แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 10 : ไม่ยากอย่างที่คิด

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 10 : ไม่ยากอย่างที่คิด

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

หลังจากการผ่าตัดผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กัลย์กมลจำได้เพียงราง ๆ ว่าทุกอย่างมันช่างผ่านไปรวดเร็วเพียงแค่หลับตาลงเท่านั้น จากนั้นเธอก็ถูกพามาห้องพักฟื้นด้วยอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น ในห้องนั้นเธอไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่บ้าง เพียงแต่ได้ยินเสียงร้องโอดโอยของใครสักคนจนเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี ก่อนจะถูกพากลับมายังห้องพักผู้ป่วยตามเดิม

และใบหน้าแรกที่เห็นก็คือแม่ผู้เฝ้าเธอตั้งแต่วันแรก

“แม่…”

กัลย์กมลเรียกหาแม่ด้วยความอุ่นใจอย่างที่สุด ก่อนจะหลับยาวจนถึงเช้า

พอรู้สึกตัวอีกครั้ง สมองก็เริ่มจะคุ้นชินกับสภาพรอบตัว สิ่งแรกที่เห็นหลังจากตื่นได้อย่างเต็มตาคือแสงไฟจากในห้อง กับขวดน้ำเกลือที่ยังหยดลงอย่างสม่ำเสมอห้อยอยู่กับเสา หญิงสาวพยายามปรับสายตาให้ชินกับแสง พอหันไปยังด้านข้างก็พบกับแม่ที่ยังนอนอยู่บนโซฟา และเพียงได้เห็นใบหน้าของดลฤดีเท่านั้น ก็บังเกิดความอุ่นในอกขึ้นมาทันที

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด นับว่าผ่านไปได้ด้วยดีและไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด จะว่าไปแล้วสิ่งที่เธอกลัวอยู่แต่แรกนั้นก็พลอยหายไปจนจำไม่ได้แล้วเหมือนกันว่าเคยกลัวมากแค่ไหน ทว่าอีกความรู้สึกที่รับรู้ตอนนี้คือร่างกายที่หนักอึ้ง

และมันชัดเจนขึ้นเมื่อเธอพยายามขยับตัว ราวกับว่าความเจ็บปวดนี้ได้ทิ่มแทงร่างกายจนขยับไม่ไหว พอลองฝืนตัวเองกัลย์กมลก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บที่ซีกซ้าย จนหลุดปากร้องออกมา

“โอย…” ริมฝีปากแห้งผากร้องด้วยน้ำเสียงแหบพร่า อันเกิดจากการอดน้ำมาเป็นเวลานานก็นับตั้งแต่ก่อนผ่าตัด จะมีก็เพียงแค่น้ำเกลือที่ยังช่วยพยุงร่างกายเธอเอาไว้เท่านั้น

และด้วยความเป็นห่วงลูกที่ทำให้ดลฤดีนอนหลับไม่สนิทอยู่แล้ว พอได้ยินเสียงกัลย์กมลเท่านั้น เธอก็รีบลุกมาดูด้วยความเป็นห่วงทันที

“หนูดีลูก” น้ำเสียงอันอ่อนโยนเอ่ยตอบลูกสาว

ขณะที่กัลย์กมลยิ่งรู้สึกอุ่นวาบอยู่ในอก เมื่อเห็นใบหน้าของแม่ความเจ็บเมื่อครู่ก็แทบจะมลายสิ้น เธอรู้ว่าแม่ต้องลางานหลายวันเพื่อมาเฝ้าเธอ ไม่แน่ว่าตลอดเวลาที่เธอหลับไปนั้น แม่อาจกำลังเฝ้าดูเธออยู่ด้วยความเป็นห่วง เห็นได้ชัดจากใบหน้าที่อิดโรยเหมือนคนที่แทบไม่ได้พักผ่อน และพอคิดถึงภาพนั้นมันก็อดที่จะทำให้เธอยิ้มกว้างไม่ได้

ส่วนคนเป็นแม่เมื่อเห็นรอยยิ้มแฉ่งของลูก เธอก็ลูบหัวลูกสาวสุดที่รักอย่างเอ็นดู แม้ในยามที่ใบหน้าไร้คิ้วและขนตา หรือแม้แต่ศีรษะที่ไม่มีผมสักเส้นจากการรักษาโรคก็ตาม กัลย์กมลก็ยังคงเป็นยอดดวงใจของแม่เสมอ

