The Rock From The Sky

The Rock From The Sky

โดย :

Loading

ฉันวางหนังสือนิทานระหว่างเรา คอลัมน์เกี่ยวกับ “นิทาน” ในรูปแบบวรรณกรรมเยาวชนทั้งที่เคยได้อ่านในวัยเด็กและวัยนี้ ที่ ‘ศุภสวัสดิ์’ คัดเลือกมาเล่าให้อ่านกันที่ อ่านเอา เว็บไซต์ที่ไม่ได้มีดีแค่นวนิยายออนไลน์ แต่เรายังมีคอลัมน์ต่างๆ รอให้คนรักการอ่านได้อ่านออนไลน์

**********************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

“ตาไม่ต้องอ่านนิทานให้ผมฟังแล้วก็ได้ครับ” ผมจำไม่ได้ว่าผมพูดประโยคนี้ออกไปเป็นเพราะผมอยากอ่านนิทานด้วยตัวเองจริงๆ หรือเป็นเพราะผมเริ่มรู้สึกอายน้องชายอีกสองคนที่กำลังนอนตาแป๋วอยู่ข้างๆ และรอฟังนิทานจากคุณตาอยู่เหมือนกัน… นิทานก่อนนอนเรื่องสุดท้ายที่ผมได้ยินจากปากคุณตาคงเป็นวันนั้น… วันที่บ้านเรายังอาศัยอยู่กับคุณตาที่กาญจนบุรี… วันที่ผมอายุ 9 ขวบ และคิดไปเองว่าเราไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว…

ครอบครัวผมย้ายออกมาอยู่กรุงเทพฯ ได้เกือบ 5 ปี นานๆ ทีถึงจะได้กลับไปเยี่ยมคุณตาบ้าง และทุกครั้งที่กลับไป… ถ้าได้ลองใส่ใจหรือลองได้สังเกตดีๆ เราจะเห็นว่ามีอะไรบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด… พวกเราลืมไปซะสนิทแล้วว่า ทุกคืนก่อนนอนคุณตาจะมาคอยอ่านนิทานให้พวกเราฟัง เราจำไม่ได้แล้วว่า ความรู้สึกระหว่างที่รอฟังนิทานในแต่ละคืนนั้นมันตื่นเต้นมากแค่ไหน ตอนนี้เราสามคนมีการ์ตูน มีหนัง มีแอนิเมชันและเกมมากมายอยู่ในมือถือ เสียงคุณตาที่เคยอ่านนิทานให้ฟังจึงค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของพวกเรา ไม่ต่างไปจากความทรงจำเก่าๆ ของคุณตาตอนนี้เช่นกัน..

เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา อาการอัลไชเมอร์ของคุณตาเริ่มทรุดลง ไม่ใช่แค่อาการหลงลืมธรรมดา… คุณป้าว่าอย่างนั้น… ผมรบเร้าให้แม่ขับรถพาพวกเราไปที่กาญจนบุรีทันที เผื่ออะไรจะดีขึ้น… เผื่อตอนคุณตาเห็นหน้าพวกเราแล้วความทรงจำจะย้อนกลับมา… ผมนึกภาวนาอยู่ในใจ…

คุณตาขอคุณยายย้ายมานอนห้องข้างล่างตั้งแต่ที่ครอบครัวเราย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ ห้องนอนที่ผมกับน้องๆ เคยนอนกันตั้งแต่เด็ก ตอนนี้มีคุณตานอนหลับอยู่… พวกเราสามคนค่อยๆ เปิดประตู แล้วเดินย่องไปดูคุณตาที่ข้างเตียง ตาหลับเหมือนแกล้งหลับ อมยิ้มเหมือนจะแกล้งตื่นขึ้นมาหลอกเราให้สะดุ้งตกใจเหมือนเมื่อก่อน… พวกเราคิดว่าต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ… แต่สุดท้ายก็เปล่า…

