สาปแสงรัก บทที่ 2 : แรกรัก แรกเกลียด

สาปแสงรัก บทที่ 2 : แรกรัก แรกเกลียด

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

สาปแสงรัก โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องรักของผู้ชายธรรมดาที่ต้องคำสาปที่ว่า เมื่อพบรักแท้จะพบแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น “อานุภาพ” ชายที่ไม่มีพลังอำนาจเหมือนชื่อของเขาเลย แถมยังไม่มีของวิเศษ เวทย์มนตร์คาถา แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแรงอาฆาตพยาบาทที่สาปส่งข้ามภพข้ามชาติได้ ติดตามเอาใจช่วยเขาได้ในอ่านเอา anowl.co

อานุภาพยิ่งมองตาหญิงสาวที่เขาลงไปช่วยขึ้นมาจากทะเลก็ยิ่งรู้สึกว่าเคยเจอเธอมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหนเมื่อไหร่ ชายหนุ่มคงจ้องตาหญิงสาวนานเกินไป เธอจึงอึดอัดจนผลักเขาออกห่างอย่างแรง

“นี่คุณ…” อานุภาพเดินตามไปไม่ใช่เพื่อจะถามว่าเธอผลักเขาทำไม แต่เพราะอยากทำความรู้จักกับเธอให้มากกว่านี้ แต่หญิงสาวไม่สนใจ เธอเดินมุ่งขึ้นจากหาด

“พี่ตัวเปียกหมดเลย กระเป๋าก็เปียกด้วย ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านดีกว่า ได้ไหมครับพี่นวล” เด็กชายหันไปถามหญิงสาวที่เดินห่างไปแล้ว

“ได้สิ นั่นบ้านชเล ไม่ใช่บ้านพี่” หญิงสาวตอบกลับมาดังๆ แล้วเดินขึ้นหาดไป

“ทำไมต้องโกรธด้วยนะ ไม่เห็นเข้าใจเลย” เด็กชายเกาหัวแกรกๆ พลางจูงมืออานุภาพให้ไปกับเขา

 

บ้านของเด็กชายชเลอยู่ห่างจากชายหาดพอสมควร เป็นบ้านไม้สีขาวสองชั้นหลังไม่ใหญ่โต ไม่มีรั้วรอบขอบชิด ออกแบบตกแต่งแบบบ้านพักตากอากาศริมทะเล ผนังบ้านเป็นไม้ตีซ้อนเกล็ด ชั้นล่างทางซ้ายสุดแบ่งเป็นห้องพักสองห้อง ถัดจากห้องพักมีประตูมุ้งลวด หากมองเข้าไปก็จะเห็นว่าเป็นห้องนั่งเล่นดูโทรทัศน์ ส่วนถัดไปเป็นผนังทึบยาว ตอนท้ายมีหน้าต่างกระจกสองบานคู่กันเว้นระยะห่างอย่างเหมาะเจาะ มองเข้าไปก็รู้ว่าเป็นห้องครัว ชั้นสองมีห้องพักสองห้องแต่ละห้องมีประตูกระจกเปิดออกมายังระเบียงที่ใช้ร่วมกันได้ ระเบียงนี้เห็นโดดเด่นเมื่อมองมาจากหน้าบ้าน

“นี่บ้านชเลครับ…” เด็กชายบอกเสียงเจื้อยแจ้วเมื่อพาอานุภาพมาถึงหน้าบ้าน

“บ้านสวยจังเลยครับ” ชายหนุ่มว่า

“ก็เป็นบ้านรับแขก ก็ต้องสวยสิครับ”

“บ้านรับแขกเหรอ”

“ครับ บ้านนี้เป็นบ้านรับแขก ส่วนเรือนใหญ่อยู่โน่น” เด็กชายชี้ไปที่บ้านไทยที่อยู่ใกล้กัน อานุภาพมองตามไป เขานึกรู้ว่าบ้านนั้นคงเป็นบ้านของผู้หญิงคนที่เด็กชายเรียกว่าพี่นวลเพราะพอขึ้นจากหาด เขาก็เห็นเธอเดินจ้ำอ้าวไปที่นั่น

