พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 1.2 : ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 1.2 : ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าโพยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

แต่แล้วล่องเมฆก็หายเข้ากลีบเมฆไปจริงๆ สมดังชื่อ หายลับติดต่อไม่ได้ ไม่ว่าช่องทางใด หายไปนานกว่าสองสัปดาห์แล้ว และนั่นทำให้ลิ่วลมตัดสินใจเดินทางมาภูฏานเพื่อตามหาคู่แฝด เพราะสถานการณ์ครั้งนี้ไม่ธรรมดา…

ไม่ธรรมดาเพราะเขารู้สึกว่างโหวง พยายามเรียกหาน้องชายแต่ไม่มีคำตอบจากล่องเมฆ

ใช่…

แม้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่เขากับน้องชายฝาแฝดสามารถ ‘พูดคุย’ กันได้ผ่านทางจิต

ลิ่วลมไม่รู้ว่าความสามารถพิเศษนี้มีกับฝาแฝดคู่อื่นหรือไม่ แต่สำหรับเขาและล่องเมฆ แค่นึกถึงกัน อีกคนก็รับรู้ และสามารถส่งคลื่นความคิดพูดคุยกันได้

ไม่ว่าจะอยู่ถิ่นทุรกันดารแค่ไหน ก้นเหวลึก ดำน้ำอยู่ใต้ทะเล หลงทางอยู่กลางทะเลทราย…ไม่ว่าจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์อย่างไร แต่สภาพภูมิศาสตร์เหล่านั้นไม่อาจสกัดกั้น ‘คลื่นแห่งจิต’ ที่เขาและน้องสื่อถึงกัน

ดังนั้น…การที่ล่องเมฆเงียบสนิทไปแบบนี้ ย่อมต้องมีเหตุ…

ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาก่อน และเรื่องที่เกิดขึ้นสั่นสะเทือนความรู้สึกของลิ่วลมอย่างรุนแรง เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่างที่แผ่อยู่โดยรอบ ในนิมิต…เขามองเห็นควันดำและสัตว์ร้ายที่บินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือหุบเขาที่น้องชายของเขาพำนักอยู่…

ภาพนั้นหมายถึงอะไร เกิดอะไรขึ้นกับล่องเมฆ

มีเพียงน้องชายเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเห็นนิมิต

นิมิตของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ลิ่วลมไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเขาได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ นิมิตของเขาไม่เคยผิดพลาด

อย่างไรก็ตาม ลิ่วลมพบว่านิมิตไม่ได้มาปรากฏให้เขาเห็นบ่อยๆ

นิมิตจะมาเมื่อจะเกิดเหตุสำคัญกับบุคคลสำคัญรอบตัวของเขา ลิ่วลมบังคับนิมิตไม่ได้ บางครั้งเขาอยากรู้อนาคต อยากจะเห็นแทบตายแต่นิมิตก็ไม่เคยมาตามใจปรารถนา แต่ครั้นพอจะมา…นิมิตก็จะปรากฏขึ้นเอง

นิมิตมาปรากฏให้เขาเห็นโดยปราศจากรายละเอียด ลิ่วลมบอกไม่ได้ว่ามันจะเกิดเมื่อใด ที่ไหน แต่นิมิตของเขาไม่เคยผิดพลาด…

สิ่งเดียวที่ลิ่วลมพอจะทำได้คือ พยายามจดจำรายละเอียดของภาพนิมิตให้มากที่สุด เพราะนั่นอาจจะเป็นเบาะแสเดียวที่เขามี

ครั้งหนึ่ง พี่สาวของเขาซึ่งได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วกลับมาเยี่ยมพ่อที่อุดรธานี ตอนที่รินดารากำลังเดินทางกลับ จู่ๆ ภาพของพี่สาวก็วาบขึ้นในหัวของเขา

ในนิมิตของลิ่วลม เขาเห็นรินดารากำลังเดินอยู่ในสวนแห่งหนึ่ง หิมะกำลังตกโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย พี่สาวของเขาถือกระเป๋าใบหนึ่งในมือ จู่ๆ ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏกายออกมาท่ามกลางลมพายุ ผิวของเธอขาวซีดราวหิมะ ริมฝีปากแดงสดราวสีเลือด ดวงตาของผู้หญิงคนนั้นโหดร้าย เหี้ยมเกรียม ดูแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่มนุษย์

ผู้หญิงคนนั้นตั้งใจจะทำร้ายรินดารา…

ลิ่วลมจำความรู้สึกขนลุกเกรียวได้แม่นยำ ภาพนิมิตแจ่มชัดเหมือนเขาอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย

แต่…เขาเห็นเพียงเท่านั้น ไม่มีรายละเอียดอื่นใด

เขาเตือนพี่สาวให้ระวังตัว และเธอก็ถูกทำร้ายจริงๆ เหตุการณ์เหมือนกับนิมิตที่เขาเห็นไม่มีผิด (1)

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน เขามองเห็นไม่ชัดว่าจะเกิดอะไรกับล่องเมฆกันแน่

สิ่งเดียวที่เขามั่นใจคือล่องเมฆยังไม่ตาย แต่กำลังตกอยู่ในอันตราย

และเขาเป็นคนเดียวที่จะช่วยน้องชายได้

 

