สมโภชน์ อุปอินทร์ สุนทรียศิลปิน

สมโภชน์ อุปอินทร์ สุนทรียศิลปิน

โดย : ตัวแน่น

Loading

นอกจาก นิยายออนไลน์ สนุกๆ แล้ว อ่านเอา ยังมีคอลัมน์ ‘หลงรูป’ บทความแสดงมุมมอง เล่าเรื่อง บอกต่อ สารพัดความรู้และเรื่องราวใน แวดวงศิลปะ โดย ตัวแน่น ที่อยากแนะนำให้คุณได้ อ่านออนไลน์

…………………………………………………………………………

อะไรมันจะประจวบเหมาะพอดิบพอดีได้ถึงเพียงนี้ ณ ขณะนั้นเรากำลังเดินทอดน่องส่องดูผลงานศิลปะที่ว่าเลิศที่สุดของโลกในพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ใจกลางมหานครมิวนิกที่มีชื่อหมิ่นเหม่ว่า ปีหน้าโกเต็ก (Pinakhothek) เราเดินผ่านห้องจัดแสดงห้องแล้วห้องเล่าจนไปสะดุดหยุดอยู่ในห้องที่มีกำแพงสีเทาหม่นๆ ห้องหนึ่งบริเวณชั้นสองของพิพิธภัณฑ์ซึ่งมีภาพวาดฝีมือ วาซิลี คานดินสกี (Wassily Kandinski) และ ปาโบล ปีกัสโซ (Pablo Picasso) แขวนประชันกันไว้ไม่ห่าง ผลงานของคานดินสกีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเสียงเพลงนั้นพาให้ใจเบาหวิวปลิดปลิวพลิ้วไหวไปกับท่วงทำนองที่ไม่ได้ยินด้วยหู แต่กลับรู้สึกได้ด้วยตา ในขณะที่ผลงานของปีกัสโซในสไตล์คิวบิสม์เป็นเหลี่ยมเป็นสันนั้นกลับดูหนักแน่นขึงขัง เราเลยนึกในใจขึ้นมาว่าถ้ามีภาพวาดของ สมโภชน์ อุปอินทร์ ใบงามๆ สักชิ้นมาแขวนคั่นไว้ตรงกลางเพื่อลดแรงเสียดทานคงเหมาะ เพราะเท่าที่เรานึกออก งานไทยที่ดูอินเตอร์ เอาไปแสดงร่วมกับผลงานรุ่นเดอะของโลกแล้วไม่เคอะเขิน แถมยังมีปฏิสัมพันธ์กับทั้งคานดินสกีและปีกัสโซได้ ก็เห็นจะมีแต่สมโภชน์นี่แหละ และแล้วจู่ๆอยู่ดีๆ โทรศัพท์ที่ซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อหนาวก็สั่นครืดคราดเป็นสัญญาณว่ามีใครส่งไลน์มาหา พอควักขึ้นมาดูถึงได้รู้ว่าทีมงานที่บ้านอาจารย์สมโภชน์เขาส่งข้อความข้ามซีกโลกมาเตือนให้เขียนบทความชิ้นนี้ขึ้นมา เจ้าพ่อคุณทูลหัวไยช่างเลือกเวลาส่งไลน์ได้เหมาะเหม็งเสียนี่กระไร

สมโภชน์ อุปอินทร์ ชื่อนี้อาจจะไม่คุ้นหูธารกำนัลซักเท่าไหร่ แต่สำหรับนักสะสมศิลปะมากประสบการณ์ และเหล่าภัณฑารักษ์สายเอเชียในพิพิธภัณฑ์ศิลปะใหญ่ๆ ระดับโลก สมโภชน์นั้นคือตัวจริง พูดน้อย ต่อยหนัก ไม่เน้นโปรโมต แม้งานจะโคตรล้ำ

