขาทะเลาะกับนวลดาราด้วยเรื่องที่เธอตั้งหน้าตั้งตาจงเกลียดจงชังเขา จนเขาเองทนไม่ได้ที่เธอแสดงท่าทีแบบนั้น ชายหนุ่มจำได้ว่าเขาขอออกจากเกาะทั้งที่เรือโดยสารหมดแล้ว และคุณมัทนาก็ให้คนเรือไปส่งเขา เขายังจำคำที่เธอสาปแช่งไล่หลังเขาได้ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นจริงตามนั้น

“แล้วพ่อของชเลอยู่ที่ไหนล่ะ พี่ยังไม่ได้ขอบคุณเลย”

“พ่อกำลังจะไปทำงานครับ พ่อทำงานที่โรงงานของพี่นวล”

อานุภาพจำเหตุการณ์ที่เรือล่มได้ดี ตอนที่เรือออกจากหาดหน้าเกาะท้องฟ้ายามโพล้เพล้ก็กระจ่างดี ไม่มีเมฆ ไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดพายุแต่อย่างใดเลย ต่อเมื่อออกจากเกาะมาได้ไม่ถึงสิบนาที ลมก็เริ่มพัดแรง ท้องฟ้ามีเมฆดำทะมึน ท้องทะเลปั่นป่วน เกิดเป็นวังน้ำวน คนขับเรือถึงกับออกปากว่าไม่เคยเห็นปรากฏการณ์อย่างนี้มาก่อนเลย น่าแปลกที่เมื่อคนขับเรือสูงวัยพยายามขับเรือหลบหลีกให้พ้นจากวังน้ำเชี่ยวกราก แต่ยิ่งพยายามเท่าไรก็เหมือนยิ่งเข้าใกล้วังน้ำเท่านั้น ในที่สุดเรือก็ตะแคงและตัวของอานุภาพก็พลัดตกจากเรือจมลงสู่ห้วงน้ำ

เสียงเคาะประตูทำให้อานุภาพตื่นจากภวังค์ความคิด นางชื่นก้าวเข้ามาอย่างนอบน้อม มาถึงนางก็ต่อว่าหลานชาย

“ย่าให้มาดูว่าคุณเขาตื่นหรือยัง หายมาตั้งนานเลย”

“ก็กำลังจะไปบอกเนี่ยแหละย่า”

“เออ กำลังจะไปนะ” ผู้เป็นย่าพูดยิ้มๆ อย่างเอ็นดูแล้วออกคำสั่งต่อไป “ไปบอกพี่ปิ่นว่าให้จัดข้าวขึ้นมาได้แล้ว”

“คร้าบ…” เด็กชายลากเสียงยาว แล้วลุกขึ้นวิ่งออกจากห้องไป

“คุณล้างหน้าล้างตา อาบน้ำเสียก่อนนะคะ เดี๋ยวอิฉันจะให้เด็กยกสำรับเช้ามาให้ค่ะ” นางชื่นบอก

“ไม่เป็นไรหรอกครับป้า เดี๋ยวผมลงไปข้างล่างดีกว่า จะได้ไม่ต้องลำบากครับ”

“เอาอย่างนั้นหรือคะ งั้นอิฉันจะจัดไว้ให้ที่ข้างล่าง”

“ไม่ต้องแยกสำรับนะครับป้า ป้ากินยังไงผมก็กินอย่างนั้นละครับ”

“ค่ะ…” นางชื่นรับคำ นางมองอานุภาพอย่างชื่นชมที่ชายหนุ่มไม่ถือตัว

 

เมื่อลงมาร่วมวงกินข้าวกับครอบครัวของนางชื่นที่ชั้นล่างของเรือนรับแขกอานุภาพจึงรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาเช้าแต่เป็นช่วงเวลาใกล้เที่ยง เขามีโอกาสได้คุยกับชลธีที่กลับมากินข้าวกลางวันที่บ้านและยังไม่ได้ออกไปทำงาน อานุภาพบอกขอบคุณที่ชลธีช่วยชีวิตเขาไว้ ชลธีกล่าวอย่างถ่อมตัวว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครพบเหตุการณ์อย่างเขาก็ต้องเข้าช่วยเหลือ