“ลืมตาได้แล้วลม”

เสียงอ่อนโยนของสตรีวัยกลางคนเรียกเขาเบาๆ

“เครื่องแลนดิ้งเรียบร้อยแล้ว…ไหวไหมเนี่ย หน้าซี้ดซีด”

“ไหวครับ” เขาพึมพำเสียงแผ่ว ความปั่นป่วนในกระเพาะอาหารค่อยลดความรุนแรงลงไปนิดหนึ่ง ลิ่วลมหันไปส่งยิ้มให้กับอาจารย์ของเขา

“ป๊อด” หญิงสาวหน้าตาคมขำที่นั่งถัดไปเอ่ยขึ้นลอยๆ

“ใครปอด” ลิ่วลมขมวดคิ้ว

“ก็ใครที่กลัวความสูง” หญิงสาวคนนั้นหัวเราะคิกคัก

“ผมไม่ได้กลัวความสูง” ลิ่วลมเถียง

“เห็นหน้าซีด หลับตาปี๋” ยังคงหัวเราะเสียงกวนประสาท

“ผมเวียนหัวนิดหน่อย”

“ป๊อดนั่นแหละ”

“ไม่ได้ปอด”

“พอได้แล้วนารีญา พอได้แล้วลิ่วลม ยังไงนะ…ทะเลาะกันเป็นเด็กไปได้” ดอกเตอร์อัญญาวีร์เอ็ดหลานสาวนักอุตุนิยมวิทยากับลูกศิษย์นักภาษาศาสตร์

ลิ่วลมและนารีญาจ้องหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่างคนต่างจะหันหน้าหนีไปทางอื่น

ดอกเตอร์อัญญาวีร์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ที่หาตัวจับได้ยาก ตอนที่อายุน้อยกว่านี้ อัญญาวีร์เป็นสาวขาลุย เธอเคยขอทุนจากมูลนิธิหลายแห่ง เพื่อเดินทางไปเก็บข้อมูลเกี่ยวกับรากเหง้าและภาษาของผู้คนตามดินแดนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย อัสสัม ทิเบต ไทใหญ่ รัฐฉาน รวมถึงภูฏาน แต่ละประเทศอาจารย์อัญญาวีร์จะไปอยู่ครั้งละหลายเดือน ไม่ได้ไปแบบนักท่องเที่ยว แต่จะไปกินนอนใช้ชีวิตอยู่เหมือนคนในพื้นที่ อัญญาวีร์มีเพื่อนฝูงมากมายในทุกแห่งที่ผ่านไป และยังคบหากันมาจนถึงวันนี้

นักศึกษาทั้งคณะต่างรู้วีรกรรมของดอกเตอร์อัญญาวีร์เป็นอย่างดี ดังนั้น เมื่อจะต้องเดินทางไปยังภูฏาน ลิ่วลมจึงเดินไปขอคำแนะนำจากอาจารย์คนดัง ดอกเตอร์อัญญาวีร์ไม่เพียงแต่ให้คำแนะนำอย่างละเอียด แต่เธอตัดสินใจเดินทางมาด้วยพร้อมกับหลานสาวอีกหนึ่งคน

‘อาจารย์จะไปทำไมครับ’ ลิ่วลมทำตาโต ‘อาจารย์แค่ให้ข้อมูลผมก็พอ…ผมไปเองได้ อาจารย์ไม่ต้องลำบากไปด้วยตัวเองหรอกครับ’

‘เธอว่าจะไปซัมเซไม่ใช่หรือ’ ลิ่วลมไม่ทันสังเกตว่ายามเอ่ยชื่อเมืองซัมเซ อาจารย์ของเขาเหมือนจะชะงักไปนิดหนึ่ง

‘ครับ’ เขาพยักหน้า ‘น้องชายของผมไปที่นั่น แล้วขาดการติดต่อไปเลย’

‘ตอนไปศึกษาภาษาของคนภูฏาน…อาจารย์เคยตั้งใจจะไปที่นั่น’ เสียงของอาจารย์วัยกลางคนแผ่วลง ‘แต่ไม่มีโอกาสได้ไป…ครั้งนี้ก็เลยอยากจะไปด้วย เธอคงไม่ขัดข้องใช่ไหมลิ่วลม’

‘ผมแค่เกรงใจ’

‘ไม่ต้องเกรงใจ’ อาจารย์อัญญาวีร์พูดตรงๆ ‘เพราะถ้าไม่ได้ไปกับเธอหนนี้ อาจารย์ก็ต้องหาทางไปเองอยู่ดี…ไปด้วยกันหลายคน นอกจากประหยัดแล้ว เรายังช่วยกันได้ด้วย’

‘อาจารย์พูดเหมือนหนทางลำบาก’

‘หนทางจะไปซัมเซ ไม่ใช่ลำบากธรรมดา…ลำบากมาก และอันตรายมาก’ อาจารย์ของเขาหัวเราะเสียงแผ่วในลำคอ ‘ถึงตอนนั้น เธอจะต้องรู้สึกขอบคุณที่อาจารย์มาด้วย…ไม่เชื่อก็รอดูไป’

 

เชิงอรรถ :

(1) เหตุการณ์นี้ ปรากฏอยู่ในนวนิยายเรื่องกลกิโมโน ของ พงศกร

 



Don`t copy text!