ว่ากันว่าฝีมืออย่างสมโภชน์นั้นอย่าว่าแต่ระดับชาติเลย จะขึ้นแท่นไปอยู่ระดับอินเตอร์ก็ยังไหว แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ที่เป็นศิลปินจ๋า ผนวกกับแนวคิดขบถ ท่านเลยไม่เคยคิดจะตะกายดาว พอเกริ่นไปแล้วก็ชักจะคันไม้คันมืออยากจะขอขยายความให้อ่านกันต่อว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ในวันฮาโลวีนที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2477 ครอบครัวหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ได้ให้กำเนิดทารกเพศชายและตั้งชื่อให้ว่า สมโภชน์ อุปอินทร์ ชีวิตวัยเด็กของสมโภชน์ไม่ได้หวือหวาอะไร ได้เข้าเรียนในโรงเรียนละแวกบ้านจนชั้นมัธยม ก่อนจะบากหน้าเข้ามากรุงเทพฯ มาเรียนต่อที่โรงเรียนเพาะช่างอยู่ 3 ปีจนจบ และก็ย้ายไปเข้าคณะจิตรกรรม และประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเพิ่งจัดตั้งขึ้นมาใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ โดยมี อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ดูแล ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร สมโภชน์ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ ได้เรียนรู้ถึงศิลปะในรูปแบบที่ไม่คุ้นตาเช่นแนวคิวบิสม์และแอบแสตร็ก จนสามารถสร้างสรรค์ศิลปะในสไตล์เหล่านั้นได้อย่างช่ำชองไม่เป็นรองใคร แต่ถึงจะเก่งยังไงอาจารย์ศิลป์ก็ยังจะคอยปรามๆ ให้หมั่นฝึกฝนการวาดภาพตามหลักสูตรให้แม่นก่อน แล้วค่อยต่อยอดไปในแนวนำสมัย จบไปจะได้เป็นศิลปินที่มีทั้งแนวความคิดและฝีมือ ไม่ใช่มีแต่ไอเดียเลิศ แต่พอให้วาดหน้าตัวเองกลับออกมาเหมือนลิง

“Title Unknown” พ.ศ. 2506 เทคนิคสีน้ำมันบนกระดาน ขนาด 60.5 x 50.5 เซนติเมตร

ในสมัยที่สมโภชน์เป็นนักศึกษา นอกเหนือจากวิชาวาดๆ ปั้นๆ ถ้าหากใครมีความสามารถสอบผ่านมาถึงชั้นปี 4 และปี 5 ก็จะมีสิทธิ์ได้เรียนวิชาสุนทรียศาสตร์โดยมีอาจารย์ศิลป์เป็นผู้ลงมือสอนเอง เป้าหมายของวิชานี้คือขัดเกลาลูกศิษย์ให้มีความสามารถรับรู้ได้ถึงความงดงามของศิลปะแขนงต่างๆ และเพื่อให้เป็นที่เข้าใจได้โดยง่าย อาจารย์ศิลป์มักเล่นแผ่นเสียงเพลงบรรเลงคลาสสิกให้ลูกศิษย์ฟัง ให้ลองเปรียบเทียบอารมณ์ของทำนองเพลงแต่ละเพลงกับภาพวาดและประติมากรรม เช่น การฟังเพลงของเบโธเฟนนั้นน่าจะได้รับความสุนทรีย์เฉกเช่นกับการที่ได้ดูผลงานประติมากรรมของไมเคิลแองเจลโลอย่างไงอย่างงั้น ในบรรดาลูกศิษย์ก้นกุฏิของอาจารย์ศิลป์ สมโภชน์นี่น่าจะอินกับวิชาสุนทรียศาสตร์และเพลงที่ได้ฟังมากที่สุด เพราะจำร่องแผ่นเสียงได้ทุกร่อง จำเพลงได้ทุกเพลง จนอาจารย์ศิลป์ไว้วางใจให้สมโภชน์เป็นผู้ควบคุมเครื่องเล่นแผ่นเสียง และตั้งฉายาให้ว่า นายโอเปอเรเตอร์