“เป็นยังไงบ้าง จิบน้ำสักหน่อยไหม” ดลฤดีถามอย่างห่วงใย พลางหยิบหมวกที่ลูกสาวทำหลุดไว้บนหมอนสวมให้ ด้วยกลัวว่าเธอจะเย็นหัวจนไม่สบายไปอีก

“ก็ดีค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับ พร้อมกับเริ่มรู้สึกถึงความสากอยู่ในลำคอตัวเอง แต่พอจะลองขยับขึ้นมานั่งร่างกายก็ยังคงหนักและปวดระบมจนเธอต้องกลับมานอนตามเดิม พลางส่งเสียงออดอ้อนคนเฝ้า “แต่หนูดีขยับแล้วเจ็บจังเลย แม่ขยับเตียงให้ได้ไหม”

ใบหน้าแฉล้มแม้ไร้ซึ่งมงกุฎของหน้านั้นทำให้ดลฤดีอดไม่ได้ที่จะเอ็นดูลูกสาว เธอปรับหัวเตียงคนป่วยให้ยกขึ้นมาในระดับที่กัลย์กมลพอใจ แล้วยกแก้วน้ำที่มีหลอดให้คนป่วยจิบแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็เพียงพอให้กัลย์กมลรู้สึกถึงความเย็นที่ผ่านลำคออันแห้งผากจนเกือบสำลักออกมา

“ใจเย็น ๆ ค่อย ๆ จิบก็ได้” ดลฤดีเอ็ดลูกอย่างไม่จริงจังนัก พลางมองดูหญิงสาวค่อย ๆ จิบน้ำทีละน้อยอย่างเป็นห่วง และคอยระวังไม่ให้เธอสำลัก

พอเริ่มหายฝืดคอลงบ้างแล้ว กัลย์กมลก็เริ่มที่จะปรับตัวให้ชินกับร่างกายหลังผ่าตัด เธอค่อย ๆ ขยับตัวทีละเล็กเริ่มจากการกระดิกนิ้วเท้า ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อจะสำรวจว่ามีร่างกายส่วนไหนที่ยังเจ็บระบมอยู่บ้าง ทุกอย่างดูจะผ่านไปด้วยดีเว้นแต่ลำตัวซีกซ้าย โดยเฉพาะแขนที่เหมือนจะทั้งเจ็บและหนักจนยกไม่ขึ้น บางส่วนก็มีอาการชาราวกับจะไม่รู้สึกอะไร ที่รับรู้มาคือเธอถูกผ่าเอาเนื้อร้ายที่เนินอกข้างซ้ายออก รวมถึงการเลาะเอาต่อมน้ำเหลืองข้างเดียวกันไปด้วย

พอลองยกแขนซ้ายตัวเองอีกครั้ง มันก็ทำให้กัลย์กมลเจ็บจนถึงกับต้องนิ่วหน้า

“เจ็บจัง…”

เสียงน้อย ๆ หลุดออกมาพร้อมกับใบหน้าที่บ่งบอกได้ดีกับความรู้สึกที่กำลังเผชิญ ส่วนคนที่กำลังเอาแก้วไปเก็บก็รีบหันมาหาลูกสาว พร้อมกับบ่นไปด้วย

“ก็จะพยายามขยับทำไมล่ะลูก จะเอาอะไรเดี๋ยวแม่หยิบให้”

“หนูอยากได้มือถือค่ะ”

อันที่จริงถ้าไม่ห่วงว่าลูกสาวกำลังบาดเจ็บจากการผ่าตัด ดลฤดีก็อยากตีแขนสักทีด้วยความมันเขี้ยว โทษฐานที่ดื้อจนแม่ต้องเป็นห่วง จึงได้แต่ส่งสายตาค้อนให้ไปหนึ่งที แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าส่งให้กับลูกสาว

ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งแรกที่กัลย์กมลทำคือการเปิดโซเชียลมีเดียดูเป็นอย่างแรก ถึงจะขยับแขนยากไปสักหน่อย แต่ด้วยความอยากรู้ทำให้เธอพยายามไม่ใส่ใจกับอาการนั้น เพราะจำได้ว่าก่อนจะเข้าผ่าตัดเธอได้โพสต์ขอกำลังใจเอาไว้ และแน่ทีเดียวว่ามีคนเข้ามาส่งกำลังใจให้อย่างล้นหลาม

