แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 13 : ภาวะวิตกกังวล

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 13 : ภาวะวิตกกังวล

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

กัลย์กมลใช้ชีวิตอย่างเนิบนาบในบ้านหลังจากที่ต้องพักฟื้นระหว่างการรักษา แต่ละวันคล้ายจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกเช้าตื่นขึ้นมาแล้วต้องทำกิจวัตรเดิม ๆ เธอไม่สามารถทำงานหรือออกไปใช้ชีวิตอย่างอิสระเหมือนคนปกติได้ ทุกอย่างถูกจำกัดด้วยการรอคอย รอคอยการนัดพบแพทย์ รอคอยวันเคมีบำบัดคราวถัดไป

บางทีหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนบ้านตัวเองเป็นกรงขังที่เธอต้องอยู่ ไม่มีความตื่นเต้น ไม่มีสิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาในชีวิต เธอมองออกไปนอกหน้าต่างทุกวัน เห็นเพียงวิวเดิม ๆ ของต้นไม้ใบหญ้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง สิ่งเดียวที่พอจะทำให้รู้สึกตื่นเต้นก็คือดอกทานตะวันแคระที่ออกดอกมาบ้าง แต่พอมันร่วงโรยแล้วก็ไม่มีอะไรให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้อีก

ฉะนั้นสิ่งที่ทำได้มากที่สุดในแต่ละวันคือการเดินวนไปวนมาในบ้าน เปิดโทรทัศน์แต่ไม่เคยดูจนจบ เปิดหนังสือแต่ไม่เคยอ่านต่อได้เพราะจิตใจไม่เคยสงบพอ ทุกครั้งที่เธอนั่งนิ่ง ๆ ความคิดเกี่ยวกับโรคและการรักษาก็จะโผล่เข้ามาในหัว ทำให้เธอไม่สามารถมีสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้จริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง

กัลย์กมลนั่งอยู่บนโซฟาอย่างกระวนกระวาย ความรู้สึกว่างเปล่าทำให้เธอรู้สึกว่าต้องหาอะไรบางอย่างมาเบี่ยงเบนความคิดที่วนเวียนอยู่กับโรคของตัวเอง เธอไม่อยากไปหาปรีดาเพราะกลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถรับมือกับความจริงที่กำลังจะมาถึงได้

และทันใดนั้นเอง…

“ใช่แล้ว…”

ดวงตาของหญิงสาวเริ่มสดใสขึ้นเมื่อนึกถึงวิดีโอธรรมะที่ป้าสำราญเคยให้ไว้ กัลย์กมลไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะช่วยเธอได้มากแค่ไหน แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเปิดวิดีโอขึ้นมา ด้วยหวังว่าจะช่วยให้จิตใจสงบลง

วิดีโอถูกเปิดขึ้นและพูดถึงการปลงสังขาร สอนให้คนตระหนักถึงความจริงที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ว่าร่างกายมนุษย์เมื่อถึงเวลาสิ้นสุดย่อมต้องเสื่อมสลาย เมื่อชีวิตจบลง ร่างกายที่ครั้งหนึ่งเคยสวยงามก็จะเน่าเปื่อย เหี่ยวแห้งไปจนไม่มีอะไรหลงเหลือ เป็นเพียงแค่กองซากศพ กัลย์กมลนั่งฟังด้วยความตั้งใจในตอนแรก หวังว่าคำสอนจะช่วยให้เธอคลายความกังวล แต่ยิ่งฟังไปเรื่อย ๆ ใจของเธอกลับยิ่งรู้สึกหวาดกลัวขึ้นแทน

สิ่งที่ถูกพรรณนาในวิดีโอทำให้กัลย์กมลอดนึกถึงตัวเองไม่ได้ เธอรู้สึกเหมือนเห็นภาพร่างกายของตัวเองที่เริ่มทรุดโทรมจากเคมีบำบัด ผมที่ร่วงหมดจนศีรษะโล้น ใบหน้าที่ซีดเซียวและไร้ชีวิตชีวา ราวกับสังขารของเธอกำลังเดินทางไปสู่จุดจบที่ไม่ต่างจากที่วิดีโออธิบาย ความคิดเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยให้เธอสงบลง แต่กลับทำให้เธอรู้สึกกลัวมากขึ้นกว่าเดิม

