แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 11 : รอยแผลเป็น

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 11 : รอยแผลเป็น

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

กว่าห้าวันที่พักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล ในที่สุดก็ถึงเวลาที่กัลย์กมลจะได้กลับบ้านเสียที ครั้งแรกที่ได้สัมผัสอากาศอันแสนบริสุทธิ์จากบ้านที่คิดถึง ทำให้หญิงสาวต้องสูดเข้าจมูกแรง ๆ เพื่อรับความสดชื่นของอากาศที่คุ้นเคย รวมถึงความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งในบ้าน ซึ่งทุกตารางนิ้วเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะต้นล่ำซำที่เธออยากเจอใจจะขาด

หญิงสาวค่อย ๆ ลงจากรถด้วยอาการทุลักทุเลพอสมควร อย่างแรกเลยคือการเปิดประตูโดยใช้มือขวาเอื้อมไปที่ประตูด้านซ้าย พอจะผลักออกก็ไม่มีแรง จนเริ่มรู้สึกว่าพอมาใช้ชีวิตจริงที่ไม่ใช่ภายในห้องพักคนป่วยของโรงพยาบาลแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ ทุกการเคลื่อนไหวจึงต้องทำอย่างระมัดระวังโดยมีแม่เป็นผู้ช่วยตลอด และยังต้องพะวงกับกระติกน้ำที่เอาไว้ระบายของเหลว ซึ่งสายที่ติดตัวก็นับว่ายาวพอสมควร แถมยังต้องถือไปทุกที่จนกว่าจะเอาออกได้

แต่แน่ล่ะ มีหรือที่กัลย์กมลจะยอมแพ้ เพราะความกลัวที่สุดนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว

“คิดถึงบ้านจังเลย…”

น้ำเสียงของความดีใจมาพร้อมกับใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ระบายด้วยรอยยิ้ม เธอค่อย ๆ เดินไปยังประตูหน้าบ้าน โดยยังคงมีสายกับกระติกน้ำพกพาไปด้วยทุกที่ ทว่าพอหันกลับไปหาแม่ ก็พบว่าดลฤดีกำลังง่วนอยู่กับการขนของ จึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วย

“แม่เดี๋ยวหนูดีขนเอง”

กัลย์กมลเดินเข้าไปหาแม่อย่างทุลักทุเลจนอีกฝ่ายต้องร้องห้าม

“ไม่ต้องเลย ลืมไปแล้วเหรอว่าแขนเราใช้ได้แค่ข้างเดียว อีกข้างก็ยังเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ”

ได้ยินเสียงแม่เอ็ดกลับมาหญิงสาวก็ถึงกับยิ้มแห้ง ด้วยความเคยชินที่จะไปช่วยแม่เป็นประจำ จึงเผลอลืมว่าตอนนี้ตัวเองยังบาดเจ็บอยู่

“นั่นสิ…ลืมเลย” เธอมองดูแม่ตัวเองขนของอย่างไม่สบายใจนัก “แต่เห็นแม่ขนคนเดียวแล้วมันคันไม้คันมืออะค่ะ รู้สึกไม่ชินเลย”

“จ้า…แม่ลูกสาวที่แสนดี ไปพักก่อนเถอะ” ดลฤดีค้อนใส่ลูกสาวไปหนึ่งที พลางมองดูคนเจ็บที่ยังมองด้วยใบหน้าเหงาหงอยเพราะไม่ได้ช่วยแม่ตัวเองอย่างเอ็นดู

พอเห็นว่ายืนมองดูแม่อยู่แบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เธอก็หาเรื่องออกไปดูต้นทานตะวันแคระที่ฝากข้างบ้านเอาไว้

“ขอไปดูต้นทานตะวันแคระก่อนนะคะ”

กัลย์กมลค่อย ๆ เดินไปที่ริมรั้ว ต้องยอมรับเลยว่าระยะการเดินที่ยาวนานกว่าอยู่ในห้องพักนั้น ทำเอาหญิงสาวรู้สึกลำบากอยู่ไม่น้อยทั้งที่รั้วบ้านก็อยู่ไม่ได้ไกลกว่าเดิมเลย พอไปถึงเธอก็เกาะรั้วที่สูงประมาณไหล่ และชะโงกหน้าผ่านรั้วพยายามมองหากระถางต้นไม้ที่เป็นของตัวเอง จนในที่สุดก็ได้เห็นมัน เจ้าต้นทานตะวันแคระซึ่งกำลังเติบโตอย่างแข็งแรง และดูเหมือนว่ามันใกล้จะออกดอกเต็มทีแล้ว

