สายน้ำที่ไม่หวนคืน

สายน้ำที่ไม่หวนคืน

โดย :

Loading

นอกเหนือจากนวนิยายและบทความที่ผ่านการเลือกสรรและผ่านกระบวนการบรรณาธิการพิจารณาเป็นอย่างดี ทีมงานอ่านเอายังริเริ่มโปรเจ็กต์ “Anowl Showcase” พื้นที่ใหม่สำหรับคนชอบเขียนขึ้น เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ที่จะให้เว็บ www.anowl.co ของพวกเราเป็นชุมชนสำหรับคนรักการอ่านและการเขียนทุกคน

*************************

ดวงตากลมโตเหม่อมองออกนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย ริมฝีปากอวบอิ่มที่เคยมีสีระเรื่อปรากฏเพียงความซีดเซียวไร้ชีวิตชีวา ใบหน้าอิ่มเอิบกลับกลายเป็นความหม่นหมองชวนอดสู กระนั้นก็ไม่มีใครใส่ใจหญิงสาวสักคนเดียว จะมีก็แต่ร่างบอบบางบนเตียงกลางห้องสีขาวแห่งนี้ที่ได้รับความสนใจอย่างล้นพ้น… ทั้งที่ไม่จำเป็นเลย

“ยัยธาร… เมื่อไหร่แกจะฟื้นสักที” เป็นเสียงของเพื่อนสาวคนสนิทที่ยืนเกาะขอบเตียงไม่ห่าง สีหน้ายียวนอาบย้อมด้วยน้ำตา “ฉันคิดถึงแกนะเว้ย”

“พอเถอะลูก วันนี้เรากลับบ้านกันก่อนดีกว่า ให้ธารเขาพักผ่อน… แล้วสักวันเขาก็จะตื่นขึ้นมาหาพวกเราอีกครั้ง” มารดาของเธอกล่าวพลางยื่นมือขึ้นลูบผมอีกฝ่ายคล้ายปลอบโยน

คนฟังถามกลับเสียงเครือ “เมื่อไหร่คะ”

“เขาหายเหนื่อยเมื่อไหร่คงเป็นตอนนั้น” ท่านพูดพลางยิ้มบาง ทว่านัยน์ตากลับแห้งผาก “ไปเถอะจ้ะ เดี๋ยววันนี้แม่ไปส่งถึงบ้านเลย”

จากนั้นทั้งสองก็เดินห่างออกไปโดยทิ้งหญิงสาวไว้กับร่างบนเตียงอย่างเคย ความเปลี่ยวเหงาเริ่มเข้าครอบคลุมจิตใจที่เหนื่อยล้าเต็มทน ทว่าผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง ผู้ชายในชุดสูทสีเทาก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้องนี้… เป็นครั้งที่สองของวัน

โดยทุกครั้งมีหญิงสาวคนเดิมคอยลอบมองอยู่เสมอ ยามเขาเข้ามาหาคนบนเตียงที่หลับสนิทราวกับเจ้าหญิงนิทราผู้รอคอยจุมพิตจากเจ้าชาย

“คุณอัคนิรุทร…” ครั้งนี้หญิงสาวครางชื่อของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา หันใบหน้าซีดเซียวไปหาเขาอย่างคาดหวัง ก่อนพบกับแววตาเฉยเมยเช่นเดิม

“ผมมาหาตามสัญญาแล้วนะ”

เขากล่าวพลางยกมือขึ้นเกลี่ยลูกผมที่บดบังใบหน้าของผู้หลับไหลด้วยสัมผัสบางเบาดั่งต้องการทะนุถนอม “วันนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีเหมือนเดิมไหม นึกถึงผมบ้างหรือเปล่า…” จากนั้น ชายหนุ่มก็ยืดตัวขึ้น ใบหน้าคมคายค่อยๆ เผยยิ้มเย้ยหยันก่อนพูดเสียงเข้มคล้ายข่มความรู้สึกบางอย่าง “หึ! อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ ว่าคุณกำลังฟังผมอยู่… สริตา”

“ใช่ค่ะ…ฉันกำลังฟังคุณ” เธอตอบอย่างเผลอไผล ใช่… ชื่อของเธอคือ ‘สริตา’