“คุณยายให้เราอยู่ชั้นล่างของบ้านนี้ครับ” เด็กชายเล่าต่อไปอีก

“ชเลพาใครมาน่ะ” หญิงสูงวัยเกล้าผมมวยที่อานุภาพคาดคะเนว่าน่าจะอายุมากกว่าหกสิบปีเปิดประตูออกมาดู แล้วเดินเร็วๆ มาหา

“พี่นวลเดินลงทะเล เกือบจมน้ำแล้ว พี่คนนี้เขาช่วยไว้ ชเลเลยพาเขามาเปลี่ยนเสื้อผ้า” เด็กชายเล่าเป็นฉากๆ

“ตายจริง…” หญิงสูงวัยอุทาน ตกอกตกใจ

“ยังไม่ตายสักหน่อยย่า” เด็กชายว่า

“เดี๋ยวเถอะนะเรา…ตายแล้ว ลืมไป เลยให้คุณยืนอยู่นี่ละ” ย่าของเด็กชายหันมาบอกอานุภาพ “เชิญขึ้นไปห้องชั้นบนเลยค่ะ…ชเลไปเอากุญแจมาไขห้องให้คุณเขา แล้วลงมาหาย่า จะได้เอาเสื้อผ้าให้คุณเขาเปลี่ยน”

เด็กชายรับคำสั่งแล้ววิ่งหายไป อานุภาพจึงขึ้นบันไดไปชั้นบนตามคำเชิญ

 

เด็กชายไขประตูเปิดห้องตามคำสั่งของย่า แล้ววิ่งกลับลงไปชั้นล่าง ทันทีที่อานุภาพก้าวเข้าใปในห้องเขาก็เกิดความรู้สึกเหมือนเมื่อครั้งที่เดินบนถนนเลียบชายหาด รู้สึกเหมือนเคยอยู่ที่นี่ เป็นคนของที่นี่

ห้องนี้กว้างขวางดี มีห้องน้ำในตัว ทั้งห้องตกแต่งด้วยเครื่องเรือนไม้ ทั้งเตียง โต๊ะ ตู้ มีลวดลายไปในทางเดียวกัน อานุภาพเดินดูเครื่องเรือนในห้องแล้วชอบใจ เขาดูออกว่าเกือบทั้งหมดเป็นของใหม่ที่ทำเลียนแบบเครื่องเรือนโบราณ มีแต่เตียงนอนหลังใหญ่เตียงเดียวในห้องเท่านั้นที่น่าจะเป็นของเก่าจริง อานุภาพคะเนว่าเตียงนี้น่าจะมีอายุมากกว่าหนึ่งร้อยปี ด้วยเพราะงานที่เขาทำนั้นทำให้ต้องศึกษาหาความรู้เรื่องศิลปวัตถุโบราณไว้บ้าง ถึงแม้จะรู้ว่าเครื่องเรือนส่วนใหญ่ในห้องนี้เป็นของที่ทำเลียนแบบขึ้นในยุคหลัง แต่ชายหนุ่มก็ต้องยอมรับว่าเครื่องเรือนทุกชิ้นประณีตสวยงาม

ครู่หนึ่งเด็กชายคนเดิมก็กลับมาพร้อมเสื้อผ้าใหม่ เมื่อวางเสื้อผ้าป่านและกางเกงขายาวที่พับซ้อนกันเรียบร้อยลงบนเตียง เด็กชายก็บอกว่า “เสื้อของพ่อครับ ชเลเอากางเกงในกับเสื้อกล้ามมาให้ด้วย” น้ำเสียงบอกให้รู้ว่าเด็กชายภาคภูมิใจที่ทำงานได้ครบถ้วน

“เก่งจังเลย…ขอบคุณนะครับ” อานุภาพเอ่ยชมแล้วบอกต่อไปว่า “รอพี่เปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนะครับ เดี๋ยวขอคุยด้วยหน่อย”

“ได้ครับ” เด็กชายรับคำเสียงใส

 

เมื่ออานุภาพออกมาจากห้องน้ำก็เห็นเด็กชายนั่งมองตาแป๋วรอเขาอยู่บนพื้นหน้าเตียง เขาจึงนั่งลงข้างๆ

“คุณนั่งบนเตียงสิครับ” เด็กชายรีบบอก

“นั่งตรงนี้ด้วยกันก็ได้ แล้วไม่ต้องเรียกคุณหรอก เมื่อกี้ยังเรียกพี่ว่าพี่อยู่เลย”

