แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 18 : รุ่นพี่

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 18 : รุ่นพี่

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

ระหว่างนั่งรถกลับบ้าน กัลย์กมลที่นั่งอยู่เงียบ ๆ ทว่าใบหน้ายังคงแต้มด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยอมหุบลง ความรู้สึกชื่นมื่นในหัวใจได้ทำให้โลกที่มองเห็นตอนนี้ดูสดใสขึ้นทันตา พาให้การทำเคมีบำบัดผ่านไปอย่างปลอดโปร่งกว่าทุกครั้ง ทุกสิ่งที่เคยหวาดหวั่นเริ่มจางหาย อาจเพราะการได้พูดคุยกับผู้ป่วยใหม่ ทำให้เธอรู้สึกว่าตนนั้นได้กลายเป็นแรงใจให้กับคนอื่นบ้าง เป็นความภาคภูมิใจเล็ก ๆ ที่เติมเต็มหัวใจให้มีสุขขึ้นมา

“มีเรื่องอะไรดี ๆ เหรอหนูดี เห็นอารมณ์ดีตั้งแต่ตอนทำคีโมเสร็จแล้ว” จิตบุณย์ถามคนที่นั่งข้าง ๆ ด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่ออกมาจากห้องเคมีบำบัด ใบหน้าเธอก็ยังระบายด้วยรอยยิ้ม และดูเหมือนจะไม่มีทางหุบลงได้ง่าย ๆ

“หนูดีได้เป็นรุ่นพี่แล้วนะคะ”

เธอพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น คล้ายกับเด็กน้อยที่เพิ่งได้รับรางวัล จิตบุณย์หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะพยักหน้าให้เธอด้วยความภูมิใจ

“รุ่นพี่เหรอ”

“ใช่ค่ะ วันนี้เจอคนที่มาทำคีโมครั้งแรก หนูดีก็เลยถ่ายทอดประสบการณ์ตัวเองกับเขาด้วย” หญิงสาวเล่าอย่างภูมิอกภูมิใจ พอนึกถึงดวงตาที่จ้องเธอเป็นประกายแล้ว มันก็ยิ่งทำให้หัวใจของกัลย์กมลพองโตด้วยความสุขอย่างบอกไม่ถูก

“เก่งแล้วนะเรา แบบนี้ก็แสดงว่าไม่กลัวแล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มตอบกลับ สายตาของเขาเติมเต็มไปด้วยความสุขแล้วพลอยรู้สึกดีไปกับเธอด้วย

ทว่าหญิงสาวกลับส่ายหน้า พลางทำสีหน้าครุ่นคิดไปถึงคนที่จากไป

“ใครว่าล่ะคะ แต่ป้าดาบอกว่าถึงจะกลัวยังไงคนเราก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป”

พอได้ยินชื่อแม่ของตัวเอง จิตบุณย์ก็หันมายิ้มให้กับกัลย์กมลแทนความรู้สึกตื้นตันที่คำพูดของแม่สามารถทำให้เธอผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้

“พี่ดีใจนะที่เรื่องของแม่เป็นแรงใจให้หนูดีได้ด้วย”

“ใช่ค่ะ ป้าดาคือคนที่ทำให้หนูดีมีใจที่จะรักษาต่อ แล้วก็ช่วยผ่อนคลายความกลัวในใจไปด้วยค่ะ” กัลย์กมลพูดด้วยความซาบซึ้ง แม้ปรีดาจะจากไปแล้ว แต่ข้อความที่ทิ้งไว้กลับสร้างพลังในการใช้ชีวิตให้กับเธออย่างมหาศาล พอนึกถึงตอนนี้หญิงสาวก็ได้เข้าใจแล้วว่า การอยู่อย่างมีสุขในทุกวันนั้นมีความหมายต่อชีวิตมากเพียงใด

ขณะเดียวกันจิตบุณย์เองก็ยังคงความคิดถึงแม่ผู้จากไป แต่หาใช่ความโหยหาอย่างเช่นคราแรก ตอนนี้สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงความทรงจำดี ๆ เท่านั้น

“พี่ว่าแม่คงดีใจที่ได้เห็นหนูดีเข้มแข็งแบบนี้”

หญิงสาวเห็นด้วยกับคำพูดของเขา และคงไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่ปรีดาบอกไปมากกว่าเธออีกแล้ว พอนึกขึ้นได้ เธอก็รู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องเดินต่อไป อย่างแรกเลยคือการสานต่อสิ่งที่เริ่มไว้

“งั้น…วันนี้เราไปซื้อของทำขนมกันดีไหมคะ”

