ละเล่นลานรัก บทที่ 3 : เหตุจากหิน

ละเล่นลานรัก บทที่ 3 : เหตุจากหิน

โดย : กุลวีร์

Loading

ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก

หลังจากได้ยินหลานสาวขอให้เล่นด้วยกันก็มีหลายอย่างชวนสงสัยกับการละเล่นไทยที่เด็กสมัยนี้น่าจะไม่ค่อยรู้จักกันนัก หากออกมาจากปากเด็กผู้หญิงตรงหน้าซึ่งมีหน้าตาสดใด

“เล่นหมากเก็บกันนะคะน้าปรี”

“หมากเก็บใช้ก้อนหินห้าก้อนนะจ๊ะ มีแค่สามก้อนคงจะเล่นกันไม่ได้” เธอแจ้งให้ทราบเป็นอันดับแรก

ดาราพรยังยืนใช้มือควานหาของในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบหินสองก้อนที่หลงเหลือไว้ ยื่นส่งให้เธอ

หลานสาวชี้ไปที่หินแต่ละก้อนพร้อมส่งเสียงนับจำนวนเลข

“หนึ่ง…สอง…สาม…สี่…ห้า…มีครบแล้วไปเล่นกันดีกว่าค่ะ” ดาราพรส่งยิ้มให้ด้วยอารมณ์แช่มชื่น

“ช่วงนี้กำลังเห่อ ไม่ยอมให้ห่างมือเลย เหมือนตอนได้ตุ๊กตามาใหม่ๆ ชวนพี่เล่นทุกวัน”

ปรียานุชจ้องมองหลานสาวที่ยังยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนหันหน้าไปพูดกับพี่สาว “ปรีไม่คิดเลย เด็กสมัยนี้จะรู้จักหมากเก็บ”

“ครูที่โรงเรียนแนะนำให้พวกเด็กๆ ลองเล่นกัน ตั้งแต่ได้ก้อนหินมานะ ตอนนอนยังเอาเข้าไปนอนด้วยเลย” เปรมยุดากล่าวถึงลูกสาว

“ตอนนี้ปรีกำลังจะนำการละเล่นไทยต่างๆ มาให้พวกเด็กๆ ได้รู้จัก ปรีเห็นถึงประโยชน์ของการละเล่นไทยที่จะทำให้เด็กกล้าพูด กล้าแสดงออก กล้าเผชิญหน้ากับผู้อื่น หรือแม้แต่การปรับตัวเพื่อที่จะเข้าร่วมสังคมในคนหมู่มาก เด็กๆ จะได้รู้จักการละเล่นไทยบ้าง ไม่ใช่อยู่แต่กับหน้าจอมือถือหรือจอคอมพิวเตอร์” เธอลุกขึ้นยืน

“ดีเหมือนกันนะ เด็กๆ สมัยนี้แทบจะไม่รู้จักการละเล่นไทยกันแล้ว อย่างน้องดรีม ถ้าไม่ได้ครูบอกให้รู้จักก็คงไม่คิดว่าจะนำก้อนหินไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้ ถ้าคนไม่รู้ก็มีแต่จะหัวเราะว่าพกหินไว้กับตัวทำไม”

“น้าปรีไปเล่นกันนะคะ” หลานสาวเข้ามากอดขาราวกับให้รู้ว่ายังรอคอยที่จะไปเล่นสนุกด้วยกัน

ปรียานุชพาหลานสาวไปนั่งเล่นหมากเก็บด้วยกันบนพื้นตรงบริเวณหน้าประตูทางเข้าตัวบ้าน ส่วนผู้อื่นนั่งสนทนากันภายในบ้าน

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เธอเห็นธารทิพย์จูงมือลูกชายเดินเข้ามาในบ้าน

