ละเล่นลานรัก บทที่ 1 : เสียงลือเสียงเล่าอ้าง
โดย : กุลวีร์
ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ดวงตะวันสาดแสงจัดจ้า ผู้คนจึงเลือกเลี่ยงหลบอยู่แต่ในบ้าน หากบางคนยังต้องออกไปไหนต่อไหนก็กางร่มบังแสงแดดในช่วงปลายเดือนเมษายนซึ่งไม่เคยลดละความร้อนระอุลงไปได้เลย จนถึงยามที่พระอาทิตย์เริ่มอ่อนแรงราวกับปรานีต่อมนุษย์มนาให้ออกมาเดินไปสู่ที่หมายได้โดยไร้สิ่งใดบดบัง
หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งที่ไม่ค่อยเกรงกลัวแสงแดดแผดเผาผิวให้คล้ำลงไปยิ่งกว่าเดิมยังต้องรอให้ถึงช่วงเวลาบ่ายคล้อย ค่อยก้าวขาออกจากบ้านตนเอง มุ่งตรงไปยังบ้านเดี่ยวหนึ่งชั้นซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกัน โดยมีถนนที่กว้างพอให้รถยนต์สองคันวิ่งสวนกันคั่นอยู่ระหว่างกลาง
หลังจากกดกริ่ง ขณะยืนรอผู้เป็นเจ้าของบ้าน เธอก็หันหลังกลับไปมองบ้านที่อาศัยตั้งแต่เกิด
ชีวิตซึ่งเคยดั้นด้นห่างไกลจากบ้านไปนานหลายปี บัดนี้ได้หวนคืนกลับมาอยู่กับบิดามารดาดังเดิม
หลายคนโหยหาหนทางกลับบ้าน ขณะที่บางคนพยายามดิ้นรนออกจากบ้าน แต่ไม่สามารถทำได้ด้วยเหตุบางประการที่เกิดขึ้นกับคนผู้นั้นซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเธอ
ปรียานุชตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่ทำงาน แต่ยังทำงานที่รักเฉกเช่นเดิมซึ่งอยู่ใกล้บ้าน
“ฉันก็นึกว่าใคร ตอนแรกคิดว่าคนส่งของ แต่เป็นปรีนี่เอง” เสียงเจ้าของบ้านเอ่ยทัก ยามมองผ่านประตูเหล็กดัดที่สูงกว่าศีรษะเล็กน้อย
ปรียานุชหันมองธารทิพย์ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนบ้านและเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก ก่อนจะแยกย้ายกันไปเรียนตามความชอบของแต่ละคน โดยเธอเลือกเรียนสายงานที่จะไปประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับเด็ก จนทำงานที่จังหวัดห่างไกลจากบ้านเกิด แต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอยังเหมือนเดิมเพราะติดต่อถึงกันเสมอ
ทั้งสองคนยืนคุยกันบริเวณหน้าบ้านซึ่งเปิดประตูค้างไว้อ้าซ่า
“อิจฉาคนทำงานกับเด็ก ดูหน้าตาปรีนึกว่าคนอายุยี่สิบต้นๆ” ธารทิพย์พูดขึ้นมาอีก
หญิงสาวอายุสามสิบสามปียิ้มกว้างรับคำชม “เด็กทุกคนน่ารัก ฉันมีความสุขสนุกดี”
เพราะพวกเด็กๆ มีความใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่เสแสร้งเหมือนผู้ใหญ่ เธอจึงสบายใจที่ใช้ชีวิตอยู่กับเด็ก
เมื่อพูดถึงผู้อ่อนวัยกว่าตน ปรียานุชก็นึกถึงรุ่นน้องที่อยู่บ้านชิดติดกัน จึงเอ่ยถามเพื่อนสาว
