ห้วงเวลาแห่งการรอคอย

ห้วงเวลาแห่งการรอคอย

โดย : ชุนเทียน

Loading

“ฝนตก แดดออก” คอลัมน์ที่รวมบทความที่เขียนถึงประสบการณ์ชีวิต ความคิด ความรู้สึกต่อเรื่องราวรอบตัวที่ชุนเทียนได้พบ…แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้ามองให้ดี คุณจะสัมผัสได้ถึงอากาศสบายๆ ในยามฝนโปรย และมีความสุขทุกครั้งที่เงยหน้ามองฟ้าเมื่อแดดออกในทุกวัน

เช้าวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส  เมฆสีเทาอ่อนลอยระเรี่ยอยู่ริมขอบฟ้าด้านตะวันตก  ลมสงบ  วันเวลาอย่างนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร  แต่มันมี…เพราะอีกไม่กี่อึดใจ ความทะมึนครึ้มดำของเมฆฝนเริ่มปรากฎ  เป็นสัญญาณว่าฝนจะเทลงมาอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว

วันที่แม่เสียชีวิต  ฝนตกหนักมากจนน้ำท่วมทางเข้า-ออกหน้าโรงพยาบาล  หากจะว่าไปในเดือนกันยายนของทุกปี   ตามธรรมดามันก็เป็นช่วงชุกของฝนอยู่แล้ว  แต่ระยะหลังมานี้ฝนตกหนัก แรงลมและน้ำโหมลงมาจากฟ้า ราวกับจะถล่มทลายลงมาให้หมดในคราวเดียว ห้วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อชีวิตแม่  ในบรรยากาศฟ้าฝนทะมึนครึ้มยามนั้น ราวกับจะครอบคลุมชีวิตของฉันมาจนป่านนี้ ถ้าฉันจะมองเห็นมันเพียงด้านเดียว คือทุกข์

ฉันเหม่อมองแม่ที่อยู่บนเตียง  สายระโยงระยางเช่นสายยางให้อาหารเหลว หรือหน้ากากอ๊อกซิเจนถูกปลดออกหมดแล้ว  วัสดุส่วนเกินพวกนี้แม่ไม่เคยต้องการมัน  วันที่แม่ยังมีสติรู้ตัวดี ฉันเคยเอาสายอ๊อกซิเจนไปเสียบจมูกให้แม่  พอตื่นมาเห็นเข้าเท่านั้น ยกมือดึงทิ้งทันที  มันบ่งบอกว่าเขาปฏิเสธมันขนาดไหน  ขณะที่อาการเพียบหนักจนไม่รู้สึกตัวนั้น  ใครอยากจะทำอะไรกับร่างกายเขา  ผู้ป่วยคนนี้ไม่มีโอกาสปกป้องตัวเองได้อีกเลย  ฉันอยากร้องไห้ แต่ร้องไม่ออก  หมดทั้งปัญญาจะช่วยหรือปกป้องเขาในสิ่งที่เขาเคยบอกว่าไม่ต้องการ  แต่การยื้อชีวิตของคนตามทฤษฎีมันก็จำเป็นต้องทำนี่นะ  ฉันเข้าใจ

ก่อนหน้าที่แม่จะมีอาการทรุดหนัก ฉันป่วยเป็นโควิดคนแรกของบ้าน  ระยะนั้นเป็นโควิดช่วงปลายแล้ว อำนาจการทำลายชีวิตแผ่วลง แต่หนักหนากับฉันพอดู  กว่าที่จะมีอาการดีขึ้น กลับไปคุยและดูแลแม่ได้เหมือนเดิม ก็ผ่านไปเป็นสิบกว่าวัน  ระหว่างนั้นแม่ถามหาฉัน เมื่อรู้แม่ก็เงียบ  ฉันออกไปนอนเฝ้านอกห้องนอนแม่  เพราะเราเคยนอนด้วยกันทุกวันนับตั้งแต่แม่ป่วยหนัก  แม่ไม่เคยร้องขอให้นอนเป็นเพื่อน แต่ฉันรู้ว่าแม่ต้องการเพื่อนเพื่อช่วยบรรเทาความกลัวตาย  เรามักจับมือและหันหน้ามองหากันเสมอ  แต่พอฉันเป็นโควิด ทำอะไรให้แม่ไม่ได้เลยนอกจากอยู่ห่างๆ มองจากนอกประตูห้องนอน  ฉันพยายามหายจากโรคให้เร็วที่สุด เพื่อมาอยู่กับแม่เหมือนเดิม

แต่ก็เหมือนความระแวงว่าโรคโควิดที่ฉันเป็นยังมีเชื้ออยู่แล้วอาจไปติดแม่  แม้ว่าจะเอาชุดตรวจมาวัดว่าหายแล้ว ฉันก็ยังไม่หายสงสัยตัวเอง  ดังนั้น ความที่กลัวก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ชิดแม่เหมือนเดิม  การนอนมองหน้ากลับทำให้ไม่สบายใจ  กลัวไปหายใจรดหน้าแม่ เลยนอนหันหลังให้  นั่นกลับทำให้แม่คงคิดว่าฉันขี้เกียจดูแลเหมือนเก่า