“ผมสงสัยว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนั้นได้ มันแปลกจริงๆ ปกติทะเลตรงนั้นไม่เคยมีวังน้ำวน แล้วคืนนั้นคลื่นลมก็สงบ ตาน้อมบอกว่าพอมาถึงจุดนั้นกระแสน้ำก็เกิดแปรปรวนขึ้นมาเสียเฉยๆ” ชลธีว่า

“หรือว่าจะเป็นอาถรรพ์คืนเดือนดับ” นางชื่นออกความเห็น

“ผีเหรอย่า” ชเลถามแล้ววิ่งเข้ามากอดผู้เป็นย่าทันที

“ผีเผอที่ไหนกัน เหลวไหล…ไปบอกให้พี่ปิ่นยกขนมมา ไป” ย่าบอก

“ชเลไม่กล้าไปหรอก กลัวผี”

“กลัวอะไร พ่อพาไป ไป ไปดูสิว่าผีมันอยู่ที่ไหน ถ้ามันออกมานะ พ่อจะเตะมันให้ตายเลย” ชลธีบอกลูกเสียงเข้ม

“แต่ผีมันตายแล้วนะพ่อ”

“ก็เตะให้มันตายอีกทีหนึ่งเลย” ผู้เป็นพ่อว่าแล้วหัวเราะ ลูกชายจึงหายกลัวและยอมให้พ่อจูงมือไปที่ห้องครัว

เมื่ออยู่กับนางชื่นตามลำพังอานุภาพจึงมีโอกาสได้ถามนางถึงเรื่องที่ค้างคาใจเขามาตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเกาะแห่งนี้

“อาถรรพ์คืนเดือนดับคืออะไรหรือครับป้า”

“คุณรู้จักคืนเดือนดับใช่ไหม”

“คืนแรมสิบห้าค่ำใช่ไหมครับ”

“ใช่ เกาะนี้น่ะมีชื่อว่าเกาะเดือนดับ ก็เพราะว่าคืนแรมสิบห้าค่ำเมื่อร้อยแปดสิบกว่าปีก่อนแม่หญิงงามคนหนึ่งของเกาะนี้ได้จบชีวิตลง”

“แม่หญิงเดือน…” อานุภาพตอบเหมือนรำพึง

“คุณรู้ได้ยังไง” นางชื่นถามด้วยความแปลกใจ

“ผมเดาเอาจากชื่อเกาะน่ะครับ” ชายหนุ่มตอบตรงข้ามกับความจริงในใจที่เขาแน่ใจว่าเรื่องทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับ ‘แม่หญิงเดือน’ ในความฝันของเขา

“แล้วที่ป้าเคยพูดกับชเลเรื่องที่ว่าคุณนวลไม่ควรเข้าไปใกล้ทะเลในคืนเดือนดับล่ะครับ” อานุภาพตัดสินใจถามทั้งที่รู้ว่าอาจจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไป “ขอโทษนะครับถ้าผมถามอะไรที่ไม่ควร” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่านางชื่นไม่ได้ตอบในทันที

“ไม่มีความลับอะไรหรอกค่ะคุณ คุณนวลน่ะชอบทะเลมาตั้งแต่เล็กๆ แต่ถ้าแกไปใกล้ทะเลในคืนเดือนดับละก็ เป็นต้องเกิดอุบัติเหตุทุกทีไป ต้องคอยระวังกันอยู่ตลอด โดยเฉพาะคืนเดือนดับในเดือนนี้ที่เป็นเดือนเกิดของคุณนวลก็มักจะเกิดเรื่องร้ายแรง เป็นบุญของคุณนวลที่คุณมาช่วยไว้ทัน”

อานุภาพนึกอยากจะถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ แต่ก็ยั้งปากไว้ได้ทันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติที่ไม่มีผู้ใดหาคำตอบได้ การสนทนาจึงจบลงเพียงเท่านี้

 

