ละเล่นลานรัก บทที่ 2 : หินเข้าห้อง
โดย : กุลวีร์
ละเล่นลานรัก นวนิยายออนไลน์จากอ่านเอา anowl.co โดย กุลวีร์ เมื่อนักกิจกรรมบำบัดสาวที่ต้องคอยแก้ปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยมือถือ ต้องการช่วยเหลือหนุ่มรุ่นน้องข้างบ้านที่ไม่กล้าออกไปนอกบ้าน เธอจึงใช้กิจกรรมการละเล่นไทยเป็นตัวช่วย จนเขาได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างโดยเฉพาะหัวใจตัวเอง แต่เธอก็มีทั้งคนเก่าและคนใหม่มาให้เลือก
ชายหนุ่มอายุจวนจะครบยี่สิบหกปีเป็นนักออกแบบกราฟิก ชอบหมกตัวอยู่ในห้องนอนแทบทุกเวลาของแต่ละวัน ยกเว้นตอนที่ออกมานั่งกินข้าวกับพ่อแม่และเข้าห้องน้ำ แม้จะรู้ตัวดีว่าเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง หากเมื่อก่อนเขาก็เคยอยู่ร่วมกับคนหมู่มากได้เป็นอย่างดี แต่เหตุการณ์ในอดีตที่ค่อยๆ สั่งสมมาราวกับรินน้ำจนล้นออกนอกแก้วทำให้ไม่กล้าพบปะผู้คน
พอปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาเป็นปี รู้ตัวอีกทีไขศิลป์ก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกับใครหลายคนที่ไม่คุ้นเคยกันได้อีกแล้ว
หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัย เขามีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่ไปดีลงานมาให้ทำ จึงไม่จำเป็นต้องออกไปไหน ดังนั้นหลายเดือนที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ ตั้งแต่ตื่นลืมตา เขามักจะนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยมีเก้าอี้ตัวโปรดที่รองรับสรีระของตนให้นั่งอยู่เป็นวันๆ ได้โดยไม่รู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย แต่ช่วงนี้ส่วนใหญ่จะนั่งเล่มเกมเพื่อผ่อนคลายอารมณ์
เขานึกถึงวันก่อนที่เพื่อนชายแวะมาหากัน จนมีเหตุให้ต้องเผชิญหน้ากับพี่สาวข้างบ้านที่เพิ่งจะกลับมาอยู่บ้านถาวรตามคำบอกเล่าของมารดา
‘มีคนสนใจงานออกแบบของแก’ เพื่อนเดินเข้ามาในห้องและเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นหน้ากัน
‘ก็ดีสิ ช่วงนี้ฉันกำลังว่างพอดี งานที่แกหาให้ ฉันทำเสร็จจนได้เงินเรียบร้อย ส่งรายละเอียดมาได้เลย เดี๋ยวฉันจะโทรคุยกับลูกค้าเอง ขอบใจมาก’ เขาบอกด้วยความดีใจที่จะได้มีงานทำ
‘ฉันยังพูดไม่จบเลย’ เสียงของเพื่อนชายจริงจังมากขึ้น ‘งานนี้ แกต้องออกไปดีลงานและรับงานด้วยตัวเอง ทางลูกค้าบอกฉันมาแบบนี้’
เขาเงียบไปพร้อมตรึกตรอง เมื่อรู้ว่าเพื่อนรับงานให้กันไม่ได้เหมือนที่ผ่านๆ มา
