ม่านนาคราช

ม่านนาคราช

โดย :

Loading

นอกเหนือจากนวนิยายและบทความที่ผ่านการเลือกสรรและผ่านกระบวนการบรรณาธิการพิจารณาเป็นอย่างดี ทีมงานอ่านเอายังริเริ่มโปรเจ็กต์ “Anowl Showcase” พื้นที่ใหม่สำหรับคนชอบเขียนขึ้น เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ที่จะให้เว็บ www.anowl.co ของพวกเราเป็นชุมชนสำหรับคนรักการอ่านและการเขียนทุกคน

*************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

โอกาสเช่นนี้หาได้ไม่ง่าย ที่เธอจะได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณเก็ดถวา ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้า แพรพรรณ และวัตถุโบราณ เครื่องทรงกกุธภัณฑ์อันประมาณค่ามิได้ในอดีตที่ผ่านมายาวนานของเจ้านายฝ่ายเหนือทั้งจากราชวงศ์ล้านนา ล้านช้าง และใกล้เคียง ตามคำบอกเล่าของ อนันตเดช อุรคาพิทักษ์ ผู้เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์ ชายผู้หลงใหลในความงดงาม อลังการของลวดลายที่ถักทอบนผืนผ้า เขามุ่งมั่นแรงกล้าที่จะติดตามรวบรวมผืนผ้าและวัตถุโบราณต่างๆ   ไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมให้คนรุ่นหลังและผู้สนใจได้ร่วมชื่นชมและซาบซึ้งในความงาม ตลอดจนตำนานบอกเล่าความเป็นมาของผ้าและวัตถุโบราณเหล่านั้น ทุกสิ่งที่พบเห็นล้วนมีที่มาและเรื่องเล่าขาน

รวิปริยาก้าวสู่โถงส่วนกลางของพิพิธภัณฑ์อันเป็นจุดเก็บผ้าโบราณของราชวงศ์ล้านนา สำเนียงหนึ่งพลันแว่วมากระทบโสต เสียงกระซิบเพรียกหา อาวรณ์ ดุจความฝันในความตื่น เศร้าสลด บีบคั้นจนน้ำตาคลอ

“เส้นไหมทองคล้องจิตชีวิตหนึ่ง    ความคำนึงฝากไว้ในผืนผ้า

ถักทอรักสลักมั่นนิรันดร์มา         แนบความหวงห่วงหาสุดอาวรณ์

ทุกเส้นด้ายสายใยรักสลักจิต       ทุกลวดลายหมายนิมิตอนุสรณ์

สัญญาซึ้งตรึงใจไม่คลายคลอน   รอวันย้อนความหลังครั้งปางบรรพ์

หญิงสาวเหลียวแลชะแง้หาที่มาของเสียงกระซิบลึกลับ แต่ทุกอย่างรอบตัวก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ อนันตเดชยังคงก้าวนำไปข้างหน้าเธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“อาจารย์คะ ขอโทษค่ะ ที่นี่มีการเปิดเสียงประกอบระหว่างการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้วยหรือคะ”

“เปล่านี่ครับ ตรงกันข้าม ที่นี่ต้องการความเงียบอย่างยิ่ง เราไม่ต้องการให้เกิดเสียงรบกวนสมาธิของผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์เลยนะครับ มีอะไรหรือเปล่า” ชายกลางคนกล่าวขึ้น

“อ๋อ…เปล่าค่ะ หนูคงหูแว่วไปเอง เราชมพิพิธภัณฑ์ต่อไปเถอะค่ะ”

“ขอโทษครับ พอจะบอกได้ไหมว่าคุณแว่วเสียงอะไร” อนันตเดชจับตามองรวิปริยาด้วยสายตาแปลกๆ

“คล้ายเสียงกระซิบบอกเล่าเรื่องราวของผ้าผืนหนึ่ง แต่หนูจับใจความไม่ได้ถนัดว่าผ้าอะไร แบบไหนค่ะ” รวิปริยากล่าวตอบด้วยสีหน้ามึนงงเป็นอย่างยิ่ง

“งั้นเชิญทางนี้ดีกว่าครับ”

อนันตเดชก้าวนำไป เขาก้าวผ่านหุ่นชายหญิงในชุดเครื่องแต่งกายสมัยโบราณหลากหลายรูปแบบและลวดลายที่จัดวางเรียงรางรายไว้อย่างมีศิลปะและสวยงาม โดยมีคำบรรยายเกี่ยวกับชุดและเครื่องประดับตลอดจนยุคสมัยติดไว้ที่หุ่นทุกตัว เขาไปหยุดหน้าตู้กระจกทรงสูงซึ่งตั้งอยู่มุมในสุดของห้องโถงนั้น

“ผมมีบางอย่างอยากให้ดู เอาเป็นว่าอยากอวดดีกว่าครับ เป็นสิ่งที่มีค่ามากในความรู้สึกผม ผมเพิ่งได้มานะ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่ทราบประวัติความเป็นมาที่ชัดเจนของของสิ่งนี้เลย”

“อันที่จริงจะเรียกว่าเพิ่งได้มาก็ไม่ถูกนัก ของนี้เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษผมตกทอดมา แต่บังเอิญว่าเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาบ้านปู่ผมถูกโจรกรรม นอกจากทรัพย์สินที่มีค่าหลายอย่างถูกขโมยไป ก็มีของสิ่งนี้หายไปด้วย”

