แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 20 : อยากรู้ใจเธอนัก

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 20 : อยากรู้ใจเธอนัก

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

 

แน่นอนว่าเมื่อการทำเคมีบำบัดสิ้นสุดลง กัลย์กมลก็ไม่ได้หยุดการรักษาเพียงแค่นั้น เธอต้องก้าวเข้าสู่ขั้นตอนใหม่ของการรักษาซึ่งก็คือการฉายรังสี ขั้นตอนที่เธอเคยได้ยินจากคนไข้คนอื่นว่าแม้จะไม่เจ็บปวดเหมือนการให้ยาเคมีบำบัด แต่ก็ยังคงทิ้งร่องรอยไว้บนร่างกายและต้องใช้ความอดทนอย่างมาก เธอเตรียมใจรับมือกับการรักษาครั้งใหม่นี้ด้วยความหวังว่าในที่สุดเธอจะได้กลับมามีชีวิตที่ปกติสุขอีกครั้ง

ครั้งนี้เธอได้พบกับแพทย์ผู้ที่จะดูแลกระบวนการฉายรังสีตลอดการรักษา ซึ่งแพทย์ได้อธิบายถึงขั้นตอนต่าง ๆ อย่างละเอียดเพื่อให้เธอเข้าใจสิ่งที่จะต้องเผชิญ จากนั้นเธอจึงถูกพาไปยังห้องพิเศษที่ใช้สำหรับการเตรียมการ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทำการตีเส้นบนผิวหนังช่วงบนของลำตัวด้วยหมึกชนิดพิเศษ เส้นที่ตีไว้นั้นทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายบอกตำแหน่งอย่างแม่นยำเพื่อให้เครื่องฉายรังสีทำงานได้ตรงจุด ในขณะที่นอนนิ่งให้เจ้าหน้าที่ตีเส้น กัลย์กมลรู้สึกได้ถึงความกังวลที่แทรกขึ้นมาเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นทีมแพทย์และพยาบาลดูแลเธออย่างใส่ใจ ความกลัวเหล่านั้นก็เริ่มจางหายไป

เมื่อกลับมาถึงบ้าน กัลย์กมลก็รู้สึกถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอาหารที่แม่กำลังทำอยู่ในครัว เธอจึงรับสลัดความกังวลทิ้งไว้ภายนอกพอเห็นแม่ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม

“เป็นไงบ้างจ๊ะลูกสาว”

ดลฤดีถามด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เธอคลายกังวล ขณะที่กัลย์กมลเอนตัวลงกอดแม่

“แม่…” หญิงสาวเอ่ยเบา ๆ ราวกับเด็กที่ต้องการปลอบใจ

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ”

“เขาเห็นหน้าอกหนูดีอีกแล้วอะ”

“ยังไม่ชินอีกเหรอเรา” ดลฤดีหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ

“ใครจะไปชินได้ล่ะคะ หนูดียังสาวอยู่เลย ให้คนอื่นเห็นหน้าอกก็อายเป็นเหมือนกันนะ”

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก นี่แค่ตีเส้นเอง เดี๋ยวเวลาฉายแสงหนูก็ต้องไปให้เขาเห็นทุกวันอยู่แล้ว” คนที่ยังถือทัพพีเอ่ยอย่างอารมณ์ดี จากใจคนที่เห็นหน้าอกลูกสาวตั้งแต่ยังอุ้มอยู่ในอกได้ จนมาถึงตอนนี้อีกฝ่ายเติบโตจนจะหิ้วแม่ตัวเองได้อยู่แล้ว

“อันนี้แม่ปลอบหนูดีใช่ไหมคะ” เธอถามย้ำ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาอดไม่ได้ที่จะยู่ใส่แม่ตัวเองไปทีหนึ่ง โทษฐานไม่เข้าข้างลูกตัวเอง

“ก็ให้เตรียมใจไว้” แม่ยังยิ้มขำ ๆ แล้วดึงลูกสาวมากอดเบา ๆ

“อันที่จริงหนูดีก็ไม่อะไรหรอก เจ้าหน้าที่ก็เป็นผู้หญิงทั้งนั้น เพียงแต่อายนิดหน่อย…” ว่ากันตามตรงกัลย์กมลก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับเรื่องนี้สักเท่าไร เพียงแค่อยากออดอ้อนแม่ของตัวเองบ้าง

“ถ้าไม่อายสิแม่จะว่าแปลก”