ทั้งที่อยากได้เงิน เพราะเกือบเดือนแล้วที่ไม่มีงานทำ แต่ติดตรงปัญหาของตัวเองซึ่งยังแก้ไม่ได้สักที
‘แกอย่าคิดมากเลย แค่ออกไปนอกบ้าน คงไม่ลำบากมากหรอก’
‘ฉันออกไปข้างนอกไม่ได้ แกก็รู้ งานนี้ ฉันต้องขอผ่าน’
‘แต่งานนี้ได้เงินมากนะ จะปล่อยให้หลุดมือไปหรือไง ทางลูกค้ารายนี้มีงานออกแบบอีกมาก ถ้าแกรับงานนี้ แกก็จะมีงานอื่นทำต่อไปอีก ไม่ใช่แค่งานนี้งานเดียว ลองไปคิดดูก่อนก็ได้ ฉันแค่มาบอกให้รู้ไว้ว่าฉันพยายามหางานให้แกอยู่เหมือนกัน’
‘ขอบคุณแกมากนะนิน ที่ช่วยหางานมาให้ตลอดเลย แต่ฉันขอเวลาสักหน่อย’ เขาซึ้งในน้ำใจของเพื่อนผู้นี้จริงๆ
‘ไม่เป็นไรหรอก ยังไงแกก็เพื่อนฉัน จะให้ทิ้งไปแบบไม่ดูดำดูดีเลยก็คงไม่ได้หรอก แต่แกต้องทำด้วยตัวเองบ้างเท่านั้นเอง’
คำพูดของเพื่อนทำให้เขาตัดสินใจลองก้าวขาออกไปนอกบ้านหรือพยายามพบปะผู้คนในสังคม แต่ไม่เป็นผลเช่นเคย
เมื่อวานเขายังเดินไม่ถึงหน้าปากซอยด้วยซ้ำ อาการหวาดกลัวที่เคยเป็นก็ทวีเพิ่มขึ้นรุนแรงจนต้านทานไม่ไหว แม้พยายามข่มมันไว้ แต่มันมีแรงมหาศาลจนไม่สามารถเอาชนะได้เลย เขาต้องรีบวิ่งกลับเข้าบ้านซึ่งเป็นที่ที่ปลอดภัยโดยไม่ดูตาม้าตาเรือจึงไปชนกับเธอ เพียงได้ยินคำว่าจำพี่ได้ไหม ท่าทีตื่นกลัวเกือบจะลนลานในตอนนั้นก็เบาบางจนรับรู้ได้ แต่เขารีบสาวเท้าเข้าไปในบ้านทันที เพราะกังวลในความกลัวจะเกิดขึ้นมาอีกสักหน
แล้วจะออกไปดีลงานด้วยตัวเองได้อย่างไร ถ้ายังเป็นเช่นนี้
พอนึกถึงเรื่องงานก็ส่งผลให้ไม่สบายใจ เขาจึงนั่งเล่นเกมในคอมพิวเตอร์อย่างเมามันเฉกเช่นทุกวันที่เคยเป็น
หากอยู่ดีๆ ก็มีบางอย่างหล่นใส่ศีรษะทำให้การเล่มเกมต้องหยุดชะงัก
เขาก้มมองบนพื้นที่สิ่งนั้นตกลงไป แล้วหันมองทางหน้าต่างที่มักจะเปิดทิ้งไว้ให้สายลมพัดผ่านเข้ามาเป็นประจำซึ่งอยู่เยื้องไปทางซ้ายมือใกล้กับโต๊ะวางจอคอมพิวเตอร์ เพราะมีช่องทางเดียวที่สิ่งนั้นจะเข้ามาในห้องได้
เมื่อความสนุกถูกขัดจังหวะ อารมณ์ขุ่นมัวจึงบังเกิด เขาถอดหูฟังที่ครอบใบหูทั้งสองข้างวางไว้บนโต๊ะ รีบลุกขึ้นยืนไปปิดหน้าต่างทันที เพราะกลัวจะมีสิ่งใดมาทำลายความสุขในการเล่มเกมและขัดขวางเวลาส่วนตัวของเขา
ไขศิลป์ก้มหยิบสิ่งนั้นบนพื้นขึ้นมาดูใกล้ๆ ก็รู้ว่าเป็นก้อนหินก้อนเล็ก
หินมาจากไหน
แม้เขาอยากจะรู้ แต่ยังไม่ใช่เวลาหาคำตอบเพราะกำลังติดพันกับการเล่นเกม
ชายหนุ่มวางก้อนหินไว้บนโต๊ะ ใส่หูฟัง กลับไปนั่งสนุกกับเกมตามเดิม จนไม่ได้ยินเสียงใดๆ อีกเลย เพราะพุ่งความสนใจไปที่หน้าจอเพียงอย่างเดียว