“เมื่อไหร่คุณจะเลิกทำแบบนี้สักที เมื่อไหร่คุณจะยอมรับความจริงเสียที ว่าทำแบบนี้มันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ทั้งกับตัวคุณ ผมหรือว่าใครต่อใคร” อัคนิรุทรพูดเสียงสั่น ร่างหนาสั่นสะท้านเมื่อเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่ได้ “ตอบผมมาสิ สริตา! ว่าคุณจะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ จะทำแบบนี้ให้ทุกคนทรมานใจไปเพื่ออะไรกัน”

“ฉันรู้ค่ะ… และเสียใจที่ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้” หญิงสาวรับคำเสียงแผ่วเบาราวกับกลัวคนตรงหน้าได้ยิน “ได้โปรด ให้อภัยฉันด้วย”

พลันนั้นเอง น้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลออกมาจากดวงตาสีเข้มของชายหนุ่ม สริตาไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร… เขากำลังโกรธมากหรือเสียใจอยู่กันแน่

“ให้ตายสิ! ทั้งที่ผมรู้ว่าพูดแบบนี้ออกไป มันก็คงไม่มีประโยชน์เหมือนเดิม แต่ผมก็ยังทำอยู่ดี ผมมันบ้าจริงๆ ที่ยังคิดว่าทำแบบนี้แล้ว… ทุกอย่างจะดีขึ้น สุดท้ายมันก็ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ”

สริตาอยากโผเข้าหาชายหนุ่มที่ยืนสั่นเคว้งอยู่ข้างเตียงหลังนั้น ดวงตาแห้งผากเริ่มรื้นไปด้วยหยาดน้ำที่ถูกหลั่งออกมา ทว่าความรู้สึกต่างๆ ประดังประเดเข้าหาจนเธอแทบรับไม่ได้ สุดท้ายหญิงสาวจึงเลือกยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับไปหาคนพูดอย่างที่คิดอีก

กระนั้นก็ยังรับฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดต่อไปแม้ในใจลึกๆ จะยิ่งร้าวรานก็ตาม

“สริตา… ถ้าคุณเข้าใจที่ผมพูดจริงๆ แล้ว ก็อย่าลืมทำตามความปรารถนาของทุกคน ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณแล้วนะ” อัคนิรุทรหันแผ่นหลังกว้างให้ร่างบางที่จนตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่ ใบหน้าของเขาจึงหันมาทางโซฟาสีเทาเข้มจุดเดียวกันที่สริตานั่งอยู่

“ผมได้แต่หวังว่าคุณจะเข้าใจสินะ”

พูดจบร่างสูงใหญ่ก็เดินจากไปทางประตูห้อง ทิ้งไว้เพียงบรรยากาศที่เงียบสงัดโดยมีหญิงสาวและร่างบางบนเตียงเป็นผู้ร่วมชะตากรรม… ไม่สิ เรียกว่า ‘ชะตากรรมเดียวกัน’ มากกว่า

สริตายกยิ้มหยันก่อนมองออกไปนอกหน้าต่างบานเดิม ก่อนพูดออกมาเสียงดัง “สมใจท่านแล้วใช่ไหม ที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ ฉันไม่เข้าใจเลย… ว่าทำไมต้องเป็นฉัน ไม่ใช่คนอื่น…”

เสียงคร่ำครวญดังขึ้นไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงแต่อย่างใด ทว่าน่าประหลาดที่ไม่มีใครเข้ามาห้ามปรามเสียงนั้นเลย… แม้แต่คนเดียว

ราวสามวันก่อน

“คุณแม่มีอะไรหรือเปล่าคะ” สริตาเอ่ยถามมารดาอย่างสงสัย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคลือบแคลงใจ “เราตอบคำถามแม่มาสิ”

“อะไรกันคะ” หญิงสาวยิ้มบางก่อนผละจากโต๊ะทำงาน เดินเข้าไปใกล้ท่าน

“เรื่องด่วนหรือเปล่าคะ พอดีเหลือเอกสารด่วนบางฉบับที่ยังรอเซ็นอยู่ค่ะ”

“งั้นเราก็ไปจัดการให้เสร็จๆ ไป เดี๋ยวแม่จะนั่งรอตรงนี้เอง” ตรงนี้ของท่านหมายถึงโซฟาผ้าสีน้ำเงินเข้มที่มุมห้อง สริตาพยักหน้ารับก่อนรีบไปจัดการเอกสารบนโต๊ะต่ออีกสักครู่ จึงยอมผละเดินไปยังโซฟารับแขกและนั่งลงตรงข้ามกับมารดาที่อ่านนิตยสารผู้หญิงรออยู่ทันที

