ละเล่นลานรัก บทที่ 5 : ร่วมด้วยช่วยกัน
โดย : กุลวีร์
ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก
หลังจากนำก้อนหินมาคืนให้หลานสาว ปรียานุชก็ชวนออกมานั่งเล่นกันตรงม้านั่งที่ตั้งอยู่หน้าบ้านเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
ยามใดที่น้าหลานอยู่ด้วยกัน เธอมักจะสรรหากิจกรรมเพื่อสร้างความเพลิดเพลิน
“เรามาเล่นตบแผละกันดีกว่า”
“เล่นอะไรเหรอคะ” เด็กหญิงไม่เข้าใจคำไม่คุ้นหู หากให้ความสนใจเต็มเปี่ยม
“ตบแผละจ้ะ เป็นการละเล่นไทยที่เหมือนเรานั่งตบมือกัน ลองเล่นดูนะ” ปรียานุชนั่งหันหน้าเข้าหาหลานสาว ซึ่งมองเห็นรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหน้าประตูบ้านข้างเคียง
หญิงสาวเริ่มอธิบาย หากสายตายังเหลือบมองรถยนต์คันนั้นเป็นระยะ
“ยกมือขึ้นมาประกบกันไว้ด้านหน้า แล้วนำมือมาตบกับมือของน้า” เธอหันฝ่ามือไปทางหลานสาว แล้วพูดต่อ “พอตบกันแล้วก็นำมือทั้งสองข้างไปตบบนตักของตัวเอง ค่อยมาตบกันใหม่ทางด้านหน้าแล้วก็ประกบกันไว้ตามเดิม”
เธอทำท่าทางประกอบคำพูดเพื่อให้หลานสาวได้เห็น จากนั้นดาราพรก็ทำตามไปพร้อมๆ กัน
“น้าจะเพิ่มความเร็ว น้องดรีมต้องตบมือตามน้าให้ทันนะ”
เธอทำซ้ำวนอยู่อย่างนั้น ค่อยๆ เร่งจังหวะให้เร็วขึ้น หากบางช่วงยังต้องชะลอเพื่อให้หลานสาวทำตามได้ทัน
“น้าปรี รอน้องดรีมด้วยนะคะ” ดาราพรทักท้วงขึ้น ยามเธอเร่งความเร็ว
แม้ช่วงแรกๆ จะทำตามเธอไม่ทัน พอทำซ้ำไปซ้ำมาก็เริ่มคล่องขึ้น
“น้องดรีมตบมือของน้าให้ทัน แต่ต้องตบที่ตักตัวเองก่อนนะ” เธอเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำข้ามขั้นตอน
คนถูกจับไต๋ได้หัวเราะออกมา พร้อมทั้งมีหน้าตายิ้มแย้มสดใสและสนุกสนานที่ได้นั่งเล่นกับเธอ
การละเล่นตบแผละช่วยฝึกความคล่องแคล่วว่องไวของมือและแขน อีกทั้งยังช่วยฝึกการทำงานประสานกันระหว่างการเคลื่อนไหวแขนกับสายตาที่ใช้มองเพื่อทำให้ทันฝ่ายตรงข้าม
ดาราพรลุกขึ้นยืน วิ่งไปหาเปรมยุดาซึ่งเดินออกมาจากตัวบ้านพร้อมพิราม โดยมีบิดามารดาเดินตามหลังมาด้วยกัน
“พี่จะพาพ่อกับแม่ออกไปกินข้าวกลางวัน ไปด้วยกันไหมล่ะ” พี่สาวถามเธอ
“ปรีขออยู่บ้านดีกว่า หาอะไรกินเองได้ ไม่ต้องห่วง” เธอเล็งเห็นโอกาสเหมาะซึ่งจะทำในสิ่งที่ต้องการ
หากไม่มีใครคัดค้านเธอ แม้หลานสาวจะมีสีหน้าเหมือนเสียดายแต่ก็ส่งยิ้มให้ ราวกับรู้ดีว่าเธอมีเรื่องต้องทำจึงไม่คิดเซ้าซี้ขอให้ไปรับประทานอาหารด้วยกัน
จากนั้นพิรามก็ขับรถยนต์พาทุกคนออกจากบ้าน เธอได้แต่ยืนโบกมือให้ ส่วนในความคิดนั้นปรากฏหนทางสืบหาข้อมูลของรุ่นน้องข้างบ้าน