ยังไม่ทันจะกล่าวคำทักทาย แทนไทยปล่อยมือจากแม่ รีบวิ่งมุ่งตรงจนเกือบถึงตัวเธอ

เด็กชายนั่งยอง เอื้อมแขนไปคว้าก้อนหินบนพื้นมาถือไว้ในมือ

“ลูกแทนทำอะไรคะ ยกมือไหว้น้าปรีก่อนนะคะ” ธารทิพย์บอกลูกชายที่ยังนั่งหันหลังให้

เธอจ้องมองแทนไทยไม่วางตาเพราะกลัวเด็กชายจะนำก้อนหินเข้าปาก หากคิดว่าเป็นลูกอม

“เอาคืนมานะ” ดาราพรบอกกับผู้ที่เข้ามาก่อกวน

แทนไทยลุกขึ้นยืน

“น้าขอก้อนหินคืนนะจ๊ะน้องแทน” เธอยื่นมือไปรอรับของที่ต้องการ หากเด็กชายยังยืนนิ่งเฉย เหมือนจะไม่ฟังคำของใครทั้งนั้น

ดาราพรยืนขึ้นพร้อมทั้งเก็บก้อนหินที่เหลือใส่กระเป๋ากางเกง แล้วทวงของอีกครั้ง “เอาก้อนหินคืนมานะ”

“น้องแทนเอาของของพี่ดรีมไปไม่ได้นะคะ”

ธารทิพย์จับแขนบุตรชายเพื่อนำของในมือส่งคืนผู้เป็นเจ้าของ แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าแทนไทยจะสะบัดแขนให้พ้นจากมือมารดา ออกวิ่งไปทางกำแพงข้างตัวบ้าน เป็นเหตุให้ทุกคนที่อยู่ตรงจุดนั้นต้องวิ่งตามกันไป

แทนไทยรื่นเริงสนุกสนาน เมื่อมีคนวิ่งไล่จับ

“น้องแทนต้องเอาคืนพี่ดรีมไปนะคะ” ธารทิพย์พูดกำชับบุตรชายที่ยังทำเป็นหูทวนลม

ไม่นานนัก แทนไทยก็หยุดยืนตรงบริเวณด้านข้างตัวบ้านซึ่งเป็นฝั่งที่อยู่ติดกับเพื่อนบ้าน

เด็กชายที่ไม่มีใครจับตัวได้ก็ยังเริงร่ากระโดดโลดเต้น ด้วยความทโมนแสนซุกซน แทนไทยจึงปาก้อนหินเข้าไปในหน้าต่างของบ้านข้างเคียงซึ่งถูกเปิดทิ้งไว้ด้วยแรงสุดกำลังของเด็กวัยสามขวบ

สายตาของเธอมองตามก้อนหินก้อนนั้นจนไปหยุดอยู่ที่บานหน้าต่างของบ้านใกล้เรือนเคียง

เพียงอึดใจเดียวก็มีคนยื่นแขนมาปิดบานหน้าต่างดังปัง!

เธอเห็นเพียงคนเดียว เพราะคนที่เหลือนั้นสนใจเด็กชายซึ่งยังหัวเราะร่าโดยไม่รู้สึกรู้สาว่าที่ทำลงไปนั้นเป็นสิ่งไม่ควร

“น้องแทนทำตัวไม่น่ารักเลย รู้ไหมคะ” ธารทิพย์เข้าไปจับแขนบุตรชายที่ยอมให้จับโดยดี

ดาราพรเลิกให้ความสนใจแทนไทย หันมาจับแขนของเธอและเขย่าเบาๆ พร้อมทั้งอ้อนวอน “น้าปรีไปเอาก้อนหินให้น้องดรีมได้ไหมคะ”

เธอยังไม่ได้ตอบรับคำของหลานสาว ธารทิพย์ก็จูงแขนบุตรชายเข้ามาใกล้

“ยกมือไหว้ขอโทษพี่ดรีมกับน้าปรีนะลูก”

สิ้นเสียงเพื่อนสาว แทนไทยก็วิ่งไปทางหน้าประตูบ้านอย่างเด็กน้อยที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง

“เด็กผู้ชายคงซนอย่างนี้แหละ อย่าถือสาอะไรเลย ฉันต้องขอโทษแทนลูกด้วยนะ” ธารทิพย์พูดจบก็รีบวิ่งตามบุตรชายให้ทัน ก่อนจะไปถึงถนนหน้าบ้าน