ดลฤดีนึกขำ ยิ่งภาพในหัวคือกัลย์กมลเดินโทง ๆ เข้าห้องตรวจใครเห็นคงว่าบ้า ส่วนกัลย์กมลพอนึกภาพเดียวกันออกมาก็หลุดหัวเราะลั่น ในใจก็รู้อยู่ลึก ๆ ว่าคงต้องเจอแบบนี้อีกหลายครั้ง ยังไม่รู้เลยว่าจะอายไปถึงไหน พอสงบลงได้จึงเริ่มได้กลิ่นหอมจากห้องครัว

“แล้ววันนี้แม่ทำอะไรกิน ห้อม…หอม…”

“กะทิสายบัวปลาทูจ้ะ พอดีมีคนเอาสายบัวมาขายที่ทำงาน”

“น่ากินจัง หนูดีไม่ได้กินมานานแล้วนะเนี่ย”

“งั้นก็เตรียมข้าวได้เลย แม่ซื้อทอดมันแล้วก็ต้มผักเอาไว้แล้ว” ว่าแล้วเธอก็เดินไปหยิบจานผักต้มที่ซื้อไว้ให้ลูกสาวออกมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว ที่ต้องมีผักต้มในทุกมื้อเพราะกัลย์กมลยังอยู่ในช่วงของการรักษา ซึ่งควรกินของที่มีประโยชน์และเป็นของที่ทำสุกใหม่เท่านั้น

“ค่า…”

กัลย์กมลตาเป็นประกายรีบเดินไปจัดโต๊ะอย่างกระตือรือร้น พอแม่ยกถ้วยต้มกะทิสายบัวปลาทูที่มีควันขึ้นฉุยออกมาวางที่โต๊ะ เธอก็รีบตักข้าวเต็มจาน ส่วนแม่ก็ชำเลืองมองลูกสาวก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความอยากรู้

“อ้าว แล้วนี่บุ๋นเขาไม่มากินข้าวด้วยเหรอลูก” ดลฤดีคิดถึงชายหนุ่มข้างบ้าน เพราะตั้งแต่ปรีดาจากไปเธอก็ชวนเขามาร่วมมื้อเย็นอยู่บ่อย ๆ ถือเป็นการตอบแทนที่เขาช่วยดูแลกัลย์กมลด้วย

“พี่บุ๋นต้องรีบไปส่งงานค่ะ วันนี้เลยไม่ได้มากินด้วย”

“งั้นก็อย่าลืมตักใส่กล่องไว้ให้ด้วยล่ะ” คนพูดยังไม่วายแสดงความเป็นห่วงออกมา ด้วยเหตุที่กลัวว่าจิตบุณย์จะเอาแต่ทำงานจนลืมดูแลตัวเอง

“ได้เลยค่ะ”

กัลย์กมลรับคำพร้อมกับตักแกงเติมข้าวให้ตัวเองไปด้วย แต่แล้วดลฤดีก็เอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีจริงจัง

“แล้วตกลงเราสองคนยังไงกันแน่”

คนที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ยนิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังคิดหาคำตอบของความสัมพันธ์นี้ พลางทำหน้าเหมือนจะบอกแต่ก็ไม่บอก

“ก็…ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

“ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้เลยเหรอ” คนถามขมวดคิ้วมุ่น

“ใครจะไปกล้า ดูสภาพหนูดีสิ” หญิงสาวก้มมองตัวเอง กับสภาพที่ยังไม่พ้นผู้ป่วยที่กำลังอยู่ในช่วงการรักษา ขนคิ้วขนตาที่ยังไม่ค่อยจะขึ้น แถมหนังศีรษะก็มีผมผุดขึ้นเป็นหย่อม ๆ เรียกได้ว่าสภาพเธอตอนนี้ห่างไกลกว่าคำว่าสวยงามมากนัก

แต่สำหรับคนเป็นแม่แล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหน้าตาหรอกนะ แม่ว่าแม่ดูออกว่าบุ๋นเขาคิดยังไงกับหนูดี”

“แม่ก็คิดเหมือนกันใช่ไหม หนูดีกลัวว่าจะแอบคิดเข้าข้างตัวเองเสียอีก” กัลย์กมลถามเอาความแน่ใจ เพราะที่ผ่านมาพฤติกรรมของจิตบุณย์ก็แสดงออกชัดถึงความพิเศษที่มีให้เธอ หากเขาไม่ได้รู้สึกอะไร เธอคงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับชายที่เงียบที่สุดในโลกอย่างเขาแน่