“ย่าบอกให้เรียกว่าคุณ เพราะคุณเป็นแขก”

“พี่เป็นคนไทย ไม่ได้เป็นแขก”

“ไม่ใช่แขกแบบนั้น…” เด็กชายลงท้ายประโยคเสียงสูงจนชายหนุ่มหัวเราะ

“พี่ชื่ออานุภาพ เรียกพี่อ้ายก็ได้” เด็กชายรับคำ ชายหนุ่มจึงถามต่อไป “ชเลอายุเท่าไหร่แล้ว”

“หกขวบครับ”

“แล้วบ้านนี้มีใครชื่ออะไรกันบ้าง” ชายหนุ่มเริ่มหาข้อมูลเพื่อเชื่อมโยงถึงผู้หญิงคนนั้น

“ก็มีชเล พ่อชลธี ย่าชื่น แล้วก็พี่ปิ่นกับพี่ปอนคนช่วยย่าทำงานบ้านอีกสองคนครับ”

“แล้วพี่นวลไม่ใช่พี่สาวของชเลเหรอ”

“ไม่ใช่ครับ พี่นวลเป็นหลานสาวคุณยาย แล้วคุณยายก็เป็นเจ้าของเรือนใหญ่แล้วก็เรือนรับแขกนี่ด้วย ย่าเป็นแม่บ้านของคุณยาย คุณยายก็เลยให้พวกเราอยู่ชั้นล่างของเรือนนี้ พ่อก็ทำงานที่โรงงานของพี่นวลด้วยครับ…แล้วพี่มาทำอะไรที่เกาะนี้เหรอครับ” เด็กชายเริ่มรู้สึกสนิทสนมจึงกล้าถาม

“พี่จะมาติดต่องาน…” อานุภาพพูดแล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขานึกถึงคำว่า เรือนรับแขก ที่เด็กชายพูดเมื่อครู่แล้วเอะใจขึ้นมา

“ครับชเล คุณยายเจ้าของบ้านชื่ออะไรนะครับ”

“ชื่อคุณยายมัทนาครับ”

อานุภาพอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตไม่มีเรื่องบังเอิญ ทั้งที่เขาตั้งใจว่าจะมาคุยธุระกับคุณมัทนาในวันพรุ่งนี้ แต่โชคชะตากลับพาเขามาที่นี่ในวันนี้เลย

“งั้นพี่ก็มาคุยธุระกับคุณยายครับ” อานุภาพบอกกับเด็กชาย

 

เมื่อเด็กชายชเลรู้จุดมุ่งหมายของอานุภาพเขาก็รีบไปบอกผู้เป็นย่าทันที เมื่อนางชื่นรู้เรื่องก็ไปรายงานเรื่องนี้กับคุณมัทนา แล้วค่ำวันนั้นอานุภาพก็ได้รับเชิญให้ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกับคุณมัทนาที่เรือนหลังใหญ่

เด็กชายแสดงความเป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วยการพาแขกของเขาไปที่เรือนไทยหลังใหญ่ ระยะทางระหว่างเรือนสองหลังไม่ไกลกันนัก ถึงอย่างนั้นอานุภาพก็ยังหาข้อมูลไปเรื่อยๆ

“ทำไมพี่นวลของชเลดุจังเลย”

“ไม่ดุนะครับ พี่นวลใจดี แต่วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร สงสัยเพราะคืนนี้เป็นคืนเดือนดับ”

“คืนเดือนดับเหรอ” ชายหนุ่มทวนคำด้วยความสงสัย

เด็กชายยังไม่ทันจะตอบ ย่าของเขาก็ลงจากเรือนมาเชื้อเชิญให้อานุภาพตามขึ้นไปบนเรือนใหญ่ การสนทนาของเขากับเด็กชายจึงหยุดลงเท่านี้

 

