ก้าวนี้ที่เรียนรู้

ก้าวนี้ที่เรียนรู้

โดย : อภิษฎา ศศิประภา

Loading

ปู๊นนนนน…

เมื่อเสียงแตรลมปล่อยตัวการแข่งขันวิ่งมาราธอนดังขึ้นกระทบประสาทหูจนอื้อและสะเทือนเข้าไปถึงข้างในร่างกาย หัวใจกระตุกพร้อมสู่เป้าหมาย กล้ามเนื้อพร้อมเคลื่อนไหว กวาดสายตามองไปรอบตัวเห็นเหล่ามหาชนผู้ฮึกเหิมพร้อมเคลื่อนกาย นักวิ่งแถวหน้าคือชายหญิงผิวสีแทนกล้ามเนื้อไร้ไขมันดูออกว่าเป็นมืออาชีพเป็นมือเก๋าที่เจนสนามได้พุ่งออกจากจุดปล่อยตัวกันอย่างรวดเร็ว ส่วนฉันมือสมัครเล่นก็ค่อย ๆ กึ่งวิ่งกึ่งเดิน ต้วมเตี้ยมไปไม่รีบร้อน รอวอร์มอัพให้ร่างกายอบอุ่นสำหรับระยะทางอันแสนยาวไกล

ฉันยังจำได้ถึงความรู้สึกของวันแรกที่เริ่มวิ่ง ด้วยความจำเป็นของสุขภาพกายภาพจึงต้องลดน้ำหนักที่มีอยู่เหลือเฟือจนเกินพอดี  ด้วยฉันมีข้อจำกัดจากหมอนรองกระดูกปลิ้น จึงต้องมีผู้ช่วยฝึกที่เรียกกันว่าเทรนเนอร์คอยสอนและแนะนำ ท้ายสุดเทรนเนอร์ก็ขอร้องแกมบังคับให้เริ่มวิ่งเพราะจะช่วยเรื่องระบบหัวใจและระบบการเผาผลาญ วันแรกเมื่อเริ่มวิ่ง ไม่เกิน5 นาทีแรก ฉันหน้าซีด มือเย็น เหนื่อยหอบเหมือนจะหยุดหายใจไปต่อไม่ไหว แต่ด้วยความรักชีวิตจึงอดทนตั้งใจฝึกฝนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีและชีวิตที่ยืนยาว “เหตุดี ผลที่ตามมาย่อมดี” การฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญก่อนที่จะลงสนามแข่งจริง กีฬาทุกชนิดย่อมต้องใช้เวลาในการฝึกฝนที่ยาวนานเพื่อชัยชนะที่แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ก็น่าภาคภูมิใจ ฉันเริ่มฝึกวิ่งจาก 3 กม. เป็น 5 กม. เป็น 10 กม. สุดท้ายจบที่ 21 กม.  ฮาฟมาราธอน ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ เช่นเดียวกับการเริ่มวิ่ง 3 กม.แรกคือ  หนืดมาก ตัวหนัก ขาหนัก กล้ามเนื้อยังไม่พร้อม และเมื่อผ่านไปได้ก็จะสบายตามความเร็วที่คุ้นเคย แต่พอถึงกม.ที่ 15 ขาเริ่มมีอาการหนักเหมือนจะหมดแรง  แต่ใจบอกว่าต้องไปต่อให้จบ ถือเป็นช่วงของการต่อสู้กับใจตนเอง เหนือร่างกายที่ส่งสัญญาณว่าไม่ไหวแล้ว นี่คือความท้าทายของใจเหนือร่างกายของฉัน

