แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 1 : อย่าลืม! ตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเองเดือนละครั้ง

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 1 : อย่าลืม! ตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเองเดือนละครั้ง

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากยามเช้าอันสดใสของวันที่แสนธรรมดา กัลย์กมลไม่เคยรู้สึกว่าเธอตื่นเต็มตาขนาดนี้มาก่อน อาจเพราะวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมานั้นได้ใช้เวลาในการพักผ่อนอย่างเต็มที่ เช้าวันจันทร์นี้ทุกอย่างจึงได้ดูแจ่มใส แม้แต่เสียงนกร้องก็ยังเป็นใจให้เธอรู้สึกถึงอารมณ์อันปลอดโปร่งไปด้วย

นี่แหละ…เป็นเวลาอันสมควรไปทำงานที่เรารัก

ความคิดนั้นออกจะกึ่งประชดตัวเองสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะผิดไปทั้งหมด เธอรักการทำงานและแน่ทีเดียวว่าบางครั้งเธอก็รู้สึกเกียจคร้าน แต่ไม่ใช่กับวันที่อากาศดีเช่นนี้ แน่นอนว่าก่อนจะลุกจากเตียง กัลย์กมลไม่ลืมที่จะเปิดโซเชียลมีเดียเพื่ออ่านข่าวสาร รวมถึงดูความเคลื่อนไหวของบรรดาคนรู้จักในนั้น และหนึ่งในข้อความอันสะดุดตา ซึ่งมีพื้นหลังสีชมพูก็เรียกความสนใจเธอเข้า

‘อย่าลืม! ตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเองเดือนละครั้ง’

แม้คำว่ามะเร็งจะเป็นเรื่องห่างไกล ทว่าก็น่าสนใจสำหรับหญิงสาววัยยี่สิบห้าอยู่ไม่น้อย จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ตรวจเต้านมอย่างจริงจัง ก็น่าจะผ่านมาสักสองสามเดือนได้

“ลองสักหน่อยก็ไม่เสียหายนี่”

ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ จัดการกับกิจวัตรประจำวันของตัวเอง และในขณะกำลังปล่อยให้น้ำอุ่นจากฝักบัวชะล้างคราบสบู่อยู่นั้น เธอก็เริ่มทำการตรวจเต้านมด้วยตัวเองตามที่ได้เห็นจากภาพ จากที่ไม่ได้นึกอะไรในตอนแรก ทว่ากลับมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้กัลย์กมลเริ่มว้าวุ่นใจ

“เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ”

มีบางอย่างผิดปกติที่หน้าอกซ้ายจนรู้สึกได้ หญิงสาวพยายามคลำดูให้แน่ใจ สิ่งนั้นอยู่ใต้เนื้อตรงเนินอกซ้าย มันเหมือนก้อนอะไรสักอย่างที่เธอเองแน่ใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติแน่

 

พอเริ่มมั่นใจว่าเกิดความผิดปกติขึ้นกับตัวเอง กัลย์กมลก็รีบอาบน้ำให้เสร็จ แล้วนุ่งผ้าขนหนูลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน เอาเป็นว่ายามเช้าอันแสนสดใสของเธอชักจะเริ่มขุ่นมัว ด้วยความกังวลลึก ๆ จนต้องดิ่งจากห้องน้ำ ตรงมาหาดลฤดีผู้เป็นแม่ที่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมตัวไปทำงานเช่นกัน

“แม่…”

ดลฤดีหันไปตามเสียงของลูก ก็พบเห็นร่างอรชรที่มีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันตัว ผมยาวดำขลับถูกรวบมวยไว้แล้วครอบด้วยหมวกอาบน้ำ ไม่มีจุดไหนเลยที่บ่งบอกว่าลูกสาวคนเดียวของเธอพร้อมสำหรับการไปทำงานแล้ว

“หนูดี ทำไมยังไม่แต่งตัวอีก”

“แม่ดูนี่ให้หนูดีก่อน”

หญิงสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาแม่ ก่อนจะปลดผ้าขนหนูลงมาอย่างหมิ่นเหม่ เรียกว่าอีกนิดเดียวเธอก็จะเปลือยอกให้แม่เห็นอยู่แล้ว ขณะเดียวกันดลฤดีก็ทำหน้าประหลาดใจ ด้วยไม่นึกว่าลูกสาวจะใจกล้าขนาดนี้ เพราะนับตั้งแต่หัดใส่เสื้อในได้เธอก็ไม่เคยเห็นลูกสาวเปลือยอกให้เห็นอีกเลย

“ต๊าย!…โตเป็นสาว จะมาโชว์นมให้แม่ดูอีกเหรอ ไม่อายใครเขาบ้างรึไง”

“เนี่ยแม่…ลองจับตรงนี้สิ” กัลย์กมลไม่สนใจแล้วคว้ามือของแม่ตัวเองมาวางไว้ที่เนินอกซ้าย ตรงที่มีก้อนน่าสงสัยก่อนจะถามอีกครั้ง “แม่รู้สึกไหมว่ามันเป็นก้อน”

“อืม…มันก็คล้าย ๆ นะ ก้อนเล็ก ๆ”

สีหน้าของผู้เป็นแม่มีท่าทีครุ่นคิด พลางแตะหน้าอกตัวเองเพื่อความแน่ใจ ซึ่งกัลย์กมลรู้ดีว่าแม่เองก็คงสงสัยไม่ต่างกัน

“แม่ว่าหนูควรไปตรวจไหม” ความกังวลของหญิงสาวฉายชัดในใบหน้า คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็ก ๆ จะอย่างไรการเกิดสิ่งผิดปกติในร่างกายนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรวางเฉย

“ก็ดีนะ จะได้สบายใจ เดี๋ยววันนี้ก็ลางานครึ่งวันแล้วกัน ตอนบ่ายแม่จะไปรับ”

คนพูดตัดบทอย่างรวดเร็ว ซึ่งกัลย์กมลรู้ดีว่าแม่คงไม่อยากให้เธอคิดไปไกลกว่านี้ จากนั้นหญิงสาวก็รีบขึ้นไปแต่งตัวบนบ้าน พร้อมกับความขุ่นมัวในใจที่ยังไงก็สลัดไม่ออก

 

กัลย์กมลมาถึงที่ทำงานด้วยสภาพที่ไม่พร้อมสักเท่าไร เธอลงมาจากรถและเกือบลืมเอากระเป๋าลงมาด้วยจนดลฤดีต้องตะโกนเรียก ภาพของสองแม่ลูกที่ตัวติดกันดูเหมือนจะเป็นเรื่องชินชาไปเสียแล้ว แม้ว่าจะทำงานคนละที่แต่ดลฤดีก็มักจะขับรถไปส่งกัลย์กมลที่ทำงานก่อนเสมอ

หญิงสาวก้าวเข้าไปยังบริษัทขนาดเล็กอันเป็นที่ทำงานของเธอตั้งแต่เรียนจบด้วยหัวใจว้าวุ่น ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงยิ้มแย้มพูดคุยกับทุกคนที่ทักทายอย่างสุภาพ ไม่ต่างอะไรกับทุกวันที่เจอกัน

“ใจลอยมาทำงานเหรอหนูดี เมื่อกี้พี่เห็นแม่เราตะโกนเรียกว่าลืมกระเป๋าดังเชียว” หนึ่งในเพื่อนร่วมงานเอ่ยทักหญิงสาว

“เช้านี้สมองเบลอนิดหน่อยค่ะพี่” เธอตอบพร้อมกับหยิบบัตรพนักงานรูดกับเครื่องเพื่อยืนยันเวลาเข้างาน “วันนี้หนูดีว่าจะลาครึ่งวันอยู่ค่ะ”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