“มันแปลกตรงที่… ผ่านไปประมาณปีเศษก็มีคนนำข้าวของที่ถูกขโมยส่งคืนมาให้ แต่ของสิ่งนี้ไม่คืนมาด้วย คนนำมาคืนเป็นภรรยาของโจรคนนั้น บอกว่าสามีสั่งไว้ก่อนตายให้นำของทุกชิ้นมาคืนเจ้าของเดิม เพราะตั้งแต่ขโมยไปเขาไม่เคยอยู่เป็นสุขเลย ต้องทุกข์ทรมานกับฝันร้ายทุกคืน หลังจากสามีหัวใจวายตาย ภรรยาเขาจึงนำมาคืนให้ คุณปู่ถามถึงของสิ่งนี้ที่ไม่ได้คืนมา เขาบอกว่าเขาไม่เคยเห็นของสิ่งนี้ตั้งแต่แรก”

“แล้วอาจารย์ได้คืนมายังไงคะ” รวิปริยาเอ่ยถามชายกลางคนอย่างสงสัย

“มันแปลกนะ เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา มีพระธุดงค์รูปหนึ่งนำมาให้ที่พิพิธภัณฑ์นี้แหละ ท่านบอกว่าพบของสิ่งนี้ที่ซุ้มพระยืนตรงเจดีย์วัดป่าสัก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ถามเจ้าหน้าที่ก็ไม่มีใครเป็นเจ้าของ อีกทั้งวันนั้นก็ไม่มีใครเข้าไปที่นั่นนอกจากท่านที่ธุดงค์ผ่านเข้าไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่นั้น และท่านบอกว่ามีผู้ชายนุ่งขาวห่มขาวบอกให้นำมาคืนที่พิพิธภัณฑ์นี้ครับ”

“แปลกมากเลยนะคะ แล้วของสิ่งนั้นคืออะไรคะ”

อนันตเดชเปิดตู้หยิบผ้าผืนหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะใกล้ๆ ทันทีที่สายตาหญิงสาวสัมผัสผืนผ้า เธอรู้สึกเหมือนมีแสงบางอย่างพุ่งกระทบสายตา เมื่อชายกลางคนคลี่ผ้าทั้งผืนออกมา เธอก็ตะลึงกับความงดงามสุดบรรยายของลวดลายบนผืนผ้านั้น

“เป็นผ้าม่านผืนหนึ่ง ม่านปักลายนาคราช อายุประมาณ 900 กว่าปีแล้วครับ”

รวิปริยาไล่สายตาไปตามลายปักที่เนียนละเอียดด้วยเส้นไหมสีทอง ลายนาคราชเชิดเศียร กนกเศียรเด่นงามสะดุดตา ลายเกล็ดละเอียดแวววาวระยับประดุจเคลื่อนไหวมีชีวิต โดยเฉพาะดวงเนตรสีแดงวาววับทอประกายเจิดจ้าจากภายในจนน่าประหลาด

“ตรงเนตรนาคราชเป็นทับทิมแท้ ถ้าทำมุมพอดีกับแสงจะเกิดประกายรัศมีเจิดจรัสครับ”

“สวยมากๆ ค่ะ ดูเหมือนมีชีวิตจริงๆ  ”

ชายกลางคนนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไตร่ตรอง

“ผมทราบว่าคุณทำหน้าที่ภัณฑารักษ์ให้กับพิพิธภัณฑ์ปูรณะฆตะใช่ไหมครับ”

“ใช่ค่ะ” รวิปริยาตอบรับ

“ดีเลย ผมอยากขอร้องให้คุณช่วยอะไรหน่อย”

“อาจารย์มีอะไรหรือคะ ถ้าพอช่วยได้หนูยินดีทำให้ค่ะ”

“ผมเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงคุณหรอกครับ” ชายกลางคนลูบไล้ผ้าม่านนาคราชอย่างเบามือ

“ผมอยากขอให้คุณช่วยรวบรวมเรื่องราวและตำนานเกี่ยวกับเวียงหนองล่ม หรือที่เรียกว่าตำนานโยนกนาคพันธุ์สิงหนวัตินครให้ผมด้วยครับ เพราะเคยได้ยินคุณปู่บอกว่ามีความเกี่ยวพันกับผ้าผืนนี้ ไม่ทราบว่ารบกวนเกินไปไหม”

“อ๋อ… ได้ค่ะ พอดีหนูก็อยากศึกษารายละเอียดตำนานที่อาจารย์เอ่ยถึงอยู่ค่ะ”

“ขอบคุณมากครับ งั้นผมก็ขอฝากผ้าผืนนี้ไว้ที่คุณก่อนจนกว่าคุณจะรวบรวมตำนาน เรื่องราวที่เกี่ยวข้องได้เสร็จสมบูรณ์แล้วค่อยนำมาคืนนะครับ” อนันตเดชวางผ้าลงกล่องแล้วใส่ลงในถุงกระดาษใบโตส่งให้หญิงสาว พร้อมทั้งกล่าวว่า

“เดี๋ยวผมพาคุณไปชมส่วนอื่นของพิพิธภัณฑ์ต่อนะครับ”

“ค่ะ” รวิปริยารับถุงผ้ามากอดไว้แนบกาย ความรู้สึกอบอุ่นเต็มตื้นแผ่ซ่านลึกๆ อยู่ในใจ

 

