แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 12 : อาการไม่พึงประสงค์

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 12 : อาการไม่พึงประสงค์

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

ร้านอาหารที่จิตบุณย์และปรีดาพากัลย์กมลมาเป็นร้านอาหารมีลักษณะเป็นเรือนไทยโบราณ ตัวร้านถูกสร้างขึ้นจากไม้ทั้งหมด บริเวณรอบร้านเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ร่มเงา มีเสียงดนตรีไทยผสานกับกลิ่นของอาหารที่โชยออกมาจากครัว ทำให้ทุกคนสัมผัสถึงความอยากอาหารตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึง

และแน่ทีเดียวการมาของคนทั้งสามที่ประกอบไปด้วยหญิงสูงวัยร่างกายผอมแห้งนั่งอยู่บนรถเข็น กับหญิงสาวที่ใบหน้าไร้การแต่งเติมใด ๆ ซึ่งมาพร้อมกับหมวกอันปิดบังศีรษะที่ไร้ผมเอาไว้ย่อมเป็นเป้าสายตาของผู้คน ทว่าก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น น่าแปลกที่กัลย์กมลไม่ได้รู้สึกอะไรกับสายตาพวกนั้นอีกแล้วจากทีแรกที่คิดระแวง ราวกับว่าสิ่งที่เธอกลัวนั้นใหญ่กว่าความเป็นจริงไปมาก

“ที่นี่สวยจังเลยนะคะ” หญิงสาวเอ่ยชมบรรยากาศของร้าน พลางรู้สึกผ่อนคลายที่ได้ออกมานอกบ้านบ้าง ทั้งที่ปกติดลฤดีก็ชวนเธอบ่อย แต่เพราะความกังวลเกินเหตุทำให้เธอไม่ค่อยได้ออกไปไหน

“นั่นสิ ป้าไม่ได้มาตั้งนานร่มรื่นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย” ปรีดาเห็นด้วย ว่าตามจริงที่นี่นับเป็นร้านที่ปรีดามาค่อนข้างบ่อย ทว่าตั้งแต่ป่วยก็มาแทบนับครั้งได้

“เดี๋ยวแม่กับหนูดีรอตรงนี้ก่อนนะ ผมจะไปดูว่ามีโต๊ะสำหรับเข็นรถเข้าไปได้ไหม”

จิตบุณย์เข้าไปถามกับพนักงานของร้าน และโต๊ะที่ทั้งสามเลือกนั่งนั้นก็อยู่บริเวณชั้นล่าง ซึ่งจิตบุณย์ไปสำรวจว่าโต๊ะนั้นเหมาะสำหรับรถเข็นของปรีดาหรือไม่ และกลับมาพร้อมรอยยิ้มเมื่อพบว่าเป็นโต๊ะที่เหมาะสมโดยไม่ต้องขึ้นบันได

พอมาถึงโต๊ะอาหารปรีดาก็เปิดเมนูดูอย่างตั้งใจ แล้วจึงหันไปบอกกับหญิงสาวที่มาด้วยกัน

“หนูดีอยากกินอะไรสั่งได้เลยนะ”

“หนูดีให้ป้าดาสั่งให้ดีกว่าค่ะ จะได้รู้ว่าอันไหนอร่อย” ใบหน้าที่แต้มด้วยรอยยิ้มบอกกับผู้ที่สูงวัยกว่า

“เอางั้นก็ได้” แล้วคนชวนก็ถามกับลูกชายตัวเอง “บุ๋นอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมลูก”

จิตบุณย์มองเมนูอาหารที่พอจะให้คนป่วยทั้งสองทานได้ ก่อนจะพูดกับแม่ของตัวเอง

“ผมจำได้ว่าปลาสามรสที่นี่อร่อย หนูดีน่าจะชอบ”

“งั้นก็เอาตามนั้นแล้วกัน นอกนั้นเดี๋ยวแม่จัดให้เอง”

ว่าแล้วปรีดาก็จัดแจงสั่งอาหารที่ตัวเองสนใจมา ด้วยท่าทางที่ดูสดชื่นกว่าทุกครั้ง อาจเป็นเพราะการได้ทำในสิ่งที่รักทำให้เธอลืมเรื่องอาการเจ็บป่วยไปได้บ้าง และการออกมาข้างนอกกับคนที่รัก มันก็ยิ่งทำให้มีความสุขมากขึ้นเป็นเท่าตัว