เห็นภาพวาดสวยๆ ฝีมือสมโภชน์จนคุ้นตา เราเลยหลงคิดไปเองว่าสมโภชน์คงจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศิลปากรด้วยวิชาเอกจิตรกรรม แต่จริงๆ แล้วท่านเรียนจบวิชาเอกประติมากรรมด้วยเหตุผลที่ว่า ตังค์ไม่ค่อยมี เรียนจิตรกรรมต้องคอยซื้อสีซื้อแคนวาส แต่เรียนประติมากรรมไม่ต้องซื้ออะไรเพราะมหา’ลัยมีดินให้ปั้นฟรี การเลือกเรียนปั้นยังทำให้สมโภชน์ได้พบรักกับนักศึกษาสาวสวยระดับนางเอกหนัง ลาวัณย์ ดาวราย ผู้ซึ่งจับพลัดจับผลูมาเรียนปั้นอยู่พักหนึ่งตามคำแนะนำของอาจารย์ศิลป์ ลาวัณย์สมัยนั้นฮอตที่สุด มีหนุ่มรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ตามจีบกันให้ควั่ก แต่สมโภชน์ศิลปินไส้แห้งกลับเป็นผู้พิชิตใจของเธอมาครองด้วยความสามารถทางศิลปะที่ฉกาจฉกรรจ์เหนือมนุษย์มนา จนลาวัณย์ ศิลปินผู้เก่งกาจเช่นเดียวกันต้องยอมใจ และภายหลังทั้งคู่ก็ได้หมั้นและจัดพิธีแต่งงานกัน ซึ่งในวันงานสมโภชน์ก็ยังไม่มีเพชรนิลจินดาแก้วแหวนเงินทองอะไรจะให้ว่าที่ศรีภรรยา มีแต่ภาพวาด 100 ภาพที่มอบให้เป็นของขวัญแทนใจ

สมโภชน์ อุปอินทร์ ในวัยหนุ่ม (ภาพจากหนังสือ Sompot Upa-In 1934-2013)

หลังจากได้รับปริญญา สมโภชน์ก็ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรต่อ ควบคู่ไปกับการเป็นศิลปินซึ่งในอดีตยังไม่สามารถยึดเป็นอาชีพหลักสร้างรายได้ให้พอยาไส้ เพราะในเมืองไทยการซื้อหาผลงานศิลปะมาสะสมยังไม่ใช่เรื่องปกติอย่างปัจจุบัน ในสมัยนั้นอาจารย์ศิลป์ได้ริเริ่มจัดงานประกวดศิลปกรรมแห่งชาติประจำปีขึ้นมาเพื่อกระตุ้นวงการศิลปะให้เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางเหมือนอารยประเทศที่เขาเจริญแล้ว ศิษย์รักอย่างสมโภชน์ก็ไม่พลาดจะส่งผลงานเข้าประกวดต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จนถึง พ.ศ. 2512 และกวาดเหรียญรางวัลมาเป็นเข่งรวม 3 เหรียญเงิน 6 เหรียญทองแดง บางปีสมโภชน์ยังได้รับเกียรติให้ออกแบบปกสูจิบัตรงานประกวดอีกต่างหาก สมโภชน์ตัดสินใจเลิกเอี่ยวกับงานประกวดศิลปกรรมแห่งชาติหลังจากที่อาจารย์ศิลป์ท่านสิ้นลมไปแล้ว เพราะมีความคิดว่ามาตรฐานของงานด้อยลง ด้วยเหตุที่ว่าสมโภชน์ได้ทดลองส่งผลงานชิ้นเดิมที่ถูกกรรมการคัดออกเมื่อปีก่อนไปประกวดในปีถัดไปโดยไม่ได้เพิ่มเติมหรือแก้ไขอะไร ปรากฎว่าท่านกลับได้เหรียญรางวัลจากภาพเดียวกันเป๊ะที่โดนคัดทิ้งเมื่อปีก่อน ทำเอาสมโภชน์เสียศรัทธาไปเลย

ในชีวิตการเป็นศิลปิน สมโภชน์ไม่ค่อยได้จัดแสดงผลงานเดี่ยวของตัวเองบ่อยนัก ครั้งที่ยิ่งใหญ่และน่าภาคภูมิใจที่สุดคืองานแสดงที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ถึง 10 มีนาคม พ.ศ. 2514 ที่หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี ครั้งนั้นสมโภชน์จัดหนัก ขนงานไปโชว์ถึง 225 ชิ้น มีหมดทั้งภาพวาด ทั้งรูปปั้น จนประสบความสำเร็จมีคนแห่แหนมาดูจากทั่วทุกสารทิศ ขายผลงานได้เป็นกอบเป็นกำ งานนี้นับว่าไม่ธรรมดา เพราะในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตรเป็นการส่วนพระองค์ถึง 3 ชั่วโมง ทรงจองผลงานของสมโภชน์ อีกทั้งยังทรงชมว่าสมโภชน์เป็นศิลปินที่มีอนาคต งานของสมโภชน์เป็นมิวสิก

ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ทอดพระเนตรงานแสดงศิลปะของสมโภชน์ อุปอินทร์ ในวันที่ 4 มีนาคม 2514 (ภาพจากหนังสือ Sompot Upa-In 1934-2013)

สมโภชน์สอนอยู่ที่คณะจิตรกรรมและประติมากรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร จน พ.ศ. 2516 ก็เกิดการไม่ลงรอยกันระหว่างอาจารย์ 2 กลุ่มที่มีความเห็นในการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้สมโภชน์และอาจารย์อีกหลายท่านจึงถูกอีกฝ่ายซึ่งมีอำนาจบริหารถอดชื่อออกจากวิชาที่สอน วุ่นวายกันไปหมดจนในที่สุดก็มีการจัดตั้งคณะมัณฑนศิลป์ขึ้นมา สมโภชน์จึงได้กลับมาสอนในมหาวิทยาลัยศิลปากรอีกครั้งในคณะใหม่ที่เพิ่งตั้งขึ้นมานี้แทน โดยเป็นผู้สอนวิชาสุนทรียศาสตร์ วิชาโปรดของสมโภชน์ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากอาจารย์ศิลป์โดยตรง

เมื่อว่างเว้นจากการสอน สมโภชน์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำงานศิลปะอยู่กับบ้าน แต่ในทางกลับกันจำนวนผลงานศิลปะของสมโภชน์กลับมีออกมาน้อยมากเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ไป เหตุเพราะท่านเป็นคนประเภทสมบูรณ์แบบนิยมขั้นรุนแรง ผลงานชิ้นไหนถ้าไม่เพอร์เฟ็กต์สุดๆ ในสายตา อย่าได้หวังว่าจะยอมปล่อยผ่านให้เสียมาตรฐาน เวลามากมายในการทำงานศิลปะของสมโภชน์จึงมักหมดไปกับการเลือกเฟ้นวัสดุอุปกรณ์ทั้งสีทั้งผ้าใบว่าต้องเป็นเกรดดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะหาได้ ภาพที่ถึงแม้จะวาดเสร็จแล้ว แต่วันดีคืนดีภาพนั้นอาจะถูกวนเวียนเอามาเติมนู่นเติมนี่ หรือไม่ก็ถูกระบายทับวาดใหม่เป็นอีกรูปไปเลยก็มีอยู่บ่อยๆ ขนาดว่ากรอบรูปทุกรูปสมโภชน์ก็เลื่อยไม้ ระบายสี ประกอบเอง เพราะไม่ถูกใจร้านไหนทั้งนั้น

นอกเหนือจากการวาดภาพ สมโภชน์ยังชอบดนตรีคลาสสิกเป็นชีวิตจิตใจ ท่านเล่นไวโอลินได้ตั้งแต่หนุ่มๆ ในเวลาเดียวกันก็เริ่มเก็บสะสมแผ่นเสียงและซีดีจนมีล้นบ้านมากมายยิ่งกว่าร้านขายเสียอีก เงินทองที่ขายภาพได้ยังหมดไปกับเครื่องเสียงขั้นเทพที่ต้องสั่งพิเศษมาจากเมืองนอก พร้อมลำโพงมาตรฐานระดับคอนเสิร์ต เปิดเพลงฟังแต่ละทีก็ดังกระหึ่มไปสามบ้านแปดบ้าน โชคดีที่เพื่อนบ้านในซอยเป็นญาติกันหมดเลยไม่โดนเอาก้อนอิฐปาหลังคาเอา

เมื่อวันเวลาผ่านไป อารมณ์ของสมโภชน์นั้นก็ยิ่งทวีความติสต์ขึ้นเรื่อยๆ ตามวัย ในช่วงบั้นปลายของชีวิตเป็นเวลากว่าสิบปีที่ท่านแทบจะเลิกสร้างผลงานศิลปะไปเลย สมโภชน์ใช้เวลาไปกับการฟังเพลงคลาสสิกซ้ำๆ แล้วนับจำนวนครั้งที่ฟัง สีไวโอลินตอนไก่โห่ เปิดทีวีดาวเทียมช่องการเมืองดูทั้งวัน ปลูกกล้วยไม้ทุกสายพันธุ์ ล้างและเรียงหินในสวนทีละก้อน และริเริ่มโปรเจ็กต์ทาสีบ้านใหม่ด้วยพู่กันอันเล็กๆ จนอยู่มาวันหนึ่งขณะที่สมโภชน์กำลังปีนบันไดเอื้อมเอาพู่กันทาสีกำแพงก็พลาดท่าร่วงตุ้บลงมากองกับพื้น เดือดร้อนคนที่บ้านต้องรีบหามส่งโรงพยาบาล