“อีกแล้วเหรอ” ถึงน้ำเสียงของชายหนุ่มจะเจือไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ก็มีความท้อใจอยู่ในที อาจเพราะตั้งแต่เขาชวนให้เธอกลับมาทำขนมอีกครั้ง หญิงสาวก็ไม่มีท่าทีจะหยุดหรือเบื่อหน่ายอีกเลย

และแน่นอนสิ่งที่ได้รับกลับมาคือดวงตาใสแป๋วที่มองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน

“พี่บุ๋นไม่อยากสนับสนุนหนูดีแล้วเหรอ”

“เปล่า พี่แค่คิดว่าหนูดีน่าจะลองขนมชนิดอื่นดูบ้าง” เขานึกถึงบราวนี่ที่กัลย์กมลทำซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ว่ารสชาติจะอร่อย แต่การได้ชิมบราวนี่ตั้งแต่หน้ากรอบไปจนถึงเนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำด้วยช็อกโกแลตเข้มข้น ก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกเอียนเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าขัดเมื่อคิดถึงความกระตือรือร้นกับความภาคภูมิใจในผลงานของเธอ

“ก็หนูดีไม่รู้สูตรนี่ เดี๋ยวค่อยไปหาเอาก็ได้เนอะ” คนพูดพยายามเอาใจด้วยการลองคิดหาสูตรใหม่ ๆ ซึ่งแน่นอนว่ายังคงวนเวียนอยู่กับบราวนี่

แต่จิตบุณย์กลับคิดว่าเธออาจเริ่มเบื่อแล้วก็ได้

“พี่ก็ว่างั้นแหละ”

“แต่วันนี้ได้ออกมานอกบ้านแล้ว เราไปซื้อของทำบราวนี่กันดีกว่านะคะ ทำบ่อย ๆ จะได้เก่งขึ้น”

ได้ยินเสียงอันแช่มชื่นบอกดังนั้น จิตบุณย์เริ่มรู้สึกลังเลในใจแล้วว่าการสนับสนุนให้เธอทำบราวนี่ซ้ำ ๆ นั้นเป็นความคิดที่ดีจริงหรือเปล่า แม้ว่าการทำขนมช่วยให้กัลย์กมลมีเป้าหมายในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้ แต่มันก็ทำให้เขาต้องชิมบราวนี่แบบต่าง ๆ จนรู้สึกเอือม ความคิดที่ขัดแย้งกันระหว่างการอยากให้เธอมีความสุขและการเอียนต่อขนมที่ชิมมาหลายครั้งทำให้เขาเริ่มสับสน แล้วลองนึกหาทางออกให้ตัวเองเช่นการสนับสนุนให้เธอลองทำขนมชนิดอื่นดูบ้าง

 

ส่วนคนชิมอีกคนยังคงกอดอกแน่น มองดูบราวนี่ตรงหน้าอย่างพิจารณา พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ ราวกับกำลังเตรียมใจ ไม่ใช่เพราะว่าลังเลเท่านั้น ทว่ายังมีแววตาที่แสดงถึงความเบื่อหน่ายปนเอียนเล็ก ๆ แม้ขนมบราวนี่ตรงหน้าจะดูน่ากิน มีกลิ่นหอมช็อกโกแลตยั่วน้ำลาย แต่อาจเพราะกัลย์กมลทำบราวนี่ให้ชิมอยู่บ่อยครั้ง ดลฤดีจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าการชิมขนมชิ้นนี้เป็นภารกิจที่ต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก

“ไม่ชิมแล้วเหรอคะ” กัลย์กมลทำสายตาอ้อนวอน คางของเธอเกยอยู่กับโต๊ะอาหารพร้อมกับมองบราวนี่ที่ยังวางนิ่ง แล้วพยายามดึงความสนใจของแม่ให้ชิมขนมอีกครั้ง

ส่วนคนที่ได้กินทุกครั้งก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา พลางมองสายตาที่เหมือนลูกหมาน้อยอย่างลำบากใจ

“รู้แล้วว่าลูกสาวแม่ทำอร่อย แต่จะให้กินบ่อย ๆ มันก็มีเบื่อกันบ้างไหมล่ะ”

“มีแม่คนเดียวแหละที่เบื่อ พี่บุ๋นเขาไม่เห็นจะว่าอะไรเลย”

กัลย์กมลทำน้ำเสียงเหมือนหมาหงอย ซึ่งดลฤดีได้แต่ยืนขำ

“เขาเกรงใจเรารึเปล่า”