ใช้เวลาไม่นานมากอาหารก็มาถึง เมนูวันนี้มีทั้งปลาเก๋าสามรส หลนกุ้งสดกับผักต้ม ต้มกระดูกอ่อนเยื่อไผ่ กับต้มข่าที่เป็นของโปรดของกัลย์กมล แล้วพอทุกอย่างมาถึง จิตบุณย์ก็จัดแจงเป็นคนบริการผู้หญิงทั้งสองโดยไม่ยอมให้ใครเข้ามาช่วย จากนั้นก็เริ่มรับประทานอาหารพร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

“จริงนะหนูดี ตอนนั้นป้าน่ะกลัวก็กลัว ใจนึงก็อยากหาย ไปนั่งร้องไห้กับหมอเป็นชั่วโมง ดีที่ว่าเป็นคิวสุดท้าย ไม่งั้นเขาคงด่าป้าเปิงไปแล้ว” ปรีดาเล่าถึงวันแรกที่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งด้วยเสียงหัวเราะร่วน จำได้ว่าตอนนั้นเธอไม่อาจทำใจได้ แล้วร้องไห้ไม่หยุดเพราะกลัวว่าจะจากทุกคนไป

ส่วนกัลย์กมลพอคิดถึงเรื่องตัวเองก็เล่าให้ปรีดาฟังบ้าง

“ของหนูดีไม่ทันได้ร้องไห้เลยค่ะป้าดา แป๊บเดียวหมอก็สั่งให้ไปเจาะเลือด ไปทำนู่นนี่เพิ่มตั้งเยอะ ไม่มีเวลามาเสียใจเลยค่ะ”

“แต่พี่จำหน้าเราได้นะ” จิตบุณย์ตอบเพราะเขาเองก็ได้เจอกับกัลย์กมลในวันนั้น และยังจำสีหน้าของเธอได้เป็นอย่างดี

“หน้าหนูดีเหวอมากเลยใช่ไหมคะ” เธอยิ้มเขิน ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำหน้าอย่างไรเขาถึงจำได้แม่นนัก แต่อย่างน้อยก็อาจจะยังพอมีความน่ารักมากกว่าตอนนี้

“โอ๊ย เทียบกับหน้าป้าไม่ได้หรอก สภาพดูไม่ได้เลย คิดดูสิตอนนั้นน่ะ ป้าน่ะอ้วนก็อ้วน แถมยังเดินร้องห่มร้องไห้อยู่ในโรงพยาบาล ใครเห็นเขาก็นึกว่าญาติเสีย” ปรีดาพูดไปก็หัวเราะไปอย่างคนที่กำลังคุยออกรสออกชาติ กระทั่งนึกถึงตัวเองในตอนนี้ จึงได้แต่ยิ้มบาง ๆ “เฮ้อ…แต่ก็ผ่านมาได้ตั้งหลายปีแล้วนะ ไอ้ที่คิดว่าจะไม่รอดก็ผ่านมาได้ทุกครั้ง”

คนที่คอยดูแลแม่ตลอดอย่างจิตบุณย์เข้าใจในสิ่งที่ปรีดาบอกเป็นอย่างดี เขาเอื้อมมือไปจับมือแม่ตัวเองไว้ แล้วส่งยิ้มให้กำลังใจ ซึ่งตัวปรีดาเองก็ส่งยิ้มกลับมาให้ลูกชายเช่นกัน

กัลย์กมลไม่กล้าพูดอะไรออกมา แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ตีขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอมองเห็นแววตาของปรีดาที่เต็มไปด้วยการยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น หญิงสาวรู้ดีว่าปรีดากำลังเตรียมใจสำหรับการเดินทางครั้งสุดท้ายของชีวิต นั่นเป็นการเดินทางที่ไม่มีใครสามารถร่วมเดินทางไปด้วยได้

พอรับรู้เช่นนี้ทำให้กัลย์กมลรู้สึกแน่นอยู่ในอก เธอรู้สึกอยากพูดบางอย่างเพื่อปลอบโยน แต่ทุกคำพูดที่คิดไว้ก็ถูกกลืนหายไป เพราะกลัวว่าจะทำให้บรรยากาศที่ดีนี้หายไป จึงเลือกที่จะเก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้เงียบ ๆ ในใจ พร้อมกับมองไปยังปรีดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพต่อการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่หญิงสูงวัยกำลังเผชิญอยู่