“ทำไมไม่ไปกับพวกนั้นด้วยล่ะหนูปรี น้าดูบ้านให้ก็ได้”
เสียงของศศิที่เดินเข้ามาใกล้ทำให้เธอต้องหันมอง หากอีกฝ่ายเหมือนจะไม่รอฟังคำตอบ ยังพูดต่อในเรื่องที่ใคร่รู้ “หนูปรีได้ของคืนหรือเปล่า หรือลูกของน้าไม่ยอมเปิดประตูให้”
“ได้ค่ะ ได้คุยกันด้วยค่ะ” ปรียานุชเลือกตอบคำถามหลังซึ่งพูดไปตามความเป็นจริง
ศศิมองไปทางรถยนต์คันนั้น ก่อนหันหน้ามาเอ่ยกับเธอ “เมื่อวานน้าเพิ่งรู้จากนิน ถ้าศิลป์ไม่ได้งานทำ ครอบครัวของน้าคงจะลำบาก นี่ไม่มีงานมาเป็นเดือนแล้ว หนูปรีช่วยน้าหน่อยนะ ช่วยให้ศิลป์ออกไปนอกบ้านได้ จะได้มีงานมีการทำบ้าง”
เธอไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่อดไม่ได้ที่จะเห็นใจผู้เป็นมารดาซึ่งหาทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกมีชีวิตที่ดี
ศศิเห็นเจ้าของรถยนต์เดินออกมาจากบ้านเข้าพอดีก็กล่าวให้เธอได้ยิน “เมื่อวานเพิ่งมาเจอหน้ากัน วันนี้ก็มาหากันอีกแล้ว หรือจะมาเพราะเรื่องงาน”
ปรียานุชถูกฉุดแขนให้ก้าวขาตามหลังศศิที่รีบสาวเท้าเข้าไปทักทายชายผู้นั้น
พอเข้าไปใกล้ เธอเห็นถึงความนอบน้อมของชายหนุ่มที่ยกมือไหว้ศศิอย่างคนคุ้นเคยกันดี
เหมือนศศิจะรู้ความต้องการของเธอ จึงเป็นฝ่ายแนะนำให้คนทั้งสองรู้จักกัน
“นี่นินนะหนูปรี เป็นเพื่อนของศิลป์ ชอบมาที่บ้านของน้าบ่อยๆ เหมือนลูกชายของน้าอีกคนไปแล้วถ้าเห็นก็ไม่ต้องแปลกใจ” ศศิหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยต่อ “คนนี้พี่ปรีนะนิน คนที่น้าอยากให้ช่วยศิลป์ให้ออกจากบ้านได้”
ชายหนุ่มส่งยิ้มให้เธอแบบผู้ที่มีมิตรไมตรีต่อกัน จนเธอต้องพยักหน้ารับพร้อมทั้งยิ้มให้
ทั้งที่ในใจ ปรียานุชอยากถามออกไปว่า…เพื่อนจริงๆ เหรอคะ
ชายผู้นี้มีรูปร่างบึกบึน พอได้เห็นใกล้ๆ ก็รู้ทันทีว่าเป็นคนหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีผิวพรรณสะอาดสะอ้านบ่งบอกถึงการดูแลผิวเป็นอย่างดี จนบางทีเธอยังอายที่ผิวหน้านั้นไม่ขาวใสเท่าชายหนุ่มตรงหน้า
ฐานินยกมือไหว้เธอ ก่อนจะพูดด้วยความเป็นกันเอง “พี่จะช่วยศิลป์จริงๆ หรือครับ ผมดีใจแทนศิลป์ อยากให้มันได้งานนั้นมาทำจริงๆ พี่ต้องช่วยศิลป์ให้ได้นะครับ”
เธอเห็นอารามดีใจกับแววตายินดีเป็นอย่างยิ่งของอีกฝ่ายยามพูดถึงไขศิลป์ ก็อดคิดไม่ได้ว่าคนรักกันคงเป็นเช่นนี้ เมื่อรู้ว่าบุคคลอันเป็นที่รักจะมีชีวิตดีขึ้นก็พลอยมีความสุขตามไปด้วย
หญิงสาวทำตามเจตจำนงทันทีที่ได้รู้จักกัน