“ตั้งแต่ฉันกลับมาอยู่บ้าน ไม่เคยเจอหน้าศิลป์เลย ธารรู้เรื่องของศิลป์บ้างไหม”
“ทำไมถึงถามล่ะ มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า” ธารทิพย์มองไปยังบ้านของคนผู้นั้นทันทีที่ตั้งคำถามจบ
แม้จะยังไม่ได้รับคำตอบ เธอก็บอกโดยไม่คิดปิดบัง “ตอนแรกฉันคิดว่าศิลป์ไปทำงานที่ต่างจังหวัด แต่ฉันเพิ่งรู้ว่าศิลป์อยู่แต่ในบ้าน ไม่ยอมออกไปไหนเลย”
“ปรีรู้ได้ยังไง ใครบอก” ธารทิพย์ถามแทรกทันควัน จากนั้นก็พูดต่อด้วยเสียงเบาลง “หรือปรีได้ยินที่ชาวบ้านลือกัน”
“น้าศิมาหาฉันเมื่อวาน” เธอพูดถึงมารดาของรุ่นน้องข้างบ้านที่เป็นหัวข้อสนทนา “น้าศิขอให้ฉันหาทางช่วยศิลป์”
“ปรียังไม่เคยได้ยินละสิ ฉันจะเล่าเรื่องที่พวกชาวบ้านพูดกันให้ฟัง” ธารทิพย์ชะเง้อคอ มองไปทางถนนหน้าบ้านราวกับเกรงว่าคนที่อยู่ข้างบ้านของเธอนั้นจะออกมาได้ยินเรื่องที่กำลังคุยกัน ทั้งที่ไม่มีใครเดินผ่านไปมาเลยสักคนเดียว
“เรื่องอะไรเหรอ” เธอถามด้วยความสนใจ
“อย่าไปพูดให้คนบ้านนั้นรู้เข้านะ ยังไงก็เป็นเพื่อนบ้านกันทั้งนั้น” ธารทิพย์พูดเสียงค่อยเพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน “เขาว่ากันว่าน้องศิลป์เป็นโรคสังคมรังเกียจจึงอายไม่ยอมออกไปพบหน้าใครเลย บางคนก็บอกว่าน้องเป็นโรคร้ายแรงที่จะติดต่อผู้อื่นได้ แต่มีคนบอกว่าน้องติดยาจึงถูกขังไว้ในบ้าน เพราะกลัวจะคลุ้มคลั่งไปอาละวาดทำร้ายชาวบ้าน”
“ถ้าใช่ น้าศิต้องบอกกันแล้วสิว่าศิลป์เป็นอะไร”
“ฉันก็คิดว่าไม่ใช่ พวกปากหอยปากปูทั้งนั้นแหละ” ธารทิพย์เออออไปกับเธอ แล้วพูดต่อ เมื่อนึกขึ้นมาได้ “ยังมีบางคนบอกว่าน้องเป็นผีปอบ ตอนดึกดื่นค่อยออกมาหาของสดกิน แต่ฉันคิดว่าไม่ใช่ผีปอบหรอก ถ้าบอกว่าน้องเป็นผีดิบดูดเลือด ไม่กล้าโดนแสงอาทิตย์น่าจะเป็นไปได้มากกว่า”
“ธารดูซีรีส์หรืออ่านนิยายมากเกินไปนะ แทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย” เธอแย้งเพื่อน หากไม่เห็นด้วยกับทุกเรื่องที่นำไปพูดกัน ถ้ายังไม่ทราบความจริง
“ฉันล้อเล่น” ธารทิพย์หัวเราะเบาๆ “ตอนแรกก็เริ่มจะเชื่อพวกชาวบ้าน เพราะอยู่บ้านเยื้องกันแท้ๆ ฉันยังไม่เคยเห็นน้องศิลป์เดินผ่านหน้าบ้านมาเป็นปี แต่ใครจะเห็นเหมือนที่ฉันเห็นล่ะ ฉันจะบอกปรีแค่คนเดียวนะ รู้แล้วเหยียบไว้ด้วย”
เธอเห็นท่าทีจริงจังของอีกฝ่าย จึงตั้งใจรับฟังเรื่องที่ออกจากปากของธารทิพย์
“ฉันเคยเห็นผู้ชายหนุ่มๆ คนหนึ่งมาที่บ้านหลังนั้นเป็นประจำ คงจะมาหาศิลป์นั่นแหละ ถ้าให้ฉันเดา ที่น้องศิลป์ไม่ยอมออกมาเจอใคร คงเป็นเพราะว่า…”
เพื่อนสาวหยุดเอ่ยเสียดื้อๆ เมื่อมีคนเดินผ่านหน้าบ้าน