“แต่ไม่เป็นไรหรอกนะลูก ป้าน่ะไม่เป็นไรหรอก” ปรีดาหันมามองหญิงสาวด้วยสายตาที่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง หญิงสูงวัยที่ผ่านเรื่องราวมามากมายนั้นรู้ดีว่ากัลย์กมลกำลังรู้สึกอย่างไร แม้หญิงสาวจะไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา แต่ปรีดากลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายใน และเข้าใจถึงความหวาดกลัวต่อการจากลาที่อีกฝ่ายพยายามปกปิดไว้ใต้รอยยิ้มบาง ๆ

กัลย์กมลทำได้เพียงยิ้มรับ แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ ทั้งความกังวล ความเศร้าที่ซ่อนอยู่หลังรอยยิ้มนั้น เธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปในสถานการณ์เช่นนี้ จึงเลือกที่จะยิ้มซึ่งนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอสามารถมอบให้ได้

 

หลังจากทานอาหารเสร็จ จิตบุณย์ก็พาทั้งปรีดาและกัลย์กมลกลับมายังบ้าน หญิงสาวเอ่ยขอบคุณคนทั้งสองสำหรับอาหารมื้อพิเศษแล้วเดินกลับเข้ามาในบ้านตามปกติ ตอนนี้เธอเห็นรถของแม่จอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว จึงเดินเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ ดวงตาของเธอหลุบต่ำเหมือนกับกำลังเก็บงำความรู้สึกบางอย่างไว้ข้างใน

พอมองไปในครัวก็ได้เห็นดลฤดี กำลังเก็บของที่ซื้อมาเข้าตู้อยู่ หญิงสาวจึงวางมื้อเย็นที่ซื้อมาฝากแม่ตัวเองไว้ที่โต๊ะอาหาร

“ไงจ๊ะลูกสาว ไปกินข้าวกับป้าดามา อร่อยไหม”

คนที่รู้เรื่องนี้แต่แรกแซวขึ้นมา ทว่าสิ่งที่ลูกสาวตอบกลับมาเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความพยายามในการสะกดกลั้นบางสิ่งเอาไว้ ดวงตามีแววเศร้าหมองจนน่าเป็นห่วง

“หนูดี…มีอะไรรึเปล่าลูก”

ดลฤดีถามไถ่ขณะที่ยื่นมือไปลูบศีรษะผ่านหมวกที่เธอสวม แล้วมองดูท่าทีของลูกไปด้วย เพียงเท่านั้น น้ำตาของกัลย์กมลก็เริ่มไหลออกมาไม่หยุด เธอโผกอดแม่ทันที เสียงสะอื้นที่อัดอั้นมานานพรั่งพรูอย่างห้ามไม่อยู่อีกต่อไป

“แม่…”

แม้จะตกใจแต่ดลฤดีก็ลูบหลังลูกสาวไปด้วย

“เป็นอะไรลูก เล่าให้แม่ฟังสิ”

ผู้เป็นแม่จ้องหน้าลูกอย่างตั้งใจ แล้วมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตารินไหล พร้อมกับฝ่ามืออันอ่อนนุ่มค่อย ๆ เช็ดคราบน้ำตาบนแก้มของกัลย์กมลที่ยังคงสะอึกสะอื้นไม่หยุด

“ป้าดาค่ะ…ป้าดาเค้าจะไม่อยู่กับเราแล้ว…” คนตอบสะอื้นจนตัวโยน น้ำเสียงของเธอสั่นสะท้านจนแทบจะจับใจความไม่ได้ ซึ่งกัลย์กมลเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่สามารถหยุดอาการเศร้านี้ได้

“แม่รู้ลูก ใจเย็น ๆ นะ” ดลฤดีลูบหน้าลูบตาที่เปียกชุ่มของลูกสาว พลางปลอบโยนคนที่กำลังขวัญเสียไปด้วย

“หนูดีไม่เข้าใจ ว่าทำไมป้าดาเขาถึงตัดใจง่ายขนาดนั้น” คนพูดยังสะอื้นไม่หยุด ความรู้สึกมากมายหลั่งไหลเข้ามาทำให้เธอรู้สึกเหมือนจะขาดใจเสียให้ได้

“ป้าดาเขาสู้มานานแล้ว ตอนนี้เขาก็รู้ตัวเองดี เขาถึงไม่อยากที่จะต้องทรมานต่อ เข้าใจไหม…”