“สรุปว่ามีอะไรหรือคะ”

ท่านฟังแล้วถอนหายใจ มือเรียวที่มีรอยย่นเล็กน้อยส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เธอ แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยหลายความรู้สึกที่อัดแน่น ทว่าสิ่งที่สริตามั่นใจมากที่สุดคือ… ความไม่พอใจ นั่นทำให้เธอรีบรับกระดาษมาดูทันที “ลือหึ่ง! นักบริหารสาวรุ่นใหม่ไฟแรงมีส่วนรู้เห็นกับคนร้ายคดีลอบวางเพลิงโรงงานเครือเอสซีฟู้ดส์ เหตุความไม่ลงรอยทางธุรกิจ… นี่มันหมายความว่ายังไงกันคะแม่”

“แม่ต่างหากที่ต้องถาม!” ท่านตวาดออกมาเสียงดัง ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกลับกลายเป็นแข็งกระด้างฉับพลัน… ทั้งโกรธทั้งเสียใจ ก่อนเอื้อมมือหยิบกระดาษอีกชุดหนึ่งในกระเป๋าส่งให้สริตาอีกครั้ง

“บอกแม่มาสิ ว่าไอ้รูปพวกนี้มันคืออะไร”

“นี่มันอะไรกัน” หญิงสาวร้องครางเสียงแผ่ว เป็นไปไม่ได้…

ในมือของเธอคือกระดาษที่พรินต์ภาพสีของคนสองคน ซึ่งกำลังนั่งคุยกันในร้านกาแฟไม่ไกลจากที่ทำงานของเธอนัก หนึ่งในสองคือตัวสริตาเอง ส่วนอีกคนเป็นผู้ชายวัยยี่สิบสามปีที่บังเอิญพบเธอและขอสอบถามอะไรบางอย่าง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่อย่างที่ใครๆ คาดคิดกัน ทว่าน่าแปลกที่อีกฝ่ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องลอบวางเพลิงที่กำลังเป็นข่าวดังและเธอเพิ่งทราบ “แม่คะ… มันไม่ใช่อย่างที่แม่คิดเลยนะ”

“ตอนนั้นเขาก็แค่ถามเกี่ยวกับงานบริหารค่ะ เพราะเขากำลังศึกษาอยู่พอดี แล้วบังเอิญคุ้นๆ หน้าว่านี่เป็นประธานของทูเอ็ม ที่นี้ถามไปถามมาก็เริ่มเลยเถิด สุดท้ายเลยนั่งคุยกับอย่างที่เห็น”

“แล้วทำไมไม่รู้จักระมัดระวังตัวบ้าง” คนฟังว่าออกมาอีกหน แต่เบาเสียงลงเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาคู่สวยรื้นหยาดน้ำใส “สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นมาจนได้”

“นายคนนั้นเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีบ้าๆ นั่น จนตอนนี้ยังหาหลักฐานแก้ต่างไม่ได้เลย แล้วจะให้คิดว่าเพราะอะไร… ถ้าไม่ใช่เพราะใครบางคนอยากป้ายความผิดใส่เราจะแย่!” เมื่อสริตาฟังแล้วตัวชาวาบ ไม่คิดฝันว่าวันหนึ่งเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ

ใครก็รู้ว่าทูเอ็มกับเอสซีฟู้ดส์เป็นศัตรูทางธุรกิจมานานตั้งแต่หลายสิบปีก่อน ทว่านอกจากเธอก็ยังมีบริษัทย่อยอื่นอีกไม่ใช่หรือ หากแต่มือมืดหมายจะปัดความผิดให้พ้นตัวด้วยการตั้งใจโยนมันใส่ศัตรูของอีกฝ่ายในที่แจ้งที่สุดอย่างเธอ ซ้ำร้ายยังลากคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเข้ามาร่วมวงวารอุบาทนี้ในฐานะผู้รับบาปที่ไม่ได้ก่อและหาหลักฐานแก้ต่างไม่ได้อีก… นั่นทำให้สริตาอดรู้สึกผิดไม่ได้เลย

หากหญิงสาวทราบข่าวเร็วกว่านี้ คงหาหนทางจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ยาก

