พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 32.1 : ปรากฏตัว

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 32.1 : ปรากฏตัว

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

“เลือดมังกร” เชวังนึกขึ้นมาได้ เขาหันมาทางล่องเมฆที่สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “คุณเอาเลือดมังกรติดมาด้วยหรือเปล่า”

“นี่ครับ” ล่องเมฆล้วงหยิบเลือดมังกรออกมาจากเป้ที่สะพายติดตัวมาด้วย ส่งให้เชวังและอีกฝ่ายก็รับไปอย่างรวดเร็ว

เขาใช้มือทั้งสองฉีกและขยี้ใบสีแดงสดของสมุนไพร ล่องเมฆเห็นน้ำยางสีแดงไหลชุ่มมือของอีกฝ่าย เชวังวางใบเลือดมังกรลงที่แผลบนศีรษะของลิ่วลมและกดเอาไว้แน่น

“ตายจริง” นารีญาพึมพำ “สะอาดหรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวแผลติดเชื้อ ลมจะยิ่งแย่ไหมน้าอัญ”

“ผมเป็นหมอ” เชวังเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่มีหมอคนไหนอยากทำอันตรายคนไข้ของเขาหรอก”

“แต่…” นารีญาผู้เติบโตมากับโลกยุคใหม่ ยังคงมองการกระทำของนายแพทย์ชาวภูฏานด้วยสายตาลังเล

“มัวเป็นห่วง กลัวว่าแผลจะติดเชื้อ เดี๋ยวก็ได้ตายเพราะเสียเลือดไปก่อนหรอก” เชวังแค่นเสียง

“เลือดมังกรมีคุณสมบัติหลายอย่าง มีคุณสมบัติเหมือนยาเคมีบำบัด มีปริมาณวิตามินสูง คุณสมบัติหนึ่งในนั้นคือ เป็น Anti-septic หรือยาฆ่าเชื้อด้วยครับ” ล่องเมฆอธิบาย

“นอกจากฆ่าเชื้อได้แล้ว มันยังสามารถช่วยหยุดเลือดได้ด้วย” เชวังว่า เขายังกดใบสมุนไพรที่พอกอยู่บนบาดแผลแน่น รออีกพักใหญ่เมื่อแกะออก ทุกคนก็พบด้วยความอัศจรรย์ใจว่าบาดแผลของลิ่วลมที่เลือดยังไหลออกมาไม่หยุด บัดนี้แห้งสนิทอย่างไม่น่าเชื่อ

“ลม…ลม” ล่องเมฆเรียกพี่ชาย ทว่าลิ่วลมเพียงแต่ปรือตาขึ้นมอง ทำปากขมุบขมิบเหมือนจะพึมพำอะไรสักอย่าง แต่แล้วเขาก็กลับแน่นิ่งไปอีกครั้ง

“เอายังไงกันต่อดีครับ” เยชิถาม เขาและลูกน้องมีท่าทางอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

“คงต้องพาลิ่วลมกลับเข้าเมือง” เชวังตัดสินใจรวดเร็ว “เราแค่หยุดเลือดเขาเอาไว้ชั่วคราว แต่ร่างกายของลิ่วลมยังบอบช้ำมาก ต้องพาเขาไปตรวจอย่างละเอียด ไม่รู้มีอะไรแตกหักบ้างหรือเปล่า…ยังจะศีรษะที่กระแทกกับก้อนหินนั่นอีก ไม่รู้ในสมองจะมีอะไรกระทบกระเทือนหรือเปล่า แล้วก็คนอื่นๆ อีก…เราโดนน้ำซัดมาเป็นระยะทางไกล ยังไงไปตรวจร่างกายสักหน่อยก็น่าจะดีกว่า”

“เมืองอยู่ไกล เดินเท้าต้องใช้เวลาเป็นวันๆ” อัญญาวีร์เอ่ยขึ้น ดวงตาของเธอกวาดมองทุกคนด้วยความเป็นห่วง “อย่าว่าแต่ลิ่วลมจะไม่ไหวเลย…พวกเราก็ไม่น่าจะไหว”