“แล้วหนูดีจะเป็นอย่างเขาไหมแม่”

“ไม่หรอกลูก หนูดีคิดว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้นเหรอ”

“เปล่า…หนูดีแค่กลัว” หญิงสาวยอมรับความรู้สึกของตัวเองอย่างเปิดเผย เพียงแค่เห็นใบหน้าที่สงบของปรีดา กับความคิดที่ว่าอีกฝ่ายต้องจากไป มันก็พอจะทำให้กัลย์กมลรู้สึกถึงความหวาดหวั่นที่ซ่อนอยู่ และมันก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นจนเธอไม่อาจควบคุมได้

“กลัวน่ะกลัวได้ แต่ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองด้วยนะ” ดลฤดีพยายามเตือนสติลูก แม้จะค่อนข้างแปลกใจกับอาการที่กัลย์กมลเป็นอยู่มากก็ตาม

“หนูดีเข้าใจค่ะ แต่ไม่รู้ทำไมว่าพอคิดถึงเรื่องนี้ทีไร หนูดีต้องรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก มันเหมือนว่าหนูดีจะไม่ชนะ…” เธอเริ่มรู้สึกถึงความกังวลที่เกาะกุมจิตใจ ความรู้สึกที่ไม่สามารถเอาชนะโรคนี้ ความทรงจำต่อบุคคลที่ทรมานต่อโรคร้ายนี้กำลังกลับมา และมันยิ่งทำให้เธอแทบจะหายใจไม่ออกทุกครั้ง

ส่วนคนเป็นแม่ก็เริ่มรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูกสาว ถึงกัลย์กมลจะเป็นคนจิตใจดี แต่ก็ไม่ใช่จะอ่อนไหวกับทุกเรื่อง ต่อให้ป่วยและเจอเรื่องที่สะเทือนใจก็ไม่น่าจะฟูมฟายจะเป็นจะตายเช่นนี้ มีบางอย่างในตัวลูกสาวที่เปลี่ยนไป จนดลฤดีเริ่มรู้สึกว่านี่อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาทางใจบางอย่างก็ได้

“หนูดี…ได้บอกอาการนี้กับหมอบ้างหรือเปล่า”

“อาการอะไรคะ…” เธอถามอย่างไม่เข้าใจนัก

“ก็อาการที่หนูหวาดกลัวอยู่แบบนี้ไง แม่ว่ามันไม่ปกติแล้วนะ”

“ยังค่ะ…” เธอตอบ จะว่าไประยะหลังมานี้เธอมักจะเกิดอาการกลัวและวิตกกังวลแปลก ๆ พอมาเจอเรื่องของปรีดาเข้า มันก็ทำให้เธอไม่อาจควบคุมอารมณ์ตัวเองได้

“คราวหน้าเจอหมอ อย่าลืมบอกเขานะลูก”

ดลฤดีบอกกับลูกแล้วกอดหญิงสาวอีกครั้ง กัลย์กมลซบหน้ากับไหล่ของแม่ แม้โลกภายนอกจะเต็มไปด้วยความกลัวและความไม่แน่นอน แต่ในอ้อมกอดนี้ เธอกลับรู้สึกถึงความปลอดภัยที่ยากจะหาจากที่ไหนได้อีก

 

เมื่อถึงวันที่กัลย์กมลต้องไปทำเคมีบำบัดอีกครั้ง เธอก็พบว่าบรรยากาศการรอหน้าห้องเคมีบำบัดยังเต็มไปด้วยบรรยากาศเดิม ๆ ไม่มีเปลี่ยน เพื่อนร่วมชะตากรรมที่เจอกันเป็นประจำยังอยู่ครบ คนป่วยรายอื่นที่ทำท่าจะไม่ไหวก็ยังมีให้เห็น แม้แต่การจากไปของใครบางคนที่เป็นคนนอกกลุ่มมะเร็งเต้านมก็ยังคงได้ยินอยู่เรื่อย ๆ

เวลานี้เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นส่วนหนึ่งไปกับทุกคนได้อย่างกลมกลืนแล้ว ราวกับการพบปะกันก่อนเข้ารับการบำบัดนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต พอถึงเวลาหญิงสาวก็เริ่มเล่าอาการและความรู้สึกที่แปลกไปของเธอให้กับคนอื่นฟังได้อย่างไม่เคอะเขิน โดยเฉพาะความกังวลที่ไม่อาจบรรเทาลงได้ง่าย ๆ