ไม่นานนักก็รู้สึกเหมือนมีคนเคาะประตูห้อง
บ้านคือสถานที่ที่สร้างความอบอุ่นใจ ไม่มีที่แห่งใดจะอยู่อย่างสบายใจและปลอดภัยได้เท่าบ้านของตัวเอง แม้วันนี้ไม่ได้ออกไปทำงาน ปรียานุชก็ยังตื่นแต่เช้าด้วยความเคยชิน อากาศยามรุ่งอรุณช่างสดชื่นแจ่มใส เรียกเรี่ยวแรงให้ร่างกายและจิตใจได้เตรียมพร้อมเปิดรับแต่สิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งวัน
เธอเดินออกมายืนรับแสงแดดอ่อนๆ ตรงลานกว้างหน้าตัวบ้านซึ่งรองรับคนได้พอประมาณ ถ้าจะจัดงานรื่นเริงหรือกิจกรรมสักอย่างก็ย่อมได้
จากนั้นปรียานุชไปช่วยมารดาทำอาหารไว้รอครอบครัวของพี่สาวที่จะมาเยี่ยมเยือนกันเป็นครั้งคราว
พี่สาวของเธอมีนามว่าเปรมยุดา อายุห่างกันเพียงสองปี หลังจากแต่งงานกับพิราม ก็ย้ายออกไปอยู่บ้านของผู้เป็นสามีซึ่งตั้งอยู่คนละฟากฝั่งกับที่นี่ พอผ่านไปหนึ่งปี พี่สาวก็ให้กำเนิดลูกสาวเพียงหนึ่งเดียวมีนามว่าดาราพร แต่คนทั้งครอบครัวมักจะเรียกติดปากว่าน้องดรีม
เปรมยุดาเปิดร้านขายและรับเช่าชุดวิวาห์ในตึกพาณิชย์ย่านการค้าที่มีผู้คนพลุกพล่านตลอดทั้งวันซึ่งอยู่ใกล้ที่พักอาศัย แต่อยู่ไกลจากที่นี่พอสมควร ทำให้ไม่สามารถพบปะกันได้บ่อยนัก
หากไม่ใช่เพราะความห่างไกลเพียงเหตุผลเดียวที่ไม่อยากไปหาพี่สาว แต่เป็นเพราะเธอไม่อยากได้ยินคำทักท้วงว่าเมื่อไหร่ชุดในร้านของพี่จะถูกใช้กับเธอเสียที หรือคำรบเร้าให้รีบหาเจ้าบ่าวมาเข้าพิธีแต่งงานโดยเร็ว
เธอมักจะตอบในใจ ถ้าหาได้ง่ายๆ คงไม่อยู่เป็นโสดมาจนป่านนี้ เพราะผู้ชายไม่เจ้าชู้และมีใจมั่นคงต่อกันมากพอคงหายากกว่างมเข็มในมหาสมุทร เธอจึงไม่คิดมุมานะเพื่อแสวงหาให้เจอ และคิดเสมอว่าถึงเวลาจริงๆ เดี๋ยวก็มีเข้ามาให้เลือกเอง
แล้วเวลานั้นตามความคิดก็กำลังจะมาถึงในไม่ช้า เพียงแค่ปรียานุชยังไม่รู้ตัว
หลังจากเตรียมอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ครอบครัวของพี่สาวก็เดินทางมาถึงบ้านนี้พอดี
หลานสาววัยห้าขวบ รีบวิ่งโผเข้ามากอดเธอทันทีที่ได้เห็นหน้า
“สวัสดีน้าก่อนสิคะ น้องดรีม” เปรมยุดาเดินตามหลังลูกสาวมาพร้อมกับพิรามเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกพี่เปรม” ปรียานุชยกมือลูบศีรษะหลานสาวอย่างรักใคร่ “คงคิดถึงน้าละสิ”
หลานสาวเงยหน้ามายิ้มให้ทั้งที่ยังกอดขาเธอไว้แน่น “แม่เปรมบอกว่าน้าปรีจะมาอยู่ที่บ้านของตากับยาย ไม่หายไปไหนอีกแล้วใช่ไหมคะ”