“เรื่องนี้คุณอัคนิรุทรรู้หรือยังคะ” สริตาถามถึงสามีที่ระยะหลังเริ่มมีปากเสียงกันบ่อยครั้งอย่างกังวล แม้เดาได้ว่าตอนนี้เขาคงรู้แล้วและกำลังแล่นออกจากห้องทำงานมาหาเธอเร็วๆ นี้แน่ ต่อให้รู้หรือไม่รู้ความจริงก็ตามที

“แม่โทร.ไปบอกแล้ว ถ้ารู้ช้ากว่านี้คงเกิดเรื่องใหญ่กว่านี้อีกแน่ๆ” มารดาของหญิงสาวว่าเสียงเครียดพลางถอนหายใจ “ตอนนี้คงใกล้ถึงแล้ว”

“อ้อ แม่เพื่อนสนิทเราโทร.มาหาแม่ด้วยนะ”

สริตาพยักหน้า “เธอว่าอะไรบ้างคะ”

“เดี๋ยวเขาจะมาหาเราที่นี่หลังเลิกงาน แล้วจะขอไปค้างที่บ้านด้วย แม่ไม่ได้ว่าอะไรก็เลยตอบว่าตามใจเราแล้วกัน”

สริตาพยักหน้าอีกครั้ง “ขอบคุณนะคะที่รีบมาบอกเรื่องนี้ พอดียุ่งจนแทบไม่ได้จับโทรศัพท์อ่านข่าวอะไรเลย เลขาฯ ก็ขอลากะทันหันอีก…”

ท่านรับฟังคำพูดของสริตาเงียบๆ ก่อนยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอแผ่วเบา “โชคดีนะที่แม่ยังพอรู้ว่าเราเป็นยังไง แต่กับคนอื่น… เขาไม่มาเข้าใจเหมือนแม่หรอกนะ”

“เดี๋ยวแม่มีธุระต่อ ไว้เจอกันที่บ้านเย็นนี้นะลูก”

หลังจากพูดจบ ท่านก็ผุดลุกขึ้นเดินไปยังประตูห้องทำงานและก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันสังเกตลูกสาวที่เริ่มสะอื้นไห้เสียงเบาเพราะความเครียดและแรงกดดัน

ทั้งที่รู้ตัวว่าไม่ผิด… เธอกลับทำอะไรไม่ได้เลย

เธอกำลังจะทำให้บริษัทที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษถูกทำลายเพียงเพราะความไม่ระมัดระวังครั้งเดียว… แค่ครั้งเดียวจริงๆ ทั้งที่เป็นคนรอบคอบมาตลอด

“สริตา คุณอยู่ข้างในใช่ไหม”

เป็นเสียงเข้มจัดของสามีที่ดังอยู่หลังประตูห้องบานใหญ่ หญิงสาวรีบปาดน้ำตาทิ้งแล้วพูดเสียงปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอเป็นอะไร “เชิญเข้ามาค่ะ”

สิ่งแรกที่เธอเห็นไม่ใช่แววตาของความห่วงใยหรือความเข้าใจ ทว่าเป็นความโกรธขึงระคนหงุดหงิดที่แผ่ออกมาจากร่างของอัครนิรุทรชัดเจน “นั่นมันเรื่องบ้าอะไรกัน!”

“คุณคิดว่าอย่างไรคะ” สริตาแสร้งปั้นยิ้มหยันทั้งที่ภายในปวดร้าวแทบทนไม่ไหว “ภรรยาที่คุณบอกว่าบ้างานนักหนา… ตอนนี้กำลังเป็นข่าวฉาวบนสื่อต่างๆ ขึ้นมาเสียแล้ว”

“สริตา! อย่ากวนประสาทผม” ชายหนุ่มตวาดลั่นไม่ต่างจากมารดาของเธอเลย ทว่าเขาคงไม่มีทางเข้าใจอย่างที่แม่เข้าใจเธอได้หรอก…

เพราะความรักและความเชื่อใจที่เราเคยมีให้กัน… มันได้หายไปนานแล้ว

“เป็นคุณต่างหากที่ทำเหมือนไม่รู้จักฉัน เหมือนเราไม่ใช่สามีภรรยากัน… เหมือนเป็นคนอื่น!” สริตาตวาดลั่นออกมาบ้าง

จะมีใครบ้างไหมที่เข้ามาปลอบประโลมเธอเพราะรู้ในทันทีว่าเธอไม่ได้เป็นคนทำ ไม่ใช่เธอ และไม่ได้เป็นคนผิดอย่างที่ทุกคนเข้าใจ… ทว่าไม่มีเลย