หลังจากเจ้าของบ้านและผู้มาเยือนทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว คุณมัทนาก็เชิญให้อานุภาพนั่งคุยกันที่มุมรับแขกขณะที่นางชื่นดูแลให้เด็กลูกมือจัดโต๊ะอาหาร แม้จะพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยคอานุภาพก็รู้สึกประทับใจในอัธยาศัยเป็นกันเองของคุณมัทนา ที่ผ่านมาอานุภาพติดต่องานผ่านทางอีเมล สำนวนภาษาที่คุณมัทนาใช้ค่อนข้างเป็นทางการ แต่เมื่อเจอกันเธอกลับให้ความเป็นกันเองกับเขามาก คุณมัทนาเป็นผู้สูงอายุที่ยังกระฉับกระเฉง เมื่อคุยกันคุณมัทนาบอกว่าเธออายุเจ็ดสิบห้าปี แต่เธอยังสดใสดูอ่อนกว่าวัยเป็นสิบปี เสียงของเธอก้องกังวาน มั่นคง อย่างคนที่มั่นใจในอำนาจและความสามารถของตนเอง แต่ในน้ำเสียงนั้นก็แฝงไปด้วยความเมตตา ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าผู้หญิงคนนี้มีทั้งพระเดชและพระคุณในตนเอง

“ชื่นบอกว่าคุณช่วยชีวิตหลานสาวฉันเอาไว้ ขอบคุณมากนะคะ” คุณมัทนากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมีเมตตา

“ครับ ผมบังเอิญผ่านไปพอดี”

“นับเป็นโชคดีของหลานสาวฉัน…ไหนๆ คุณก็มาถึงที่นี่แล้ว หลังมื้ออาหาร เราคุยกันเลยท่าจะสะดวกดีนะ คุณว่ายังไง”

“ได้ครับ ผมพร้อมทุกเมื่อ” อานุภาพตอบไปแล้วก็นึกดีใจที่เขาเอาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กและเอกสารสำคัญใส่ในกระเป๋ากันน้ำก่อนที่จะใส่ลงในเป้สะพายหลังรวมกับเสื้อผ้า อุปกรณ์การทำงานและเอกสารสำคัญภายในจึงปลอดภัยแม้ว่าเขาจะลงไปช่วยหลานสาวของคุณมัทนาในทะเล

คุณมัทนากำลังจะเชิญอานุภาพไปที่โต๊ะอาหาร แต่เหลือบไปเห็นเด็กชายยืนหลบอยู่ที่ข้างประตูห้องโถงจึงร้องเรียก

“อ้าวเจ้าชเล ไปยืนแอบอยู่ตรงนั้นทำไม มานี่มา”

เด็กชายเดินมาหาคุณมัทนา สีหน้าไม่สดชื่นนัก

“ไปยืนหลบอยู่ตรงนั้นทำไม ทำไมไม่เข้ามานั่งให้เรียบร้อย” คุณมัทนาถาม

“ชเลกลัวคุณยายดุ”

“ยายจะดุเราเรื่องอะไร”

“ก็ย่าบอกว่าคุณยายไม่ให้พี่นวลไปใกล้ทะเลในวันที่เป็นคืนเดือนดับ แต่ชเลชวนพี่นวลไปเล่นที่นั่น” เด็กชายตอบเสียงอ่อย

“เรารู้ แล้วทำไมยังชวนพี่เขาไป” คุณยายทำเสียงดุ

“ก็ชเลอยากไปลองเล่นว่าวที่คุณทัตให้” เด็กชายพูดเสียงเครือ

คุณมัทนาทอดสายตามองเด็กชายแล้วอมยิ้ม เธอเดินเข้าไปหา ดึงตัวเด็กชายมากอดแล้วถาม “ตอนที่พี่นวลเดินลงไปในทะเล ชเลตกใจไหม”

“ตกใจสิครับคุณยาย” เด็กชายพูดแล้วน้ำตาก็ไหล

“ทีนี้รู้หรือยัง ว่าขัดคำสั่งผู้ใหญ่แล้วมันเป็นยังไง”

“รู้แล้วครับ”

“ถ้ารู้แล้วยายก็จะไม่ทำโทษ ไม่ต้องร้องไห้ เป็นลูกผู้ชายต้องอดทนรู้ไหม…ไป ไปให้ย่าหาข้าวให้กินนะไป”

เด็กชายเดินเช็ดน้ำตาไปหานางชื่นแล้วนางก็พาหลานชายลงจากเรือนไปเหลือแต่เด็กรับใช้คอยดูแลอยู่ คุณมัทนาเดินนำอานุภาพมาที่โต๊ะอาหารที่มีพร้อมพรั่งทั้งเมนูกุ้งหอยปูปลา ข้าวสวยเต็มโถ พร้อมด้วยสลัดผักชามโต