‘หนูดี สู้ ๆ นะ’

‘ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีนะจ๊ะ’

‘รักษาหายแล้วเราไปกินหมูกระทะนะ พี่รออยู่’

‘หนูดีเก่งอยู่แล้ว พี่เชื่อว่าต้องหายแน่’

นี่เป็นข้อความส่วนหนึ่งที่เธอได้รับ และยังมีข้อความอีกมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย แม้แต่คนเจ็บก็ยังแทบลืมอาการระบมแล้วอมยิ้มกับกำลังใจที่ได้รับอย่างมีความสุข ทว่าพอเปิดโปรแกรมสนทนาขึ้นมาเธอก็ได้พบข้อความจากใครบางคนที่ทำให้ถึงกับใจสั่นระรัว

[บุ๋น : สู้ ๆ นะหนูดี ขอให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี พี่เอาใจช่วย]

นั่นคือข้อความจากจิตบุณย์ แม้จะเป็นข้อความสั้น ๆ จากคนพูดน้อย แต่ก็ทำให้หัวใจของคนที่ได้รับพองโตขึ้นมาอย่างประหลาด โดยเฉพาะเมื่อจบจากข้อความนั้นก็ปรากฏภาพต้นทานตะวันแคระที่เริ่มมีดอกตูมขึ้นมา พอได้เห็นกัลย์กมลก็ได้แต่ยิ้มกว้าง พลอยคิดถึงต้นของเธอที่ฝากให้ดูแลไปด้วย

และด้วยใบหน้าที่เบิกบานด้วยรอยยิ้มที่ไม่ยอมหุบ ก็ทำให้คนเห็นอดไม่ได้ที่จะแซว

“เปิดหน้าจอมาก็ยิ้มกว้างแล้วลูกฉัน เมื่อกี้ยังร้องโอดโอยอยู่เลย”

“แม่ก็…” คนที่นั่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยค้อนเบา ๆ ใส่แม่ตัวเองไปหนึ่งที แล้วกลับมามีความสุขกับสิ่งที่อยู่ในหน้าจอต่อ

“ยิ้มกว้างขนาดนี้ ข้อความของบุ๋นใช่ไหม”

“แม่…” ดวงตากลมเบิกกว้าง พร้อมกับใบหน้าที่แดงก่ำ “อย่าแซวสิ”

และปฏิกิริยาตอบกลับของลูกสาวนั้น ก็ยิ่งทำให้ดลฤดีรู้สึกประหลาดใจไปด้วย

“จริงเหรอ นี่ลูกสาวฉันมีแฟนตั้งแต่ตอนไหน”

“ยังค่ะ ยังไม่ใช่แฟน แค่รู้สึกดีด้วยเฉย ๆ” กัลย์กมลตอบไปตามตรง อันที่จริงการมีอะไรให้ชุ่มชื้นหัวใจระหว่างที่ร่างกายยังคงอยู่ระหว่างการรักษา มันก็พอจะทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าโลกนี้สว่างขึ้นมาบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่กล้าที่จะคิดจริงจัง จึงขอเก็บเกี่ยวความสุขเล็ก ๆ นี้ไว้เป็นรางวัลของชีวิตบ้างก็พอ

“จ้ะ ๆ งั้นก็รีบรักษาตัวให้หาย จะได้ออกจากโรงพยาบาลไว ๆ” ดลฤดีเบรกความคิดของลูกด้วยนมอุ่น ๆ ที่ชงมาให้

กัลย์กมลรับนมอุ่น ๆ มาดื่ม พร้อมกับทำสีหน้าอย่างมีความสุข แล้วยิ้มแป้นทั้งที่มีคราบนมอยู่ที่มุมปาก ยิ่งทำให้แม่นั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเอ็นดู พลางเช็ดคราบเลอะให้กับลูกสาวไปด้วย

 