“ทุกอย่างไม่ได้เริ่มจากการที่คุณสนใจแต่งานจนลืมบ้าน ลืมคุณแม่ ลืมผมและอีกหลายๆ อย่างหรือ… ผมขอถามใหม่ ว่าใครกันแน่ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรามีปัญหา คุณช่วยทบทวนดีๆ เถอะ”

“หึ… สุดท้ายคุณก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” สริตาพูดเสียงแผ่ว กลืนก้อนสะอื้นที่พยายามดันตัวเองออกมาอย่างสุดกลั้น “ฉันจะพูดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จะเชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ”

“ฉัน… สริตาไม่เคยทำเรื่องไม่ดีอย่างที่ข่าวนำเสนอแม้แต่น้อย ฉันคือคนที่ถูกใส่ร้าย รวมไปถึงผู้ชายที่อยู่ในภาพด้วย เราเพียงพูดคุยกันธรรมดาเท่านั้น… แต่กลับกลายเป็นการร่วมมือกันกระทำเรื่องผิด มันเกิดขึ้นได้ยังไงฉันก็ไม่รู้… แต่เท่าที่ฉันรู้คือ ‘คนอื่น’ ล้วนปักใจเชื่อไปหมดแล้วว่าฉันคือตัวการ หึ… น่าขำดีจริงๆ ที่ทำความดีมาตลอดแต่ต้องมาตกต่ำเพียงเพราะคนชั่วในเงามืด

“พอใจหรือยังคะ” ดวงตาแข็งกร้าวมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างจงใจ ก่อนเค้นเสียงออกมาอีกครั้ง “เป็นอย่างไรคะ… ได้ฟังคำแก้ตัวของฉันแล้ว อยากจับฉันส่งตำรวจหรือปล่อยให้หนีดีคะ”

หญิงสาวไม่รอคำตอบ เดินไปคว้ากระเป๋าสะพายบนโต๊ะและออกจากห้องทำงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว กลัวว่าจะได้ยินคำตอบที่น่ากลัวจากผู้ชายที่เป็นสามีคนนั้น… น่ากลัวตรงที่พร้อมทำทุกอย่างโดยไม่สนใจเธอเลยสักน้อย

อันที่จริง สริตาไม่เคยรู้เลยว่าความระหองระแหงที่เธอกับอัคนิรุทรมีต่อกัน สาเหตุที่แท้จริงมาจากอะไรกันแน่ เขาบอกว่าเธอบ้างาน ส่วนเธอมองว่าเขาไม่เข้าใจเธอ ทั้งที่คุยเรื่องนี้กันตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้วแท้ๆ …หรือเพราะเรื่อง ‘ลูก’ ที่เธออาจจะมีให้เขาไม่ได้กันแน่ ยิ่งคิดสริตายิ่งปวดใจ

ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน สริตารู้ดีว่าอัคนิรุทรเป็นคนใจร้อนมากพอๆ กับรักครอบครัวแค่ไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าน้อยใจทุกครั้งที่เวลาเกิดเรื่องอะไรก็ตาม เสียงตวาดมักจะมาก่อนเสียงปลอบโยนเสมอ… จนตอนนี้เธอชินชาและคร้านจะเสียใจเสียแล้ว

แต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่เท่ากับตอนที่ชายหนุ่มรู้เรื่องสภาพร่างกายของเธอที่ไม่เหมาะต่อการตั้งครรภ์ เขาหงุดหงิดหัวเสียเป็นสัปดาห์จนใครก็ต่างเข้าหน้าไม่ติด และเธอต้องทนอยู่กับสิ่งเหล่านั้นอย่างเจ็บปวดแต่พูดอะไรไม่ได้เลย

สุดท้ายแล้ว ชีวิตแต่งงานแสนสุขที่พวกเขาเคยฝันร่วมกัน มันก็เป็นเพียงการวาดวิมานในอากาศเท่านั้นเอง…

“ทุกอย่างเป็นไปตามแผนครับ” เสียงของใครคนหนึ่งดังมาจากทางบันไดหนีไฟ ซึ่งห่างจากหน้าลิฟต์ตรงที่สริตายืนอยู่ไม่ถึงสองเมตร

“ไม่มีปัญหาเลยครับ ผมจัดการทุกอย่างจนไม่เหลือหลักฐานอะไรสาวมาถึงเราได้หรอกครับ” ครั้งนี้หญิงสาวขยับตัวช้าๆ หมายเข้าไปใกล้ให้ได้ยินเสียงนั้นมากขึ้น ก่อนเบิกตากว้างเมื่อเริ่มรู้ว่าคนพูดคือใคร