หญิงสาวพารถเข้าจอดในโรงจอดรถข้างตึกอำนวยการของพิพิธภัณฑ์ จากนั้นเปิดประตูรถก้าวลงพร้อมกับแฟ้มเอกสารหอบใหญ่ในมือ ทั้งหมดคืองานที่เธอหอบกลับไปทำต่อที่บ้าน ตำแหน่งภัณฑารักษ์ของเธอไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรือความบังเอิญอย่างแน่นอน รวิปริยาต้องฝ่าด่านคู่แข่งหลากหลายรูปแบบที่เข้าสอบคัดเลือกในครั้งนั้น บางคนมีประสบการณ์การทำงานมาหลายปี เคยสร้างผลงานมากมาย บางคนมีผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังในขณะที่รวิปริยาไม่มีใครเลยแม้แต่ญาติสักคนที่จะคอยผลักดัน เธอมาพร้อมกับเอกสารรับรองประวัติการทำงานร่วมกับคณาจารย์ในสถาบันที่ศึกษาและความสามารถของตนเองพ่วงกับปริญญาบัตรที่เพิ่งจบหมาดๆ เท่านั้น แต่เจ้าของพิพิธภัณฑ์ที่เธอไม่เคยพบหน้าแห่งนี้มีอุดมการณ์ในการทำงานและมีความเชื่อมั่นในตนเองมากพอในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานโดยกระบวนการคัดสรรที่เข้มงวดผ่านกอบกิจซึ่งเป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ เขายอมรับระบบความคิดและการบริหารจัดการที่ละเอียดรอบคอบของเธอ รวิปริยาจึงก้าวสู่ตำแหน่งภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑ์ใหญ่แห่งนี้อย่างสง่างาม ความคิดของเธอสะดุดลงเมื่อสัมผัสกลิ่นหอมเย็นระรื่นของดอกไม้ไทยหลายชนิดที่ปลูกเรียงรายไว้โดยรอบตึกอำนวยการ ด้านหน้าตรงประตูทางเข้าสำนักงานมีป้ายไม้สักขนาดใหญ่แกะสลักเป็นลวดลายขนดนาคราช 2 ตัวเลื้อยพันกัน ชูเศียรเชิดหม้อดอกปูรณะฆตะอันประกอบด้วยเถาไม้ดอกเลื้อยไล่ระดับแตะแต้มสีทองสวยงาม อยู่เหนือตัวหนังสือสีทองที่แกะสลักลงบนเนื้อไม้ว่า ‘พิพิธภัณฑ์ปูรณะฆตะ’

สารภีต้นใหญ่โปรยปรายกลีบดอกร่วงพรูลงมากระทบผิว รวิปริยากลับคืนสู่สภาพความเป็นจริงอีกครั้ง ในขณะที่เดินตรงไปที่โต๊ะทำงานในห้วงคำนึงยังจดจำการคุยโทรศัพท์กับอนันตเดชขณะที่เธอกำลังเก็บเอกสารเข้าที่เพื่อเตรียมตัวกลับบ้านเมื่อวานตอนเย็นหลังเลิกงานแล้ว

‘พรุ่งนี้เช้าคุณแวะมาที่พิพิธภัณฑ์ผ้าเก็ดถวาก่อนนะครับ อยากปรึกษาอะไรหน่อย ผมขออนุญาตคุณกอบกิจไว้ให้แล้วนะ’ จำได้ว่าเธอรีบตกลงทันทีเพราะความที่อยากไปชมพิพิธภัณฑ์ผ้าแห่งนี้มานานแล้ว แต่ติดด้วยภาระงานในแต่ละวันช่างมากมายจนไม่อาจปลีกตัวไปได้ และวันหยุดของที่นี่ก็ตรงกับวันหยุดของพิพิธภัณฑ์เก็ดถวาเช่นกัน

“อ้าว! เห็นว่าอาจารย์อนันตเดชเรียกพบไม่ใช่หรือคะน้อง” นงพะงา หัวหน้าแผนกงานของเธอ ทักขึ้น

“อ๋อ… ไปมาเรียบร้อยแล้วค่ะพี่นง หนูว่าจะเข้าไปเคลียร์งานที่พิพิธภัณฑ์หน่อยค่ะ”

“เมื่อกี้ผู้อำนวยการแจ้งว่าถ้าน้องกลับมาให้แวะไปพบท่านก่อนค่ะ” นงพงารีบบอก

“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะพี่นง หนูจะไปพบท่านเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

หลังจากรวิปริยานำแฟ้มงานในอ้อมแขนจัดเก็บเข้าที่แล้ว เธอรีบตรงไปยังห้องผู้อำนวยการกอบกิจทันที เมื่อไปถึงจึงเคาะบังตาส่งสัญญาณขอพบ

“เชิญครับ” เสียงตอบรับจากภายใน

“สวัสดีค่ะ ท่านต้องการพบหนูหรือคะ”

“พอดีมีงานให้ช่วยหน่อยครับ”

กอบกิจหันไปหยิบกล่องเอกสารใบหนึ่งออกมาจากตู้ด้านหลังโต๊ะทำงาน เขาเปิดฝากล่องหยิบวัตถุ 2 ชิ้นออกมาวางบนโต๊ะ