“เปิดธรรมะฟังสิหนู ป้าน่ะเคยเป็นมาก่อน ก็ใช้ธรรมะช่วยเนี่ยแหละ” ป้าสำราญเป็นคนแรกที่ให้คำแนะนำกับหญิงสาว ด้วยอายุและประสบการณ์ที่ผ่านมาจึงมั่นใจว่าตนเองนั้นแก่กล้ามากกว่าคนอื่นพอสมควร

“ช่วยได้จริงเหรอคะ” กัลย์กมลรู้สึกสนใจขึ้นมา เธออยากหายจากอาการเพี้ยน ๆ ของตนเองใจจะขาด เพราะบางทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองคอยจะเป็นภาระให้คนอื่นอยู่เรื่อย

“ช่วยได้สิ เอานี่เดี๋ยวป้าส่งไปให้นะ” หญิงสูงวัยว่าพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชันเตรียมส่งคลิปให้

เพียงไม่นานโปรแกรมสนทนาของเธอก็มีเสียงแจ้งเตือน กัลย์กมลเปิดขึ้นมาก็พบว่าป้าสำราญได้ส่งคลิปให้แล้ว เธอจึงกล่าวขอบคุณด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจที่เพื่อนทำเคมีบำบัดมีให้แก่กัน

“ขอบคุณค่ะป้า”

ทว่าไม่ทันไร จงจิตที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็ร้องทักขึ้นมา

“แน่ะป้า ไปแนะนำอะไรให้น้องเขาอีกล่ะ”

“โอ๊ยแกนี่ ฉันก็แนะนำเรื่องดี ๆ ให้เขาทั้งนั้นแหละ แต่กับแกน่ะฉันไม่เอาแล้ว”

ป้าสำราญทำท่าเบ้ปากใส่ แต่จงจิตรู้ดีว่านั่นไม่ได้มีความโกรธเคืองใด ๆ ซ่อนอยู่ เธอจึงแซวเล่นต่อ ด้วยบรรยากาศที่ดูจะผ่อนคลายขึ้น

“เอ้า ไม่รักหนูแล้วเหรอป้า”

อาการหยิกแกมหยอกของคนทั้งสองนั้นเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ตามปกติ และแน่นอนว่าได้เรียกเสียงหัวเราะจากคนในกลุ่ม รวมทั้งกัลย์กมลได้

“ไม่เอาแล้ว…คราวที่แล้วฉันให้แกสั่งยาให้ แกยังไม่สั่งให้ฉันเลย” ถึงจะมีท่าทางงอนอยู่เล็ก ๆ ว่าก็ยังเห็นอารมณ์ขันในน้ำเสียงของหญิงสูงวัยผู้มาพร้อมกับหมวกลายดอก

ซึ่งกัลย์กมลจำได้ว่าเมื่อตอนเจอกันคราวที่แล้ว ป้าสำราญขอให้จงจิตนำยาสมุนไพรมาให้ แต่ดูจากเหตุการณ์ก็พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำตามที่พูดคุยกันเอาไว้

“ก็หมอเขาบอกว่าอย่าไปหาอะไรกินสุ่มสี่สุ่มห้า ฉันก็กลัวว่าถ้าให้ป้ากินแล้วป้าเป็นไรไป ฉันก็แย่น่ะสิ” เสียงของจงจิตอ่อนลง

“อ้าวแล้วทำไมแกถึงกินได้” คราวนี้ป้าสำราญได้ทีย้อนกลับ ถึงจะดูทีเล่นทีจริง แต่ก็ยังพอรู้สึกได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงนั้น

“ก็ฉันกินเอง เป็นอะไรก็เป็นที่ฉันเองไง”

คนพูดยักไหล่พร้อมยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้ป้าสำราญหัวเราะออกมาเสียงดัง

“เออ! ฉันจะได้จำไว้ว่าแกมันพึ่งไม่ได้”

บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ คนในกลุ่มรู้ดีว่าป้าสำราญเป็นคนอารมณ์ดี ไม่คิดเล็กคิดน้อย อีกทั้งเธอกำลังจะจบการทำเคมีบำบัดในไม่ช้า ความสำเร็จนี้ทำให้ทุกคนยิ่งรู้สึกมีความหวังและกำลังใจขึ้นมาก

 

 

Don`t copy text!