สภาพห้องเก่าของพวกเราตอนนี้เปลี่ยนไปจนผมเกือบจำไม่ได้ รอบห้องเต็มไปด้วยชั้นหนังสือ ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความแปลกใจ “นี่มันหนังสือนิทานทั้งนั้นเลยนี่ครับ…” คุณยายถอนหายใจใหญ่และบ่นให้ฟังว่า “เฮ้อออออ… ไม่อยากบ่น… ตาแกน่ะแอบเอาเงินบำนาญไปซื้อหนังสือนิทานแบบนี้มาเป็นปีๆ แล้ว อ้างว่าจะเอามาอ่านให้หลานๆ ฟัง… ฉันบอกว่าหลานมันโตหมดแล้วก็ยังจะมาเถียง บางเล่มนี่ถึงขนาดถ่อไปซื้อในไอ้อินเตอร์เน็ตเลยนะ เก่งเหลือเกินตาแก ต้องมีนิทานมาส่งที่บ้านได้ทุกอาทิตย์… นี่… เล่มนี้เพิ่งมาส่งเมื่อวาน อ่านภาษาอังกฤษซะด้วย ธรรมดาซะที่ไหน…”

ผมยื่นมือไปรับหนังสือนิทานเล่มที่คุณยายหยิบขึ้นมาเป็นหลักฐานในการฟ้องจำเลยที่กำลังหลับขึ้นมาดู นี่มัน ‘เต่าหน้าตาย’ กับ ‘เจ้าตัวนิ่มตุ่น’ สัตว์สองตัวที่พวกเราเคยรู้จักและคุ้นหน้ามันเป็นอย่างดีเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว.. เราทั้งสามคนหันมองหน้ากันและพลันนึกยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข นิทานเล่มนี้น่าจะเป็นเรื่องใหม่ของนักเขียนคนโปรดของเราทั้งสามคน คุณตายังจำได้..

ผมถือหนังสือเล่มนั้นเดินเข้าไปหาคุณตาอย่างช้าๆ ค่อยๆ มานั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง แล้ววางหนังสือนิทานลงข้างตัว ผมยิ้มให้คุณตา… ยิ้มที่คิดไปเองว่าเหมือนเด็กอายุ 9 ขวบ… ถ้าผมย้อนเวลากลับไปวันนั้นได้ ผมคงจะพูดกับคุณตาอีกครั้งว่า “ตาครับ ผมเปลี่ยนใจแล้ว… ผมอยากให้ตาอ่านนิทานเล่มนี้แทนได้มั้ยครับ… ตาสัญญาเอาไว้แล้ว ห้ามผิดสัญญาด้วย… ตาบอกว่าจะอ่านนิทานให้พวกเราฟังทุกๆ วันตอนสองทุ่มผมจำได้… นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว… เย้ๆๆ งั้น ผมขอรออยู่ตรงนี้ข้างๆ ตานะคับ.. ”

‘The Rock From The Sky’  โดย Jon Klassen (April, 2021)

Jon Klassen นักเขียนนิทาน นักวาดภาพประกอบและภาพยนตร์การ์ตูน วัย 40 ปี ชาวแคนนาดา เจ้าของนิทานที่ว่าด้วยเรื่อง “หมวก” แบบไตรภาค ได้รับการแปลและตีพิมพ์ไปมากกว่า 20 ภาษาทั่วโลก มีแปลเป็นภาษาไทยแล้วทั้ง 3 เล่ม ได้แก่

เห็นหมวกของฉันไหม : I Want My Hat Back (2011)

หมวกใบเล็กของเจ้าปลายักษ์ : This Is Not My Hat (2012)

เต่าสองตัวกับหมวกหนึ่งใบ : We Found a Hat (2016)       