เสียงจากพนักงานรุ่นพี่ถามด้วยความสนใจ ซึ่งกัลย์กมลเองก็ไม่ได้คิดปิดบัง

“พอดีหนูดีคลำเจอก้อนแข็ง ๆ ตรงหน้าอกค่ะ ว่าจะให้หมอตรวจสักหน่อย”

“ดี ๆ พี่ว่าเราควรไป แล้วจะไปตรวจที่โรงพยาบาลไหน” คนที่เพิ่งรู้คำตอบพยักหน้าเห็นด้วย

“ว่าจะไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์แหละค่ะ”

“โอ๊ย…โรงพยาบาลรัฐน่ะ วันนี้ก็ไม่ได้ตรวจหรอก ทำไมไม่ไปเอกชนก่อน เนี่ยพี่เห็นมีโรงพยาบาลที่เขามีแพคเกจตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมราคาพิเศษอยู่นะ”

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เธอเริ่มคิดได้ หากใช้โรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคมก็น่าจะใช้เวลามากอยู่ และหากว่าเธอสามารถเข้าถึงการรักษาที่ไวขึ้น เสียเงินเพิ่มอีกสักหน่อยก็น่าจะลองดู

“นั่นสินะคะ”

“แล้วใครพาไป”

“แม่ค่ะ…”

พนักงานรุ่นพี่พยักหน้าเป็นอันว่ารู้กัน อย่างที่เห็นว่าเธอกับแม่ไปไหนมาไหนด้วยกันแค่สองคน ส่วนเรื่องความรักนั้นกัลย์กมลแทบไม่เคยมีข่าว ครั้งสุดท้ายที่เปิดตัวให้ทุกคนรับรู้ รวมถึงข่าวการเลิกลาก็น่าจะผ่านมาสักปีกว่า ๆ ได้แล้ว

หญิงสาวกลับไปทำงานตามปกติ โดยไม่ลืมที่จะทำเรื่องลางานครึ่งวันเอาไว้ เธอไม่อยากเก็บความสงสัยเอาไว้กับตัวนานนัก อย่างน้อยจะเป็นอะไรก็จะได้รู้กัน ซึ่งจากที่เคยลองหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตคร่าว ๆ แล้ว อายุขนาดเธอส่วนใหญ่ก็มักจะเจอเนื้องอก มากกว่าเนื้อร้าย ซึ่งเธอก็คิดว่าตัวเองน่าจะอยู่ในส่วนของเนื้องอกธรรมดาเท่านั้น

 

กัลย์กมลใช้เวลาช่วงบ่ายหมดไปกับการตรวจก้อนเนื้อปริศนาโดยมีดลฤดีมาเป็นเพื่อน เธอพบสิ่งใหม่ตลอดเวลานับตั้งแต่การเจอแพทย์ เครื่องแมมโมแกรมที่เธอไม่อาจนิยามได้ถึงความประหลาดใจที่ต้องตรวจกับสิ่งนี้ หรือแม้แต่การอัลตร้าซาวด์ครั้งแรก ทุกอย่างดูเป็นสิ่งใหม่ทั้งหมด และเพราะเป็นโรงพยาบาลเอกชน บรรยากาศจึงดูจะสบายกว่าโรงพยาบาลรัฐสักหน่อย แถมเจ้าหน้าที่ก็มีสีหน้าอิ่มเอิบสดใส เรียกว่าแทบพยุงเธอเข้าห้องตรวจไปทีเดียว

และแน่นอนว่าความสะดวกสบายที่ว่ามานั้น ต้องแลกกับค่าบริการที่แพงเอาเรื่อง แม้จะเป็นค่าใช้จ่ายในแพคเกจก็ตาม

“เป็นยังไงบ้างหนูดี” ดลฤดีผู้เฝ้ามองลูกสาวเดินเข้าออกห้องตรวจอยู่หลายรอบ ไต่ถามด้วยความเป็นห่วงแต่ไม่ได้ติดกังวลอะไรมากนัก นอกเสียจากตอนเห็นหน้าซีด ๆ ของลูกสาวตอนจ่ายเงินค่าตรวจเท่านั้น