“อ้าว ลูกคนนี้…รู้อยู่แก่ใจ แต่ไม่ถามกันเลยเนี่ยนะ”

“แหม…จะให้เริ่มถามยังไงล่ะคะ เดินไปบอกว่าพี่บุ๋นชอบหนูดีรึเปล่าเงี่ยเหรอ”

“ไม่รู้ด้วยแล้ว เราเองก็โตเป็นผู้ใหญ่ ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”

ดลฤดีทำเสียงฮึเบา ๆ ในลำคอเหมือนจะบ่นเล็ก ๆ แบบคนเป็นแม่ที่อยากรู้เรื่องราวของลูกชัด ๆ แต่ก็ไม่ได้จริงจังนัก ท้ายที่สุดก็ยิ้มบาง ๆ ออกมาแล้วตักข้าวเข้าปากต่อเหมือนไม่ได้คิดอะไรต่อ แววตาของเธอยังเต็มไปด้วยความเอ็นดูด้วยเหมือนจะรู้ทันความรู้สึกของลูกสาวเช่นกัน แต่ก็เลือกที่จะไม่เซ้าซี้ ให้เป็นเรื่องของลูกที่จะค่อย ๆ เปิดใจกันต่อไป

 

ถึงแม้จะรู้สึกเหมือนได้ปลดภาระลงไปบางส่วน จากที่ได้ใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาหลังการทำเคมีบำบัดเสร็จสิ้น แต่กัลย์กมลก็ยังต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิตประจำวัน เมื่อหลังการตีเส้นสิ่งที่เธอคิดว่าจะผ่านไปอย่างง่ายดายกลับกลายเป็นเรื่องท้าทายอีกอย่างหนึ่ง การห้ามไม่ให้น้ำถูกท่อนบนของร่างกายทำให้การอาบน้ำและดูแลตัวเองยุ่งยากขึ้น เธอต้องคอยระวังไม่ให้บริเวณที่ตีเส้นโดนน้ำ และพยายามทำตามคำแนะนำของพยาบาลอย่างเคร่งครัด

จนมาถึงเวลาที่ต้องทำการฉายแสงวันแรก

“คุณกัลย์กมลคะ”

เมื่อได้ยินเสียงขานชื่อตัวเอง หญิงสาวก็เดินไปนั่งตรงหน้าพยาบาลที่ทำการซักประวัติ

“วันนี้เป็นไงบ้างคะ”

“ก็…ปกติดีค่ะ ลำบากอยู่หน่อยช่วงตอนอาบน้ำ” เธอส่งยิ้มบาง ๆ พร้อมกับตอบความจริงที่ต้องเจอไปด้วย

“เพิ่งมาฉายแสงวันแรกใช่ไหมคะ”

“ใช่ค่ะ”

“โอเคค่ะ เดี๋ยวขอแนะนำการปฏิบัติตัวต่อจากนี้นะคะ ตรงบริเวณที่ตีเส้นห้ามโดนน้ำเด็ดขาด ถ้าบังเอิญถูกน้ำให้ใช้ผ้านุ่ม ๆ ซับให้แห้ง ห้ามใช้ยาทา สบู่ เครื่องสำอาง โลชั่น แล้วก็แป้งตรงบริเวณที่ฉายรังสีนะคะ” พยาบาลอธิบายเพิ่มเติมอย่างละเอียด

“ค่ะ” กัลย์กมลพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็รู้สึกถึงภาระใหม่ที่ต้องระวังเพิ่มขึ้นอีก

“ส่วนเส้นที่ตีเอาไว้ถ้าจางลงแจ้งเจ้าหน้าที่ทันทีนะ แล้วก็นมคนป่วยยังต้องทานอยู่นะคะ ดื่มน้ำมาก ๆ ควรงดชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่สำคัญห้ามลืมบริหารข้อไหล่กันไหล่ติดด้วย อันนี้เดี๋ยวจะมีคู่มือให้คนไข้ด้วย คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้ค่ะ”

“ขอบคุณนะคะ”

“แล้วก็ อย่าลืมมาตามที่คุณหมอนัดนะคะ”