“ขอบคุณสำหรับรายได้พิเศษครับท่าน รับรองว่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณสริตาจะถึงหูท่านทุกเรื่องแน่นอนครับ เลขาฯ อย่างผมขอรับประกัน”

…เป็นเลขาฯ ที่เธอหลงไว้ใจและตอบแทนอย่างดีอย่างนั้นหรือที่ทรยศหักหลังเธอได้เลือดเย็นที่สุด…

สริตาไม่อยากเชื่อเลยหากไม่ได้ยินกับตัวเองแบบนี้ มือเรียวรีบยื่นไปกดปุ่มลิฟต์ หมายจะไปจากที่นี่ก่อนใครบางคนจะรู้ตัว กระทั่งลงมาถึงชั้นใต้ดินที่เป็นส่วนจอดรถของบริษัท เธอรีบวิ่งไปขึ้นรถก่อนขับออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่ออยู่ตามลำพัง ความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้คล้ายถูกระเบิดออกมาอย่างไร้แรงต้าน น้ำตาไหลอาบย้อมใบหน้านวลเนียน เสียงสะอื้นไห้ดังก้องไปมาในโสตประสาทของหญิงสาว มันเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่เธอจะห้ามตัวเองไม่ให้เป็นเช่นนี้… และหลังจากนั้นเธอก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย

“คุณคือ สริตา อิ่มหทัย… ใช่ไหมครับ”

เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง ทำให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ในอดีต เธอหันมองคนถามก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มสวมสูทสีดำที่มีนัยน์ตาแปลกประหลาด ในมือหนาถือแฟ้มอยู่จำนวนหนึ่ง

“ผมเรียกชื่อของคุณถูกต้องไหมครับ”

สริตาพยักหน้าตอบ “ค่ะ… แล้วคุณเป็นใครกันคะ”

“ผมมีหน้าที่มารับคุณไปจากที่นี่ วันนี้และอีกสิบนาทีข้างหน้า…”

“อ้อ… ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” หญิงสาวว่า “ฉันคิดอยู่นานเชียวค่ะ ว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาของฉันเสียที”

เขาฟังแล้วหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “ไม่ใช่เพราะทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหรือครับ ถึงได้คิดแบบนั้น”

อีกฝ่ายพูดไม่ผิด หากนับจากวันนั้น นี่ก็ผ่านมาเกือบเจ็ดวันแล้ว ความจริงทุกอย่างเปิดเผยแล้วว่าแท้จริงสริตาไม่ใช่คนผิดและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น โดยมีเขาคนนั้นเป็นคนหาหลักฐานทุกอย่างไปยื่นกับตำรวจด้วยตัวเอง… ผู้เป็นสามีที่เธอคิดว่าเขาจะไม่ไยดีภรรยาคนนี้เสียแล้ว

ส่วนมารดาของเธอก็เลือกจะไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่วัดอย่างไม่มีกำหนดกลับแต่อย่างใดโดยมีเพื่อนสนิทของเธอคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง พานทำให้เธอหมดห่วงไปด้วย… ดีจริงๆ

“ว่าแต่ทำไมเราถึงไปตอนนี้เลยไม่ได้คะ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย ในเมื่อเธอพร้อม อีกฝ่ายก็ไม่น่าขัดข้อง เพราะอะไรจึงต้องรอตามเวลา…

“ผมรออีกคนอยู่… คุณช่วยใจเย็นๆ หน่อยนะ”

“โอเคค่ะ ฉันว่าฉันเข้าใจแล้ว” สริตาพูดพร้อมยิ้มบาง “ฉันขอออกไปรอที่ระเบียงด้านนอกนะคะ”

ไม่รอฟังคำอนุญาต หญิงสาวก็พาตัวเองไปชมบรรยากาศในเมืองกรุงยามค่ำคืนที่ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้มาเห็นอย่างใจหาย ดวงตากลมโตกวาดมองทุกอย่างคล้ายต้องการเก็บเป็นความทรงจำ แม้รู้ดีว่าถึงทำไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรก็ตาม