จนสุดท้ายก็ตัดสินใจปิดวิดีโอ แล้วหันไปนอนพักแทน

แล้วเธอก็ฝัน…

ในฝันนั้น กัลย์กมลเห็นตัวเองในช่วงเวลาที่ดีที่สุด ความสวยงาม ผิวพรรณเนียนใส ผมดำยาวสลวยทิ้งตัวตรงไปตามแผ่นหลัง ใบหน้าเปล่งประกายเหมือนหญิงสาวที่มีสุขภาพสมบูรณ์พร้อม แต่ความงามนั้นไม่ได้อยู่กับเธอนานนัก เมื่อร่างกายที่สวยงามเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ ผมยาวดำเงาค่อย ๆ ร่วงหล่นทีละเส้น จนกระทั่งศีรษะโล้น ใบหน้าที่เคยสดใสก็เริ่มซีดเซียวลง ความทรุดโทรมปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ร่างของเธอกลายเป็นเหมือนคนขี้โรคที่อ่อนแออย่างน่าเวทนา

จากนั้น ฝันร้ายกลับทวีความน่ากลัวขึ้น ร่างกายที่ทรุดโทรมค่อย ๆ เหี่ยวแห้ง ผิวหนังแห้งแตกอย่างน่ากลัวจนหลุดลอกเผยให้เห็นเนื้อเน่าที่ถูกหนอนไชกัดกิน สภาพที่เคยสวยงามถูกแทนที่ด้วยซากศพที่น่าสยดสยอง ภาพที่เห็นทำให้กัลย์กมลรู้สึกขยะแขยงและหวาดกลัวอย่างที่สุด เธอพยายามจะหลีกหนี แต่ไม่สามารถหลุดพ้นจากภาพฝันที่น่ากลัวนั้นได้

ไม่นะ!…

กัลย์กมลสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนโซฟา หัวใจเต้นแรงจนเธอต้องเอามือกุมหน้าอก และพยายามหายใจลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์

“ไม่ควรไปหาฟังเลย…” เธอบ่นกับตัวเองเบา ๆ กับภาพที่เห็นในฝัน

หญิงสาวลุกไปที่ห้องน้ำ หวังว่าการล้างหน้าล้างตาจะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้น แต่เมื่อมองกระจก สิ่งที่เห็นกลับเป็นตัวเองในสภาพที่ไม่มีผม ไม่มีคิ้ว ไม่มีขนตา และใบหน้าที่เคยสดใสกลับดูซีดเซียวไร้ชีวิต เหมือนภาพสะท้อนของความร่วงโรยซ้อนทับกับภาพในฝัน มันทำให้เธอหวาดกลัวจนต้องอุทานออกมา

“ว้าย!…”

กัลย์กมลถอยหลังจากกระจกด้วยความตกใจ ใจเธอสั่นระรัว เหงื่อเริ่มแตก มือเท้าสั่น เธอรู้สึกหายใจไม่อิ่ม เหมือนอากาศรอบตัวลดลงอย่างรวดเร็วจนทำให้เธอหายใจลำบาก ตามมาด้วยความรู้สึกคลื่นไส้และท้องไส้ปั่นป่วน หัวใจเต้นแรงจนเจ็บหน้าอก ความกลัวที่รุนแรงเข้ามากระหน่ำจิตใจจนไม่กล้าออกไปไหน เธอเดินวนไปมาในบ้านด้วยความตื่นตระหนก

จนกระทั่งตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาแม่

“แม่ กลับบ้านได้ไหม”

“อะไรลูก เกิดอะไรขึ้น” เสียงปลายสายถามด้วยความเป็นห่วง

“กลับบ้านเถอะ หนูดีอยู่คนเดียวไม่ได้ หนูดีกลัว…”

“โอเค ๆ เดี๋ยวแม่ไป” ดลฤดีตอบกลับมาอย่างไม่ลังเล

หลังจากวางสาย กัลย์กมลกลับมานั่งบนโซฟา พยายามหลบเลี่ยงการมองกระจกหรือสิ่งใดที่สะท้อนภาพตัวเอง เธอนั่งนิ่ง ๆ อยู่สักพัก จนได้ยินเสียงรั้วบ้านเปิดออก เธอชะโงกหน้าไปดูด้วยความระแวง แต่ทันใดนั้นก็ต้องประหลาดใจ