กัลย์กมลยิ้มรับ เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าสู่อุโมงค์สำหรับการฉายรังสี เธอก็รู้สึกถึงความประหม่าที่ก่อตัวขึ้นในใจขณะที่นอนลงบนเตียงเย็น ๆ ซึ่งกำลังจะเลื่อนเข้าไปในอุโมงค์ขนาดใหญ่ แม้จะมีความกลัวเล็กน้อยจากเสียงเครื่องจักรและความเงียบสงัดของห้องฉายรังสี แต่เธอก็พยายามหายใจลึก ๆ ตั้งสมาธิ มองเพดานด้านบนด้วยสายตาแน่วแน่พร้อมจะก้าวผ่านขั้นตอนนี้ไปให้ได้ เธอบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่าอีกไม่นานก็จะสิ้นสุดลง พร้อมปล่อยใจให้ผ่อนคลายที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

แม้การรักษาจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่ผลข้างเคียงจากการฉายรังสีทำให้กัลย์กมลต้องเผชิญกับอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่ถูกฉายแสงซึ่งเริ่มมีรอยคล้ำและกลายเป็นแผลตกสะเก็ดคันยิบ ๆ ตลอดเวลา ความแสบร้อนทำให้เธอรู้สึกไม่สบายตัวจนไม่อยากออกไปไหน ทุกวันนี้…เธอใช้เวลาส่วนใหญ่เก็บตัวเงียบ ๆ อยู่ในบ้าน ไม่แม้แต่จะออกไปดูต้นทานตะวันแคระที่เคยรอคอย

“หนูดี อยู่รึเปล่า”

เสียงของจิตบุณย์ดังขึ้นที่หน้าบ้าน คนที่ยังคงนั่งเล่นดูทีวีอยู่ชะโงกมองผ่านหน้าต่าง ก่อนจะขานรับด้วยความเคยชิน

“อยู่ค่ะ พี่บุ๋นเข้ามาได้เลย”

สิ้นเสียงของเธอ ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาในบ้านอย่างเงียบเชียบพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่มุมปากและถุงไอศกรีมเย็น ๆ ในมือ เขากวาดตามองรอบ ๆ เหมือนตรวจดูว่ากัลย์กมลอยู่ใกล้ ๆ หรือไม่ ก่อนจะยกถุงไอศกรีมขึ้นมาในระดับสายตาแล้วส่งยิ้มให้เธอ เป็นความตั้งใจที่อยากให้เธอได้ผ่อนคลายลงสักเล็กน้อย หลังจากพอรู้อาการข้างเคียงของการรักษามาบ้าง

“ยังไม่ถึงเวลาเลยไม่ใช่เหรอคะ” กัลย์กมลเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นจิตบุณย์มาถึงเร็วกว่าที่คิด ด้วยในใจคิดว่าเขาน่าจะมารับไปฉายแสงในช่วงเย็นตามคิวที่นัดไว้ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น

“พี่ซื้อไอติมมาให้น่ะ เห็นช่วงนี้เราไม่ออกไปข้างนอกเลย”

เขาพูดด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเดิม ทำให้กัลย์กมลเผลอยิ้มกว้างออกมาด้วยความรู้สึกดี ๆ ขึ้นมาด้วย

“จริง ๆ ก็อยากไปอยู่หรอกค่ะ แต่ดูคอหนูดีสิคะ ตอนแรกมันเริ่มดำ ตอนนี้กลายเป็นแผลตกสะเก็ด แถมยังปวดแสบปวดร้อนด้วย ถ้าออกไปเจอแดดต้องแย่แน่ ๆ ค่ะ” เธอตอบอย่างเบื่อหน่ายพลางชี้ไปที่ลำคอและผิวบริเวณที่ถูกฉายรังสี

ชายหนุ่มผู้เห็นรอยดำที่คอของเธอ รวมถึงเสก็ดแผลนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงไปด้วย

“แล้วนี่เป็นทั้งตัวเลยไหม”

“เฉพาะที่ฉายแสงค่ะ แต่ก็ไม่น่าดูเลย” ยิ่งหลุบตาลงมองผิวของตัวเองแล้ว กัลย์กมลก็ถอนใจเบา ๆ ผิวพรรณที่เคยเรียบเนียนตอนนี้กลับแห้งเป็นขุย การรักษาทำให้ผิวบริเวณนั้นแตกและลอกเป็นขุย ๆ แต่นั่นไม่เท่ากับอาการแสบร้อนเมื่อต้องเจอกับแสงแดด ทำให้เธอต้องอยู่กับบ้านอย่างช่วยไม่ได้