“ของชิ้นนี้เรียกว่าสำเนาจารึกใบลานตำนานนครที่ล่มสลาย หรือตำนานโยนกนาคพันธุ์นคร และอีกชิ้นหนึ่งคือลานเงินที่คนโบราณใช้จารเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นในยุคนั้น ศาสตราจารย์เอมมานูเอลผู้เชี่ยวชาญวัตถุและจารึกโบราณได้มาโดยบังเอิญจากพระธุดงค์รูปหนึ่ง เห็นว่าพระท่านพบที่ด้านหลังเศียรเกียรติมุขหรือหน้ากาลตรงเหลี่ยมฐานเจดีย์วัดป่าสักที่เชียงแสน ศาสตราจารย์อยากให้ช่วยถอดรายละเอียดที่จารในลานเงินนี้ซึ่งอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับตำนานโยนกนาคพันธุ์นครฉบับนี้ ผมเห็นว่าคุณเคยทำงานเกี่ยวกับอักษรปัลลวะร่วมกับคณะอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมาก่อน เลยอยากมอบงานนี้ให้คุณรับไปทำนะครับ”

“ได้ค่ะ แต่คงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านศาสตราจารย์ให้เวลาทำงานถึงเมื่อไหร่คะ”

“ไม่ได้เร่งด่วนอะไร ท่านให้เวลา 3 เดือนเลยครับ”

“สำหรับลานเงินกับตำนานฉบับนี้ ขอมอบให้คุณนำไปศึกษาค้นคว้าได้ตามสะดวกครับ”

วันนี้รวิปริยากลับถึงบ้านเกือบหกโมงเย็น เธอเพลิดเพลินกับการทำงานจนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีเพื่อนร่วมงานคนอื่นก็ทยอยกันกลับหมดแล้ว เหลือเพียงลุงที่เป็นยามเฝ้าพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ความขยันและมุ่งมั่นในการทำงานนี้เองทำให้เธอเป็นที่รักของผู้ร่วมงานทุกคน และยังได้รับความไว้วางใจจากกอบกิจซึ่งเป็นผู้อำนวยการของที่นี่ หลังอาหารมื้อเย็นและทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว รวิปริยาในชุดอยู่บ้านสบายๆ ก็ประจำโต๊ะทำงานในห้องนอนของเธอ รวิปริยาชอบทำงานจนง่วงได้ที่แล้วจะนอนทันที ดังนั้น ไม่แปลกที่ห้องทำงานกับห้องนอนของเธอจะเป็นห้องเดียวกัน หญิงสาวคุ้นชินกับการทำงานแบบนี้ รวิปริยาต้องใช้ชีวิตโดยลำพังในบ้านโบราณหลังใหญ่ เธอดิ้นรนรับงานจากอาจารย์ที่คณะมาทำเพื่อหารายได้เลี้ยงตนและส่งตนเองเรียนจนจบเพราะบิดามารดาของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ จากนั้นไม่กี่ปีคุณยายญาติที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเธอก็จากไปด้วยโรคชรา คืนนี้หญิงสาวใช้เวลาอยู่กับเอกสารที่รับมา เธอเหลือบสายตามองผ้าม่านลายนาคราชที่วางพาดไว้กับราวโลหะข้างโต๊ะทำงานซึ่งอยู่ชิดกับหน้าต่างห้องที่เปิดกว้าง มีเพียงมุ้งลวดกั้นอยู่เพื่อรับลมเย็นและกลิ่นดอกไม้ที่โชยมายามค่ำคืน แสงไฟส่องกระทบเกล็ดนาคราชสีทองเปล่งประกายแวววาวงดงาม ขนดนาคราชวูบไหวคล้ายมีชีวิต โดยเฉพาะดวงตาสีแดงจัดจ้านั้น รวิปริยาย้อนกลับไปคิดถึงเหตุการณ์ในวันนี้ ทุกอย่างช่างประจวบเหมาะสอดคล้องต้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ ม่านนาคราช ตำนานโยนกนาคพันธุ์นคร ลานเงินโบราณที่จารไว้ด้วยอักษรปัลลวะ หรือสามสิ่งนี้จะเชื่อมโยงถึงกันจริงๆ

เวลาผ่านไปจนดึกสงัด ลมพัดแผ่วๆ โชยเอากลิ่นดอกไม้หอมหลายชนิดในสวนหน้าบ้านเข้ามาอบอวลในห้อง ดวงจันทร์คล้อยเคลื่อนถึงกึ่งกลางฟ้า รวิปริยาง่วงงุนอย่างบอกไม่ถูก เธอวางงานในมือลง ปิดไฟก้าวขึ้นเตียง ไหว้พระกราบลงบนหมอนจากนั้นล้มตัวลงนอน ในความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น เธอเห็นแสงจันทร์สว่างนวลทอลอดหน้าต่างเข้ามาส่องกระทบกับทับทิมเม็ดโตที่ดวงตานาคราช ก่อเกิดประกายรัศมี 7 แฉก แสงสว่างกระจายครอบคลุมลานเงิน และตำนานนครที่สูญหายนั้น แสงประกายเลื่อมพรายประภัสสรหมุนวนเหมือนเกลียวคลื่น จากช้าๆ แปรเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น ก่อเกิดพลังดึงดูดเร้นลับ ดูดดึงร่างเธอเข้าสู่ใจกลางแห่งเกลียวคลื่นนั้น แล้วจู่ๆ ภาพสถานที่แห่งหนึ่งก็ปรากฏต่อสายตา ท่ามกลางบรรยากาศที่ร้างไร้ เลือนราง บันไดหินทอดยาวเหยียดสูงขึ้นไป ใบไม้แห้งร่วงโรยทับถมเนิ่นนานตามขั้นบันได บ้างผุกร่อนกรอบเกรียมด้วยกาลเวลา สองฟากบันไดหินปกคลุมด้วยต้นไม้สูงลิบลิ่ว ราวบันไดเป็นหินสลักลำตัวนาคราชทอดยาวเหยียดอยู่สองฟาก รวิปริยาไต่ตามขั้นบันไดสู่เบื้องบน ท่ามกลางเงาไม้หนาทึบเธอมองเห็นสิ่งก่อสร้างรูปทรงคล้ายเจดีย์โบราณสูงตระหง่าน หญิงสาวตรงไปยังจุดที่มองเห็นนั้น เธอสังเกตว่ารายละเอียดตรงฐานเจดีย์ทรงเหลี่ยมแกะสลักเป็นรูปหน้ากาลหรือเกียรติมุข ดูดุดัน ถมึงทึง ด้วยศิลปะแบบขอมโบราณ ครั้นเธอตั้งใจจะเข้าใกล้ฐานเจดีย์มากกว่านี้ ทั้งร่างกายและจิตใจพลันถูกดึงกลับสู่ปัจจุบันกาล