“มาเกาะก็ต้องได้กินอาหารทะเลนะ” เจ้าของบ้านบอก

“น่ากินมากเลยครับ คุณมัทนาอยู่ที่นี่ กินแบบนี้บ่อยๆ คงจะเบื่อแย่นะครับ”

“ฉันต้องระวังไขมันในเลือด ไม่ได้กินทุกวันหรอก นี่ครั้งแรกในรอบสองสามเดือนเห็นจะได้ เชิญเลยคุณ ตามสบายเลยนะ”

“ขอบคุณครับ…แล้วคุณนวล…”

“หลานสาวฉันไม่กลับมากินมื้อเย็นหรอก เขามักจะกินกับคนงานที่โรงงานเซรามิกน่ะ…คุณทราบไหมว่าที่เกาะนี้มีดินพิเศษที่เมื่อเอามาทำเป็นเซรามิกแล้วจะมีสีเฉพาะตัวแตกต่างจากดินที่อื่น”

“พอทราบบ้างครับ แต่ยังไม่เคยได้เห็นของจริง”

“แล้วคงมีโอกาสได้ไปดูนะ” คุณมัทนาทอดเสียงบอกอย่างเมตตาแล้วพยักหน้าให้เด็กรับใช้ตักข้าวให้แขก

 

ก่อนมาที่นี่อานุภาพเข้าใจว่าเมื่อคุยกันเบื้องต้นแล้วคุณมัทนาจะต้องไปปรึกษากับทางวัดว่าจะตกลงจ้างเขาหรือไม่ แต่เมื่อมาคุยกันคุณมัทนาก็บอกว่าท่านเจ้าอาวาสวัดขอให้เธอเป็นแม่งานบูรณะประติมากรรมในวัดโดยให้เธอมีอำนาจตัดสินใจเลือกช่างที่จะมาทำงานตามที่เห็นสมควร หลังจากคุยรายละเอียดทั้งหมดแล้วคุณมัทนาก็บอกกับชายหนุ่มว่า “ฉันตกลงจ้างคุณมาทำงานนี้นะ”

“คุณมัทนาจะไม่ลองให้ผมปั้นให้ดูก่อนค่อยตัดสินใจหรือครับ”

“คงไม่ต้องหรอก ฉันเองก็พอจะรู้จักชื่อเสียงของคุณอยู่ แล้วตัวอย่างงานที่คุณส่งมาให้ดู ฉันก็พอใจมาก แล้วคุณก็คงจะไม่ได้ปลอมตัวมาหรอกใช่ไหม” หญิงสูงวัยยิ้มเมื่อพูดจบทำให้ชายหนุ่มยิ้มตามไปด้วย

“ครับ ผมนายอานุภาพ ไทยธารีย์ ตัวจริงครับ เรียกผมว่าอ้ายก็ได้ครับคุณยาย ผมขออนุญาตเรียกคุณยายนะครับ”

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ เรียกตามเจ้าชเลนั่นแหละเหมาะแล้ว”

“ขอบพระคุณครับ” อานุภาพยกมือไหว้

“ยายเตรียมสัญญาไว้ให้แล้ว ไม่ใช่ว่ายายกลัวคุณจะทิ้งงานหรอก แต่อยากจะทำไว้เป็นลายลักษณ์อักษรจะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง”

“ผมเข้าใจครับคุณยาย”

อานุภาพรับเอกสารมาอ่าน ค่าตอบแทนที่ระบุในสัญญาอยู่ในระดับที่ดีกว่าที่เขาคาดไว้เล็กน้อย ส่วนระยะเวลาทำงานหกเดือนก็นับว่าเพียงพอ

“ผมไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ สัญญาของคุณยายยุติธรรมดีมากครับ” ชายหนุ่มบอกแล้วจรดปากกาลงบนสัญญา

“ยายจะตกลงเรื่องนี้โดยไม่ปรึกษานวลเลยเหรอคะ” เสียงหญิงสาวดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้อานุภาพชะงักมือ

“ยายคิดว่านวลรู้อยู่แล้วนะ ว่ายายมีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้”

“แต่นวลก็ควรจะรู้บ้างว่ายายจะจ้างใครที่ไหน เงื่อนไขเป็นยังไง”