ความน้อยใจนั้นสะท้อนออกมาเป็นคำพูดสะเทือนใจบางคำ “มีแต่คนเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น” ฉันฟังแล้วสะอื้นในอก  เหตุการณ์เป็นไปแบบนี้ประมาณสองสามวันก่อนแม่จะโคม่า วัดค่าอ๊อกซิเจนที่ปลายนิ้วไม่ได้อีกเลย เราย้ายแม่ไปอยู่โรงพยาบาล  วันที่รถพยาบาลมารับฉันเก็บเสื้อผ้าของแม่ไปพลางน้ำตาไหลออกมาราวกับทำนบแตก  มองสิ่งต่างชๆ ตรงหน้าไม่เห็น  มันเบลอไปหมดทุกสิ่งอย่าง  รู้สึกตัวเองเหมือนหุ่นยนต์เดินได้ ทำทุกอย่างไปตามความเคยชินที่ต้องทำ

ฉันเฝ้าแม่ข้างเตียงอยู่ทุกวันร่วมกับพี่สาว  เราผลัดกันนอนผลัดกันตื่นมาเฝ้าแม่  ทุกเวลานาทีที่ผ่านราวกับความฝัน  สถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยนั้นจบลงภายในห้าวัน…

หมอสรุปสาเหตุการเสียชีวิตไว้ว่า “ปอดติดเชื้อ” จะมีอะไรน่าเศร้าสำหรับฉันมากกว่านี้ไหม?  เอาเถอะ  มันคงเป็นวันที่เมื่อเวลาผ่านไป นานวันเข้า ฉันคงลืมได้เอง

ฝนตกหนักมากในวันนั้น  ก่อนออกมาจากห้องที่มีร่างของแม่อยู่ ฉันไปกราบลาที่ปลายเท้าเป็นครั้งสุดท้าย  จะเศร้าแค่ไหนฉันก็ยังมีหน้าที่อื่นที่ต้องรับผิดชอบอยู่  สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่บ้านกำลังรอให้ไปดูแลต่อ  กลับไปถึงเพื่อจะพบว่าน้ำขึ้นมาเต็มตลิ่งมากกว่าทุกปี  หมาแมวที่หิ้วท้องรอให้ไปเลี้ยงอาหารก็รีบกินหมดเกลี้ยง  ต้นไม้ที่ขาดการดูแลเริ่มเหี่ยวเฉา เมื่อมีเวลากลับไปฟื้นฟูให้  ชีวิตที่ยังเหลืออยู่เหล่านี้ก็ผลิดอก ใบแตกกิ่ง ก้านสดชื่น  นี่กระมังความหมายของการมีชีวิตอยู่

ห้วงขณะแต่ละนาทีกำลังเคลื่อนผ่านเราไป ถ้าไม่สังเกตให้ดี  ในจังหวะเวลาทั้งสุขและทุกข์เหล่านั้นมันมีความหมายซ่อนอยู่   ชีวิตของคนทุกคนอาจสั้นหรือยาวไม่เท่ากัน  ความสมบูรณ์แบบในชีวิตของแต่ละคนก็ใช้วิธีวัดไม่เหมือนกัน  ตำแหน่งแห่งที่ที่เราเลือกใช้ชีวิตอยู่ก็ต่างกัน  ไม่นับถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่ล้วนต้องอาศัยการมองหลายมุมในการวิเคราะห์เรื่องราวแต่ละเรื่องในคลื่นของข้อมูลที่ไหลบ่าเข้ามาในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ ในมือ

ทว่า.. มีเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่เราล้วนมีเหมือนๆ กัน

เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่าๆ กัน มันก็อยู่ที่การเลือกแล้วว่าเราจะเลือกให้ 24 ชั่วโมงนั้นไปหมดไปกับเรื่องราวแบบไหน ใช้มันไปร่วมกับสิ่งใดถึงให้คุณค่าแก่ชีวิตที่เกิดมาแล้วดีที่สุด

…ในวันที่ฝนตก ให้หนักหนาแค่ไหน ล้วนมีวันหยุดหลั่งน้ำ

…ในวันที่น้ำเจิ่งนอง  ก็มีวันที่มันไหลผ่านให้เหือดแห้ง

…ในวันที่โคลนตมถมทับจนหมดทางหนี เราจะหันหน้าหาวิธีกำจัดมันออกไปจากชีวิต

แน่นอนว่า ในระหว่างนั้นฝนในใจย่อมพรำสายอยู่ตลอดเวลา  ใครมันจะไปมองหาความสุขได้เล่าในสถานการณ์อย่างนั้น…

แค่ลงมือทำอะไรสักสิ่งที่พอทำได้ แล้วนิ่ง เงียบ รอ …ไม่ว่าเวลาจะยาวนานมืดครึ้มขังในความรู้สึกแค่ไหน ถ้าเรามีชีวิตอยู่นานพอโดยไม่ยอมแพ้ชะตากรรม เมื่อห้วงเวลาที่เหมาะสมมาถึง เราจะเจอ…แสงแดด

Don`t copy text!