หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 32 : กระบถ

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 32 : กระบถ

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

สี่วันผ่านไปโดยไร้ข่าวคราวใดทั้งสิ้น

แคนดงเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าตั่งเตี้ย มันหมกตัวอยู่ในนี้มาตั้งแต่คืนเกิดเหตุช่วงประกอบพิธีโหมกูณฑ์ ทันทีที่อินทรธนูกับปูรณิมรายงานข่าวการฆาตกรรมประหลาดในเทวาลัยมหาอุมาเทวี นับแต่นั้นหน่วยสาลิกาก็รายงานข่าวคราวความคืบหน้าเข้ามาช้าๆ

ช้าเกินไป

ต้นเหตุของการเสียชีวิตคือการบูรผสมผลึกเศษะ ทำปฏิกิริยากับหินดูดเหล็ก ผู้เสียชีวิตทุกรายล้วนเป็นทหารโขลญและครอบครัวของพวกมัน

ผู้บัญชาการหน่วยสาลิกาอ่านรายงานสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง สภาพศพหลายศพถูกร่างขึ้นในห้วงความคิด สีหน้าของมันแม้ดูเหนื่อยล้าเพราะอดหลับอดนอน แต่กระนั้นก็ยังไม่ปรากฏความรู้สึกอื่น ด้วยเฉลาญ์อย่างมันมักคุ้นเคยกับสภาพร่างไร้วิญญาณของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายในระยะใกล้มาไม่น้อย

คำบรรยายที่ถูกจดจารลงในสมุดข่อยเอ่ยถึงสีหน้าชาวศกุนตะ ทุกศพเรียงรายอยู่รอบกองกูณฑ์ แต่ละร่างล้วนบิดเบี้ยว แข็งค้างตั้งอยู่ในท่าพยายามคลานหนี นัยน์ตาเหลือกลาน แก้วตาขุ่นมัว หยาดน้ำตาสีโลหิตไหลอาบแก้มลงมาจากหางตา ริมฝีปากแสยะกระด้างบ่งบอกถึงความทรมาน

“บทสรุปขั้นต้นของอินทรธนูคือ สาเหตุการตายคล้ายอาการโรคลมชักเฉียบพลัน สภาพศพบ่งถึงอาการชักกระตุกอย่างรุนแรง เมื่อควบรวมเข้ากับความร้อนภายในร่าง สมองใต้กะโหลกจึงเหลวเละ เพลิงไฟคงก่อกำเนิดจากด้านในถึงได้ทะลวงปลายนิ้วจนเกิดรอยราวถูกปลายธูปจี้อย่างนั้น”

เสียงฝีเท้าย่ำเข้ามาใกล้ขัดจังหวะความคิดของแคนดง

ผู้บัญชาการหนุ่มผินหน้าไปมอง เห็นมนตรีเข้ามาในคูหา มีตำราและบันทึกปกรณัมปึกใหญ่เหน็บมาใต้รักแร้ รอยคล้ำปรากฏรอบดวงตาเหี่ยวย่นชัดเจน ชายชราผู้นี้ก็ไม่ยอมกลับเรือน อยู่โยงเป็นเพื่อนมันมาตลอดคืน

“หากการตายเกิดจากสาเหตุภายใน คงไม่พ้นการวางยา” ชายชราเอ่ย

“ผลึกเศษะป่นผสมการบูร…”

“เหล่ารสายนเวทบุร่ำบุราณจดบันทึกไว้ว่า เมื่อใส่เกล็ดงูในภาชนะทองเหลือง นำไปอังไฟกระทั่งหลอมละลายกลายเป็นหยดน้ำใส และพอความร้อนระเหยหาย น้ำใสนั้นก็แข็งตัวกลายเป็นผลึกโปร่งสะท้อนแสงก่อสีเหลือบรุ้งจางๆ”

“โอ” บุรุษวัยยี่สิบอุทาน

ผู้ทำหน้าที่พิทักษ์ศานติของสรุกจำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านพิษเพื่อช่วยในการสืบสวน และแคนดงก็มั่นใจว่าวิชาของมันมิได้น้อยหน้าไปกว่าเฉลาญ์อื่น ทว่านับแต่เกิดมามันกลับไม่เคยรู้ว่ามีผลึกพิสดารถูกเก็บงำเอาไว้ในโรงอากรขนอนหลวง