ปรียานุชนึกถึงชายหนุ่มที่เห็นผ่านตาเมื่อช่วงเช้าซึ่งมาเยือนบ้านข้างเคียง จากหน้าตาที่ได้เห็นไกลๆ นั้นก็ไม่มีเค้าเหมือนรุ่นน้องที่ถูกพูดถึงอยู่ขนาดนี้สักนิดเดียว
“เพราะอะไรล่ะ” เธอเร่งเพื่อนให้พูดออกมา
“เพราะน้องศิลป์คงกลัวคนอื่นจะรู้ที่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันจึงไม่กล้าออกมาสู้หน้าใคร” ธารทิพย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังเพื่อให้คนฟังเชื่อในคำพูดของตน “ปรีลองคิดดูนะ ถ้าผู้ชายหนุ่มๆ ที่ฉันเห็นไม่ใช่หวานใจของน้อง ทำไมต้องมาหากันบ่อยๆ ด้วยล่ะ ฉันไม่ได้เห็นแค่ครั้งสองครั้งหรือนานๆ ทีจะเห็นนะ บางวันมาทั้งเช้าทั้งเย็น เมื่อเช้าก็มา ปรีอยู่บ้านคงจะได้เห็นเหมือนที่ฉันเห็น”
เธอยังไม่ปักใจเชื่อคำของเพื่อน หากไม่ได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง
“ธารคิดมากไปหรือเปล่า ผู้คนสมัยนี้ยอมรับกันมากขึ้น สังคมเปิดกว้าง ไม่ต้องปกปิดกันอีกแล้ว”
“แม้สังคมจะยอมรับ แต่ถ้าตัวคนคนนั้นยังรับตัวเองไม่ได้ล่ะ หรือยังกลัวผู้คนจะมองไม่ดีอยู่ล่ะ ห้ามให้คิดอย่างนั้นไม่ได้หรอก บางทีน้องศิลป์ไม่อยากให้พ่อแม่รู้จึงไม่กล้าให้ใครรู้ก็ได้นะปรี ฉันเห็นใจผู้ชายคนนั้นที่มาหากันบ่อยๆ คงอยากให้เปิดตัวสักที แต่น้องคงไม่กล้า ถ้าเป็นฉันนะ จะเดินควงแขนให้ใครเห็นกันไปเลย ทำไมจะต้องแคร์คนอื่น แคร์ความรู้สึกของคนที่เรารักก็พอ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันคงต้องช่วยศิลป์” ปรียานุชเริ่มคล้อยตามคำกล่าวของเพื่อน
“จะดีเหรอปรี ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ ที่จะไปปรับเปลี่ยนความคิดหรือทัศนคติของคนอื่น” ธารทิพย์ยังไม่เห็นด้วยกับเธอ
“ศิลป์เหมือนน้องชายของฉัน จะให้อยู่เฉยๆ ฉันทำไม่ได้หรอกนะ ฉันอยากเห็นศิลป์มีชีวิตดีกว่าที่เป็นอยู่” เธอบอกด้วยความห่วงใยรุ่นน้องข้างบ้านที่เคยผูกพันกันมาตั้งแต่สมัยที่อีกฝ่ายเป็นเด็กชาย
ธารทิพย์ยืนบิดซ้ายบิดขวา มือลูบหน้าท้อง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะปรี ประตูไม่ต้องปิดหรอก เดี๋ยวมีคนมาส่งของ ฉันคงออกมาอีกรอบ ตอนนี้อยู่คนเดียว”
“น้องแทนไม่อยู่เหรอ จะขอมาเล่นด้วยกันสักหน่อย” ปรียานุชถามถึงบุตรชายของเพื่อนสนิท
“ออกไปนั่งรถเล่นกับพ่อ ฉันขอตัวก่อนนะปรี ไม่ไหวแล้ว”
เธอยืนมองธารทิพย์ซึ่งรีบจ้ำอ้าวเข้าไปในบ้านทันทีหลังพูดจบ
ก่อนจะก้าวขาข้ามถนน หญิงสาวมองไปยังบ้านหลังนั้นที่อยู่ติดกับบ้านของตน พร้อมทั้งนึกถึงเด็กผู้ชายที่เคยรู้จักมักคุ้นกันในวันวาน บัดนี้คงโตเป็นหนุ่มเต็มตัว