“น้าศิคะ ปรีอยากรู้เรื่องของศิลป์ เข้าไปคุยกันในบ้านปรีดีกว่าค่ะ” เธอบอกศศิ แล้วเอ่ยกับชายหนุ่ม “พี่ขอรบกวนเวลาของนินสักครู่นะ”
“ไม่รบกวนเลยครับ เพื่อมัน ผมยินดีครับพี่” ฐานินมีท่าทีแข็งขันเหมือนพร้อมให้ความร่วมมือเต็มที่
ก่อนปรียานุชจะเดินเข้าไปในบ้านเพื่อนำทางคนทั้งสองก็ยังไม่วายหันหน้าไปมองห้องนอนไขศิลป์ราวกับกลัวคนในห้องจะเห็นว่าพวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่
“มีอะไรจะคุยกับน้าหรือจ๊ะหนูปรี” ศศิถามขึ้นทันทีที่นั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่น
“ปรีอยากรู้สิ่งที่ศิลป์เป็นในเวลานี้ค่ะ” เธอต้องทราบข้อมูลให้มากที่สุดเพื่อคิดวิเคราะห์ปัญหา ก่อนจะหาวิธีแก้ไข
“อย่างที่น้าเคยเล่าให้ฟัง ปีกว่าๆ แล้วที่ศิลป์ไม่ยอมออกไปนอกบ้าน ลองถามนินก็ได้ เพื่อนกันย่อมรู้ดีกว่าน้า” ศศิหันมองฐานินเพื่อจะให้พูดต่อ
ปรียานุชได้โอกาสถามชายหนุ่มทันที “นินพอจะรู้อะไรบ้างไหม ทำไมศิลป์ถึงไม่ยอมออกไปไหน”
เธอยังเชื่อว่าผู้ชายตรงหน้าอาจให้ข้อมูลได้มากกว่าคนเป็นแม่ เพราะไขศิลป์อาจเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้กับหวานใจรับฟังก็ได้
“ศิลป์เป็นตั้งแต่เรียนจบเลยนะพี่ พอออกนอกบ้าน มันบอกว่ากลัวจนทนไม่ไหว จึงไม่ยอมออกไปไหนอีกเลย ผมเข้าใจมันนะ สงสารมันด้วย ผมต้องหางานมาให้มันทำที่บ้าน”
ปรียานุชรับทราบประวัติของไขศิลป์มากขึ้น แม้จะไม่ค่อยละเอียดนักก็ยังพอเห็นหนทางที่จะช่วยเหลือกันต่อไป
ถ้าฐานินคือหวานใจของไขศิลป์โดยที่ศศิไม่เคยรู้มาก่อน เธอต้องทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ยอมรับในสิ่งที่บุตรชายเป็นให้ได้
แต่ก่อนที่จะทำให้บิดามารดาเข้าใจในสิ่งที่ลูกเป็น เธอจะต้องทำให้ไขศิลป์ยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน
“ถ้ามีอะไรอยากบอกพี่อีก เล่ามาได้เลยนะ ถือว่าเป็นประโยชน์ที่พี่จะนำไปช่วยศิลป์ได้”
ฐานินยังเล่าในสิ่งที่ตัวเองรู้มาจากไขศิลป์ให้หญิงสาวและศศิได้ฟังไปพร้อมๆ กัน
ปรียานุชเริ่มมองเห็นถึงปัญหาซึ่งพอจะคาดเดาได้ว่าไม่ใช่แค่ยอมรับตัวเองในเรื่องชอบเพศเดียวกันไม่ได้แล้ว ยังมีปมบางอย่างในใจกับการออกไปนอกบ้านอีกด้วย แต่เพื่อให้แน่ใจกับสิ่งที่คาดเดาทั้งหมด เธอจึงต้องเข้าไปสอบถามจากเจ้าตัวโดยตรง
ดังนั้นเพื่อให้ได้ความจริงที่ถูกซ่อนไว้ เธอควรจะไปพบไขศิลป์พร้อมกับบุคคลที่เขาคุ้นเคยและไว้วางใจ ซึ่งคนที่เธอเล็งเห็นก็คือผู้ที่คาดว่าเป็นหวานใจของเขานั่นเอง