“น้าปรีไปขอก้อนหินคืนให้น้องดรีมได้ไหมคะ” ดาราพรเดินมากอดขาเธอไว้พร้อมทั้งเงยหน้า ทำตาปริบๆ ให้ดูน่าสงสารจนเธอใจอ่อน

ทั้งที่เป็นแค่ก้อนหินธรรมดาซึ่งหาทดแทนได้ แต่ถึงแทนกันได้ ความรู้สึกที่มีก็รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ใช่ก้อนเดิม

“น้าจะเอาก้อนหินก้อนนั้นมาให้น้องดรีมนะจ๊ะ” เธอรับปากหลานสาว “น้องดรีมอย่าโกรธน้องแทนเลยนะ น้องแค่อยากเล่นสนุกกับพวกเรา แต่ยังไม่รู้จักวิธีเล่นที่ถูกต้องเท่านั้นเอง”

ปรียานุชผละออกไปจากหลานสาว เมื่อมองเห็นไม้ขนาดยาววางอยู่ชิดกำแพงปูนสูงเท่าศีรษะซึ่งกั้นไว้ให้รู้อาณาเขตของบ้านแต่ละหลัง

เธอก้มหยิบไม้มาถือไว้ในมือ หลังจากค้นพบหนทางที่จะทวงคืนก้อนหินจากคนที่อยู่ในห้องนั้น

หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้กำแพง สายตาจับจ้องไปที่ห้องที่ก้อนหินถูกปาเข้าไป เมื่อลองชูมือสุดแขน ส่วนปลายของไม้ก็ยาวถึงบานหน้าต่างซึ่งอยู่บนชั้นสองของบ้านของศศิ

เธอใช้ไม้ยาวเคาะตรงบานหน้าต่างที่ถูกปิดไว้สนิทอยู่หลายที หากไร้วี่แววของคนในห้องจะเปิดออกมาดูกันบ้างเลย

ดาราพรยืนมองน้าสาวคล้ายกองเชียร์ที่ร่วมลุ้นเพื่อให้ความปรารถนานั้นประสบผลโดยไว

เธอหันไปมองหลานสาวด้วยสีหน้าที่บอกเป็นนัยๆ ว่าคงไม่ได้ผล จึงหยุดการกระทำดังกล่าว เพราะเริ่มปวดแขน

“น้าปรีต้องเอาก้อนหินมาให้น้องดรีมให้ได้นะคะ” เสียงหลานสาวที่ยังไม่หยุดเว้าวอนเพื่อไม่ให้เธอถอดใจง่ายๆ

ระหว่างที่เธอกำลังยืนคิดหาหนทางใหม่ก็มีเสียงคนคุยกันแว่วมาทางด้านหน้าประตูบ้าน

“น้องดรีมเข้าไปรอน้าในบ้านนะจ๊ะ น้าจะกลับมาพร้อมก้อนหินก้อนนั้นแน่นอน” เธอหันหน้าไปบอกหลานสาวซึ่งยอมเดินเข้าไปในบ้านอย่างเด็กที่เชื่อฟังคำของผู้ใหญ่โดยดี

ปรียานุชเดินออกจากบ้านตัวเอง มุ่งสู่บ้านที่เป็นเป้าหมายทันที เนื่องด้วยเสียงที่ได้ยินคือเสียงของศศิที่ยังพูดไม่หยุดปากโดยมีผู้เป็นสามีนั่งฟังอยู่ไม่ห่าง

เธอเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูบ้านที่ถูกปิดไว้จนมีเสียงทักจากเจ้าของบ้าน

“หนูปรีมาหาน้าเหรอ มีธุระอะไรกันหรือเปล่า” ศศิเดินไปเปิดประตูให้หญิงสาวที่เห็นผ่านช่องว่างของประตูเหล็กดัด แล้วก็เอ่ยต่อด้วยเสียงค่อย “หรือจะมาช่วยลูกของน้า เชิญเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ถือว่าเป็นบ้านของตัวเองได้เลย”