มนตรียื่นตำราประสมแร่แปรธาตุให้แคนดง แล้วเอ่ยต่อ

“หากเอาผลึกที่ว่าลงไปบดในโกร่ง มันจะกลายเป็นผงละเอียดคล้ายการบูรป่น”

“และถ้ามีหินดูดเหล็กอยู่ใกล้มันละก็…” แคนดงก้มหน้าลงไปในสมุดข่อยใกล้ๆ

“จักเกิดสายฟ้าลั่นเปรียะ เปลวไฟพวยพุ่ง” หลังสิ้นคำ มนตรีสูงวัยเม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว

จังหวะนั้นบุรุษทั้งสองได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังห้อตะบึงเข้ามาอย่างเร่งร้อน ฉับพลันสีหน้าของแคนดงก็เต็มไปด้วยความหวัง

หวังว่าจะได้รับข่าวดี

“ไอ้ตุ่น ได้เรื่องอย่างไรบ้าง” แคนดงกระวีกระวาดเข้าไปถาม

เฉลาญ์ตุ่นส่ายหน้า “ศศินยังคงกบดานเงียบเชียบ เฉลาญ์ทุกนายต่างเข้าตรวจตราตามบ้านเรือนชาวสรุก ว่ามีผู้ใดลักลอบให้ที่พักพรานโจรฤๅไม่ แต่…”

“อันใด” แคนดงถอนใจ ความเจ็บปวดส่อชัดในแววตา

“คดีเผานายจำกอบทั้งเป็นน่าจะได้ข้อสรุปแล้ว” เฉลาญ์ตุ่นจ้องใบหน้าอันซีดเซียวของผู้บังคับบัญชา “ท่านคงไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้วกระมัง เขม็งตึงเช่นนี้อาจหมดสติล้มพับ”

มนตรียิ้มให้ไอ้ตุ่น พร้อมตั้งใจจะยกมือสั่งให้แคนดงกลับไปพักผ่อน

คราวนี้เป็นฝ่ายแคนดงที่ส่ายหน้า “มิได้ ถึงไปนอนยามนี้ก็นอนไม่หลับ สามสี่วันมานี้เพียงหลับตาก็เกรงว่าหากเกิดเรื่องใหญ่ในงานคเณศจตุรถีตอนข้าหลับใหลละก็ คงไม่อาจจัดการอะไรได้ทันท่วงที”

“ข้ายังได้งีบอยู่บ้าง แต่สภาพของเอ็งเยี่ยงนี้ จักมีสติสั่งการกระไรได้” มนตรีตำหนิ

ไอ้ตุ่นหลุบตาลงมงตั่งเตี้ยของผู้บังคับบัญชา เห็นสมุดข่อยและคัมภีร์คร่ำคร่ากองระเกะระกะเต็มไปหมด ไร้ซึ่งที่ว่าง มันไม่เคยนึกสงสัยเลยว่างานนี้สร้างความเครียดขึงให้แคนดงมากน้อยเพียงใด

“มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะจัดการกับสถานการณ์เช่นนี้” แคนดงกล่าว “คือข้าต้องพร้อมรับมือทุกสิ่งที่กำลังจะเกิด”

“ดีเลิศหาใครเปรียบ” มนตรีวิพากษ์ด้วยถ้อยคำเหี้ยนสั้น “เช่นนั้นก็ให้ไอ้ตุ่นรายงานเถิด”

“พบโถเครื่องเคลือบอยู่ที่เรือนร้างของอดีตโขลญคลาง ปรากฏร่องรอยว่ามีคนใช้มันบรรจุน้ำมันผสมเกล็ดงู” เฉลาญ์ตุ่นแจ้ง

แคนดงขมวดคิ้ว “โถพวกนั้นเป็นของผู้ใด”

“ลักษณะโดดเด่นเป็นของตระกูลเฒ่าเกิบแถวตีนเขาวนํรุง ราคาแพงลิ่ว ทำให้ผู้สามารถจับจ่ายไปใช้งานได้มีเพียงประดาโปญของสรุกที่รายรอบ”

“สิคาลเคยรั้งตำแหน่งโขลญคลาง ตรวจนับข้าวของในโรงอากรขนอนหลวง ไม่แปลกที่จะมีโถราคาแพงอยู่ในมือ” มนตรีออกความเห็น