ตอนนั้นเอง หญิงสาวได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจากภายในห้องทว่าไม่ได้สนใจมากนัก ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆ ที่ต้นแขน หญิงสาวคิดว่าเป็นชายในสูทสีดำจึงไม่ได้หันไปมอง แต่ก็เผลอตำหนิอย่างไม่ชอบใจนัก “อย่าคิดว่ามีอำนาจมากกว่าฉันแล้วจะสามารถทำอะไรก็ได้นะคะ…”

“นั่นหมายถึงผมหรือ”

น้ำเสียงคุ้นหูทำให้สริตารีบหันกลับไปมองคนพูด “คุณ… คุณอัคนิรุทร”

“ทำไม…”

ตอนนั้นเอง ชายในชุดสูทสีดำเดินเข้ามาหาทั้งสองอย่างใจเย็นพลางพูดออกมาราวกับจงใจ “เหลือเวลาอีกสามนาที ผมจะต้องพาพวกคุณไปส่งแล้วนะครับ” พูดจบก็เดินผละไปอีกทาง ทิ้งให้สองสามีภรรยามองหน้ากันด้วยความรู้สึกแปลกๆ

“ขอบคุณที่ทำให้ฉันเป็นอิสระจากข้อกล่าวหานะคะคุณอัคนิรุทร” สริตารีบพูดออกมาก่อน

“จนตอนนี้แล้ว… ก็ยังจะเรียกผมแบบนั้นอีกหรือ”

สริตายิ้มออกเป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ผ่านมา แววตาแห้งผากแฝงด้วยความสุข “ไม่ว่าจะเรียกแบบไหน คุณก็คือคุณอัคนิรุทรสำหรับฉันอยู่ดี”

“คิดไหมคะว่าถ้าเราไม่ทะเลาะกัน ตอนนี้เราคงไม่ต้องมาเป็นแบบนี้” ชายหนุ่มส่ายหน้า “บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่ถูกลิขิตไว้ตั้งแต่แรก เปลี่ยนแปลงไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

“และผมคิดว่าอย่างน้อยโชคชะตาระหว่างเราสองคนก็ยังดีอยู่บ้าง ตอนนี้เราถึงยังมีโอกาสพูดคุยกันอยู่”

“สุดท้ายคุณก็คือคนที่ฉัน… หนีไม่พ้นสินะคะ”

“ไม่รู้สิ ไม่แน่อาจจะเป็น ‘เรา’ ก็ได้”

“ขอโทษสำหรับบางเรื่องและขอบคุณสำหรับทุกอย่างค่ะคุณอัคนิรุทร” หญิงสาวรีบพูดเมื่อเห็นว่าเวลาใกล้จะหมดลง

ชายหนุ่มได้ฟังแล้วยิ้มบางออกมาก่อนเอ่ยประโยคสุดท้าย ในขณะที่ชายในสูทสีดำปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและพาพวกเขาไปยังที่ที่ควรไปตั้งแต่แรกเสียที

“ไม่ว่ายังไงผมก็ยังจะรักธาร… รัก สริตา อิ่มหทัยคนนี้อยู่ดี”

เช้าวันต่อมา โทรทัศน์และสื่อหลากหลายช่องทางต่างนำเสนอข่าวที่น่าสนใจแก่ประชาชนเป็นกิจวัตร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายเพียงใด และหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องราวของสองสามีภรรยาอย่างสริตาและอัคนิรุทรรวมอยู่ด้วยเช่นกัน

“สริตา อิ่มหทัย-นักธุรกิจสาวที่เคยตกเป็นข่าวและประสบอุบัติเหตุรถชนก่อนหน้านี้ได้เสียชีวิตเมื่อคืนเวลา xx.xx น. ซึ่งใกล้เคียงกับเวลาเสียชีวิตของผู้เป็นสามีอย่าง’อัคนิรุทร อิ่มหทัย’ที่ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำขณะเดินทางไปยังโรงพยาบาลที่รักษาภรรยาสาว ซึ่งก่อนหน้าที่ทั้งสองจะเสียชีวิต ทางโรงพยาบาลได้นำร่างของคุณอัคนิรุทรไปไว้ข้างร่างของผู้เป็นภรรยาตามความประสงค์ที่เคยแจ้งไว้ จากนั้นทั้งสองจึงเสียชีวิตเกือบพร้อมกัน…”

สุดท้ายนั่นก็กลายเป็นเหตุการณ์น่าสลดทว่าเป็นที่ซาบซึ้งของใครบางคนไม่น้อยทีเดียว

 

– ณฐกันยา –

 

Don`t copy text!