“อืม…นั่นสิ” เชวังนิ่งไปพักใหญ่

เขาออกจะเห็นด้วยกับอัญญาวีร์ แต่ถ้าไม่พาลิ่วลมไปโรงพยาบาล เขาก็เกรงว่าลิ่วลมจะทนไม่ไหว อาการหมดสติของเขาบอกให้รู้ว่าภายในน่าจะไม่โอเค

“ฉันจะพาเขาไปเอง”

เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น เมื่อทุกคนหันไปมองดูที่มาของเสียง ก็พบหญิงสาวร่างโปร่งระหงในชุดพื้นเมืองภูฏานรัดกุมยืนอยู่บนโชดหินทางด้านหลัง

“ยังเชน”

ล่องเมฆและเชวังอุทานขึ้นพร้อมกัน

เธอมาปรากฏกายเงียบๆ ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่มีผู้ใดทันสังเกต

นารีญาจำชื่อนั้นได้

เธอหันไปจ้องมองหญิงสาวผู้เป็นต้นเหตุของการหายตัวไปของล่องเมฆ แล้วได้แต่อ้าปากค้างด้วยความทึ่งแกมตื่นตะลึง เพราะยังเชนที่ปรากฏตรงหน้านั้นดูสง่างาม ปราดเปรียว ดวงตาเปล่งประกายฉลาดเฉลียว ยามเมื่ออยู่ในชุดพื้นเมืองที่กระชับรัดกุม ทำให้ยังเชนดูเท่ราวกับนักรบหญิง หาใช่หญิงชาวบ้านเชยๆ อย่างที่นารีญาเคยจินตนาการเอาไว้ก่อนหน้านี้

“ว่าไงนะ” ล่องเมฆกะพริบตาถี่ๆ “คุณจะพาลิ่วลมไปส่งที่ในเมืองหรือ…ไปยังไง…”

“อย่าถามเยอะ” ยังเชนสะบัดเสียง สายตาของเธอจ้องมองลิ่วลมแน่วนิ่ง “เราต้องแข่งกับเวลา”

“นั่นสิ ไปยังไง” เชวังขมวดคิ้วมุ่น “อย่าบอกนะว่า…”

“ค่ะ อา” ยังเชนพยักหน้า ผมของเธอมุ่นเป็นมวยอยู่ที่ท้ายทอย ปักปิ่นไม้เอาไว้หลวมๆ “มีทางเดียวเท่านั้น”

“แต่…” เชวังส่ายหน้า

“ถ้าไม่ทำแบบนี้ อามีทางอื่นหรือคะ” ยังเชนย้อนถาม และเชวังก็ได้แต่นิ่ง…ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ หญิงสาวเห็นดังนั้นจึงหันบอกกับล่องเมฆว่า

“ช่วยกันกับอาเชวัง พยุงพี่ชายของคุณตามฉันมา”

เยชิและคินซาเห็นเชวังและล่องเมฆประคองร่างปวกเปียกของลิ่วลมด้วยท่าทางลำบาก ก็เลยจะเข้ามาช่วย หากยังเชนห้ามเสียงเข้ม

“ไม่ต้อง…ห้ามคนอื่นยุ่งเด็ดขาด ไปได้แต่ล่องเมฆกับอาของฉันเท่านั้น”

“ล่องเมฆ…” เชวังนิ่วหน้า

“เขารู้แล้วค่ะอา” น้ำเสียงของยังเชนแผ่วต่ำ “เพระเขารู้…หนูถึงต้องเก็บเขาไว้ให้อยู่กับเรา”

เชวังฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมา เรื่องราวซับซ้อนกว่าที่เขาคิดมากนัก

“แต่…” อัญญาวีร์พึมพำ เธอรู้สึกว่าเรื่องราวชักจะประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ

“ไม่เป็นไรอัญ” เชวังบอกอดีตคนรักของเขา “ผมกับล่องเมฆช่วยกันได้…พวกคุณรออยู่ตรงนี้”

“ฉันไม่ตกลง” นารีญาคัดค้าน “ฉันจะไปด้วย”

“ไปด้วยไม่ได้” ยังเชนเสียงเข้ม

“ทำไมถึงไปไม่ได้” นารีญาไม่ยอมแพ้ ดวงตาของเธอจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าแน่วนิ่ง