กัลย์กมลใช้เวลาสองสามวันที่โรงพยาบาลเพื่อเริ่มปรับตัวกับชีวิตใหม่หลังการผ่าตัด ความกังวลที่มีอยู่ในทีแรกดูเหมือนจะเบาบางลงไปเมื่อรับรู้ได้ว่าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี เธอเจอกับแพทย์หญิงปิติยาวันละครั้ง แต่ละครั้งนั้นก็จะได้รับคำแนะนำในการดูแลตัวเอง ซึ่งยังต้องมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำ และปรับตัวให้ชินกับมันให้มากขึ้น

อย่างแรกคือสายที่ต่อออกจากรอยผ่าตัดตรงใต้รักแร้ด้านซ้าย ซึ่งมีไว้สำหรับช่วยในการระบายของเหลวที่คั่งค้างจากร่างกาย ที่ปลายสายมีกระบอกใสคล้ายกับกระติกน้ำสุญญากาศที่สามารถมองเห็นของที่ระบายออกมาจากร่างกายเธอได้อย่างชัดเจน คิดในแง่ดีนี่อาจเป็นของขวัญจากการผ่าตัดที่ได้รับมาชั่วคราว และเธอจะสามารถนำมันออกได้ก็ต่อเมื่อไม่มีของเหลวหยดลงไปในกระติกแล้ว

ส่วนการขยับตัวก็นับว่าเป็นเรื่องที่หนักหนาเอาการ กัลย์กมลต้องพยายามลุกไปทำอะไรด้วยตัวเองตั้งแต่ผ่านพ้นวันแรกของการผ่าตัด รวมถึงการเรียนรู้การบริหารร่างกายเพื่อป้องกันข้อไหล่ติดขัด ทีแรกเธอไม่ได้คิดว่าจะยากสักเท่าไร แต่พอขยับเข้าจริงกลับพบกับความเคลื่อนไหวของแขนซ้ายที่ยากที่สุดตั้งแต่เกิดมา เพราะนอกจากจะไม่สามารถขยับได้ไวสมดังใจด้วยความเจ็บระบมแล้ว เธอยังต้องพยายามทำให้มันกลับมาขยับได้เหมือนเดิม โดยพยาบาลได้ทำรอกชักติดกับเสาน้ำเกลือไว้ เพื่อให้เธอได้ลองทำกายบริหารกับสิ่งนั้นไปพลาง ๆ ก่อน

“เมื่อไรจะยกแขนได้สุดสักทีนะ”

เสียงบ่นนั้นมาจากคนที่ยกขึ้นมาได้แค่แนวขนานกับพื้น แล้วเริ่มเบื่อกับอาการของตัวเอง ตอนนี้หากไม่ใช้รอกชักช่วยเธอแทบจะยกแขนไม่พ้นหัวไหล่ และนั่นก็ทำให้เธอเริ่มรู้สึกหงุดหงิด มากกว่านั้นคือความกังวลว่าร่างกายตัวเองจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมด้วย

“ใจเย็น ๆ สิลูก พยาบาลเขาบอกว่าค่อย ๆ ทำอย่าหักโหม” ดลฤดีพยายามปลอบใจลูกสาว

“มันจะยกขึ้นได้เหมือนเดิมได้จริง ๆ ใช่ไหมอะ หนูดีเริ่มกลัวแล้วสิ” กัลย์กมลเริ่มท้อ สิ่งที่คิดว่าจะง่ายแค่การยกแขนกลับยากเย็นแสนเข็ญ ความเจ็บปวดจากการเคลื่อนไหวเริ่มทำให้เธอรู้สึกหดหู่ ไม่ว่าจะลองขยับแขนมากแค่ไหน มันก็ขึ้นได้แค่นิดเดียวเท่านั้น

“ก็ต้องทำตามที่หมอสั่ง เข้าใจไหมจ๊ะ คุณลูกสาว”

ผู้เป็นแม่ส่งยิ้มให้กำลังใจ หวังในใจว่าลูกสาวผู้น่ารักจะรู้สึกดีขึ้น ซึ่งกัลย์กมลรู้ดีว่าที่แม่ยังเข้มแข็งอยู่ได้ ก็เพราะต้องการให้เธอมีแรงใจขึ้นบ้าง ถึงอย่างนั้นด้วยความเบื่อหน่ายกับการขยับร่างกายที่ไม่ได้ดั่งใจ รวมถึงการที่ต้องอุดอู้อยู่ในห้องคนป่วย มันก็ทำให้เธอส่งเสียงตอบกลับไปอย่างคนที่หงุดหงิดใจอยู่ในที

