สาปแสงรัก บทที่ 1 : คำทำนายที่ไม่อาจเลี่ยง

สาปแสงรัก บทที่ 1 : คำทำนายที่ไม่อาจเลี่ยง

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

สาปแสงรัก โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องรักของผู้ชายธรรมดาที่ต้องคำสาปที่ว่า เมื่อพบรักแท้จะพบแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น “อานุภาพ” ชายที่ไม่มีพลังอำนาจเหมือนชื่อของเขาเลย แถมยังไม่มีของวิเศษ เวทย์มนตร์คาถา แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแรงอาฆาตพยาบาทที่สาปส่งข้ามภพข้ามชาติได้ ติดตามเอาใจช่วยเขาได้ในอ่านเอา anowl.co

ยาม                  ครา                   คำ

ยล                    คืน                    สัญ

เดือน                 แรม                  ญา

 

นาม                  สิ้น                    จาร

เตือน                 แสง                  ใจ

จิต                    เดือน                 มั่น

 

คิด                    เลือน                 มิ

ครวญ               ลับ                    ผัน

หา                    ลา                    เอย

เพลงยาว* ให้อ่านวรรคบนลงล่าง แถวซ้ายไปขวา

 

ท่าเรือเกาะลอยในวันธรรมดามีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก หลังจากซื้อตั๋วเรือแล้วอานุภาพก็ยังมีเวลาอีกราวครึ่งชั่วโมงก่อนที่เรือจะออกไปยังเกาะแห่งนั้นซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาที่ท่าเรือเกาะลอยมักมีจุดหมายปลายทางที่เกาะสีชังซึ่งจะมีเรือออกจากท่าทุกหนึ่งชั่วโมง แต่เกาะที่อานุภาพจะไปนั้นมีเรือออกเพียงสามเที่ยวต่อวันคือเวลาแปดโมงเช้า เที่ยง และสี่โมงเย็น ชายหนุ่มจองตั๋วเที่ยวสี่โมงเย็นไว้ แต่ถึงตอนนี้ใจของเขาก็ลอยไกลไปถึงที่นั่นแล้ว

ความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นในใจของอานุภาพนับแต่เขาได้เห็นประกาศหาช่างปูนปั้นที่จะไปบูรณะวัดบนเกาะ เขารู้สึกวาบหวิวในใจอย่างประหลาด ภาพทิวทัศน์ของเกาะแห่งนั้นรบกวนจิตใจเขามาตลอดสัปดาห์นับแต่เพื่อนส่งข่าวนี้มาถึงเขา อานุภาพฝันถึงเกาะแห่งนั้นทุกคืน ในประกาศที่โพสต์ลงออนไลน์นั้นมีรูปพระพุทธรูปปูนปั้นปางห้ามสมุทรทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ซึ่งเป็นรูปแบบพระพุทธรูปที่นิยมสร้างกันในสมัยรัชกาลที่สาม ในฝันอานุภาพมักเห็นตัวเองเป็นคนปั้นพระพุทธรูปองค์นั้น เมื่อตื่นขึ้นเขาก็อิ่มเอิบใจเหมือนทุกครั้งที่ทำงานปั้นสำเร็จลงได้

อานุภาพเป็นเจ้าของบริษัทรับออกแบบจัดสวน เขาดูแลงานด้านบริหารธุรกิจตามที่เรียนมา ขณะที่น้องสาวลูกของอาดูแลงานออกแบบตกแต่งสวน อานุภาพมีงานอดิเรกเป็นช่างปั้นแกะสลัก ทำได้ทั้งการปั้นดินแล้วนำไปเผาเป็นเครื่องปั้นดินเผา หรือการปั้นปูนสดเพื่อทำประติมากรรมตกแต่งอาคารสถานที่ ชายหนุ่มไม่ได้เรียนจบด้านศิลปะมาโดยตรง เขาสร้างสรรค์งานศิลปะด้วยใจรักเท่านั้น