รวิปริยาผวาตื่น เหงื่อกาฬไหลท่วมตัวทั้งที่อากาศเย็นสบาย ตัวเลขเรืองแสงของนาฬิกาหัวเตียงบอกเวลาที่ต้องตื่นนอนพอดี ภาพในความฝันยังติดตาตรึงใจอยู่ทุกขณะจิต

ภาระงานที่พิพิธภัณฑ์ของรวิปริยายังคงดำเนินไปตามปกติดังเช่นทุกวัน มีเพียงตัวเธอเท่านั้นที่ไม่ปกติ รวิปริยารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งติดตามเธอตลอดเวลา สิ่งนั้นคือสำเนียงแว่วๆ ที่แผ่วโผยมาก่อนที่จะผวาตื่น

“มโนเนือง คือเมืองใหญ่นั้น ตั้งอยู่แห่งหั้น เลิศล้ำเป็นศรี

ดินน้ำงามนัก พร้อมพรักดีหลี ภักษามากมี ฝูงปลาใหญ่หน้อย

หน่วยไม้หน่วยตอก ดอกดวงอ่อนสร้อย หอมจื้นโจยลมเจ้นล้ำ

คืนนี้ครบรอบจันทร์เต็มดวงอีกครั้ง รวิปริยายังคงหมกมุ่นอยู่กับตำนานโยนกนครและจารึกลานเงินแผ่นนั้น เธอตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องถอดความอักษรปัลลวะที่จารลงลานเงินนั้นให้ได้ คืนก่อนนั้นเธอดูคร่าวๆ พบว่าตัวอักษรบางแห่งเลือนรางแต่ยังพออ่านได้ อักษรปัลลวะนั้นเป็นต้นกำเนิดของวิวัฒนาการทางภาษาล้านนาโบราณซึ่งเธอเคยมีประสบการณ์การทำงานร่วมกับคณะอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับจารึกแผ่นโลหะที่ขุดพบ ณ บ้านวังไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ มาก่อน จึงมั่นใจว่าจะสามารถถอดอักษรลานเงินนี้ได้ครบถ้วนแน่นอน แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะก่อน

“สวัสดีครับ พอดีมีเรื่องอยากรบกวนหน่อยครับ” เสียงอนันตเดชดังขึ้นในสาย

“มีอะไรหรือเปล่าคะอาจารย์”

“วันมะรืนนี้หลานชายของผมจะเดินทางกลับมาจากภูฏาน เห็นบอกว่าอยากไปศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเมืองโบราณที่เชียงแสน เขาอยากได้คนที่พอจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตำนานล้านนาโบราณไปช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับสถานที่เหล่านั้นด้วย ผมเลยนึกถึงคุณ แต่ไม่ต้องห่วง เรื่องงานที่พิพิธภัณฑ์ปูรณะฆตะนะครับ ผมได้ขออนุญาตคุณกอบกิจเรียบร้อยแล้ว”

“ถ้า ผอ. อนุญาต หนูก็ยินดีช่วยอาจารย์เต็มที่ค่ะ”

“ขอบคุณครับ เดี๋ยวยังไงพรุ่งนี้ผมจะนัดหมายเวลาและรายละเอียดอีกที ตอนนี้ไม่รบกวนแล้วนะครับ”

“ค่ะ สวัสดีค่ะ”

หลังการพูดคุยโทรศัพท์ รวิปริยาหันมาสนใจงานตรงหน้าตามเดิม เธออ่านทบทวนตำนานโยนกนาคพันธุ์นครหลายรอบจนจำได้แทบทั้งหมดแล้ว ส่วนลานเงินโบราณก็ถูกหญิงสาวถอดความจากตัวอักษรปัลลวะออกมาได้เกือบครึ่ง เธอแน่ใจว่านี่เป็นจารึกที่ไม่เคยมีใครกล่าวถึงมาก่อน ซึ่งอาจเป็นเพราะถูกเก็บไว้ลึกเร้นเนิ่นนานวันนั่นเอง แผ่นเงินที่ใช้จารเรื่องราวบางเรียบเสมอกัน ถูกม้วนเก็บไว้อย่างดีในกระบอกไม้สลักลวดลายนาคราชเลื้อยพันโดยรอบ