“ก็ดีค่ะแม่…”

“แล้วเขาให้ไปตรวจอะไรบ้าง แม่เห็นเขาพาเราเข้าห้องนู้นออกห้องนี้”

เท่านั้นเองกัลย์กมลถึงกับถอนหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนจะหันหน้าบูดที่มาพร้อมกับการเบะปากเหมือนจะร้องไห้มาหาแม่ตัวเอง

“เขาเห็นหน้าอกหนูดีหมดเลยอ่ะแม่”

“โธ่เอ๊ย…ก็เรามาตรวจเต้านม จะไม่ให้ใครเห็นได้ยังไง” พอเห็นลูกสาวยังทำเป็นเล่น ดลฤดีก็อดไม่ได้ที่จะตีเบา ๆ เข้าที่ไหล่ของเธอสักครั้ง โดยที่หญิงสาวนั้นก็หัวเราะคิกคักเป็นเรื่องสนุก

“แหม…ก็ไม่คิดว่าจะเห็นกันหลายคนแบบนี้หนิ”

กัลย์กมลบ่นอุบอิบ เพราะปกติเธอคงไม่เปิดหน้าอกให้ใครดูเด็ดขาด พอต้องมาเปิดต่อหน้าคนแปลกหน้าเช่นนี้ มันก็อดไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกอาย อีกทั้งยังต้องเจอกับเครื่องตรวจที่ไม่เคยเจอมาก่อนด้วย

“โดยเฉพาะเครื่องหนีบนมนั่นน่ะ หนูดีน่ะอายมากเลย แถมต้องหนีบหลายรอบด้วย”

พอเธอบอกไปกลายเป็นว่ายิ่งได้เห็นสีหน้าประหลาดใจของแม่มากขึ้นกว่าเดิม ดลฤดีขมวดคิ้วมุ่น เหมือนจะกำลังนึกถึงการทำงานของเจ้าเครื่องนั่นอยู่

“เครื่องหนีบนม…อะไรนะ”

“เขาเรียกว่าเครื่องแมมโมแกรมน่ะแม่”

ไม่รู้อะไรพอเป็นชื่อภาษาอังกฤษแล้ว ดลฤดีฟังแล้วกลับรู้สึกดีกว่า ‘เครื่องหนีบนม’ ที่ลูกสาวตั้งให้ พอเห็นท่าว่าจะไม่ได้ความอะไรกับลูกมาก เธอก็เข้าประเด็น

“แล้วตกลงหมอเขาว่ายังไง”

“หมอว่าจะต้องเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจอีกที ถึงจะรู้ว่าเป็นเนื้อดีหรือร้าย แต่หนูดีว่าจะเอาผลตรวจวันนี้ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคม”

“แล้วมันจะไม่นานเกินไปเหรอ” ฟังลูกพูดแล้วคนเป็นแม่ก็อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ อย่างที่รู้ว่าโรงพยาบาลรัฐนั้นต้องใช้เวลารอ ไม่เหมือนกับเอกชนที่ทุกอย่างรวดเร็วทันใจ

ทว่ากัลย์กมลกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะเธอคิดถึงเงินที่ต้องเสียไปมากกว่า อีกอย่างจากการที่ได้คุยกับแพทย์ หากมีแนวโน้มไม่ดีสุดท้ายเธอก็ต้องไปรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์อยู่ดี

“ไม่น่านะคะ อีกอย่างที่โรงพยาบาลนั้นก็มีหมอเฉพาะทางเรื่องนี้ด้วย จะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเจาะชิ้นเนื้อเพิ่ม”

“แล้วแน่ใจนะว่าไม่มีอะไรต้องกังวล”

“หนูดีว่าคงไม่มีอะไรหรอก”