“ไง…เจ้าตัวน้อย ใกล้ออกดอกรึยัง อย่าให้แพ้ของพี่บุ๋นนะ รายนั้นเขามีดอกตูมออกมาแล้ว” กัลย์กมลพูดกับต้นทานตะวันแคระด้วยน้ำเสียงที่บีบให้เล็กลงกว่าปกติ เหมือนกับว่ามันเป็นเพื่อนสนิทของเธอ

โดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครบางคนกำลังก้มดูแลต้นไม้อยู่บริเวณนั้นพอดี

“หนูดี…ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วเหรอ”

เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากริมรั้วห่างจากตรงที่เธออยู่ไปสักไม่กี่เมตร แต่ด้วยเสื้อผ้าที่แทบจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้ทำให้กัลย์กมลมองไม่เห็นจิตบุณย์ในทีแรก

“ค่ะ อยากแวะมาดูว่าทานตะวันแคระของหนูดีจะมีดอกแล้วหรือยัง” คนพูดแอบอายอยู่หน่อย ๆ ที่ให้เขาเห็นตัวเองไปคุยกับต้นไม้เป็นเรื่องเป็นราว

ส่วนจิตบุณย์ที่เห็นว่าหญิงสาวท่าทางสบายดี เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดี

“น่าจะใกล้แล้ว ช่วงที่หนูดีฟื้นตัวพี่ขอดูแลแทนก่อนนะ ไว้ฟื้นตัวเต็มที่แล้วพี่จะเอากลับไปให้”

“รบกวนพี่บุ๋นแย่เลย”

เธอยิ้มกว้างจนเห็นรอยบุ๋มที่ข้างแก้ม และนั่นก็พอจะทำให้คนเห็นอดไม่ได้ที่จะชะงักไปเล็กน้อย พลางลูบท้ายทอยกลบเกลื่อนความขัดเขิน

“ไม่หรอก…” เขาหยุดชั่วครู่คล้ายกับกำลังคิดว่าจะคุยอะไรต่อ ก่อนจะถามต่อด้วยความเป็นห่วง “แล้วอาการหลังผ่าตัดเป็นไงบ้าง”

“ไม่น่ากลัวอย่างที่พี่บุ๋นบอกจริง ๆ ด้วยค่ะ” เธอตอบอย่างโล่งใจ อย่างน้อยก็ได้ตื่นขึ้นมาพบหน้าทุกคน แม้อาการหลังจากนั้นจะค่อนข้างเจ็บระบมอยู่บ้างก็ตาม

“พี่ว่าแล้ว คนเก่งอย่างหนูดีต้องผ่านไปได้สบาย ๆ แน่”

กัลย์กมลหัวเราะเบา ๆ ที่จริงสิ่งที่เธอกลัวในทีแรกนั้นออกจะเกินจริงไปเสียมาก และแน่นอนว่าพอนึกถึงตอนที่เธอแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น มันก็ทำให้หน้าแดงขึ้นมา จึงเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย

“ป้าดาหลับอยู่เหรอคะ”

“ใช่ ช่วงนี้แม่ไม่ค่อยมีแรงน่ะ เลยพักบ่อยหน่อย”

น้ำเสียงของจิตบุณย์บ่งบอกถึงความกังวลและอ่อนไหว ซึ่งเธอรู้ดีว่าเขานั้นต้องเจอกับสถานการณ์ลำบากใจมากมายกับการเจ็บปวดของโรคที่รักษาไม่หายของปรีดา และตอนนี้เธอก็ยังไม่อยากให้เขารู้สึกแย่กับเรื่องนี้ไปมากกว่าเดิม

“งั้น…หนูดีไม่ไปกวนดีกว่า”

เธอยิ้มให้จิตบุณย์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อย ๆ เดินกลับเข้าบ้าน ทิ้งความอบอุ่นใจไว้ในความรู้สึกของชายหนุ่ม จิตบุณย์มองตามเธอด้วยความเป็นห่วง แม้เธอจะพยายามทำตัวเข้มแข็งแค่ไหน แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล และยังคงหวังว่าเขาจะได้เห็นความสดใสนี้ตลอดไป

 