หลังมื้ออาหารคุณมัทนาก็มาเยี่ยมอานุภาพถึงเรือนรับแขก เธออยากให้อานุภาพไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ชายหนุ่มรับปากว่าเมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ แล้วเขาจะไปตรวจร่างกายอย่างละเอียด  คุณมัทนาปล่อยให้อานุภาพพักผ่อนตามสบายจนถึงช่วงบ่ายเกือบเย็นเธอจึงให้เด็กมาตามเขาไปพบที่บ้านเรือนหลังใหญ่ เด็กชายชเลซึ่งกลายเป็นผู้ติดตามอานุภาพไปทุกหนทุกแห่งตามไปด้วยอย่างเคย

เมื่อไปถึงอานุภาพก็พบว่าคุณมัทนากำลังมีแขก เขาจะหลบลงจากเรือนก็ถูกเจ้าของบ้านเรียกไว้ ส่วนเด็กชายผู้ติดตามทักทายแขกที่นั่งอยู่ก่อนอย่างตื่นเต้นดีใจ

“คุณทัต…” เมื่อเดินไปใกล้ก็ยกมือไหว้ ก้มศีรษะอย่างเรียบร้อย “สวัสดีครับ”

“สวัสดีชเล…ดีจังที่เจอพอดี คุณทัตมีของเล่นใหม่มาให้ชเลด้วยนะ”

อานุภาพเดินไปสวัสดีคุณมัทนา เธอจึงแนะนำเขาให้รู้จักกับชายหนุ่มที่นั่งคุยอยู่ก่อน

“คุณอานุภาพนี่ทัตพลแฟนของยายนวลเขา”

อานุภาพรู้สึกใจหายขึ้นมาเฉยๆ อย่างไม่มีสาเหตุ เขาเอ่ยทักทายกับทัตพลตามมารยาท อดรู้สึกไม่ได้ว่าไม่ค่อยชอบหน้าผู้ชายคนนี้ เขาไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าว่าทัตพลก็ดูเหมือนจะไม่ถูกชะตากับเขาเช่นกันแม้ว่าอีกฝ่ายจะยิ้มแย้มพูดคุยด้วยดีก็ตาม

“คุณยายตกลงอนุญาตให้ผมมาทำสกูฟข่าวเรื่องเซรามิกของโรงงานใช่ไหมครับ” ทัตพลถามคุณมัทนา

“ก็แล้วแต่ยายนวลเขาสิ ถ้าเขาตกลงยายก็ไม่ขัดข้องหรอก เดี๋ยวเขาจะมาว่ายายก้าวก่ายงานของเขา” คุณมัทนาพูดเหมือนงอนหลานสาว

“แหม นวลเขาไม่ว่าคุณยายหรอกครับ คุณยายก็คิดมากไป” ทัตพลบอก

“คุณทัต ไหนล่ะครับของฝาก” เด็กชายชเลทวงถาม

“ใจเย็นๆ สิ…นี่ไง ชอบไหม” ทัตพลหยิบกล่องตัวต่อของเล่นออกจากถุงกระดาษข้างๆ ตัวส่งให้เด็กชาย

“โอ้โห เลโก้เต่านินจา” เด็กชายร้องอย่างตื่นเต้นเมื่อเปิดถุงกระดาษแล้วเห็นว่าของข้างในคืออะไร

“ชอบไหมล่ะ” ทัตพลถาม

“ชอบสิครับ ชเลชอบเต่า”

“คุณทัตก็ชอบเต่าเหมือนกันเลย แกะออกมาต่อเลยก็ได้”

เมื่อได้รับอนุญาตเด็กชายก็เทถุงตัวต่อออกจากกล่อง แกะถุงแล้วเริ่มต่อตัวต่อพลาสติกตามแบบทันที เมื่อต่อไม่ถูกเขาก็หันไปถามทัตพล ชายหนุ่มคนนั้นก็ช่วยอธิบายวิธีต่อให้อย่างเป็นกันเอง อานุภาพไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงไม่ชอบใจภาพที่เห็นตรงหน้า

“คุณยายบอกว่าคุณเป็นช่างฝีมือดีที่คุณยายจะให้มาบูรณะวัดบนเกาะ” ทัตพลหันมาคุยกับอานุภาพ