สมโภชน์ผู้ซึ่งเชื่อเสมอว่าตัวเองแข็งแรง และจะอายุยืน เพราะได้ยีนดีจากญาติๆ ซึ่งอยู่กันเฉียดร้อยแทบทั้งนั้น เลยไม่เคยไปตรวจร่างกายสักกะหน ครั้งนั้นพอตกบันไดเข้าโรงพยาบาลหมอเลยได้ทีจับตรวจเช็กซะถี่ยิบ จนพบว่าสมโภชน์นั้นอมโรคเอาไว้เพียบ ตั้งแต่โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก หัวใจ ความดัน คอเลสเตอรอล พาร์กินสัน น้ำในสมอง แถมยังมีอาการไบโพลาร์ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอีก

“The Hell” พ.ศ. 2499 เทคนิคสีน้ำมันบนกระดาน ขนาด 246.6 x 243.3 เซนติเมตร

อาการป่วยของสมโภชน์นั้นถึงแม้หมอและครอบครัวจะพยายามรักษาอย่างไรก็ไม่กระเตื้อง พาลแต่นับวันจะคอยทรุดลงอย่างรวดเร็ว จนถึงกับสมองเสื่อม พูดไม่ได้ และในที่สุดก็มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ไปเสียชีวิตที่ห้องไอซียูของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557 ศิริรวมอายุได้ 79 ปี

คลับคล้ายคลับคลาว่าครั้งแรกที่เราได้เห็นผลงานของสมโภชน์นั้นคือตอนที่เดินหลงเข้าไปในห้องทำงานของอาจารย์ศิลป์ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพเดิม และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ เรารู้สึกเหมือนได้เข้ามาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อะไรสักแห่ง ถึงห้องจะไม่ใหญ่แต่ภายในอัดแน่นไปด้วยผลงานศิลปะสมัยใหม่ชิ้นเยี่ยมที่สุดเท่าที่ชาติไทยเคยมี ทั้งประติมากรรมขลุ่ยทิพย์ ของ เขียน ยิ้มศิริ, ภาพนู้ด ของ เฟื้อ หริพิทักษ์, ภาพเหมือนบุคคล ของ จำรัส เกียรติก้อง, ภาพช่อดอกบัว ของ ทวี นันทขว้าง และผลงานชิ้นสำคัญในประวัติศาสตร์ฝีมือศิลปินระดับบรมครูอีกร้อยแปด ท่ามกลางผลงานศิลปะเหล่านี้เราได้เหลือบไปเห็นภาพผู้หญิงสีม่วงๆ กับกรงนก ภาพนี้มีองค์ประกอบที่ง่ายๆ แต่กลับดูลึกล้ำด้วยการตัดเส้นกันฉุบฉับแบบคิวบิสม์ คู่สีที่เลือกใช้ยังดูแปลกๆ ไม่ซ้ำใคร จนดึงเราให้ต้องเขยิบเข้าไปดูใกล้ๆ ว่าใครกันหนอเป็นคนวาด

หลังจากนั้นเราก็ได้เห็นภาพวาด และประติมากรรมฝีมือสมโภชน์อีกหลายชิ้นในคอลเลกชันของนักสะสมรุ่นใหญ่ ถึงได้รู้ว่าสมโภชน์นั้นไม่ได้เก่งแค่สไตล์คิวบิสม์เท่านั้น สไตล์อื่นๆ อย่างเอ็กซ์เพรสชันนิสม์ แอ็บสแตร็กต์ หรือ แม้แต่ภาพเหมือนบุคคลท่านก็ทำออกมาได้ดี และไม่ใช่แค่ดีธรรมดา เพราะสมโภชน์ได้พัฒนาต่อยอดสไตล์ และการเลือกสีจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยกตัวอย่างเช่น ภาพวาดของสมโภชน์จะดูมีมิติรอบด้านเหมือนประติมากรรม คน สัตว์ สิ่งของจะดูยาวๆ ยืดๆ สีที่ใช้ถึงแม้จะดูสดใสแต่ก็เหมือนปกคลุมไปด้วยหมอก เนื้อหาภาพนั้นดูคล้ายๆ จะเป็นภาพนึกคิดในอุดมคติ เรื่องราวที่สมโภชน์มักเลือกเอามาสร้างสรรค์ผลงานก็มีทั้งที่ดูสบายๆ เช่น ความรัก ครอบครัว ทิวทัศน์ บทเพลง และมีทั้งแบบที่โหดๆ เช่น การเมือง ความอยุติธรรม ความตาย นรก เอาเป็นว่าถึงผลงานของสมโภชน์จะมีหน้าตาและเนื้อหาสุดแสนจะหลากหลายแค่ไหน แต่ถ้าเห็นงานของท่านผ่านตาบ่อยๆ รับรองว่ามองปรู๊ดเดียวก็รู้ว่านี่คือฝีมือสมโภชน์แน่นอน