“ไม่เป็นไรหรอก ฉายแสงครบเมื่อไร อาการพวกนี้ก็จะหายไปเอง” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นพยายามปลอบใจเธอ เพราะนี่คงเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะช่วยเธอได้

“แต่ตอนนี้หนูดีไม่สบายตัวเอาซะเลยค่ะ”

“งั้นมากินไอติมกันก่อน จะได้ดับความหงุดหงิดด้วย”

“หนูดีไม่ได้หงุดหงิดซะหน่อย” เธอทำหน้าบูดใส่เขาก่อนจะยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อจิตบุณย์ยื่นไอศกรีมโคนรสชาติที่เธอชอบมาให้

ทั้งสองนั่งกินไอศกรีมด้วยกันอย่างเงียบ ๆ กัลย์กมลกัดไอศกรีมเข้าปากอย่างมีความสุข สัมผัสรสหวานเย็นละลายในลิ้นช่วยคลายความร้อนในใจไปได้บ้าง แล้วก็ยิ้มออกมาเหมือนเด็กน้อยที่ได้ของโปรด

“ว่าแต่…ช่วงนี้พี่บุ๋นงานยุ่งไม่ใช่เหรอคะ” เธอถามด้วยความสงสัยและเป็นห่วง เพราะสังเกตเห็นว่าเขานั่งทำงานอยู่ในบ้านแทบตลอดเวลา ไม่ค่อยออกไปไหนนอกจากไปส่งเธอตอนฉายแสง ราวกับงานมีมากมายจนต้องเร่งทำให้เสร็จ จึงอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความใส่ใจ

“นิดหน่อยเอง พอดีช่วงนี้บริษัทเขาจะเร่งปิดโปรเจกต์ พี่ก็ต้องเร่งงานให้เขาไปด้วย”

“อันที่จริง หนูดีเรียกรถไปส่งก็ได้นะคะ เกรงใจพี่บุ๋น”

“ไม่ต้องหรอก พี่เต็มใจไปส่ง”

เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ทำให้หัวใจของกัลย์กมลเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ จิตบุณย์เงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

“หนูดี…”

“คะ…” กัลย์กมลรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้น เธอจ้องมองเขาอย่างมีความหวัง พลางลุ้นว่าเขาจะพูดหรือขออะไรสักอย่างจากเธอ แล้วพยายามปั้นหน้าให้ดูสงบแต่กลับเก็บความรู้สึกที่พลุ่งพล่านไว้แทบไม่อยู่

“คือ…” จิตบุณย์ทำท่าครุ่นคิด แต่แล้วเขากลับเอ่ยเรื่องที่เธอไม่คาดคิด “ผมเริ่มขึ้นแล้วหรือเปล่า…”

“อ๋อ…” หญิงสาวถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมเกาท้ายทอยอย่างเขิน ๆ ในใจก็แอบผิดหวังอยู่หน่อย ๆ ที่ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองคิด “ใช่ค่ะ…เริ่มขึ้นมาบ้างแล้ว”

เธอยิ้มแห้ง ๆ ส่งกลับไปด้วยความรู้สึกเขินอายเล็ก ๆ มองจิตบุณย์ที่กำลังยิ้มตอบกลับมาอย่างเข้าอกเข้าใจ สายตาทั้งคู่พบกันชั่วขณะหนึ่งแล้วเสมองไปทางอื่น ราวกับต่างฝ่ายต่างรู้ว่าในใจมีบางอย่างที่ยังไม่ได้เอ่ยออกมา

“ดีจัง ต่อไปหนูดีก็จะกลับมาผมยาวสวยเหมือนเดิมแล้วสินะ”

“น่าจะอีกนานเลยค่ะ”

เธอยิ้มเจื่อนกว่าเดิม แววตาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกลึก ๆ ที่ไม่มีใครมองเห็น คำว่า ‘นาน’ ที่พูดนั้นชวนให้นึกถึงบางสิ่งที่รอคอยอยู่เงียบ ๆ ในใจ บางสิ่งที่เกินกว่าการรอให้ผมยาวขึ้น มันคือการรอคอยถึงคำคำหนึ่งด้วย ความหวังเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจเธอ

ซึ่งไม่รู้เลยว่าชาตินี้จะได้ยินเขาเอ่ยออกมาหรือไม่


 

Don`t copy text!