“ครับ แต่ผมคงไม่ได้ทำแล้ว”

“อ้าว…” ทัตพลว่า

“คุณจะไม่ทำได้ยังไง ยังไงยายก็ตกลงให้คุณทำเหมือนเดิมนั่นละ” คุณมัทนากล่าวด้วยเสียงเด็ดขาดตามบุคลิกของเธอ

“แต่ว่า…คุณนวลดารา…”

“อย่าไปสนใจแม่คนนั้นเลย สิทธิ์ขาดน่ะอยู่ที่ยาย ยายขอโทษด้วยเรื่องวันนั้นนะคุณ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณยาย ผมแค่ไม่สบายใจที่ทำให้คุณยายกับคุณนวลขัดแย้งกัน”

“น้องนวลรักคุณยายจะตาย โกรธกันไม่นานหรอกคุณ ใช่ไหมครับคุณยาย” ทัตพลพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี

คุณมัทนายิ้มรับแล้วหันมาบอกกับอานุภาพ “นอกจากยายจะให้คุณบูรณะงานปั้นต่างๆ ในวัดแล้ว ยายอยากจะขอให้บริษัทของคุณมาดูแลเรื่องตกแต่งสวนและภูมิทัศน์โดยรอบพิพิธภัณฑ์ คุณจะตกลงไหม”

อานุภาพกำลังจะเอ่ยปากตอบ แต่ทัตพลเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“คุณยายยังจะทำพิพิธภัณฑ์อีกหรือครับ ผมนึกว่าพับโครงการไปแล้ว”

“ยายต้องทำตามที่สัญญากับคุณตาของนวลเขาไว้”

“แต่ผมว่ามันจะได้ไม่คุ้มเสียนะครับ ใครเขาจะมาเที่ยวดูเครื่องปั้น”

“ผมชอบเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์นะครับ ถ้าเราทำดีๆ พิพิธภัณฑ์ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมได้ครับ” อานุภาพออกความเห็น

“ก็แล้วแต่คุณยายเถอะครับ ผมแค่เป็นห่วงว่ามันจะขาดทุน” ทัตพลพูดแล้วลงไปนั่งเล่นของเล่นกับชเล น่าแปลกที่ทัตพลพูดเรียบๆ แต่อานุภาพกลับรู้สึกขัดใจมากกว่าที่ควรจะเป็น

“คุณนิวัติ สามียายเป็นคนค้นพบว่าดินที่เรามีบนเกาะนี้เป็นดินที่ปั้นเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่วิเศษได้ เขาเป็นคนก่อตั้งโรงงาน เป็นต้นคิดที่จะทำพิพิธภัณฑ์เผยแพร่ความรู้เรื่องการทำงานเซรามิกแล้วจะได้อวดเซรามิกของเราว่าสวยแปลกกว่าที่อื่น เขามุ่งมั่นมาก เริ่มเตรียมการว่าจะทำอะไรต่ออะไร แต่ก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเสียก่อน อย่างนี้แล้วยายจะไม่สานต่อความฝันของเขาได้ยังไง” คุณมัทนาอธิบายให้อานุภาพฟัง

“ผมเข้าใจครับ” อานุภาพบอกไปใจก็คิดถึงพ่อแม่ที่จากไปอย่างกะทันหัน เขาเองไม่มีโอกาสได้รู้ว่าพ่อแม่มีความฝันอะไรที่อยากให้เขาสานต่อ ถ้าหากเขารู้และมีโอกาสทำได้ เขาก็อยากทำเพื่อพวกท่าน ความปรารถนานี้คงไม่ต่างจากที่คุณมัทนามีต่อสามีของเธอ

“คุณเข้าใจยายก็ดีใจ ยายกำลังให้เด็กเอาแบบร่างที่สถาปนิกเขาออกแบบพิพิธภัณฑ์มาให้ คุณจะได้ไปคิดออกแบบสวนโดยรอบให้เหมาะกัน คุณเอาสัญญาไปอ่านดูก่อนได้นะ คุณจะตกลงหรือไม่ก็ได้” คุณมัทนาบอกแล้วส่งร่างสัญญาจ้างตกแต่งสวนให้อานุภาพ