เป็นคำถามที่เรียกรอยยิ้มและบ่งบอกถึงความผูกพันของน้าหลานได้เป็นอย่างดี
“ที่เร่งพ่อกับแม่ให้ออกจากบ้านเร็วๆ คงอยากมาถามน้องปรีด้วยตัวเอง” พิรามเอ่ยอย่างคนรู้ทันบุตรสาว
“ไปหาพ่อกับแม่กันดีกว่านะราม ปล่อยให้น้าหลานคุยกันอยู่ตรงนี้แหละ” เปรมยุดาหันหน้าไปพูดกับสามี แล้วมองไปที่ลูกสาวซึ่งเป็นเด็กร่าเริงสดใสสมวัย “ได้เวลากินข้าวเช้าแล้วนะน้องดรีม คุยกันนิดหน่อยก็พอ ค่อยคุยกันใหม่”
“น้าอยู่ที่บ้านนี้ตลอดเลย น้องดรีมมาเล่นกับน้าได้ตลอดนะจ๊ะ” เธอบอกหลานสาว
“ไชโย น้องดรีมจะมีเพื่อนเล่นอีกคนแล้ว” ดาราพรกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ หากมีเสียงดังตรงกระเป๋ากางเกงก็นึกขึ้นได้ว่าพกบางอย่างติดตัวมาด้วย “วันนี้น้องดรีมมีของเล่นมาเล่นกับน้าปรีด้วยนะคะ”
“ไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า ค่อยมาเล่นด้วยกัน วันนี้น้าจะอยู่เล่นกับน้องดรีมทั้งวันเลย” เธอบอกหลานสาวที่มีทีท่าจะล้วงหยิบของเล่นในกระเป๋ามาอวดเธอ แต่ต้องยั้งมือไว้ เมื่อเธอจูงแขนหลานสาวให้เดินไปด้วยกันพร้อมทั้งให้คำแนะนำ “พอถึงโต๊ะอาหาร ยกมือไหว้คุณตากับคุณยายด้วยนะจ๊ะ”
หากความห่างไกลไม่ได้เป็นอุปสรรคที่จะทำให้น้าหลานผูกพันกันน้อยลง เมื่อมีเครื่องมือติดต่อสื่อสารถึงกันได้ แต่เธอมักจะจำกัดเวลาที่ให้หลานสาวได้พูดคุยกับเธอผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
ตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าตนเองนั้นมีหลานสาว ปรียานุชจะให้คำแนะนำกับพี่สาวอยู่เสมอ เพื่อให้หลานสาวเติบโตตามวัยและไม่เลี้ยงแบบสมัยนิยมที่อะไรนิดอะไรหน่อยก็ปล่อยลูกไว้กับหน้าจอโทรทัศน์หรือโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากทุกวันนี้เธอได้เห็นผลเสียที่พ่อแม่ปล่อยให้เด็กอยู่กับหน้าจอซึ่งไม่รู้เลยว่าจะส่งปัญหาโดยตรงให้กับเด็กในหลายด้าน อีกทั้งเธอยังส่งเสริมให้ครอบครัวพี่สาวมีเวลาร่วมทำกิจกรรมกับลูก ตลอดจนสังเกตพฤติกรรมของลูกอยู่เสมอ ถ้าพบสิ่งผิดปกติจะได้แก้ไขได้ทันกาล
หลังจากนั่งรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย สองสาวพี่น้องก็รับหน้าที่เก็บจานไปล้าง ปล่อยให้บิดามารดานั่งคุยกับลูกเขยคนโต รวมทั้งเล่นกับหลานในห้องนั่งเล่น
ระหว่างอยู่ในห้องครัว เธอตั้งคำถามกับพี่สาวถึงรุ่นน้องข้างบ้านที่อีกฝ่ายก็เคยรู้จัก
“พี่เปรมจำศิลป์ได้ไหม”