อานุภาพชอบงานปั้นมาตั้งแต่เด็ก เมื่อตอนเล็กๆ อายุยังไม่ถึงสามขวบดีเขาก็ชอบปั้นดินน้ำมันตามประสาเด็ก ไม่ว่าปั้นอะไรผู้ใหญ่ก็ดูออก พ่อแม่อยากรู้ว่าเขามีพรสวรรค์ด้านนี้จริงไหมจึงให้เขาลองปั้นแป้งโดว์ หรือแป้งอเนกประสงค์ที่ใช้ทำดอกไม้ประดิษฐ์ ให้ลองปั้นอะไร จะมีหรือไม่มีแบบให้ดูเด็กชายก็ปั้นได้หมด แม้งานที่ละเอียดเกินวัยเขาก็มุ่งมั่นทำจนได้ เมื่ออายุห้าขวบเด็กชายอานุภาพก็ยังหลงใหลในงานปั้นไม่เสื่อมคลาย พ่อจึงซื้อแป้นหมุนสำหรับปั้นเครื่องปั้นดินเผาให้เขา เมื่อเด็กชายได้ลองปั้นดินเหนียว เขายิ่งมีความสุข เขาขลุกอยู่กับงานปั้นได้ตลอดทั้งวัน ผลงานก็ออกมาสวยงามน่ารักจนพ่อต้องสั่งทำเตาเผาไฟฟ้าขนาดเล็กให้ลูกชายเอาไว้ใช้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาไว้เล่นเอง พ่อและแม่หารู้ไม่ว่าเมื่อท่านทั้งสองจากไปอย่างกะทันหัน งานอดิเรกนี้แหละที่ทำให้เด็กชายที่เศร้าจนไม่มีใจจะพูดกับใครผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นมาได้ เด็กชายระบายความเศร้าด้วยการปั้น เขาปั้นสิ่งของต่างๆ ที่สื่อถึงพ่อแม่ และอีกหลายปีต่อมาเมื่อมีทักษะมากพอ เขาก็ปั้นรูปเหมือนของพ่อและแม่ เมื่อโตขึ้นอานุภาพก็ศึกษาศิลปะการปั้นเพิ่ม จากงานเครื่องปั้นดินเผาเขาก็เรียนรู้งานปูนปั้นเพิ่มเติมจนมีความเชี่ยวชาญ อานุภาพสร้างผลงานได้เหมือนจริงจนทุกคนที่ได้ชมผลงานคิดว่าเป็นฝีมือของศิลปินเอกที่ร่ำเรียนทางศิลปะมาโดยเฉพาะ

อานุภาพไม่ได้สร้างงานศิลปะเพื่อขาย เขาทำเพราะมีแรงบันดาลใจอยากทำ ทำแจกเพื่อนฝูงในโอกาสพิเศษบ้าง ทำเพื่อตกแต่งบ้านและอาคารของลูกค้าบ้าง เพื่อนและลูกค้าบอกต่อกันไปจนเขามีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในหมู่ผู้นิยมงานศิลปะ

“คุณอ้ายแน่ใจหรือว่าจะไปที่นั่นจริงๆ” ภูษิตเพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นผู้ช่วยในบริษัทและวันนี้ทำหน้าที่ขับรถมาส่งถาม

“พี่ษิตก็รู้ว่าผมต้องไป”

“ผมรู้ แต่ก็ยังเป็นห่วง คุณก็รู้ว่าคุณประณตทำนายอะไรไม่เคยพลาด”

“เรื่องความแม่นยำของอาณตผมไม่สงสัย แต่ให้ผมอยู่โดยไม่ทำอะไรผมก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน”

อาณตของอานุภาพก็คืออดีตประธานบริษัทที่มอบอำนาจบริหารงานให้หลานชายและลูกสาวแล้วโดยสมบูรณ์ แต่ประธานบริษัทคนปัจจุบันก็ยังขอให้อาเขยอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสของบริษัท นอกจากเรื่องธุรกิจประณตก็สนใจเรื่องธรรมะและศึกษาศาสตร์การพยากรณ์มาตั้งแต่ครั้งยังหนุ่ม เขาเป็นนักพยากรณ์ดวงชะตามือสมัครเล่น ทว่าพยากรณ์ได้แม่นยำกว่าโหรอาชีพเสียอีก