นิทานของ Jon Klassen มีจุดเด่นอยู่ที่ภาพวาดและการจัดวางองค์ประกอบที่เรียบง่าย ดูแล้วสบายตา เน้นใช้สีแนว Earth Tones หรือ Muted Tones เป็นหลัก เนื้อเรื่องมักใช้คำบรรยายค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่จะปล่อยให้มี ‘พื้นที่ว่าง’ กว้างเกินกว่าครึ่งหน้ากระดาษวางอยู่ด้านใดด้านหนึ่งเสมอ ซึ่งพื้นที่ว่างในหน้ากระดาษเหล่านี้จะช่วยให้ผู้อ่านสร้างโลกในจินตนาการของนิทานเรื่องนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี เด็กๆ สามารถคิดหรือตีความไปได้กว้างไกลโดยอาศัยประสบการณ์และความช่างสังเกตเฉพาะตน เด็กบางคนอ่านแล้วอาจจะพาลนึกตลกขบขันเห็นเป็นเรื่องสนุก ในขณะที่บางคนอาจจะสัมผัสได้ถึงความสลดหดหู่ ความมืดมนหม่นหมอง หรืออาจรู้สึกได้ถึงความรุนแรงต่างๆ ที่แอบแฝงอยู่บนโลกใบนี้ได้เช่นกัน

The Rock From The Sky นิทานเรื่องล่าสุดของ Jon Klassen หน้าปกแสดงให้เห็นถึงความเป็นมินิมัลลิสม์ของเขาได้เป็นอย่างดี ยังไม่มีรูปอะไรตกมาจากฟ้า ยังไม่มีภาพก้อนหินตกลงมา เขาน่าจะตั้งใจทิ้งความว่างส่วนท้องฟ้าไว้ เผื่อให้เราจินตนาการล่วงหน้าไปก่อน… ด้านล่างมีภาพสัตว์อยู่สองตัว หน้าตาดูเฉยเมย กับดอกไม้เล็กๆ อีกหนึ่งดอก… ซึ่งถ้าเราได้ลองสังเกตแววตาของเจ้าสัตว์ทั้งสองที่กำลังจ้องมองมาทางเราอยู่ เราอาจจะตีความไปได้อีกร้อยพันว่ามันทั้งสองตัวนั้นกำลังคิดแผนการอะไรกันอยู่ พวกมันกำลังกลัว โกรธ ตกใจ สงสัย หรือมีความสุข… และนี่แหละคือความสนุกของคนอ่าน

นิทานเรื่อง The Rock From The Sky นี้ แบ่งออกเป็น 5 ตอนสั้นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกันไปตามลำดับ รวมถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบางเสี้ยวบางตอนก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของนิทานไตรภาคว่าด้วยเรื่อง ‘หมวก’ ก่อนหน้านี้อีกด้วย สำหรับใครที่เคยอ่าน I Want My Hat Back มาเมื่อหลายปีก่อนก็จะรู้ว่า ครั้งนี้เรามีนักแสดงเจ้าเก่ากลับมาร่วมงานกันถึงสามตัว นั่นก็คือเจ้าอาร์มาดิโล* เจ้าเต่า และเจ้างู ซึ่งยังไม่มีใครรู้ระดับความสัมพันธ์ของทั้งสามว่าเป็นอย่างไร… Jon Klassen ชอบเล่นกับสัตว์ที่ค่อนข้างดูน่าเบื่อ มี Activity น้อย และไม่ค่อยมีสีสัน แต่นั่นน่าจะเป็นอารมณ์ขันของเขา ด้วยบุคลิกของสัตว์แต่ละชนิดที่ดูไม่ค่อยฉลาด พูดน้อย หน้าตาย และเคลื่อนไหวได้อย่างจำกัด ที่แตกต่างออกไปเรื่องก่อนๆ ก็คือ คราวนี้สัตว์ทุกตัวมีหมวกใส่เป็นของตัวเองแล้ว! “ผมให้หมวกเป็นสัญลักษณ์ในการ on stage ของละคร มันเป็นอุปกรณ์อันไร้ประโยชน์ในการเล่าเรื่อง แต่คนดูจะรู้สึกทันทีว่ามันตลก” Jon Klassen ให้สัมภาษณ์ไว้ในปี 2016 ขณะที่นิทานเรื่อง We Found a Hat เริ่มวางจำหน่าย