“ค่า…”

น้ำเสียงที่ลากยาวบ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายเต็มทน เธอทำได้แค่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้อง และอากาศที่แปรปรวนในช่วงที่มีฝนตกเช่นนี้ ก็ทำให้เธอไม่สามารถออกไปเดินรับบรรยากาศภายนอกได้ สองสามวันที่ผ่านมาจึงมีแต่การเดิน กิน นั่ง และนอนเท่านั้น

ไม่รู้จะทำอะไรหญิงสาวก็มานั่งชักรอกบริหารกำลังแขนต่อจนเหงื่อเริ่มซึม เธอจึงถอดหมวกออกแล้วมองสิ่งที่จิตบุณย์ให้มาพลางทอดถอนใจ ก่อนจะลูบศีรษะที่ไม่มีผมอยู่สักเส้น ทว่ากลับเปียกไปด้วยเหงื่อที่ซึมออกมา

“เดี๋ยวพยาบาลก็เข้ามาเห็นหรอก”

“ไม่อายแล้วค่ะแม่ เห็นกันตั้งแต่วันแรก ๆ ตอนผ่าตัดก็ต้องถอด ในโรงพยาบาลนี้ไม่น่าจะมีใครที่หนูดีต้องอายที่ให้เห็นหัวเหม่งแล้วล่ะค่ะ” ใบหน้าบูดบึ้งแยกเขี้ยวให้กับแม่ของตัวเอง แล้วแอบดมหมวกใบเดิมที่ใส่มาหลายวัน ก่อนจะทำหน้าเบี้ยวกว่าเดิมด้วยกลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์

“ตามใจ…”

พอเห็นว่าลูกสาวทำท่าจะไม่ยอมใส่หมวก ดลฤดีก็หันกลับมาทำงานของตัวเองต่อ เพราะถึงแม้จะได้วันลาเพื่อมาเฝ้าลูกสาวหลายวัน แต่งานของเธอไม่ได้ลดน้อยลงไปด้วย และที่สำคัญเธอไม่ชอบให้ใครมาทำงานแทนตัวเอง

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสักพักก็มีเสียงเคาะประตู กัลย์กมลไม่ได้มีทีท่าแปลกใจ ด้วยคิดว่าคงเป็นพยาบาลหรือไม่ก็เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเข้ามาทำหน้าที่ตัวเองตามปกติ

ทว่าใบหน้าแรกที่ชะโงกเข้ามาตอนที่ประตูเปิดออก มันก็ทำให้หญิงสาวถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

“พี่บุ๋น!” กัลย์กมลร้องออกมาแล้วรีบหยิบหมวกมาสวมเพื่อปิดหัวเหม่งของตัวเองอย่างรวดเร็ว “ไหนบอกว่าไม่ว่างไงคะ”

น้ำเสียงของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี ไม่บ่อยครั้งนักที่จิตบุณย์จะได้เห็นกัลย์กมลเขินจนหน้าแดง แถมท่าทางตกใจเธอมันก็ดูน่ารักไม่น้อย

“พอดีพี่พาแม่มาตรวจ ก็เลยแวะมาเยี่ยมหน่อยน่ะ” เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงขบขันเล็ก ๆ พอจะไม่ให้คนที่กำลังก้มหน้างุดอยู่นั้นเขินไปมากกว่านี้

ทว่าคนอีกคนที่อยู่ในห้องนั้นกลับไม่ได้มีสีหน้าแปลกใจเลยสักนิด จะว่าไปเหมือนดลฤดีจะรู้เรื่องนี้มาแต่แรกแล้วเสียมากกว่า

“อ้าวบุ๋น…” ดลฤดีกล่าวทักทายชายหนุ่มข้างบ้าน ขณะที่จิตบุณย์กำลังเข็นรถนั่งของปรีดาเข้ามาในห้อง “พี่ดาก็ไม่น่าลำบากเลย”

“ลำบากอะไร วันนี้พี่มาโรงพยาบาลพอดี แล้วก็อยากมาเยี่ยมไอ้หนูดีด้วย”