“หนูดีเป็นอะไรรึเปล่า”

เป็นเสียงของจิตบุณย์ที่ดังอยู่หน้าประตูบ้าน กัลย์กมลจึงรีบลุกขึ้นมาเปิดประตูให้เขาด้วยความงุนงง

“พี่บุ๋น มะ…มาได้ยังไงคะ”

“น้าฤดีโทรบอกว่าช่วยมาดูหนูดีหน่อย ท่าทางจะไม่ค่อยดี มีอะไรรึเปล่า” จิตบุณย์ถามด้วยความห่วงใย พลางเดินเข้ามาหา มองดูหน้าตาที่หวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

“คือ…” กัลย์กมลไม่กล้ามองหน้าเขา เธอรู้สึกอายกับความกลัวที่ไม่สามารถควบคุมได้ แม้แต่ตอนนี้มันก็ยังคงอยู่ เธอรู้สึกได้ถึงหัวใจที่ยังเต้นเร็วและเหนื่อยหอบ

“หนูดี…” เขาเริ่มเห็นว่าเธอมีท่าทางไม่ค่อยดีเท่าไรจึงพามานั่งที่โซฟาเพื่อสงบอารมณ์ ก่อนจะค่อย ๆ ถามด้วยความเป็นห่วง “เกิดอะไรขึ้น”

บอกตามตรงว่าตอนนี้กัลย์กมลไม่อาจเก็บความรู้สึกนั้นไว้กับตัวได้อีกต่อไป เธอต้องระบายออกมาให้เร็วที่สุด ก่อนที่อาการนี้มันจะทำให้ตัวเองเป็นบ้า และคนที่รับฟังได้ในเวลานี้ก็มีเพียงจิตบุณย์เท่านั้น

“หนูดีฝันค่ะพี่บุ๋น ฝันว่าตัวเองตาย แล้วก็เห็นร่างกายตัวเองค่อย ๆ เน่า ทุกอย่างดูน่ากลัวมากเลยค่ะ หนูดีไม่รู้ทำไมถึงได้กลัวแบบนี้”

จิตบุณย์ที่นั่งฟังอย่างตั้งใจเอื้อมมือมาจับมือของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน

“ใจเย็นนะหนูดี” เขาพูดด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม และรู้สึกได้ว่ามือของเธอเย็นนิดหน่อย “มาอยู่กับพี่ก่อน พี่อยู่นี่แล้ว ตอนนี้ทุกอย่างยังปกติ หนูดีไม่ต้องกลัวนะ”

ความอบอุ่นในคำพูดของเขาทำให้กัลย์กมลรู้สึกคลายความกลัวลงเล็กน้อย

“พี่บุ๋นว่าหนูดีจะตายไหมคะ แล้วถ้าหนูดีรักษาไม่หาย มันจะเป็นยังไง…” เธอถามด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจ

จิตบุณย์เอื้อมมือไปลูบศีรษะของกัลย์กมลอย่างอ่อนโยน เขาทำอย่างช้า ๆ มือใหญ่ของชายหนุ่มไล้ผ่านศีรษะที่คลุมไว้ด้วยหมวกผ้า อันมีแต่ความห่วงใยในทุกการสัมผัส สายตาหลุบต่ำมองคนที่นั่งตัวสั่นด้วยความนุ่มนวล เป็นความรู้สึกที่ส่งผ่านความห่วงใยอย่างลึกซึ้ง ให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าไม่ว่าเธอจะผ่านอะไรมาก็ตาม เขาจะอยู่ข้างเธอเสมอ

“ชู่ว…ใจเย็น ๆ ก่อนนะ ไปนั่งเล่นบ้านพี่ไหม ไปคุยกับแม่พี่ หรือไม่ก็ไปเล่นเกมกันนะ”

กัลย์กมลเงยหน้าขึ้นมองจิตบุณย์ ดวงตากลมนั้นยังมีความกลัวเจืออยู่ แต่ความอ่อนโยนในคำพูดของเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยขึ้น และเธอก็ยังไม่อยากอยู่คนเดียวในตอนนี้

“ก็ดีค่ะ…”

 

เมื่อดลฤดีกลับมาถึงบ้าน ทุกคนที่ได้เห็นอาการของกัลย์กมลก็มีความเห็นตรงกันว่าควรพาเธอไปพบจิตแพทย์ ซึ่งเจ้าตัวเองก็เห็นด้วยเพราะรู้ว่าเธอเริ่มควบคุมอารมณ์ที่แปรปรวนของตนไม่ได้อีกต่อไป