ขณะวิ่ง ฉันสามารถรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ชัดเจน เท้าที่แตะพื้น แรงที่ถีบขึ้นเพื่อพุ่งไปข้างหน้า แขนที่แกว่งสลับไปมาเพื่อเพิ่มแรงส่งของร่างกาย ทั้งการวิ่งขึ้นเนินที่ต้องเอนตัวไปข้างหน้าเพื่อลดแรงต้าน เพิ่มระยะทางด้วยการเพิ่มความเร็วเมื่อลงเนิน ถือโอกาสใช้ประโยชน์จากกฎแรงโน้มถ่วง แต่ต้องไม่ลืมว่าถ้าเจอทางลงที่ชันมาก ต้องเอนตัวมาด้านหลังนิดนึงและลดความเร็วลงหน่อยเพื่อไม่ให้หน้าคะมำ (อันนี้เทรนเนอร์เขาแนะนำไว้) นอกจากมีสติอยู่กับกายและใจแล้ว ฉันก็ไม่ลืมที่จะมองไปรอบตัว แบบรู้เขารู้เราด้วย เวลาที่ฉันวิ่งจะมีคนเร่งความเร็วแซงไป บางทีฉันเหนื่อยก็วิ่งช้าลงก็ถูกแซงเหมือนกัน พอฉันหายเหนื่อยก็เร่งฝีเท้าแซงคนอื่นบ้าง  นอกจากมองด้านในก็มองออกไปข้างนอกด้วยการชื่นชมวิวข้างทาง การเห็นมิตรภาพของกลุ่มคนวิ่ง บรรยากาศเหมือนไม่ใช่การมาแข่งขันแต่เป็นการพึ่งพากันมีนำ้ใจกัน ให้กำลังใจเพื่อให้ไปถึงเส้นชัย บางทีการพูดคุยกับคนแปลกหน้าที่มีจุดหมายเดียวกันก็รู้สึกคุ้นเคยดี ภาพและบทสนทนาระหว่างทางนี้ก็ทำให้ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ มีสีสันขึ้นได้อย่างน่าแปลกใจ กิโลเมตรสุดท้ายพอเข้าใกล้เส้นชัยจะมีเสียงของคนริมทางกู่ร้องเชียร์ประดุจเราเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยให้กำลังใจเราไปตลอดทาง นี่แหละความสุขระหว่างทางแข่งขันที่แสนยาวนาน ส่วนเหรียญและเส้นชัยก็เป็นความสุขที่ปลายทางชั่วพริบตาเดียวแต่ก็ให้อิ่มใจไปได้ยาวนาน เอาไปคุยฟุ้งโม้ได้ว่าฉันก็เคยวิ่งฮาฟมาราธอนมาเหมือนกัน

ในสนามแข่ง ท่ามกลางผู้คนมากมาย ขณะที่วิ่งไปฉันได้คิดว่า การวิ่งกับการใช้ชีวิตและความสำเร็จในชีวิตเปรียบแล้วก็มีความคล้ายคลึงกัน คนที่วิ่งเร็ว กายพร้อมใจพร้อม มีการวางแผนดี ฝึกซ้อมมาดี ก็จะถึงจุดหมายได้เร็ว คนที่วิ่งเร็ว แต่กายใจไม่พร้อม ไม่ฝึกฝน ไม่วางแผนมา ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันก็มีมาก ทั้งบาดเจ็บจนไปไม่ไหวหรือใช้เวลาเกินที่กำหนดก็จะถูกเชิญออกโดยมีรถกระบะตามเก็บ แบบไม่ต้องวิ่งต่อ และคนที่วิ่งไปฟังเสียงร่างกายตนเองไป กายใจพร้อม รู้ศักยภาพตน วางแผนดี ฝึกซ้อมมาดี ถึงเป้าหมายได้อย่างไม่เจ็บตัว แต่สุดท้ายทุกคนก็ได้ถึงเส้นชัย แม้จะแตกต่างกันที่เวลาที่ทำได้ และความคาดหวัง  “ชีวิตก็เป็นเช่นนี้”

ฉันเรียนรู้จากการลงมือทำที่ไม่ใช่อ่านจากตัวหนังสือว่า ใจและกายเชื่อมโยงกัน โดยมีใจเป็นตัวนำ ดังนั้นการจะทำสิ่งใดให้สำเร็จนั้น ต้องรักและสนใจในสิ่งที่ทำ มีความอดทน ตั้งใจฝึกฝน วางแผนและเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าอยู่เสมอ  ใจที่อ่อนแอในร่างที่แข็งแรงก็ทำประโยชน์ใด ๆ ได้ยาก ส่วนใจที่แข็งแกร่งในร่างที่อ่อนแอก็ทำประโยชน์ใด ๆ มิได้นาน การมีกายและใจที่แข็งแรงแข็งแกร่งย่อมยังประโยชน์ให้กับตนเองและผู้อื่นได้ดี

Don`t copy text!