“นินพอจะว่างสักวันไหม พี่อยากพานินไปหาศิลป์ด้วยกัน เผื่อจะช่วยพูดให้เข้าใจกันง่ายขึ้น” ปรียานุชชี้แจงในสิ่งที่คิดจะกระทำ “ถ้าศิลป์ได้คุยกับคนคุ้นเคยกันอาจจะง่ายกว่าคุยกับพี่ที่เพิ่งเริ่มรู้จักกันอีกครั้ง พี่อยากรู้ประวัติที่ศิลป์เป็นแบบนี้ให้มากที่สุดและต้องตรงกับความเป็นจริงด้วย ไม่ใช่แค่พูดเพื่อให้ผ่านๆ ไป”
“ได้เลยครับพี่ จะให้ทำอะไรผมก็ยอม แค่ให้มันได้งานทำ กลับมาเป็นปกติเหมือนแต่ก่อนก็พอ” ฐานินให้ความสนอกสนใจเต็มที่เพื่อช่วยเหลือไขศิลป์
“นอกจากจะไปคุยกับศิลป์ พวกเราควรหาทางดึงตัวศิลป์ออกมาจากห้องหรืออย่าให้ศิลป์ใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้อง” เธอกล่าวถึงสิ่งที่จะร่วมด้วยช่วยกัน หากฐานินเอ่ยแทรกขึ้นมา
“พี่คิดว่าศิลป์จะยอมออกจากห้องง่ายๆ หรือครับ”
เธอจ้องมองคนถามเหมือนจะบอกให้รู้ถึงคำตอบซึ่งต้องมีผู้ช่วยเพื่อทำเช่นนั้นได้สำเร็จ
ฐานินคงรู้ตัวว่าต้องร่วมมือกับเธอก็พูดต่อ “ถ้าพี่อยากให้ผมเอามันออกมาจากห้องก็คงได้ แต่ผมไม่สามารถพามันออกไปนอกบ้านได้ ทำยังไงมันก็ไม่ยอม ผมเคยทำมาแล้วครับ ยิ่งไปฝืนมันก็จะผิดใจกันไปเปล่าๆ”
ยิ่งได้พูดคุยกับฐานินก็ยิ่งได้รู้ว่าชายหนุ่มสองคนคงจะสนิทแนบแน่นกว่าที่คิดไว้
เพียงแค่ฐานินเอ่ยคำว่าผิดใจกันก็แสดงสีหน้าหมองหม่นให้เห็นชัดเจน
“น้าขอบคุณหนูปรีมากเลยนะ” ศศิบอกเธอด้วยใจจริง
“ผมขอบคุณพี่มากครับที่ยอมช่วยเหลือเพื่อนของผม” ฐานินยิ้มให้เธอ
หากในใจของปรียานุชอยากถามว่าเพื่อนหรือแฟน แต่กลัวศศิจะตั้งรับไม่ทันกับคำตอบซึ่งอาจเป็นไปตามที่คิดไว้
เมื่อใดที่มีโอกาสเหมาะสม เธอค่อยถามชายหนุ่มสองคนให้รู้แน่ชัดเพื่อยืนยันความคิดของตนและเพื่อนสาว
“พวกเราไปหามันเลยดีกว่าครับ”
เธอรีบเอ่ยรั้งชายหนุ่มที่กำลังจะลุกขึ้นยืน “วันอื่นดีกว่านะ วันนี้ดูท่าแล้วศิลป์คงไม่ค่อยชอบขี้หน้าพี่ที่เพิ่งจะไปรบกวนกัน”
“ผมก็ว่าแล้ว ตอนเข้าไปหามันเมื่อกี้ มันมีอารมณ์ไม่ค่อยจะดี อย่างนี้นี่เอง” ฐานินเข้าใจคำกล่าวของเธอโดยไร้ข้อกังขา
ปรียานุชจึงนัดหมายฐานินเพื่อจะได้เข้าไปคุยกับไขศิลป์พร้อมกัน
วิชาชีพของหญิงสาวคงหล่อหลอมจิตใจให้มีความโอบอ้อมอารีและช่วยเหลือผู้คนโดยไม่หวังผลตอบแทน
หากไม่ใช่เฉพาะพวกเด็กๆ ในความดูแลเพียงเท่านั้นที่เธอยินดีจะทำการบำบัดรักษาให้มีชีวิตอย่างคนทั่วไปในวัยเดียวกัน ก็ยังมีรุ่นน้องข้างบ้านซึ่งอาจจะถูกเหมารวมให้มาอยู่ในความดูแลของเธออีกด้วย
ไขศิลป์จะยอมให้ความร่วมมือกับเธอมากน้อยเพียงใดนั้น ถึงเวลาเผชิญหน้ากันคงได้รู้
บางทีเธออาจรับมือเขาได้ยากกว่าเด็กๆ หลายคนที่เคยเจอมาเสียอีก!