“นั่นสิคะ…” หญิงสาวหัวเราะแหะ ๆ เหมือนเริ่มเห็นความจริงที่แม่พูด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงไม่ตัดใจจากความพยายามให้แม่ได้กินขนมของตนเองที่ทำออกมาด้วยความภาคภูมิใจ

“แล้วตกลงจะเอาจริงใช่ไหม กับบราวนี่เนี่ย” คนที่ยังกอดอกอยู่เลิกคิ้วถาม ซึ่งนั่นก็พอจะทำให้หญิงสาวละความสนใจออกมาจากขนม แล้วยืนตรงขึ้นมาพร้อมกับสายตาแน่วแน่

“พูดถึงเรื่องนี้ หนูดีมีเรื่องจะถามแม่พอดีเลย”

“ว่ามาสิ”

ดลฤดีหันมาตั้งใจฟัง ใจหนึ่งก็อยากรู้ว่ากัลย์กมลนั้นจริงจังแค่ไหนกับการเบนเข็มตัวเองจากงานประจำมาเป็นแม่ค้าขายขนม

“คือว่า…หนูดีจะขอไปเรียนทำขนม แม่ว่าดีไหมอะ”

“จริงจังแค่ไหนล่ะ” คนถามทำน้ำเสียงจริงจังขึ้น

“ก็คิดจะเปิดร้านเลยค่ะ” เธอตอบแม่ไปด้วยความมั่นใจเช่นกัน

“แล้วงานประจำล่ะ ว่ายังไง”

กัลย์กมลมีท่าทีลังเลในทันที เธอรู้ว่าการมีงานประจำทำนั้นเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นคงให้ตัวเองได้ แต่ด้วยสุขภาพในตอนนี้ หญิงสาวไม่คิดว่าการรีบกลับไปทำงานเลยจะเป็นเรื่องที่เหมาะสม อีกอย่างคือเธอพบว่าความสุขของตัวเองคือการทำขนม ดังนั้นจึงไม่อยากจะทิ้งให้สิ่งนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน

“แม่จะว่าอะไรไหม ถ้าหนูดีจะไม่กลับไปทำงานประจำแล้ว”

“แม่จะไปว่าอะไรล่ะ ถึงจะไม่ทำงาน แค่ลูกสาวคนเดียวแม่เลี้ยงได้อยู่แล้ว” ดลฤดีสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูก เพราะไม่ว่าอย่างไรเธอก็สนับสนุนทุกทางที่ลูกอยากทำอยู่แล้ว

“ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย หนูดีจะมาเปิดร้านต่างหาก”

“เอาล่ะ ๆ จะไปเรียนทำขนม จะเปิดร้าน ยังไงก็ต้องรักษาตัวให้เสร็จก่อนนะจ๊ะ…รู้ไหม”

คำพูดของดลฤดีแสดงออกถึงการอนุญาต และกัลย์กมลก็พร้อมแล้วที่สำหรับการเดินทางครั้งใหม่

“รับทราบค่ะ จะว่าไปรอบหน้าก็คีโมครั้งสุดท้ายแล้ว เหลือฉายแสงก็น่าจะสักสองเดือนได้ หนูดีเตรียมหาที่เรียนเอาก่อนดีกว่า”

“ตามสบายเลยจ้ะ” คนเป็นแม่ตอบพร้อมกับหัวเราะด้วยความเอ็นดู พลางหยิบขนมที่ลูกสาวตัวเองทำขึ้นมา “ส่วนขนมเนี่ย แม่จะให้ที่ทำงานช่วยชิมให้”

“ไม่ลองสักคำเหรอคะ…”

หญิงสาวทำตาปริบ ๆ อย่างออดอ้อน เธอใช้ดวงตากลมโตที่ขนตายังไม่ขึ้นนั้นยิ่งดูยิ่งเหมือนลูกหมาน้อยน่าสงสาร ที่ทำเพราะรู้ดีว่าสายตาแบบนี้มักจะได้ผลเสมอ ทำให้ดลฤดีที่นั่งมองอยู่ต้องแอบอมยิ้ม และแข็งใจปฏิเสธลูกสาวไปได้

“ไม่ไหวแล้วจ้ะคุณลูกสาว น้ำหนักแม่จะขึ้นอีกแล้วเนี่ย”

เห็นแม่ทำหน้าเหมือนจะรู้สึกผิด กัลย์กมลก็หัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน คิดดูแล้วพอได้วางเป้าหมายใหม่ในชีวิตเกี่ยวกับการเรียนทำขนม ความกังวลที่คอยถ่วงกำลังใจก็เหมือนจะเบาลงไป และแทนที่ด้วยแรงผลักดัน ทำให้เธอลืมความเครียดจากการรักษาไปได้ชั่วคราว