อานุภาพรู้ซึ้งถึงเรื่องนี้ดี ครั้งหนึ่งอาเคยเตือนพ่อและแม่ของเขาว่าไม่ให้เดินทางไกล แต่ครั้งนั้นพ่อของเขาไม่เชื่อคำทัดทาน ทั้งสองท่านเดินทางไปเยี่ยมคุณยายที่ป่วยหนักที่บ้านสวนในจังหวัดเพชรบุรีหลังจากนั้นอานุภาพก็ต้องไปงานศพของคนที่เขารักถึงสามคน เพราะพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตพร้อมกันในขณะที่เดินทางกลับกรุงเทพฯ และหลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์คุณยายของอานุภาพก็เสียชีวิตลง

“คำทำนายดูร้ายแรง ผมเป็นห่วงว่าถ้าคุณอ้ายไปที่นั่นแล้วเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ คุณจะรับมือไม่ไหว ให้ผมไปด้วยไหม”

“พี่ษิตอยู่ดูแลงานทางนี้ดีแล้วละครับ ผมจะได้ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง อีกอย่างผมแค่ไปคุยกับเขา ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะตกลงจ้างผมหรือเปล่า ถ้าไม่ ผมก็ไปที่นั่นแค่ครั้งเดียว”

อานุภาพพูดให้คู่สนทนาสบายใจ แต่ตัวเขาเองก็อดคิดถึงคำทำนายนั่นไม่ได้

‘อ้ายไม่ควรไปที่นั่น ไม่ว่าช่วงนี้หรือช่วงไหนก็ไม่ควรไป’ อานุภาพจำได้ว่าอาณตบอกแบบนั้น เขาไม่อยากคิดเลยว่าอาจะโกรธมากแค่ไหนถ้ารู้ว่าเขาไปที่นั่นโดยพลการ

เมื่อเขาถามว่าทำไม อาก็บอกว่าดวงชะตาของเขาบ่งบอกว่าเมื่อไปที่นั่น เขาจะได้พบคนที่ผูกพันกันมายาวนาน และจะก่อให้เกิดความทรมานไม่รู้จักจบสิ้น

‘ถ้ามันเป็นโชคชะตาอย่างที่อาบอก อ้ายก็หนีไม่พ้นอยู่ดี มันก็เหมือนเรื่องพ่อกับแม่…’

‘ถ้าอ้ายเลี่ยงไม่ไป มันก็จะไม่เกิดขึ้น โชคชะตาชักนำเรามาพบเรื่องราวหรือบุคคล แต่พบแล้วมันจะเป็นอย่างไร มันก็อยู่ที่การตัดสินใจของเรา อาคิดว่าเมื่อเรามีบุญได้รู้ชะตาล่วงหน้า ก็เหมือนเราได้รับคำเตือนแล้ว เราก็ไม่ไปสานต่อความผูกพัน มันจะไม่ดีกว่าหรือ’

ในวันนั้นอานุภาพไม่ได้ตอบอาเขยว่าเขาเชื่อคำเตือนหรือไม่ แต่วันนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไปที่นั่น เขากำลังคิดหาคำอธิบายที่จะทำให้ผู้ช่วยวางใจ แต่ภูษิตชิงพูดขึ้นเสียก่อน

“ลงคุณอ้ายพูดแบบนี้ ผมก็รู้ละว่าคงห้ามไม่ได้ มีอะไรก็โทรมาแล้วกันนะครับ ผมจะเปิดโทรศัพท์ไว้ตลอด”

“ขอบคุณนะพี่”

“สบายมากครับบอส”

“บอกแล้วไงว่าไม่ชอบให้เรียกแบบนี้” น้ำเสียงที่พูดนั้นไม่พอใจเอาจริงๆ ถึงภูษิตจะเป็นลูกน้องและเป็นนักเรียนทุนที่อาเขยของเขาอุปการะให้ร่ำเรียนจนจบและมาทำงานที่บริษัท แต่อานุภาพก็นับถือภูษิตเหมือนพี่ชาย

“ครับท่านประธาน”

“ท่านประธานก็ไม่เอา”

“ผมไม่อยากให้เครียด” ภูษิตบอกแล้วยิ้มให้อย่างจะปลอบใจ แต่กลับพูดทิ้งท้ายก่อนขอตัวกลับว่า “แต่พูดก็พูดเถอะนะ แค่ฟังชื่อเกาะนั่น ผมก็เครียดแทนแล้ว”