เธอตอบกลับไปทั้งที่ในใจก็แอบกลัวอยู่บ้าง หลังจากที่อัลตราซาวด์แล้วแพทย์ผู้ตรวจบอกว่าลักษณะก้อนเนื้อของเธอดูไม่ดีนัก ซึ่งเธอก็ไม่กล้าถามว่ามีแนวโน้มมากแค่ไหนที่จะเป็นเนื้อร้าย ทว่าตอนนี้ก่อนจะคิดไปไกล เธอขอทำเรื่องที่ต้องทำให้ดีก่อน จะเป็นอย่างไรคงต้องว่ากันอีกที

 

หลังจากเสร็จธุระ สองแม่ลูกก็แวะซื้อของที่ตลาดก่อนจะกลับบ้าน ซึ่งกัลย์กมลคิดว่าเธอน่าจะต้องลางานวันรุ่งขึ้นอีกสักวัน เพื่อไปนัดตรวจชิ้นเนื้อที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ให้เรียบร้อย แน่นอนว่าเธอยังคงมีหวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไร และก็จะได้บอกลาก้อนเนื้อที่กวนใจนี้สักที

บ้านทาวน์โฮมสองชั้นหลังที่สองจากปากซอยเป็นเคหสถานที่เธอกับแม่พักอาศัย พื้นที่หน้าบ้านเล็ก ๆ นั้นมีเพียงต้นล่ำซำขนาดใหญ่ที่เกินไปยังรั้วบ้านหลังแรก กับสนามหญ้าขนาดย่อม ไม่มีต้นไม้อื่นนอกจากนั้นเพราะเจ้าของบ้านไม่ชอบสิ่งที่ต้องดูแลให้วุ่นวาย ผิดกับบ้านหลังแรกของซอย เพื่อนบ้านที่แสนใจดีผู้ชอบปลูกต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ ดังนั้นการที่กิ่งก้านต้นล่ำซำของบ้านเธอล้ำไป จึงไม่ใช่ปัญหา เพราะตอนนี้มันได้พันกับต้นมะม่วงใหญ่ของบ้านหลังแรกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พูดถึงเพื่อนบ้านที่แสนดี กัลย์กมลอดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปในรั้วบ้านหลังแรก ก่อนจะเห็นรถอีโค่คาร์สีดำคันเล็กจอดอยู่ ซึ่งหมายถึงว่าตอนนี้มีคนอยู่ในบ้านไม่ผิดแน่

“ป้าดาน่าจะกลับมาแล้วนะคะแม่” หญิงสาวที่เพิ่งลงจากรถเก๋งคันเก่าของแม่ชะเง้อมองไปยังรั้วบ้านของปรีดา เพื่อนบ้านผู้แสนดีซึ่งกำลังต่อสู้กับโรคมะเร็งลำไส้อยู่

“ไปเยี่ยมกันไหมล่ะ”

ดลฤดีชวนลูกสาว ไม่ใช่เรื่องแปลกที่สองแม่ลูกจะไปเยี่ยมปรีดาทุกครั้งหลังจากที่อีกฝ่ายกลับมาจากการทำเคมีบำบัด และครั้งนี้กัลย์กมลก็ตั้งใจที่จะไปพูดคุยกับปรีดาเรื่องความกังวลของเธอด้วย

สองแม่ลูกเดินมาที่หน้าบ้านของปรีดา พร้อมกับขนมของฝากเหมือนกับทุกครั้ง และพอกดกริ่งคนที่ออกมาคนแรกก็คือจิตบุณย์ ลูกชายคนเดียวของปรีดานั่นเอง

“บุ๋น แม่หลับอยู่รึเปล่า”

“เปล่าครับ”

ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ กัลย์กมลมองดูชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สวมเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวด้วยความเกรงอกเกรงใจอยู่ในที ปกติแล้วจิตบุณย์เป็นคนเงียบ ๆ อาจเรียกได้ว่าทั้งวันเธอแทบไม่ได้ยินเสียงเขาพูดคุยสักเท่าไร ข้อมูลเล็กน้อยที่เธอรู้เกี่ยวกับลูกชายคนเดียวของปรีดาก็คือ เขาทำงานบริษัทแต่เนื่องจากต้องมาดูแลแม่ที่ป่วย เลยขอทำงานที่บ้านแทนและจะเข้าบริษัทต่อเมื่อต้องส่งงานเท่านั้น

และจะว่าไป เธอกับจิตบุณย์ก็รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่ย้ายเข้ามาในบ้านนี้แรก ๆ ตอนนั้นเธอน่าจะยังอยู่มัธยมต้น ส่วนเขาเป็นเด็กมัธยมปลายที่กำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย นั่นเป็นสิ่งที่เธอรับรู้ แต่ส่วนหนึ่งที่เหมือนกันก็คือทั้งสองต่างมีเพียงแม่ที่เลี้ยงมาจนโต ส่วนพ่อก็แยกย้ายไปมีครอบครัวใหม่ และแทบไม่ได้ติดต่อมาหากไม่มีธุระ

“หนูดี เอาขนมให้พี่บุ๋นสิ”

ดลฤดีบอกกับลูกสาวที่ยังยืนนิ่ง ขณะเดียวกันกัลย์กมลก็ยื่นถุงขนมให้กับจิตบุณย์ และได้ยินเสียงขอบคุณเบา ๆ จากเขา

“แม่อยู่ในบ้านครับ เข้าไปได้เลย”

ชายหนุ่มบอกอย่างคุ้นเคย ดลฤดีกับลูกสาวเดินเข้าไปในบ้านที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ฝาผนังประดับไปด้วยกรอบรูปและใบประกาศความสำเร็จของจิตบุณย์อยู่เต็มไปหมด ผิดกับบ้านของเธอที่ผนังนั้นมีแต่ภาพจิ๊กซอว์ที่เธอต่อสำเร็จ และนั่นก็นับเป็นความภูมิใจเล็ก ๆ ของกัลย์กมล เพราะอย่างน้อยเธอก็ยังพอจะมีความสำเร็จเอาไว้อวดคนอื่นบ้าง

ตรงบริเวณโถงรับแขกชั้นแรกนั้นถูกปรับให้เป็นที่นอนของปรีดามาสักพัก เหตุด้วยการขึ้นชั้นสองเริ่มเป็นเรื่องยากลำบากเมื่อการรักษาทำให้คนป่วยเริ่มหมดแรง ดังนั้นถัดจากโซฟาก็เป็นเตียงนอนของคนป่วย ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นโต๊ะทำงานของจิตบุณย์ กัลย์กมลเห็นที่นอนแบบพับได้อยู่ใต้บันไดทางขึ้น แสดงว่าสองแม่ลูกใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ข้างล่างมานานแล้ว ส่วนชั้นบนนั้นเธอเดาว่าคงเป็นที่เก็บของกับเสื้อผ้าเท่านั้น

“อ้าว สองแม่ลูกนั่นน่ะ…มานั่งก่อนสิ”

เสียงนั่นมาจากร่างผอมบางของหญิงสูงวัยที่นอนอยู่บนเตียง กัลย์กมลยกมือไหว้ปรีดาพร้อมกับยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันขาวเหมือนทุกครั้ง ส่วนดลฤดีก็เข้าไปนั่งบนเตียงเดียวกับผู้ป่วยด้วยท่าทีสนิทสนม

“พี่ดาเป็นไงบ้าง รอบนี้ไปนอนโรงพยาบาลหลายวันเลย”

“เลือดจางน่ะ หมอเขาเลยต้องให้เลือดเพิ่ม” ปรีดาตอบเสียงเบา ด้วยสภาพร่างกายที่อิดโรยจากการทำเคมีบำบัด จากคนที่เคยน้ำหนักเกินมาตรฐาน ตอนนี้เหลือเพียงร่างที่ไม่ต่างอะไรจากหนังหุ้มกระดูก จะลุกเดินก็ต้องมีคนคอยประคองตลอด