ปรีดาหันมาส่งยิ้มให้กับคนป่วย ซึ่งเธอก็ทำเพียงแค่แยกเขี้ยวส่งยิ้มแห้ง ๆ กลับไปเท่านั้น แต่ที่น่าแปลกก็คือท่าทีของแม่ตัวเองที่ไม่ได้มีความตระหนกตกใจนี่แหละ

“แม่รู้อยู่แล้วเหรอ”

“ก็ใช่สิ ป้าดาเขาข้อความมาบอกแม่แล้ว” ดลฤดีทำหน้าเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ จนทำให้ลูกสาวแอบย่นหน้าให้ทีหนึ่ง

“แล้วไม่บอกหนูดีอะ” คนถูกเซอร์ไพรส์บ่นอุบอิบ พลางขยับหมวกตัวเองให้เข้าที่ “..หนูดีจะได้ไม่ถอดหมวก”

“ก็เตือนไปแล้ว” ผู้เป็นแม่ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มด้วยความถูกใจที่ได้แกล้งลูกสาว

“ไม่ต้องอายหรอกลูก คนกันเองทั้งนั้น”

ปรีดาหันไปหาหญิงสาว เพราะอย่างไรที่เห็นก็คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น อันที่จริงถ้าเป็นปรีดากับแม่กัลย์กมลคงไม่คิดอะไร แต่เธออายที่ต้องเปิดเผยศีรษะที่ไร้ผมให้จิตบุณย์เห็น ต่อให้เขาจะเจอมาก่อนหน้าบ้างแล้วก็ตาม

จะว่าอย่างไรดีล่ะ…อย่างน้อยเธอก็อยากให้เขาเห็นในมุมที่ดูดีที่สุดอยู่ดี

“แล้วเป็นไงบ้างล่ะลูก การผ่าตัดน่ะ” ปรีดาเป็นฝ่ายเอ่ยถามหญิงสาวอีกครั้ง

กัลย์กมลละสายตาออกจากจิตบุณย์ และสาบานได้ว่าเธอเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ของเขา ก่อนจะหันมาตอบกลับปรีดา

“ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลยค่ะป้าดา แต่ตอนนี้ก็ยังต้องนั่งชักรอกอยู่ค่ะ จะได้ยกแขนได้ไว ๆ”

“แล้วหมอเขาได้บอกไหมว่าจะได้ออกเมื่อไร”

“หมอบอกให้รอดูอาการก่อนค่ะ แต่หนูดีเริ่มเบื่อแล้วสิ” เธอทำหน้ามุ่ยลง

“ทำตามที่หมอสั่งน่ะดีแล้วลูก” ปรีดาปลอบใจหญิงสาว ก่อนหันไปหาจิตบุณย์ “บุ๋นถ่ายรูปรอกชักของน้องเอาไว้สิ เดี๋ยวออกจากโรงพยาบาลน้องก็ต้องใช้”

“อย่าเลยค่ะป้าดา หนูดีเกรงใจ” กัลย์กมลรีบปฏิเสธ เพราะอย่างที่เห็นว่าจิตบุณย์ต้องทำงานแล้วไหนจะต้องดูแลปรีดาด้วย เธอจึงไม่อยากเป็นภาระของเขาเพิ่มอีกคน

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก บุ๋นทำให้น้องหน่อยนะลูก”

“ครับแม่”

จิตบุณย์ตอบรับ พลางยกมุมปากยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น ซึ่งกัลย์กมลก็รีบก้มหน้าทันที

“ขอบคุณนะคะ” กัลย์กมลยิ้มเขิน ๆ ขอบคุณจิตบุณย์ ซึ่งเธอไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่คิดเลยว่าการไม่เจอกันไม่กี่วันแค่รอยยิ้มเดียวของเขาจะทำให้เธอถึงกับไปไม่เป็นเช่นนี้ได้

การสนทนาดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะและความอบอุ่นที่รายล้อมกัลย์กมลในวันที่ยากลำบาก หญิงสาวรับรู้ได้ถึงความรักและแรงสนับสนุนจากคนรอบข้างซึ่งทำให้เธอมีพลังที่จะก้าวผ่านทุกความท้าทายที่รออยู่ และที่สำคัญคือความรู้สึกเล็ก ๆ อันกำลังเบ่งบานอยู่ในใจ ทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมีอะไรที่น่ารื่นรมย์กว่าการหดหู่อยู่กับอาการป่วยมากนัก

 

Don`t copy text!