นิทานเรื่องนี้มีความยาวรวมทั้งหมด 50 หน้า ถือว่าค่อนข้างยาวสำหรับนิทานเด็ก แต่ด้วยจังหวะการเล่าเรื่อง การจัดวางองค์ประกอบ และการออกแบบ Mood and Tone ของแต่ละตอนที่ใช้เวลาสร้างสรรค์และตกตะกอนมาเกือบ 5 ปี เหล่านี้ที่จะทำให้เรารู้สึกสนุกอยู่กับมัน เหมือนมานั่งดูมินิซีรีส์ดีๆ 5 อีพีติดต่อกันรวดเดียวจบ บางตอนที่อาจรู้สึกว่าเรียบๆ นิ่งๆ เหมือนจะไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมากนัก แต่สักพักก็จะกลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นมาอย่างที่เราไม่รู้ตัว ความกลัว ความตื่นเต้น ความสนุก มักจะมาในเวลาที่เราคาดไม่ถึงเสมอ และทั้ง 5 ตอนของในเรื่องนี้ก็คือ The Rock, The Fall, The Future, The Sunset และตอนสุดท้าย No more Room

คนที่ไม่ชอบงานของ Jon Klassen มักจะบอกว่านิทานของเขาดูเป็นปรัชญามากไป เนื้อหามีความมืดมนและดาร์กหม่นเกินไปสำหรับเด็ก แต่ผมกลับชอบ Jon Klassen ที่เขากล้าเอาประเด็นเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยาอย่างเรื่องการโกหก การลักขโมย และการทำร้ายร่างกาย เข้ามาใส่ในนิทานได้อย่างแยบยล ผมชอบที่เขาเลือกให้ตัวละครต่างๆ แสดงความรู้สึกออกมาผ่านแววตาแต่เพียงอย่างเดียว ผมว่านี่คือพื้นฐานสำคัญของการสื่อสารในยุคที่เราสนใจแต่ภาษาพูดมากเกินไป จนละเลยเรื่องอวัจนภาษา และเราก็มองตากันน้อยลง

The Rock From The Sky บอกกับผมว่า แท้ที่จริงแล้วความสุขบนโลกเรานั้นไม่มีวันยั่งยืน เราอาจฝืนแสดงออกหลอกใครต่อใครอยู่ว่าตอนนี้เรากำลังมีความสุข แต่ลึกๆ แล้วเราเองก็สั่นคลอน จะมีสักกี่คนบนโลกที่สามารถพูดออกไปอย่างมั่นใจว่า ‘จุด’ ที่ยืนอยู่ตอนนี้คือจุดที่ ‘แฮปปี้’ ที่สุด… บางทีบนโลกใบนี้อาจจะไม่มีที่ตรงไหนเป็น ‘ของเรา’ เลยด้วยซ้ำ… ฉากที่ผมขำมากที่สุดในเรื่องนี้คือตอนที่เจ้าอาร์มาดิลโลบอกเจ้าเต่าให้หลับตาแล้วปล่อยจินตนาการไปถึงโลกในอนาคต… มีอะไรอีกหลายพันอย่างที่เรายังไม่รู้ มีอะไรอีกมากมายที่อยู่เหนือความควบคุมของเรา แต่ท้ายที่สุดแล้ว… ด้วยโชคชะตา จังหวะเวลา หรือสิ่งที่เกินกว่าความคาดเดา สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะมาจัดการชีวิตเราให้เข้าที่เข้าทางอย่าง Happy Ending เอง

*Jon Klassen ให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะวาดออกมาเป็นตัวอะไรแน่ชัด มันอาจจะใกล้เคียงกับ Armadillo Mole ซึ่งโดยส่วนตัวเขาจะชอบเรียกว่า Mole มากกว่า แต่แฟนหนังสือส่วนใหญ่ของเขาเรียกว่า Armadillo

Don`t copy text!