พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 2.2 : วันฟ้ากระจ่าง

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 2.2 : วันฟ้ากระจ่าง

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

“แหม” นารีญาหัวเราะชอบใจ “ขวัญอ่อนจริงนะคุณ”

ลิ่วลมอ้าปาก ยังไม่ทันจะพูดอะไร หญิงสาวก็ส่งโทรศัพท์มือถือให้แล้วสั่งเขาว่า

“ถ่ายรูปให้หน่อยสิ”

ลิ่วลมพยักหน้า ก่อนจะเดินตามนารีญาไปด้านหน้าสถูป แล้วกดถ่ายภาพจนกระทั่งหญิงสาวพอใจ

“อยากถ่ายไหม” นารีญาเอ่ยขึ้นลอยๆ

“ถามผมเหรอ” ลิ่วลมชี้หน้าอกตัวเอง

“ถ้าไม่ถามคุณแล้วฉันจะถามใคร” นารีญานิ่วหน้า

“ไม่อะ” ลิ่วลมส่ายหน้า ไม่มีอารมณ์อยากถ่ายรูปอะไรทั้งนั้น ใจเขาตอนนี้ไม่ได้จดจ่ออยู่กับความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยว เขาอยากตามหาน้องให้เจอมากกว่า

“ถ่ายเหอะ” นารีญาคะยั้นคะยอ “ภูฏานเชียวนะคุณ…ไม่ได้มีโอกาสมาบ่อยๆ”

ลิ่วลมหันไปหาตัวช่วย อาจารย์อัญญาวีร์ยืนคุยกับคินซาอยู่อย่างออกรสออกชาติ ลิ่วลมถอนใจเบาๆ ก่อนจะเดินไปยืนที่หน้าสถูปน้อมรำลึกอย่างเสียไม่ได้

“ยิ้มเป็นไหม” นารีญาถาม

“อ้ะ” เขาฉีกยิ้มอย่างฝืนๆ

“โพสท่าหน่อย” หญิงสาวสั่งอีก “ยืนตัวตรงเป็นทหารเลย”

เขาขยับขาและยกแขนขึ้นกอดอก นารีญายิ้มพอใจ ก่อนจะกดถ่ายภาพให้เขา

“ตรงโน้นก็สวย” เธอชี้มือไปทางด้านซ้ายมือของสถูป มีศาลาไม้เล็กๆ ที่มีเสาเรียงรายเป็นระเบียบสวยงาม

“ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากถ่าย” ลิ่วลมปฏิเสธ

“ฉันไม่ได้จะถ่ายคุณ” นารีญาส่ายหน้า “ฉันต่างหากที่อยากถ่าย คุณไปถ่ายให้ฉันหน่อย”

“อีกแล้วเหรอ” ลิ่วลมกะพริบตาปริบๆ

“ฉันไม่ได้มาภูฏานทุกวันนะ” นารีญาเดินนำหน้าไปยังจุดที่เธอต้องการ และลิ่วลมก็จำต้องเดินตามไปแต่โดยดี

กว่าจะเก็บภาพครบทุกมุมจนนารีญาพอใจ ท้องฟ้าก็เริ่มหม่นแสง ก้อนเมฆที่เคยแผ่ตัวเป็นแผ่นบางๆ เริ่มแปรมาจับเป็นกลุ่มก้อน นารีญาเงยหน้าขึ้นมองก้อนเมฆอย่างหลงใหล และลิ่วลมได้แต่จ้องมองหญิงสาวด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่เคยเห็นใครมองเมฆด้วยอาการลุ่มหลงเช่นนี้มาก่อน

จริงสิ…ก็เธอเป็นนักอุตุนิยมวิทยานี่นะ…

คินซาเห็นแขกของเธอกำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศและสถานที่ จึงขอตัวไปเดินหาสัญญาณเพื่อโทรศัพท์ไปคุยงาน ลิ่วลมนึกอยากจะปลีกตัวไปนั่งเงียบๆ แต่ยังทำไม่ได้ เพราะนารีญาไม่ปล่อยให้เขาเป็นอิสระ หญิงสาวคอยเรียกให้ชายหนุ่มถ่ายภาพเธอที่มุมนั้นมุมนี้ตลอดเวลา

“ตรงนี้คุณ…ตรงนี้สวยมาก” นารีญาชี้ไม้ชี้มือ

“มาไม่ถึงครึ่งวัน ถ่ายไปเป็นร้อยๆ รูปแล้ว ยังไม่พออีกหรือ” ลิ่วลมบ่น

“ยังไม่พอ” นารีญาหัวเราะ “มาตรงนี้หน่อย…ถ่ายหลบคนให้ฉันด้วยนะคุณลม”

“เรื่องมากจริง” เขาบ่นบ้าง

“แค่นี้ทำเป็นบ่น” นารีญาทำเสียงออดอ้อน “นะคะ นะคะ ถ่ายให้ฉันหน่อยนะ คุณลมถ่ายรูปเก๊งเก่ง”

“ไม่ต้องมาหลอกล่อเลย”

“ไม่ได้หลอกล่อ ฉันพูดจริง นะคะคุณลม…มาตรงนี้เร้ว”