แล้วเธอก็หันไปหยิบสัญญาอีกฉบับหนึ่งให้เขาแล้วพูดต่อไป “ส่วนนี่สัญญาบูรณะซ่อมแซมงานปั้นในวัดที่คุณยังไม่ได้เซ็นเมื่อคราวก่อน เซ็นเสียให้เรียบร้อย”

อานุภาพก้มลงเซ็นสัญญาแล้วก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินขึ้นเรือนมา ชายหนุ่มคิดว่านวลดาราอาจมาขัดจังหวะอีก แต่เสียงที่ชเลร้องทักผู้มาใหม่ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าเขาคิดผิด

ชลธีเอาแบบร่างของพิพิธภัณฑ์มาให้อานุภาพตามคำสั่งของคุณมัทนา เขามองดูลูกชายเล่นสนุกอยู่กับทัตพลอย่างไม่พอใจนัก ดูอยู่เพียงครู่เขาก็บอกกับลูกชายว่า “ชเล กลับบ้านได้แล้ว จะเย็นแล้วนะ”

“ชเลยังไม่กลับ จะเล่นของเล่นก่อน” เด็กชายว่า

“พ่อบอกให้กลับก็กลับได้แล้ว” ชลธีบอกเสียงเข้ม

“ก็ชเลยังไม่อยากกลับนี่ ยังไม่มืดเลย” เด็กชายทำเสียงงอแง

“นายชล นายจะไปบังคับลูกทำไมนะ ปล่อยให้เด็กเล่นสนุกบ้างสิ เดี๋ยวฉันเดินไปส่งก็ได้ บ้านก็อยู่แค่นี้เอง” ทัตพลว่า

“นั่นสิชล” คุณมัทนาเสริม

ชลธีมองหน้าทัตพลเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขากลับเดินกลับไปเงียบๆ ชลธีเดินมาถึงประตูเรือนก็เจอกับนวลดารา

“อ้าว พี่ชลมาอยู่นี่เอง นวลเพิ่งกลับมาไปหาที่โรงงานก็ไม่เจอ มาอยู่นี่เอง”

เสียงคุยของนวลดาราทำให้อานุภาพลุกขึ้นยืนและหันไปมองเพราะเขาเองก็อยากจะเคลียร์ใจกับเธอในเรื่องที่ขัดแย้งและค้างคาใจกันอยู่

ภาพที่หันไปเห็นทำให้อานุภาพชะงักงัน

เขาเห็นภาพนางในฝันที่สวมเสื้อผ้าพื้นเมืองและนุ่งผ้าซิ่นกรอมเท้าทาบทับอยู่บนตัวของนวลดารา ในฝันเขาไม่เห็นหน้าของหญิงผู้นั้น แต่บัดนี้ไม่มีแสงแดดบดบังใบหน้าเธอ เขาเห็นแล้วว่านางในฝันคนนั้นคือนวลดารา พลันความคิดของเขาก็แล่นกลับไปที่หาดทรายในวันที่เขามาที่นี่ ตอนนั้นเขารู้สึกเพียงว่าเขาต้องเคยเจอเธอมาก่อนเพียงแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหน แต่ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าเธอคือผู้หญิงที่เขารักและรอคอยมาตลอดชีวิต ฉับพลันที่ความรู้สึกนั้นบังเกิดอานุภาพก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมา และรู้สึกราวกับว่ามีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงทั่วสรรพางค์กาย

“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ” คุณมัทนาถามเมื่อเห็นอานุภาพซวนเซ

ชายหนุ่มหายใจให้ลึกขึ้น พยายามอดทนต่ออาการเจ็บปวดที่เกิดขึ้น “ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบ ทันใดใจก็คิดไปถึงคำเตือนของผู้เป็นอาที่บอกว่า ‘จะได้พบคนที่ผูกพันกันมายาวนาน และจะก่อให้เกิดความทรมานไม่รู้จักจบสิ้น’

ตอนนี้อานุภาพแน่ใจแล้วว่าคำทำนายของอาเป็นความจริง และผู้หญิงคนนั้นก็คือนวลดารา



Don`t copy text!