เนื้อความกล่าวถึงการเดินทางของสตรีนางหนึ่ง หลบเร้นหนีภัยสงครามอันโหดร้าย พลัดพรากจากถิ่นฐานบ้านเกิด และบิดามารดาอันเป็นที่รัก รวิปริยาจับใจความได้ว่า เธอผู้นั้นมีศักติแห่งราชธิดาของเจ้าผู้ครองเวียงจันทร์จว้าซึ่งตั้งอยู่ละแวกลุ่มน้ำแม่สายอันไพศาล แต่ถูกรุกรานด้วยอริราชศัตรูจากเวียงฟ้าแล่นที่มีแสนยานุภาพเหนือกว่า อกเมืองแตกร้าว ไพร่ฟ้าจ่อมจมในสายธารเลือดและน้ำตา บ้านเรือนและศาสนสถาน ตลอดจนคุ้มหลวงมอดไหม้เป็นจุณ ประติมากรรมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ถูกเผาปล้นชิงเอาทองคำที่หุ้มองค์ไป พระบิดาและพระมารดาหาญสู้ศึกจนสิ้นพระชนม์ พระธิดานาม ‘นางอั้วมิ่งแก้ว’ พร้อมทั้งพระพี่เลี้ยงสองนางได้รับการช่วยเหลือจากราชองครักษ์สองนายพาหนีสู่แดนไพรป่ากว้าง โดยมีทหารผู้รุกรานติดตามไม่ลดละ ราชองครักษ์และพระพี่เลี้ยงยอมสละชีวิตพิทักษ์พระธิดาอย่างห้าวหาญ

นางอั้วมิ่งแก้วหนีซมซานเกือบสิ้นหนทาง ขณะที่จวนเจียนจะถูกจับตัวกลับมีผู้ยื่นมือช่วยเหลือด้วยคุณธรรม มาณพหนึ่งรูปลักษณ์งามล้ำ เรือนร่างสูงสง่าสมศักดิ์นักรบ ทรงพัสตราภรณ์สีขาวแกมทองงดงาม มุ่นเกล้าเมาลีประดับด้วยรัดเกล้าขนดนาคราชสีทองประดับมณีนพรัตน์ เขามาจากไหนไม่มีใครสังเกตเห็น จู่ๆ ก็ยืนตระหง่านกั้นกลางระหว่างนางกับกลุ่มทหารศัตรูที่ติดตามมาจำนวนนับสิบคนนั้น เพียงเขาเงือดเงื้อพระขรรค์รูปทรงคล้ายสายฟ้าชี้ตรงไป พวกทหารเหล่านั้นก็กระเด็นกระดอน หากพอตั้งหลักได้ก็กลับรวมตัวกันเข้ามาใหม่ ชายหนุ่มกวัดแกว่งพระขรรค์ในมือ ประกายสายฟ้าแล่นแปลบปลาบ สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้คนเหล่านั้น ต่างพากันหนีเตลิดหายลับไปในที่สุด

รวิปริยาถอดอักขระในลานเงินได้มากพอสมควร ชื่อที่ถูกค้นพบใหม่นี้ทิ้งรอยฉงนไว้ในใจเธอ

“ลุ่มน้ำแม่สาย  เวียงจันทร์จว้า เวียงฟ้าแล่น นางอั้วมิ่งแก้ว ยังมีชายหนุ่มผู้ลึกลับนั้นอีก นามเหล่านี้เชื่อมโยงเกี่ยวพันกันอย่างไรนะ” รวิปริยารำพึงกับตนเอง ฉับพลันความง่วงงุนงงก็จู่โจมเธอจนไม่อาจฝืนต่อไปได้ หญิงสาววางลานเงินในมือลง ปิดสวิตช์โคมไฟบนโต๊ะและไฟกลางห้อง เธอแทบจะคลานขึ้นเตียงเพราะความง่วงสุดขีด พอกราบพระเสร็จศีรษะถึงหมอนก็หลับไปอย่างรวดเร็ว แสงจันทร์คืนเพ็ญทอลอดหน้าต่างกระทบดวงตานาคราชที่ผ้าม่าน รัศมีประภัสสรกระจายครอบคลุมตำนานโบราณและลานเงินแผ่เผื่อถึงร่างของรวิปริยาบนเตียง

“ธิดาดวงดอกไม้           ใบบาน

เป็นลูกญิงเดียวปาน                เนตรเนื้อ

ทรงศักดิ์ยอดสะคราญ             งามยิ่ง ญิงเฮย

สุดทีปดินใต้ฟ้า                     เลิศล้ำดวงถวิล

มิ่งแก้วนามนาฏน้อง      ดวงสุดา

เป็นปิ่นมณีโลกา                    แว่นแคว้น

โฉมนวลถูกถ้วนตา                  แค้วกล่อม งามเฮย

คิ้วโก่งกลมอันถ้อย                  เพศเพี้ยงธนูอินทร์”