เป็นที่น่าชื่นชมว่าถึงแม้สมโภชน์จะจากพวกเราไปแล้ว แต่ครอบครัว ลูกศิษย์ลูกหา ภัณฑารักษ์ และนักสะสมศิลปะที่ชื่นชอบสมโภชน์ต่างยังคอยร่วมแรงร่วมใจโปรโมตผลงานของท่านจนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง จนดังยิ่งกว่าสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่เสียอีก หลายปีมานี้มีงานแสดงทั้งแบบเดี่ยวแบบกลุ่มหลายต่อหลายงานที่จัดแสดงผลงานศิลปะของสมโภชน์ที่ก่อนหน้านี้หาชมยากซะเหลือเกิน และงานแสดงครั้งที่ยกระดับวงการศิลปะไทยขึ้นไปอีกขั้น คือเมื่อครั้งที่ผลงานของสมโภชน์ถูกจัดแสดงเคียงบ่าเคียงไหล่ศิลปินชื่อดังคับฟ้าอย่างคานดินสกี, ปีกัสโซ, บราค, มาติส, ชากาล ในงานแสดงที่จัดขึ้น ณ หอศิลป์แห่งชาติประเทศสิงคโปร์ และต้องบอกตามตรงแบบไม่ได้เข้าข้างใครว่า พลังของผลงานสมโภชน์นั้นเจิดจรัสสะกดสายตาผู้ชมได้ไม่น้อยกว่าผลงานฝีมือศิลปินรุ่นใหญ่ๆ ของโลกเลย

ด้วยกระแสความนิยมในผลงานของสมโภชน์ที่ล้นหลามจนลามไปถึงพิพิธภัณฑ์และนักสะสมศิลปะในต่างประเทศ ทุกวันนี้ต่างคนต่างก็เลยพากันตามหาผลงานของท่านมาเก็บกันไว้กันให้ควั่ก ทั้งๆ ที่รู้ว่าหาไม่ง่ายก็ไม่ย่อท้อไม่งั้นมีสิทธิ์ตกขบวน ขนาดสถาบันการประมูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอย่างคริสตี้ส์ก็ยังเห็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นี้ และเลือกผลงานของสมโภชน์บรรจุไว้ในงานประมูลร่วมกับผลงานของศิลปินระดับอินเตอร์เบอร์ต้นๆ อย่างสม่ำเสมอ

บิลต์มาซะขนาดนี้แล้ว ถ้าเริ่มเคลิ้มๆ อยากจะเห็นผลงานจริงๆ ของสมโภชน์แบบเต็มอิ่มไม่มีเม้ม แนะนำว่าปลายปีนี้เจียดเวลาสักวันไปดูงานแสดงครั้งยิ่งใหญ่ของสมโภชน์ ที่รวบรวมผลงานสุดหวงจากครอบครัวอุปอินทร์และเหล่านักสะสม มากมายเกือบร้อยชิ้นมาจัดแสดงไว้ที่หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ตรงถนนราชดำเนิน งานนี้เราโชคดีได้ไปร่วมฟังคอนเซ็ปต์งานตั้งแต่ต้น เลยสืบทราบมาว่าครั้งนี้จะมีธีมที่แหวกแนวไม่เหมือนกับงานแสดงศิลปะทุกครั้งที่ผ่านมาของ สมโภชน์ อุปอินทร์ แต่จะเป็นอย่างไรนั้นขอ… อุบ… ไว้ก่อน รับรองว่าไปดูแล้วจะ… อิน…

 

Don`t copy text!