เมื่อไปถึงโรงพยาบาลและพูดคุยกับแพทย์ กัลย์กมลจึงได้รู้ว่าตัวเองมีอาการของโรควิตกกังวล ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการทำเคมีบำบัดหรือความเครียดสะสมจากการต่อสู้กับโรคมะเร็ง แพทย์ได้สั่งจ่ายยาเพื่อช่วยผ่อนคลายอาการเหล่านั้น

กลับมาบ้านแล้ว กัลย์กมลก็ได้แต่นั่งอยู่เงียบ ๆ บนโซฟา มองซองยาที่ถืออยู่ในมือ ด้วยสีหน้าที่ดูหม่นหมองเล็กน้อย เหมือนกับกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งได้เผชิญมา

“หนูดี…”

เสียงของดลฤดีดังขึ้นเบา ๆ ขณะที่เดินเข้ามานั่งข้าง ๆ กัลย์กมล ก่อนจะคว้าตัวลูกสาวมากอดไว้แน่น เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่น และเต็มไปด้วยความรักความห่วงใยที่ไม่มีเงื่อนไข

“แม่รักหนูดีนะ…รู้ไหม”

“หนูดีก็รักแม่ค่ะ”

กัลย์กมลกอดตอบกลับแน่น น้ำเสียงของเธอแฝงด้วยความซาบซึ้งและรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วง รวมถึงความเข้าอกเข้าใจในตัวเธอไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม

“ขอโทษนะคะที่ทำให้แม่ต้องเป็นห่วง” เธอตอบอย่างคนที่รู้สึกผิด เพราะวันนี้เธอทำให้ใคร ๆ ก็ต่างวุ่นวายอยู่กับเธอ

“แม่เป็นไรเลยลูก” ดลฤดียิ้มอย่างอ่อนโยนและดึงตัวลูกออกมาเล็กน้อย “หนูดีเก่งมากเลยนะที่กล้าไปหาหมอวันนี้”

“ก็…หนูดีไม่ปกติ” คนตอบหลุบตาลงเล็กน้อย แต่เหมือนว่าแม่จะไม่คิดเช่นนั้น

“ใครว่าล่ะ หนูดีน่ะยังเป็นคนเดิมของแม่ไม่เคยเปลี่ยน แต่โรคกับความเครียดมันก็แค่ทำให้อารมณ์ของหนูเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง” มืออันอบอุ่นเลื่อนไปลูบหัวของลูกสาวอย่างแผ่วเบา

แต่สำหรับคนที่ยังตกอยู่ในภาวะวิตกกังวลก็ยังคงไม่ไว้ใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

“หนูดีจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ใช่ไหม”

“ได้สิลูก” ดลฤดีพยักหน้าแล้วส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยกำลังใจ เธอกอดลูกสาวอีกครั้ง มอบความอบอุ่นที่เป็นเหมือนยาใจให้กับลูกสาวสุดที่รัก

“ขอบคุณค่ะแม่”

“เอาล่ะ ทีนี้ก็ได้เวลากินข้าวแล้วก็กินยาได้แล้ว เดี๋ยวคืนนี้แม่จะเล่านิทานให้ฟังดีไหม” เธอหันไปส่งยิ้มกว้างให้กับลูกสาวเหมือนจะล้ออีกฝ่ายว่ายังงอแงเป็นเด็ก

“หนูดีไม่ใช่เด็กแล้วนะ” กัลย์กมลยู่หน้า ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมามาก

“ก็ได้…งั้นไม่เล่า”

“เล่าสิคะ นานทีคุณนายดลฤดีจะใจดีแบบนี้นี่นา”

หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ ด้วยอารมณ์ที่เริ่มสงบลงหลังจากวันที่เต็มไปด้วยความเครียด สองแม่ลูกต่างยิ้มให้กัน ชวนให้บรรยากาศของบ้านอบอวลไปด้วยความอบอุ่นในความรักและความห่วงใยของครอบครัว ซึ่งนับเป็นกำลังใจสำคัญในการเผชิญหน้ากับการรักษาที่ยากลำบาก

 

 

Don`t copy text!