อานุภาพคิดตามที่ภูษิตว่า เขาเองก็ไม่อาจปฏิเสธว่าเขาคิดเช่นนั้นเหมือนกัน

 

เกาะเดือนดับ (1) เป็นเกาะส่วนตัวที่อยู่ห่างจากเกาะสีชังไปราวสี่สิบนาที ตามข้อมูลที่เผยแพร่สู่สาธารณะเกาะแห่งนี้เป็นของขุนนางที่ปฏิบัติราชการสนองพระเดชพระคุณในสมัยรัชกาลพระพุทธเจ้าหลวง จนได้รับพระราชทานเกาะแห่งนี้เป็นบำเหน็จความดีความชอบ

เรือเทียบท่าที่ท่าเรือเกาะเดือนดับในเวลาห้าโมงครึ่ง ท่าเรือบนเกาะมีคนไม่มากนัก อานุภาพหาข้อมูลมาว่านักท่องเที่ยวที่มากับเรือโดยสารจะมาขึ้นเกาะที่ท่าเรือที่อยู่ด้านเหนือของเกาะ หรือที่คนที่นี่เรียกว่าหัวเกาะ ส่วนคนที่มีเรือส่วนตัวมักจะไปขึ้นที่หาดด้านข้างเกาะซึ่งเป็นหาดทรายที่นับว่าสวยงามแห่งหนึ่ง

ก่อนจะมาที่นี่เขาได้ติดต่อกับคุณมัทนาเจ้าของเกาะแห่งนี้ผ่านทางอีเมล คุณมัทนาขอดูตัวอย่างผลงานปูนปั้นของอานุภาพ และนัดหมายให้เขามาพูดคุยกันในวันพรุ่งนี้ เจ้าของเกาะแนะนำให้อานุภาพพักที่เรือนรับแขกของเธอ แต่ชายหนุ่มเกรงใจจึงขอไปพักที่วัดประจำเกาะซึ่งเขาหมายใจว่าจะมาบูรณะซ่อมแซมงานประติมากรรม คุณมัทนาก็ได้ช่วยติดต่อขออนุญาตทางวัดให้ อานุภาพคิดว่าหากเขาถูกปฏิเสธงานอย่างน้อยเขาก็คงจะได้ชื่นชมงานสถาปัตยกรรมในวัด

 

ตามแผนที่อานุภาพคิดไว้ เขาจะเข้าไปพักที่วัดตอนค่ำ เขาอยากจะเดินชมทะเลให้ฉ่ำใจเสียก่อนจากนั้นค่อยหาอาหารเย็นรับประทาน แล้วเข้าที่พัก พรุ่งนี้จึงค่อยไปคุยธุระกับคุณมัทนาตามที่นัดหมายไว้ ชายหนุ่มเดินจากท่าเรือผ่านบ้านผู้คนบนเกาะ เมื่อเดินไปตามถนนเลียบหาดอานุภาพก็รู้สึกวาบหวิวในใจ มองไปทางใดก็รู้สึกคุ้นเคยราวกับว่าเขาเองได้เคยเดินผ่านมาที่นี่จนเป็นกิจวัตร ยิ่งเดินไปก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเห็นภาพตัวเองซ้อนอยู่ในตัวตนที่กำลังเดินอยู่นี้ อย่างที่คนทั้งหลายเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า  ‘เดจาวู’

“พี่นวล กลับมา ชเลอยู่นี่..” เสียงเด็กชายตะโกนดังมาจากชายหาด

อานุภาพหันไปตามทิศทางของเสียงก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินลงไปในทะเล ปากก็ร้องเรียกว่า “ชเล…กลับมา ชเล…”

เสียงเด็กชายที่ยืนอยู่บนหาดตะโกนซ้ำอีกว่า “พี่นวล ชเลอยู่นี่นะ ชเลอยู่นี่…” ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้ยินเสียงเรียก เด็กชายหันซ้ายหันขวามองหาคนช่วย “ช่วย…”