“เฮ้อ” ฉุนก็ฉุน ขำก็ขำ ลิ่วลมถอนใจแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี ในใจไม่คิดเลยว่าจะต้องกลายมาเป็นลูกไล่นารีญาแบบนี้

“หลบฝรั่งกับแขกสองคนนั้นให้ฉันด้วยนะคุณ” นารีญาเหลือบสายตาไปทางฝรั่งวัยกลางคนที่มากับเพื่อนชาวอินเดีย ทั้งสองกำลังใช้กล้องส่องทางไกล ส่องดูอะไรสักอย่าง “แหม…อีตาฝรั่งกับแขกสองคนนี้ก็เหลือเกิน”

ประโยคหลังนารีญาพูดเป็นภาษาไทยเพราะกลัวคนที่เธอนินทาจะเข้าใจ

“ยืนจองวิวอยู่ได้ ไม่ให้คนอื่นถ่ายรูปมั่งเลย”

“เอาเหอะ อย่าบ่นเลย คุณขยับไปทางขวาหน่อย” ลิ่วลมโบกมือ “เดี๋ยวผมหลบมุมให้”

“ใช้ได้” นารีญาเดินมาดูผลงานของลิ่วลมแล้วพยักหน้าพอใจ

“อืม…สองคนนั้นหน้าคุ้นจัง” ลิ่วลมไม่ได้สนใจคำชมของนารีญา เขาพยายามนิ่งนึก ก่อนจะพยักหน้ากับตัวเอง “อ้อ…มาไฟลต์เดียวกับเรานี่นา”

“นึกออกละ” นารีญาทำปากยื่น “ที่คอยขอเบียร์อยู่ตลอดเวลา เมาตั้งแต่ล้อยังไม่แตะรันเวย์…เฮ้อ…หวังว่าคงไม่ได้เจอกันอีกนะ”

อัญญาวีร์ยืนอยู่ตรงระเบียง ทอดสายตามองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสอง เธอสังเกตเห็นว่าหลานสาววุ่นวายกับลูกศิษย์หนุ่มอย่างไร

อัญญาวีร์ส่ายหน้าน้อยๆ นึกในใจว่าคืนนี้กลับไปที่โรงแรม เห็นจะต้องปรามนารีญาเสียหน่อย ไม่ให้มาวุ่นวายกับลิ่วลมแบบนี้อีก แต่นึกอีกที ปล่อยให้หลานสาวชวนลิ่วลมคุย ออกคำสั่งให้เขาทำนั่นทำนี่สักหน่อยก็น่าจะดี เพราะลูกศิษย์ของเธอกำลังเป็นกังวลเรื่องที่น้องชายหายตัวไปเป็นอย่างมาก การที่มีอะไรให้เขาวุ่นๆ แบบนี้ อย่างน้อยคงช่วยให้ชายหนุ่มพอจะลืมเรื่องเครียดไปได้ชั่วขณะ

เธอปล่อยให้สองหนุ่มสาวเดินถ่ายภาพอยู่รอบนอกอนุสรณ์สถาน ตัวเองเดินเข้าไปในอาคารเพื่อคารวะรูปปั้นของท่านคุรุ รินโปเช ซึ่งเป็นนักบวชที่ชาวภูฏานเคารพนับถือเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ภายในอาคารยังมีรูปปั้นของซับดรุง งาวังนัมเกล กษัตริย์ผู้รวบรวมประเทศภูฏานให้เป็นหนึ่งเดียวอีกด้วย

ภายในอาคารเต็มไปด้วยผู้คนมากมายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ยิ่งเวลาผ่านไปผู้คนยิ่งเยอะ

ภูฏานไม่มีสถานบันเทิงอย่างโรงภาพยนตร์ หรือผับ บาร์ เวลาที่ผู้คนเลิกงาน ก็มักจะนัดกันไปไหว้พระ สวดมนต์ บ้างก็เดินเขา ท่องเที่ยว ชมธรรมชาติที่ยังงดงามสมบูรณ์

อัญญาวีร์เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาของท่านคุรุ รินโปเช

เธอหลับตานิ่ง นึกตั้งจิตภาวนา

หากยังภาวนาไม่ทันเสร็จ ผู้คนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในอนุสรณ์สถานก็เบียดกัน แย่งจะเข้ามาให้ใกล้รูปปั้นท่านคุรุให้มากที่สุด หนึ่งหรือสองคนในกลุ่มกระแทกอัญญาวีร์จนเสียหลักเกือบจะล้มลง หากไม่มีมือแข็งแกร่งของใครบางคนช่วยจับเอาไว้จากข้างหลัง

กระแสอบอุ่นจากฝ่ามือของใครคนนั้นทำให้อัญญาวีร์ถึงกับสะดุ้ง เธอรีบหันกลับไปอย่างรวดเร็ว หากใครคนนั้นรีบแทรกตัวหนีไปเสียก่อน

แผ่นหลังสูงใหญ่ในชุดพื้นเมือง หายลับไปในระหว่างผู้ชน

แม้ไม่เห็นหน้าค่าตา หากอัญญาวีร์จำได้แม่นยำ

ไม่ผิด…เป็นเขาแน่ๆ…

เธอตะโกนเสียงดัง

“เชวัง ทินเลย์…นั่นคุณใช่ไหม”

 



Don`t copy text!