สำเนียงแผ่วขับขานหวานแว่วสู่ภวังค์ในยามหลับใหล ท่ามกลางสวนดอกไม้งดงาม หญิงสาวนางหนึ่งผมยาวขมวดมุ่นเกล้ากลางกระหม่อมเกี่ยวกระหวัดไว้ด้วยช่อดอกไม้สีเหลืองส่งกลิ่นกรุ่นกำจาย ดวงหน้างดงามหวานล้ำ นางสวมเสื้อแขนยาวสีเหลืองทองผ่าป้ายติดดุมทอง ผ้าถุงสีดำลวดลายแปลกตายาวกรอมเท้า มีผ้ายาวสีขาวพาดทิ้งชายที่บ่าสองข้าง ชายผ้าติดดิ้นทองประดับอัญมณีงดงาม ใกล้ๆ มีหญิงสาวอีก 2 นางบรรจงเด็ดดอกไม้ลงในตะกร้าที่ถือไว้ในมือ ชายถือดาบอีก 2 คนยืนห่างๆ ฉับพลันเสียงเอะอะดังขึ้นพร้อมเปลวไฟที่แลบเลียขึ้นสู่ท้องฟ้า ประกายอาวุธแวบวับ เสียงร้องโหยหวนดังใกล้เข้ามา ชายทั้ง 2 คนถลันเข้ากระหนาบซ้ายขวาของสตรีทั้งหมดพร้อมกล่าวขึ้นอย่างเร่งร้อน

“หนีก่อนเถอะบาทเจ้า กองทัพเวียงฟ้าแล่นตีเมืองเฮาแตกแล้วบาทเจ้า ข้าบาทจักพาพระธิดากับพระพี่เลี้ยงเร้นสู่ป่าใหญ่ไพรกว้างบัดนี้”

ภาพตัดสู่พงไพรหนาทึบกับ 6 ชีวิตที่หนีกระเซอะกระเซิง อริราชศัตรูกลุ่มหนึ่งไล่ตามมาติดๆ เห็นจวนตัวนักชายทั้งสองก็ถืออาวุธเข้าฟาดฟันปะทะไว้ เปิดทางให้พระพี่เลี้ยงพาพระธิดาแล่นหนีต่อไป น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ไม่นานนักกลุ่มที่ไล่ล่าก็ติดตามมาทัน สองพระพี่เลี้ยงชักดาบจากฝักเข้าปะทะศัตรูอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมตะโกนให้พระธิดารีบหนีไป นางผู้เลิศลักษณ์เผ่นโผนกระโจนหนีเข้าไปในป่าลึก แต่ในที่สุดก็ถูกตามทัน

“นางอั้วมิ่งแก้วอย่าหนีต่อไปเลย ติดตามพวกข้าคืนสู่หอคำเวียงฟ้าแล่น เป็นบาทบริจาริกาเหนือหัวแห่งข้าเถิด”

ใบหน้างามซีดเผือด มิ่งแก้วถอยหลังหนีทั้งที่รู้ว่าหมดทางไป ทันทีที่หลังปะทะกับต้นไม้ใหญ่นางก็รู้ว่าหมดสิ้นหนทางหนีแล้วจริงๆ ชายนับสิบย่างสามขุมเข้าใส่อย่างย่ามใจ

“จงหยุดอยู่เพียงนั้นเถิด เจ้าพวกทหารเลวทั้งหลาย” ชายร่างหนึ่งเผ่นโผนเข้าขวางกั้นเบื้องหน้ามิ่งแก้ว ชายผู้ทรงพัสตราภรณ์ขาวแกมทอง ดวงหน้าและรูปลักษณ์งามล้ำ มุ่นเกล้าประดับเกี้ยวขนดนาคราชสีทอง ทหารกลุ่มนั้นยังคงถลันเข้ามา ชายหนุ่มยกพระขรรค์รูปสายฟ้าชี้ตรงไป คนเหล่านั้นพลันกระเด็นกระดอนล้มกลิ้งแต่ก็รวมตัวกันพุ่งเข้ามาใหม่ ชายหนุ่มกวัดแกว่งพระขรรค์ในมือก่อเกิดประกายสายฟ้าแลบแปลบปลาบสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงจนเหล่าศัตรูวิ่งเตลิดหายลับไป

“ข้าน้อยขอบคุณท่านที่มีน้ำใจช่วยเหลือผู้พลัดบ้านเมืองมา” มิ่งแก้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“หาเป็นไรไม่ ได้ยินพวกเหล่านั้นเรียกท่านว่านางอั้วมิ่งแก้ว เช่นนั้นท่านเป็นพระธิดาเมืองใดฤๅ”

“ข้าน้อยเป็นธิดาเจ้าเหนือหัวเวียงจันทร์จว้า บัดนี้สูญสิ้นแล้วซึ่งพระบิดาพระมารดารวมทั้งไพร่ฟ้าข้าเมือง” มิ่งแก้วเอื้อนเอ่ยพร้อมหยาดน้ำตาไหลรินอาบแก้วนวล

“เช่นนั้นจงหักห้ามใจเสียเถิดนะมิ่งแก้ว ท่านผู้เฒ่าทั้งสองย่อมกลับคืนสู่แดนฟ้าเมืองแมนแล้ว ยังแต่ธิดาน้อยนางนี้ ข้าคืออุรเคนทรา โอรสองค์นาคาธิบดีแห่งเมืองพันธุมวตี อาณาจักรนาคาลุ่มน้ำกุกกนที ณ ละแวกใกล้เคียงมีเมืองงามใหญ่กว้างชื่อว่าโยนกนครราชธานีไชยบุรีศรีช้างแส่น มีเจ้าผู้ครองสืบทอดกันมาหลายชั่วคน บัดนี้เป็นแผ่นดินแห่งองค์มหาไชยชนะ ท่านสามารถพักพิงอาศัยยังเมืองนั้นได้ เราจักพาท่านไป”

“ข้าน้อยไม่มีที่ไปแล้ว ตามแต่น้ำใจท่านจักพาไปเถิด”