“จำได้สิ แต่ก่อนตอนศิลป์เด็กๆ ตามติดปรีแจเลยนะ” เปรมยุดาบอกเธอ หากมือยังใช้ฟองน้ำทำความสะอาดถ้วยชามในอ่างล้างจาน
“ปรีเพิ่งรู้ว่าศิลป์ไม่ยอมออกจากบ้าน ไม่รู้ว่าเป็นอะไรร้ายแรงหรือเปล่า” เธอเข้าเรื่องทันที
“อ้าวเหรอ ถ้าพี่จำไม่ผิดเหมือนจะเรียนจบเมื่อสองปีก่อนนะ พี่ไม่ได้อยู่แถวนี้ คงไม่รู้อะไรหรอก”
“ที่ชาวบ้านพูดกันเป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลยนะพี่เปรม ปรีได้ยินก็สงสารศิลป์เหมือนกัน พอคิดดูอีกที เพราะมีเรื่องไม่ดีอย่างนี้หรือเปล่า ทำให้ศิลป์ไม่กล้าออกไปเจอใครต่อใคร” เธอเพิ่งจะนึกถึงสาเหตุดังกล่าว
“บ้านนั้นมีลูกชายคนเดียว ถ้าเสียคนหรือเป็นอะไรพ่อแม่คงต้องเสียใจ กว่าจะเลี้ยงลูกให้โตมาขนาดนั้นได้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ พี่รู้ซึ้งดีก็ตอนเลี้ยงลูกตัวเองนี่แหละ โชดดีที่น้องดรีมเป็นเด็กน่ารัก เลี้ยงง่าย” เปรมยุดามีรอยยิ้มและใบหน้าอิ่มเอมไปด้วยความปรีติเมื่อกล่าวถึงบุตรสาว
“น้าศิมาขอให้ปรีช่วยศิลป์ให้ออกจากบ้านให้ได้ ปรียังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงดี”
“น้าศิคงเชื่อว่าปรีทำได้ ถ้าถามพี่ พี่ก็เชื่อว่าน้องของพี่ทำได้ มันคงไม่ยากเกินจนเหนือบ่ากว่าแรงหรอก กับคนที่หลอกล่อเด็กให้ทำตามที่ต้องการได้เหมือนปรี ศิลป์ยังเด็กกว่าปรี ถือว่าช่วยแก้ปัญหาหรือบำบัดเด็กอีกสักคนก็แล้วกัน”
“ศิลป์โตเป็นหนุ่มแล้วนะพี่เปรม ไม่ใช่จะเป็นเด็กเหมือนน้องดรีม” เธอแย้งพี่สาว
“คนกันเองทั้งนั้น ศิลป์ก็โตมาด้วยกัน เคยดูแลเหมือนน้องชายแท้ๆ แม้จะสนิทกับปรีมากกว่าพี่ก็ตาม” เปรมยุดาไม่สนใจคำของเธอ หากยังเอ่ยต่อ “คงเหมือนงานที่ปรีทำอยู่ทุกวันนั่นแหละ เพียงแต่ทำกับเด็กที่โตมากขึ้นอีกสักหน่อย”
ปรียานุชนึกถึงชายหนุ่มที่เคยวิ่งมาชนกันซึ่งเติบโตจากเด็กในวันวานไปมากเลยทีเดียว คงไม่ได้โตขึ้นสักหน่อยอย่างที่พี่สาวพูดออกมา
“น้าปรี ออกไปนั่งเล่นกันดีกว่าค่ะ” หลานสาวเดินเข้ามาหาเธอถึงในห้องครัว
เมื่อมีผู้เข้ามาใหม่ สองพี่น้องก็ยุติการสนทนาถึงบุคคลที่อายุอ่อนวัยกว่าไว้เพียงแค่นั้น
“วันนี้จะชวนน้าเล่นอะไรหรือจ๊ะ น้าจำได้ว่าก่อนกินข้าวน้องดรีมเตรียมของเล่นมาด้วย ไหนดูสิ มันคืออะไร” ปรียานุชลงไปนั่งยองเพื่อให้ระดับศีรษะใกล้เคียงกับหลานสาวมากที่สุด
“นี่ค่ะ” ดาราพรพูดจบก็นำมือล้วงหยิบของในกระเป๋ากางเกง แล้วแบมือให้เธอเห็น
ปรียานุชมองหินสามก้อนบนฝ่ามือของหลานสาว ก่อนจะถามว่าจะนำสิ่งนั้นไปเล่นอะไรกันดี อีกฝ่ายก็เฉลยให้รู้ทันที