ตั้งแต่ปรียานุชได้เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยทางภาคเหนือก็ไม่เคยเจอหน้าไขศิลป์ซึ่งมีอายุห่างกันเกือบแปดปีอีกเลย จนแทบจะนึกไม่ออกว่าเคยพบกันครั้งล่าสุดตอนไหน
ขณะยืนมองเหม่อไปทางด้านหน้า อยู่ดีๆ ก็มีคนวิ่งมาชนเธอจนซวนเซเกือบจะล้มคะมำ แต่ยังดีที่ตั้งหลักได้ทัน ไม่ล้มไปกองกับพื้นเหมือนผู้ที่เข้ามาชน
“เป็นอะไรมากไหมคะ” เธอเดินเข้าไปถามอีกฝ่ายซึ่งเป็นชายหนุ่มร่างผอมสูง หากมีท่าทีแปลกๆ ไม่ยอมเงยหน้ามองกัน
ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีอาการลนลานเหมือนตื่นกลัวบางอย่าง จนเธอต้องถามย้ำอีกครั้ง
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ปรียานุชพยายามเดินเข้าไปใกล้ หากอีกฝ่ายก็ถอยหลังหนีด้วยท่าทีหวาดระแวงและยังก้มหน้าอยู่อย่างนั้น
เขายืนบนถนน ขณะเดียวกันก็มีคนขี่รถมอเตอร์ไซค์ผ่านมาพอดิบพอดี
ปรียานุชรีบคว้าแขนชายหนุ่มไว้ แล้วฉุดดึงเข้าหาตัวเพื่อให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุ จึงส่งผลให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวต้องมาอยู่ใกล้กันในระยะประชิด
เขาเงยหน้ามองเธอพร้อมกับก้าวขาออกห่างจากกันทันที
ใบหน้าซึ่งมีเค้าโครงแสนจะคุ้นเคย รวมทั้งแววตาที่ยังอยู่ในความทรงจำ แม้จะแฝงไปด้วยความหวั่นกลัว หากเธอนั้นยังจำได้ดี
“ศิลป์ น้องศิลป์ใช่ไหม นี่พี่ปรีเองนะ” ปรียานุชโพล่งถามออกมา ยกมือสองข้างจับไหล่อีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
หญิงสาวเห็นเขาตัวสั่นน้อยๆ คล้ายหวาดกลัวเหตุการณ์เมื่อสักครู่ แต่ไม่น่าจะใช่ เพราะสังเกตเห็นตั้งแต่เขาวิ่งมาชนเธอ
ไขศิลป์ยังก้มหน้าก้มตามองพื้น หากมีอาการกระสับกระส่ายลดลงเล็กน้อย จากนั้นก็ยกมือสองข้างปัดมือของเธอให้พ้นจากตัว ก่อนเขาจะวิ่งปรี่ไปที่ประตูบ้านตัวเองจนเธอรั้งไว้ไม่ทัน
ปรียานุชยืนมองชายหนุ่มหนีหายเข้าไปในบ้าน โดยปล่อยเธอให้ยืนข้างถนนราวกับฝุ่นผงล่องลอยในอากาศ
จากท่าทีของไขศิลป์ที่แสดงให้เห็นนั้น สร้างความข้องใจและเพิ่มความสงสัยยิ่งนัก ซึ่งชวนให้หาคำตอบ
ถ้อยคำร้องขอจากผู้เป็นมารดาของชายหนุ่มยังดังแว่วให้ได้ยิน
‘ช่วยครอบครัวน้าเถอะนะหนูปรี ถือว่าเอาบุญ ทำยังไงก็ได้ให้ลูกชายของน้ายอมออกนอกบ้าน ไม่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง น้าจนปัญญาเหลือเกิน ไม่รู้จะไปพึ่งใคร แต่อย่าถามว่าลูกของน้าเป็นอะไร น้าก็ไม่รู้เหมือนกัน หนูปรีช่วยน้าหน่อยนะ’
ดังนั้นคงมีหนทางเดียวคือต้องเข้าไปสอบถามกับเจ้าตัวโดยตรง เพราะเชื่อว่าเขายังจำกันได้
แต่เธอลืมคิดไปว่าคนบางคนถ้าเป็นอะไรขึ้นมาสักอย่าง อาจจะไม่รู้ตัวเลยว่าเป็น