 

เมื่อถึงเวลาต้องกลับมาพบหมออีกครั้ง คราวนี้จึงเป็นครั้งที่กัลย์กมลรู้สึกยินดีมากเป็นพิเศษ ราวกับว่าแสงแห่งความหวังเริ่มส่องประกายในเส้นทางที่เธอเดินอยู่ การรักษาด้วยเคมีบำบัดครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว หลังจากที่ทุ่มเทกำลังกายและใจต่อสู้มาตลอด เธอจึงสัมผัสได้ถึงความภาคภูมิใจบวกกับความโล่งใจที่ได้รู้ว่าในที่สุดปลายทางของเธอก็มาถึงแล้ว และยังเป็นไปอย่างดีด้วย

วันนี้เธอตั้งใจจะใส่หมวกสีชมพูพาสเทลมากับชุดที่เข้ากัน ซึ่งมองจากจุดไหนก็จะเห็นได้ถึงความสดใสของหญิงสาว พอถึงเวลาที่เข้าห้องตรวจเธอก็ไปพร้อมกับใบหน้าที่เบิกบาน ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้กับแพทย์ผู้ทำการรักษา

“ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายแล้วใช่ไหมคะ”

เป็นคำถามแรกจากแพทย์หญิงปิติยาผู้ทำการรักษา น้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่นอย่างประหลาด ขณะที่กัลย์กมลนั่งมองหมอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโล่งใจกับการรอคอยอันเนิ่นนานในความรู้สึก รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความปลื้มปีติค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ซึ่งหมอเองก็ยิ้มตอบให้กับความสำเร็จเล็ก ๆ นี้

“ใช่ค่ะหมอ”

“ผลเลือดก็ดูดีมากเลยนะคะ”

“จริงเหรอคะ” เธอไม่อาจซ่อนความตื่นเต้นจากแววตาที่เป็นประกายได้ ถึงที่ผ่านมาการรักษาจะผ่านไปเป็นอย่างดี ทว่ากับครั้งนี้กัลย์กมลยิ่งรู้สึกพิเศษกว่าทุกครั้ง

“งั้นเดี๋ยวครั้งหน้า หมอจะส่งไปรังสีรักษานะคะ”

“ค่ะ” กัลย์กมลพยักหน้ารับอย่างเบิกบานใจ

เมื่อคุยกับแพทย์หญิงปิติยาต่อ เธอก็ได้รับคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพหลังการรักษา หลัก ๆ คือเธอต้องรับยาต่อไปอีกห้าปี ยานี้เป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมน แพทย์จึงแนะนำว่าเธอจำเป็นต้องตรวจภายในปีละครั้ง เพราะห่วงว่ามดลูกอาจได้รับผลข้างเคียงจากยา และรับการตรวจเต้านมเป็นประจำทุกปีเช่นเคย เพื่อเฝ้าระวังและรักษาสุขภาพระยะยาว

ออกมาจากห้องตรวจ กัลย์กมลตระหนักว่าการต่อสู้ของเธอยังไม่จบสิ้น ยังมีการเฝ้าระวังและการตรวจเช็กอย่างต่อเนื่องที่รออยู่ ถึงแม้ตอนนี้จะเปลี่ยนการนัดตรวจเป็นเดือนละครั้ง สามเดือนครั้ง หรือหกเดือนครั้งตามอาการ แต่เธอก็รู้สึกถึงความพร้อมที่จะดูแลตัวเองต่อไป และรู้สึกภูมิใจอย่างเต็มที่ที่เธอได้กลายเป็น ‘รุ่นพี่’ สำหรับคนไข้มะเร็งเต้านมรายอื่นไปแล้ว เพราะที่หน้าห้องนั้นยังมีอีกหลายคนที่กำลังต่อสู้กับโรคนี้ ซึ่งจากการที่ได้คุยกันเธอก็พยายามให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคที่พอจะสามารถทำให้ได้

และสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือกัลย์กมลรู้สึกขอบคุณการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็ว นับว่าโชคดีที่โรคนี้ถูกพบตั้งแต่ระยะแรก ทำให้เธอมีโอกาสรักษาได้อย่างทันท่วงที สำหรับเธอแล้วการได้ต่อสู้และผ่านพ้นช่วงเวลานี้มาได้ทำให้รับรู้ถึงความหมายของชีวิตมากขึ้น

 

 

Don`t copy text!