“นวล…” คุณมัทนาปรามหลานสาว อานุภาพคิดว่าเธอคงอายที่หลานสาวทำแบบนี้ต่อหน้าเขา

“คุณจะอ่านสัญญาก่อนก็ได้นะครับ” อานุภาพส่งเอกสารสัญญาให้หญิงสาวอ่าน

หญิงสาวอ่านเอกสารอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันมาถามอานุภาพ

“คุณคือ นายอานุภาพ ไทยธารีย์ งั้นเหรอ”

“ใช่ครับ”

“งั้นคุณก็เป็นว่าที่เจ้าบ่าวของแพม ที่ยกเลิกการแต่งงาน”

“ใช่ครับ แต่นั่นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม ไม่เกี่ยวอะไรกับงาน”

“เกี่ยวสิ ชีวิตครอบครัวคุณยังรับผิดชอบไม่ได้เลย แล้วฉันจะเชื่อใจได้ยังไงว่าคุณจะรับผิดชอบงานให้ตลอดรอดฝั่งได้”

“ผมว่าคุณกำลังหาเรื่องผมนะ”

“ขนาดคนที่รักกันมาเป็นสิบปีคุณยังยกเลิกการแต่งงานให้เธอขายหน้าได้ ฉันไม่ไว้ใจให้คุณทำงานนี้”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะนวลดารา นี่เราเห็นยายเป็นหัวหลักหัวตอหรือยังไง แล้วเรื่องที่เราพูดมันก็เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณอานุภาพเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับงานเลย” คุณมัทนาอดรนทนไม่ไหวต้องดุหลานสาว

“นวลไม่ชอบนายคนนี้ คนอย่างนี้ไม่มีทางซื่อสัตย์กับเราหรอกค่ะ”

“นี่คุณ…” อานุภาพนึกอยากจะต่อว่าผู้หญิงคนนี้ด้วยคำพูดที่เจ็บแสบให้สมกับที่หญิงสาวประณามหยามเหยียดเขาแต่ก็เกรงใจคุณมัทนา ทันใดนั้นเขาก็ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่หญิงสาวผลักเขาที่ชายหาดเมื่อตอนเย็น เขาจึงพูดออกไปว่า “คุณจงเกลียดจงชังอะไรผมนักหนา”

“ฉันไม่ชอบหน้าคุณ ฉันไม่ไว้ใจคุณ ฉันไม่อยากร่วมงานกับคุณ”

“พอที นวลดารา ยายขอสั่งเป็นคำขาดว่างานนี้อยู่ในอำนาจตัดสินใจของยาย เราไม่มีสิทธิ์มาเปลี่ยนแปลงอะไร”

“ผมขอประทานโทษนะครับคุณยาย ถ้าคุณนวลดาราเกลียดผมขนาดนี้เราก็คงร่วมงานกันไม่ได้ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” อานุภาพเก็บเอกสารทั้งหมดลงกระเป๋า

“แต่เรือโดยสารหมดแล้วนะคุณ นอนค้างที่นี่สักคืนหนึ่งเถอะ พรุ่งนี้ค่อยไป” คุณมัทนาบอก

“ผมไปค้างที่วัดก็ได้ครับ”

“ก็ดี ไปเดี๋ยวนี้เลยยิ่งดี” คนที่อยากไล่เขาเอ่ยสำทับ

“นวลดารา…” คุณมัทนาปรามอย่างอดไม่ไหว แต่ก็อ่อนใจไม่รู้จะทำอย่างไรกับหลานสาว

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมหาเรือกลับเลยดีกว่า ผมลานะครับ” อานุภาพไหว้ลาคุณมัทนา และรีบเดินออกไป

แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปถึงประตูเรือน คุณมัทนาก็นึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยว่า “เดี๋ยวคุณ เดี๋ยวยายให้ตาน้อม คนเรือของเราเอาเรือไปส่ง คุณไปรอที่หน้าหาดได้เลยนะ”

อานุภาพหันไปไหว้ขอบคุณคุณมัทนาแล้วหันหลังเดินลงบันไดเรือน เขาได้ยินเสียงหญิงสาวตะโกนไล่หลังมาว่า “ไปแล้วอย่ากลับมาอีกนะ ให้เรือล่ม จมหายไปเลยยิ่งดี”

 



Don`t copy text!