ปรียานุชรีบแก้ความเข้าใจผิดของศศิโดยการบอกไปตามความจริง “ปรีจะขออนุญาตเข้าไปเอาของในบ้าน พอดีเด็กๆ โยนของข้ามกำแพงมาทางนี้ค่ะ”

“ตกอยู่ตรงไหนล่ะ ลองเข้าไปหาดูสิ ถ้ายังไม่เจอ เดี๋ยวพวกน้าจะได้ไปช่วยหา” ศศิยังครองบทสนทนากับหญิงสาว ปล่อยให้สามีนั่งตรงโต๊ะหินอ่อนบริเวณหน้าบ้าน

ปรียานุชจำไม่ได้แล้วว่าเข้ามาในบริเวณบ้านหลังนี้ครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อใด แต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม พื้นที่หน้าตัวบ้านเสมือนลานกว้างที่สามารถจัดงานได้ไม่ต่างจากบ้านของเธอ

“เด็กโยนของมาตกตรงไหนล่ะหนูปรี” ศศิถามย้ำ

เธอหลุดออกจากภวังค์ในอดีตที่แสนจะรางเลือนซึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยวิ่งเล่นไล่จับกับลูกชายเจ้าของบ้านตรงบริเวณลานโล่งกว้างที่ยืนอยู่ในเวลานี้

“ทางด้านนั้นค่ะ” เธอชี้นิ้วไปทางรั้วบ้านด้านที่อยู่ชิดกับบ้านของตน “แต่ไม่ได้หล่นตรงพื้น ของเข้าไปในหน้าต่างของห้องบนชั้นสองที่อยู่ทางฝั่งบ้านของปรีค่ะ”

“ห้องนั้นก็ห้องของศิลป์นะสิ ย้ายมาอยู่หลายปีแล้ว แต่ก่อนอยู่อีกห้องหนึ่ง ดีเหมือนกัน จะได้เจอกันสักที อย่าลืมที่น้าขอให้ช่วยล่ะหนูปรี” ศศิลดเสียงให้เบาลงราวกับกลัวคนที่อยู่ในบ้านจะได้ยิน

เธอจำไม่ได้แล้วว่าห้องใครเป็นห้องใคร เพราะผ่านมานานจนบางอย่างก็ลบเลือนหายไปจากความทรงจำเสียสนิท พอคิดดูอีกที ถ้าห้องนั้นเป็นห้องของไขศิลป์ เธอพอจะรู้แล้วว่าต่อให้ใช้ไม้เคาะหน้าต่างจนไม้หักก็คงยากที่จะให้คนในห้องมาเหลือบแลกัน

ปรียานุชเอ่ยด้วยเสียงเบาเช่นกัน “ถ้าศิลป์เป็นอะไรที่ปรีพอจะช่วยได้ ปรีพร้อมจะช่วยเต็มที่ค่ะ”

เธอต้องตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ไปก่อน เผื่อมีบางอย่างที่ไม่สามารถช่วยได้ แต่ไม่เคยคิดจะปฏิเสธ เพราะยังมีความปรารถนาดีที่อยากเห็นคนหนุ่มรุ่นน้องมีชีวิตดีกว่าที่เป็นอยู่

“ปรีขออนุญาตเข้าไปเอาของก่อนนะคะ”

“เชิญเลยจ้ะ ตามสบายนะ เดินขึ้นบันไดไปแล้ว ห้องทางด้านบ้านหนูปรี มีอยู่ห้องเดียว นั่นแหละห้องนอนของศิลป์” ศศิบอกหญิงสาว ก่อนจะหันไปคุยกับสามี ปล่อยให้เธอเดินเข้าไปในบ้านเพียงลำพัง

ปรียานุชจะได้ก้อนหินไปคืนหลานสาวโดยง่ายหรือไม่ เมื่อคนที่เก็บหินก้อนได้นั้นอาจจะอยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมออกมาเจอหน้าหรือพูดคุยกัน

แต่เธอบุกเข้าบ้านนี้มาได้ครึ่งทางแล้ว จะให้ถอยก็คงไม่ใช่คนอย่างปรียานุช



Don`t copy text!