ไม่ทันสิ้นเสียงร้องขอความช่วยเหลืออานุภาพก็วิ่งลงทะเลตามผู้หญิงคนนั้นไป เธอคนนั้นหยุดยืนอยู่กลางน้ำ ตัวสั่น เกร็งราวกับกลัวอะไรสักอย่าง แต่แล้วเมื่ออานุภาพเข้าไปใกล้ เธอกลับเดินลึกลงไปอีกจนระดับน้ำมิดศีรษะของเธอ อานุภาพตามไปถึงตัวเธอพอดี เขาดึงตัวเธอจากทางด้านหลังแล้วว่ายน้ำลากพาเธอเข้าฝั่ง เมื่อใกล้ฝั่งเขาต้องอุ้มเธอไปที่ชายหาดเพราะเธอหมดสติไป

“พี่นวลๆ” เด็กชายรีบวิ่งมาดู

อานุภาพวางหญิงสาวลงบนผืนทราย เขาเอามืออังที่จมูก ตรวจการหายใจดูก็พบว่าเธอยังหายใจอยู่ เขาจึงพลิกตัวให้เธอตะแคง ไม่นานเธอก็สำลักน้ำออกมา เมื่อหญิงสาวเริ่มรู้สึกตัว เด็กชายชเลก็รีบเข้ามาหา

“พี่นวล พี่นวล” เด็กชายร้องเรียกอย่างตื่นเต้น

“ชเล” หญิงสาว เรียกเบาๆ แล้วถามต่อ “ชเลเป็นอะไรหรือเปล่า ลงไปในทะเลทำไม”

“ชเลไม่ได้ลงไปนะครับ ชเลอยู่บนหาดนี่ พี่นวลนั่นแหละลงไปทำไม”

“พี่เห็นชเลเดินลงไป” หญิงสาวลุกขึ้นนั่งตอบด้วยความแปลกใจ

“ไม่ๆ พี่คนนี้เป็นพยานได้ พี่นวลเดินลงทะเลแล้วพี่คนนี้ก็ไปช่วย” เด็กชายมองมาทางอานุภาพ เขาจึงบอกไปตามที่เห็น

“ทั้งหาดนี้ก็มีแต่คุณกับน้อง ผมมาถึงก็เห็นคุณกำลังเดินลงทะเลแล้วน้องก็ตะโกนให้ช่วย”

หญิงสาวหันมามองหน้าชายหนุ่มนิ่งอยู่ชั่ววินาที อานุภาพรู้สึกได้ว่าสายตาคู่นั้นไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย

“ขอบคุณนะที่ช่วย” เธอบอกห้วนๆ แววตาที่ส่งมานั้นก็ยังแข็งๆ เช่นเดิม

อานุภาพช่วยหญิงสาวโดยไม่ได้หวังคำขอบคุณแต่เขาก็ไม่ชอบท่าทีที่เธอปฏิบัติต่อเขา เขาจึงแกล้งต่อปากต่อคำกับเธอ

“ถ้าไม่เต็มใจ คุณไม่ต้องขอบคุณก็ได้นะ” เขาพูดเรียบๆ แล้วเดินเลี่ยงไป ให้เธอรู้ว่าเขาไม่ต้องการคำขอบคุณแบบนี้จริงๆ

“คุณ…” หญิงสาวไม่พอใจ เธอลุกขึ้นเดินไปประจันหน้ากับชายหนุ่ม

ในวินาทีที่สายตาของสองหนุ่มสาวประสานกัน อานุภาพรู้สึกเหมือนว่าโลกหยุดหมุนชั่วขณะ ผู้คนรอบกายของเขาหายไปเหลือเพียงแค่เขาและเธอ เขารู้สึกถึงสายลมที่ปะทะใบหน้า สายลมที่หอบเอากลิ่นดอกไม้ไทยหอมอบอวลมาด้วย หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาช่างสวยงามน่าหลงใหล แต่สายตาเกลียดชังของเธอนั้นทำให้ความรู้สึกดีที่มีลดหายไป

 

เชิงอรรถ :

(1) เกาะเดือนดับ ไม่มีอยู่จริง เป็นเกาะที่ผู้เขียนสมมติขึ้นเอง



Don`t copy text!