แม้กัลย์กมลจะเห็นปรีดามาตั้งแต่แรก แต่พอคิดว่าหากเจ้าก้อนเนื้อที่อยู่เป็นเนื้อร้ายขึ้นมา มันก็อดที่จะกังวลไม่ได้ว่าเธอจะต้องพบสิ่งเดียวกับที่แม่ของจิตบุณย์เป็นหรือไม่

“วันนี้ฉันซื้อขนมปังสังขยาจากร้านตรงตลาดใต้มาฝากด้วยนะ” ดลฤดียกถุงขนมปังขึ้นมาให้คนป่วยได้เห็น ด้วยจำได้เป็นอย่างดีว่าปรีดานั้นชอบขนมปังร้านนี้มาก

“ซื้อมาทำไมเยอะแยะ พี่น่ะ…อร่อยแค่ไหนก็ไม่รู้รสหรอก ก็มีแต่ให้เจ้าบุ๋นมันกินไปนั่นแหละ” ปรีดาเหลือบมองลูกชายที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการเก็บข้าวของ โดยที่เขาไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมา “แล้ววันนี้ทำไมถึงได้ไปตลาดใต้ล่ะ”

“ก็ไอ้หนูดีน่ะสิ เจอก้อนเนื้อที่หน้าอก ก็เลยไปตรวจโรงบาลเอกชนแถวนั้น”

“อ้าว แล้วหมอเขาว่ายังไงบ้าง” ปรีดาแสดงความเป็นห่วงออกมาทางสีหน้าที่ซีดเซียว

“หมอว่าต้องเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจค่ะ พรุ่งนี้หนูดีเลยว่าจะไปตรวจที่โรงบาลรัฐ”

“ไม่ต้องกลัวนะลูก หนูอายุยังน้อย คงไม่เป็นไรหรอก” ปรีดาปลอบใจ ด้วยตัวเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อน ซึ่งมันก็นานจนจำความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้แล้ว

“หนูก็ว่าอย่างนั้นค่ะ แต่มันก็อดที่จะกลัวไม่ได้” เธอตอบไปตามจริง และเห็นว่าจิตบุณย์ที่กำลังทำธุระอยู่เมื่อครู่หยุดชะงักไป

“เป็นใครก็กลัวลูก ขนาดป้ายังกลัวเลย แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องอยู่กับความกลัวให้ได้นะ”

“หนูดีก็หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมากค่ะ” ใบหน้าจิ้มลิ้มเผยรอยยิ้มอวดฟันเรียงสวยเป็นเม็ดข้าวโพดออกมา เธอยังมีกำลังใจที่เข้มแข็ง และที่สำคัญกัลย์กมลยังคงคิดว่ามะเร็งนั้นยังอยู่ห่างจากตัวเองเกินไป

พอได้ฟังสิ่งที่ปรีดาบอก ก็ทำให้กัลย์กมลรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง อันที่จริงเธอมองเห็นระยะการรักษาของปรีดามาตั้งแต่แรก เริ่มตั้งแต่การตรวจเจอมะเร็งลำไส้ การรักษาเหมือนจะหายจากโรคนี้ไปสักปีสองปี แต่แล้วปรีดาก็ตรวจเจอเนื้อร้ายที่เริ่มกระจายไปตามอวัยวะใกล้เคียง ทุกวันนี้ต้องใช้ชีวิตเข้าออกโรงพยาบาลเพื่อรับเคมีบำบัดอยู่เรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีสักครั้งที่ปรีดารู้สึกท้อใจ ซึ่งเธอคิดไม่ออกเลยว่าหากเป็นตัวเอง เธอจะยังมีจิตใจที่เข้มแข็งอย่างปรีดาได้หรือไม่

 

 

 

Don`t copy text!