คืนแรกที่กัลย์กมลกลับมานอนบ้านนับเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก จากการนอนบนเตียงปรับได้ที่โรงพยาบาล พอเปลี่ยนมาเป็นเตียงธรรมดาที่บ้าน แม้จะนุ่มสบายแต่เธอกลับรู้สึกว่าการนอนราบเป็นเรื่องลำบากยิ่งกว่าเดิม จะท่าไหนก็ไม่สบายตัว พอจะลุกขึ้นก็ยิ่งรู้สึกเจ็บที่ซีกซ้ายกว่าจะหาท่าลุกได้ก็กินเวลาอยู่พักหนึ่ง ด้วยแผลผ่าตัดที่ยังคงเจ็บระบมและการขยับตัวที่ยากลำบากทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ

แม้การใช้ชีวิตประจำวันอย่างที่เคยเป็นดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ในช่วงฟื้นตัวนี้ การทำความสะอาดร่างกายโดยไม่กระทบแผลกลับกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาก รวมถึงเสื้อผ้าก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสื้อกระดุมหน้า ไม่เว้นแม้แต่เสื้อชั้นในที่เธอต้องใช้แบบตะขอหน้า และต้องเป็นเนื้อผ้าที่สวมสบาย เพื่อให้กระทบต่อแผลผ่าตัดให้น้อยที่สุด

ในที่สุดเธอก็นอนไม่หลับในคืนแรก จากความไม่สบายตัวและความเงียบในบ้านก็ทำให้กัลย์กมลรู้สึกเหงา พอเห็นว่าคงไม่อาจสงบใจได้ง่าย ๆ แน่ เธอจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปเคาะห้องแม่ หวังว่าจะได้อุ่นใจขึ้นบ้าง

“แม่ขอหนูดีนอนด้วยนะ” หญิงสาวเปิดประตูแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เธอเห็นดลฤดีลุกขึ้นมาจากเตียง พร้อมกับขยับตัวให้มีพื้นที่บนเตียงสำหรับลูกสาว

“มาสิลูก”

กัลย์กมลค่อย ๆ เดินไปที่เตียงของแม่ และเมื่อเธอกำลังย่อตัวลงบนที่นอน ดลฤดีก็ยื่นมือเข้ามาช่วยพยุงให้หญิงสาวลงนอนอย่างนุ่มนวล

“นอนลำบากมากไหม” ผู้เป็นแม่ยังคงถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

“ก็นิดหน่อยค่ะ เวลาลงนอนมันเจ็บ แต่นั่งนาน ๆ ก็เมื่อย” กัลย์กมลตอบ ขณะที่เธอนอนลงไป แผลที่เจ็บยังคงทำให้เธอขยับตัวไม่สะดวก แต่แค่นอนอยู่ใกล้แม่ก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาก พอลงนอนได้แล้วหญิงสาวก็วางขวดน้ำไว้ที่ข้างเตียง แล้วจัดระเบียบสายไม่ให้ตัวเองนอนทับ

ส่วนดลฤดีก็ได้แต่ช่วยประคองแล้วนั่งมองลูกสาวอย่างไม่วางตา ในใจลึก ๆ เธอปรารถนาที่จะรับความเจ็บปวดของลูกมาไว้ที่ตัวเองแทน ถ้าเธอทำได้

“พรุ่งนี้แม่จะไปทำงานเลยไหม” หญิงสาวถามขึ้นมาเมื่อแม่ลงมานอนข้าง ๆ เพราะอย่างที่รู้ว่าแม่ลางานมาหลายวันเพื่อเฝ้าเธอ และเธอก็ไม่อยากเป็นภาระของแม่ให้มากไปกว่านี้

“ต้องไปสิ แม่ลามาตั้งหลายวันแล้ว เดี๋ยวแม่ให้บุ๋นมาช่วยดูเรานะ”

แม้คำพูดของแม่จะเอ่ยมาด้วยความเป็นห่วง จากความจำเป็นที่ต้องกลับไปทำงานเมื่อถึงเวลา แต่ถึงอย่างนั้นกัลย์กมลก็ยังส่ายหน้า

“อย่าเลยค่ะ เกรงใจ แค่พี่บุ๋นดูแลป้าดาก็คงเหนื่อยมากแล้วแน่ ๆ ดีนะคะที่ป้าดาแกมีกำลังใจเข้มแข็ง หนูดีเคยเห็นคนไข้ที่เขาอารมณ์แปรปรวนตอนทำคีโม น่ากลัวมากเลยค่ะ คนที่มาเฝ้าก็น่าสงสารมาก ๆ ต้องมารองรับอารมณ์คนป่วย” หญิงสาวเล่าถึงอาการที่เคยเห็น และรับรู้ว่าคนที่ดูแลคนป่วยนั้นต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งมากแค่ไหน ดังนั้นการที่เธอจะไปเป็นภาระเพิ่มให้เขาอีกคนนั้น กัลย์กมลเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง

ดลฤดีหันมาลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู กัลย์กมลเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นก่อนแต่แรก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง รวมถึงการพะวงไปถึงเพื่อนบ้านที่แสนดีด้วย

“ป้าดาเขาเตรียมพร้อมสำหรับทุกอย่างแล้ว เขาไม่อยากให้ใครต้องมาทุกข์ใจไปกับเขา” คำพูดนี้ออกมาจากใจที่เข้าใจในความคิดของปรีดาเป็นอย่างดี

“หนูดีอยากรู้จัง ว่าป้าดาเขาทำใจได้ยังไง…” กัลย์กมลพูดอย่างชื่นชมแต่ก็ยังแอบมีความกังวลอยู่ในใจ เธอกลัวการพลัดพรากจากคนที่รักเป็นที่สุด จึงไม่เคยเข้าใจเลยว่าปรีดานั้นทำใจได้อย่างไร

และแม้แต่ดลฤดีที่ได้ยินลูกสาวพูดเรื่องนั้นขึ้นมา ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างบีบหัวใจขึ้นมาเมื่อคิดถึงว่าหากสิ่งนั้นเกิดขึ้นกับลูกสาวของตัวเอง จึงเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย

“ว่าแต่เราเถอะ พรุ่งนี้จะเอายังไง ให้แม่หาคนมาอยู่เป็นเพื่อนไหม”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูดียังพอขยับตัวได้ เดี๋ยวถ้าไม่ไหวจริง ๆ หนูดีจะไปหาพี่บุ๋นค่ะ”

“แน่นะ ห้ามทำอะไรอันตรายคนเดียวเด็ดขาดเลยรู้ไหม”

“ค่า…”

น้ำเสียงลากยาวนั้นตอบกลับความเป็นห่วงของแม่ ก่อนจะถอนหายใจออกมา พอนึกถึงเรื่องที่เป็นกังวล กัลย์กมลจึงอยากได้อ้อมกอดที่อบอุ่นจากแม่ แต่เพียงแค่จะหันไปกอดเท่านั้น เธอก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“โอ๊ย…เจ็บจัง”

“เราก็…ขยับเนื้อขยับตัวให้มันระวังหน่อยสิ” ดลฤดีหันมาเอ็ดลูกด้วยความเป็นห่วง พอเห็นอีกฝ่ายเจ็บเธอก็พยายามประคองลูกให้นอนดี ๆ รวมถึงห่มผ้าให้ด้วย

“ก็หนูดีอยากกอดแม่นี่” กัลย์กมลบ่นอุบ ด้วยสิ่งที่สามารถทำได้ทุกวัน ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องลำบากไปเสียแล้ว

“เรื่องแค่นี้เอง”

ดลฤดีหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะหันมาเป็นฝ่ายนอนกอดลูกสาวอย่างอบอุ่น ในที่สุด ทั้งคู่ก็หลับไปพร้อมกันในค่ำคืนที่เงียบสงบ ความรักและความอบอุ่นจากแม่กลายเป็นเกราะที่ปกป้องกัลย์กมลจากความเจ็บปวดและความกลัวทั้งมวล แล้วทำให้เธอเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย

 

ตลอดระยะเวลาการพักฟื้นนับว่ายังผ่านไปได้ด้วยดี เพิ่มเติมคือเธอต้องไปทำแผลตามที่หมอสั่ง ส่วนกิจวัตรประจำวันก็มีติดขัดบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับใช้ชีวิตด้วยตัวเองไม่ได้ และด้วยความช่วยเหลือของจิตบุณย์  กัลย์กมลจึงได้มีรอกชักเอาไว้บริหารข้อไหล่เป็นของตัวเอง

พอวันที่เธอต้องเข้าทำเคมีบำบัดซึ่งกัลย์กมลแทบไม่อยากจะนับครั้ง ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานนั้นออกจะทำให้เธอรู้สึกเบื่ออยู่สักหน่อย แถมการขยับตัวที่ติดขัดเพราะกระติกของเหลวที่ต้องพกพาไปไหนมาไหน มันก็ทำให้เธอทุลักทุเลอยู่บ้าง ทว่าสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นก็คือเธอได้รับความช่วยเหลือจากพยาบาลที่ดูแลเธออย่างดีเยี่ยม ทั้งช่วยปรับและขยับเตียงให้ บวกกับน้ำใจของสมาคมคนทำเคมีบำบัดด้วยกันที่คอยช่วยดูแล อาจเพราะทุกคนต่างเข้าใจความยากลำบากของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี

จนในที่สุดหญิงสาวก็ใช้ชีวิตเป็นอย่างดีจนมาถึงวันที่ต้องบอกลาจากกระติกน้ำเล็ก ๆ ที่ติดตัวมานานกว่าสองสัปดาห์ เหลือทิ้งไว้เพียงแค่แผลผ่าตัดที่เนินอกกับใต้รักแร้ข้างซ้ายเท่านั้น ทว่าสิ่งที่ทำให้วันนี้พิเศษยิ่งขึ้นนั้นก็คือความใจดีของจิตบุณย์และปรีดาที่อาสามาที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนเธอแทนแม่ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกขอบคุณและเกรงใจเขามาก

“เกรงใจพี่บุ๋นจังเลยค่ะ ขับรถมาส่งแล้วยังต้องรอหนูดีอีก” กัลย์กมลพูดพร้อมกับยิ้มเขิน ๆ ที่จริงการนำกระติกนี้ออกไม่ได้ใช้เวลามากนัก แต่นับเวลาที่ต้องพบแพทย์แล้วก็ถือว่านานพอสมควร

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถ้าหนูดีไม่มาแม่พี่คงเอาตายแน่”

คนที่กำลังเข็นรถให้แม่ตัวเองอยู่ตอบกลับ เขามองคนตัวน้อยกว่าที่สวมหมวกซึ่งเขาซื้อให้ไปไหนมาไหนด้วยความภูมิใจเล็ก ๆ จะว่าไปอาจเป็นเพราะสิ่งนี้ก็ได้ ที่ทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับเธอมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นผู้ป่วย ก็หันมาตอบหญิงสาวในเชิงที่ไม่อยากให้เธอคิดมาก

“ก็เพราะหนูดีเนี่ยแหละ ป้าถึงได้หาเรื่องออกมานอกบ้านบ้าง”

“ป้าดาบอกแบบนี้ หนูดียิ่งเกรงใจไปใหญ่เลย” กัลย์กมลยิ้มแห้งพร้อมกับความเกรงใจที่ทวีขึ้นเป็นกอง เพราะถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ปรีดาก็มาแค่โรงพยาบาลไม่ต่างอะไรจากที่เคยมาอยู่ดี

“งั้นเอางี้ไหม เราไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกัน” ปรีดาเสนอตัวเลือกขึ้นมา

“แล้วแม่จะไม่เหนื่อยเหรอ” จิตบุณย์เอ่ยถามด้วยเป็นห่วงแม่ตัวเอง

“เหนื่อยอะไรกัน แม่แค่นั่งรถให้เราเข็น” เธอบอกกับลูกชายแล้วหันมาคุยกับหญิงสาว “ไปนะหนูดี ร้านนี้ป้าไม่ได้ไปมานานแล้ว ถือโอกาสนี้ไปเลยแล้วกัน”

กัลย์กมลจำได้ว่าก่อนปรีดาจะป่วยนั้น เพื่อนบ้านที่แสนดีคนนี้นับเป็นผู้หนึ่งที่ชอบสรรหาร้านอาหารอร่อย ๆ แล้วชวนดลฤดีกับเธอไปนั่งทานด้วยกันบ่อย ๆ เพราะช่วงนั้นจิตบุณย์ทำงานประจำอยู่ห่างไกล และตอนนี้เธอก็รู้ดีว่าปรีดาก็อยู่ระหว่างการดูแลแบบประคับประคอง ดังนั้นเมื่อมองหน้าจิตบุณย์แล้วเห็นว่าเขาไม่ขัด เธอจึงตอบตกลง

“ได้ค่ะป้าดา” หญิงสาวยิ้มรับอย่างแช่มชื่น และนี่อาจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มรักษาตัวเลยก็ว่าได้ ที่เธอได้ทานข้าวนอกบ้าน จากเหตุเพราะเธอไม่อยากเป็นเป้าสายตาของใคร แต่พอนานไปเธอก็เริ่มชินชากับสายตาที่มองมาไปเสียแล้ว

 

 

Don`t copy text!