“เพราะ…” ยังเชนนิ่งไป เหมือนกำลังคิดว่าจะตอบนารีญาอย่างไร

“เพราะพาหนะที่จะพาลิ่วลมไปโรงพยาบาล…ไปได้จำกัด” เชวังเป็นคนตอบแทนหลานสาว

“ไหนคะ พาหนะที่ว่า” นารีญาเหลียวมองไปรอบๆ “เฮลิคอปเตอร์…เครื่องร่อน หรืออะไร…ฉันไม่เห็นจะมีพาหนะอะไรอย่างที่คุณว่าเลย…ฉันจะไว้ใจคุณได้ยังไง”

“ถ้าเรื่องมากแบบนี้ก็ไม่ต้องไป” ยังเชนเม้มริมฝีปากแน่น “ปล่อยให้ตายอยู่ตรงนี้แหละ”

“ไม่ได้นะ” ล่องเมฆร้อง เขาหันมาทางนารีญาและอัญญาวีร์แล้วว่า “พวกคุณไว้ใจยังเชนเถอะครับ เธอมีวิธีของเธอ และผมก็จะไปกับลมด้วย”

“แต่…” นารีญาละล้าละลัง

แม้จะเพิ่งรู้จักกับลิ่วลมไม่นาน ทว่าหลายวันที่ได้ร่วมผจญภัยกันมา สร้างความผูกพันให้เธอกับเขาโดยที่นารีญาเองไม่ทันรู้ตัว

ตอนไหลไปกับกระแสน้ำแล้วศีรษะของลิ่วลมกระแทกเข้ากับหินงอกอย่างรุนแรง นารีญารู้สึกในตอนนั้นว่าเป็นห่วงเขาจับใจ

‘ลม ลม’

เธอร้องเรียกและพุ่งตัวเข้าไปหาเขา นารีญาพยายามประคองลิ่วลมไม่ให้จมหายไปกับสายน้ำ จนกระทั่งคณะเดินทางทุกคนตกลงมาในทะเลสาบแห่งนี้

‘แข็งใจเอาไว้ ยังตายไม่ได้นะ ยังไม่เจอล่องเมฆเลย’

ชื่อนั้นทำให้ลิ่วลมฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยายามฝืนกายไม่ให้จมลงไปกับกระแสน้ำ

‘พยับฟ้า…’ เขาไม่วายเป็นห่วง ‘พยับฟ้าโพยมดิน…’

‘ยังอยู่’ นารีญาบอกให้เขามั่นใจ

‘อย่าให้หายนะ’ ลิ่วลมกำชับ ก่อนที่เสียงกระแสน้ำที่ถะถั่งหลั่งไหลรุนแรงจะกลบเสียงพูดประโยคต่อมาของเขา จนนารีญาไม่ได้ยินอะไรอีก

“ไม่ต้องห่วง” เสียงหนักแน่นของล่องเมฆให้ความมั่นใจกับเธอ “ลมเป็นพี่ชายของผมนะคุณ…ทำตามที่ยังเชนว่าเถอะ”

“นั่นสิ เวลาทุกนาทีมีความหมาย พวกคุณรีบไปกันเถอะ” อัญญาวีร์พยักหน้า เธอเอื้อมมือไปแตะแขนหลานสาวเบาๆ ราวจะเตือนสติ “นี่ไม่ใช่เวลาจะมาเอาชนะคะคานกันนะรีญา”

“หนูเป็นห่วงลิ่วลม” เธอเอ่ยเสียงสั่น

“ถ้าเป็นห่วง ยิ่งต้องให้เขาพาลมไปหาหมอ” อัญญาวีร์ย้ำ

“พวกคุณรออยู่ตรงนี้ ส่งลมไปกับยังเชนแล้ว ผมจะกลับมาหา…จากนั้นพวกเราจะเดินเท้าไปที่เมืองซัมเซด้วยกัน…” เชวังบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ว่าแต่พวกคุณจะเดินกันไหวหรือเปล่า”

“ไหวค่ะ” นารีญาพยักหน้า พึมพำเสียงแผ่วต่ำในลำคอ “มาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไงก็ต้องไหว”



Don`t copy text!