“นอกจากโปญผู้ครองสรุกแล้ว ชาวศกุนตะที่นิยมใช้เครื่องเคลือบของเถ้าเกิบมีอยู่ผู้เดียวคือนายจำกอบ” ไอ้ตุ่นอธิบาย

แคนดงถึงกับยกหัวคิ้วสูง “สิคาลมันหยิบจับข้าวของของผู้ชายไปใช้ได้ด้วยฤๅ เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานนมถึงเพียงนั้น”

“ฤๅไม่ก็มีคนในส่งมอบให้มันใช้” มนตรีเอ่ย

“บานเมือง?” แคนดงหรี่ตา “นั่นมันญาติฝ่ายแม่ของเอ็งมิใช่ฤๅ”

“เมื่อเช้าข้าได้ลองสำรวจที่เรือนของมหาเสนาปติแล้ว ไม่มีโถเครื่องเคลือบที่ว่า” เฉลาญ์ตุ่นเว้นจังหวะ “ข้าจึงตั้งใจว่าจะไปตรวจดูที่เรือนร้างของนายจำกอบสักเล็กน้อย…”

ทันทีที่ผู้บังคับบัญชาพยักหน้า ไอ้ตุ่นก็เผ่นแผล็วออกไปทันที

“หน้านิ่วคิ้วขมวดมาตั้งแต่เมื่อครู่ สิ่งที่ติดอยู่ภายในใจคงมิใช่เรื่องนายจำกอบเท่านั้นกระมัง” ชายชราตั้งข้อสังเกต

“พอเอ่ยถึงเรือนร้างของนายจำกอบข้าก็นึกขึ้นมาได้” นัยน์ตาแคนดงกระจ่างวาบ “เมื่อครั้งหน่วยสาลิกาเพิ่งก่อตั้ง โยกย้ายสถานที่ทำการหลายครั้ง สุดท้ายเลือกที่นี่ และนอกจากเรือนนายจำกอบแล้ว ที่อยู่ถนนเส้นนี้ล้วนเป็นสถานที่สำคัญ กองระเบียนของเจ้าหน้าที่ครัวเรือน สะดวกแก่การตรวจค้นหนังสือราชการ ทิศตะวันออกติดตลาด สามารถตรวจสอบควบคุมร้านค้า ทิศใต้เชื่อมถนนใหญ่ราชมรรคา สะดวกต่อการเคลื่อนย้ายกำลังโขลญ เพียงตั้งสิ่งใดไว้บนทางดำเนินสายนี้ ย่อมสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งมวล บัญชาการทุกสิ่งได้เหมาะสม”

“นี่เอ็งหมายความว่า…” มนตรีเบิกตาโพลง

“ศศินอาจซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งในละแวกนี้”

“เอ็งฉลาดเฉลียวนัก ศศินเข้าศกุนตะหาใช่มาพักผ่อนทอดน่อง หากขบถดำแฝงตัวอยู่ที่นี่จริง ศศินย่อมต้องบัญชาการ ต้องการยุทธศาสตร์ในการสื่อสารอย่างดีเยี่ยม มันจึงต้องเลือกจุดเชื่อมต่อไปมาสะดวกรอบด้านเป็นฐานลับ”

แคนดงเชิดคางครุ่นคิด “แต่มีอยู่อีกอย่างที่ข้ายังสงสัย”

“อันใด”

“ทั้งที่ข้าสั่งการอินทรธนูกับปูรณิมให้ตามสืบคดีนายจำกอบอีกทางด้วยปากของข้าเอง มิได้ใช้รหัสสาลิกาสื่อสาร แล้วเหตุใดไอ้ตุ่นถึงรู้รายละเอียดข้อมูลปฏิบัติการอย่างสมบูรณ์ที่สุดจนถึงกษณะนี้” แคนดงหลับตา กดปลายนิ้วนวดขมับ

“มิน่าเล่าศศินถึงล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของเราทุกก้าวย่าง”

“เป็นไปได้ฤๅ” ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“ส่งสารสั่งให้ปูรณิมตรวจสอบเฉลาญ์ตุ่นเดี๋ยวนี้” สองตาชายเฒ่าสาดประกายเย็นเยียบ



Don`t copy text!