ภาพตัดสู่มหาเจดีย์แห่งหนึ่ง ใกล้ๆ นั้นมีเพิงผาโถงถ้ำธรรมชาติ ภายในกว้างขวางงดงาม หินงอกหินย้อยวับวาวดุจม่านมุ้ง แท่นหินแก้วใสงาม ลึกเข้าไปด้านในมีแอ่งน้ำลึกกว้างรองรับน้ำใสเย็นที่ไหลรินจากเพดานถ้ำ

“ท่านผู้มีพระคุณโปรดให้ข้าน้อยพำนักยังสถานที่นี้เถิด ข้าน้อยพอใจความวิเวก ข้าน้อยปรารถนาจะปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิอุทิศส่วนกุศลให้พระบิดาพระมารดาและไพร่ฟ้าที่สูญสิ้นชีวิตทั้งหลายเหล่านั้น”

“เช่นนั้นดียิ่ง เราเองก็ปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิอยู่เนืองนิตย์ เราสองจงเป็นสหธรรมิกกันเถิด เราจักดูแลท่านทั้งด้านสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นในการดำรงกาย ตลอดทั้งแนะหนทางแห่งความสงบร่มเย็นเพื่อเตรียมจิตให้พร้อมสำหรับการปฏิบัติเจริญสมาธิอันจักเป็นอริยทรัพย์ติดตัวข้ามภพชาติต่อไป อนึ่ง เราเคยได้ฟังข้อธรรมะจากสมณะท่านหนึ่ง เราจักบำเพ็ญภาวนาเพื่อสร้างอานิสงส์สูงสุดให้ได้แสวงภพชาติมนุษย์เพื่ออุทิศตนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์เป็นศากยบุตร เพื่อจักได้บำรุงรักษาพระบวรพุทธศาสนาต่อไปในชาติภพใหม่”

“ข้าน้อยใคร่อยากฟังธรรมะอันประเสริฐจากสมณะท่านนั้นบ้าง เพื่อยังประโยชน์ในการปฏิบัติของข้าน้อยสืบไป”

“สมณะท่านนั้นกล่าวว่า ศีลนั้นสำคัญนักสำหรับผู้ปฏิบัติ เพราะศีลย่อมชำระปัญญาให้บริสุทธิ์ และปัญญาก็ชำระศีลให้บริสุทธิ์เช่นกัน ศีลอยู่ที่ใดปัญญาอยู่ที่นั้น ปัญญาอยู่ที่ใดศีลย่อมอยู่ที่นั้น ผู้มีศีลย่อมมีปัญญา ผู้มีปัญญาย่อมมีศีล บัณฑิตทั้งหลายย่อมกล่าวถึงศีลและปัญญาว่าเป็นเบื้องต้นของการปฏิบัติสำหรับผู้ปรารถนาสู่การหลุดพ้น”

“สาธุ ข้าน้อยขอน้อมรับเอาธรรมะมาปฏิบัติด้วยเศียรเกล้า”

หนุ่มสาวผู้ปรารถนาในธรรมอันสงบต่างมุ่งมั่นเจริญศีลภาวนา กำหนดจิตเพื่อการหลุดพ้นวัฏสงสาร อุรเคนทราดูแลมิ่งแก้วด้วยจิตอันบริสุทธิ์ มีความปรารถนาดีเป็นเบื้องต้น มีความปรารถนาการหลุดพ้นเป็นเบื้องปลาย ราชองครักษ์อันตราติดตามดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับทั้งคู่อย่างจงรักภักดี จากสหธรรมิกที่มีความศรัทธาเชื่อมั่นในสิ่งเดียวกันคือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ตลอดจนความสงสารในชะตากรรมของมิ่งแก้ว ความรู้สึกของอุรเคนทราต่อมิ่งแก้วแปรเปลี่ยนเป็นความรักในที่สุด เป็นความรักที่บริสุทธิ์งดงามยิ่ง เพราะมีแต่ความปรารถนาดีที่มอบให้ ความรักที่มีคุณค่าในตัวมันเองเพราะรักนั้นหาได้หวังครอบครอง รักนั้นมีแต่ให้ สิ่งที่มอบให้หาใช่โภคทรัพย์ศฤงคารหรือยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ แต่คืออริยทรัพย์อันสุขสมบูรณ์ซึ่งผู้เป็นที่รักดุจดวงชีวิตจักสามารถนำพาติดตัวไปได้แม้ในภพหน้า

แสงจันทร์ 14 ค่ำ นวลสกาวส่องสว่างไปทั่วเขตคาม อุรเคนทราแหงนเงยพักตร์งามสู่เวิ้งฟ้าอันไกลโพ้น

“มิ่งแก้วนางอันเป็นที่รักแห่งเรา พรุ่งนี้เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 เราสองจักได้ร่วมกันรักษาอุโบสถศีล สั่งสมอานิสงส์ผลบุญไว้ ท่านจงตั้งจิตอันเป็นกุศล มุ่งมั่นบำเพ็ญภาวนารักษาศีลอย่าได้มัวหมอง ไม่ว่าจะเกิดเหตุร้ายปานใดในวันข้างหน้า จงอย่าได้หวั่นไหวละทิ้งทางธรรม เพราะอานิสงส์ที่ได้เป็นสหธรรมิกจักทำให้เราได้พบกันในชาติภพใหม่จนกว่าจะบรรลุถึงซึ่งการหลุดพ้น”

“อันตราราชองครักษ์จงฟังเรา นับจากวันพรุ่งนี้ไปอีก 7 วัน ไม่ว่าจะมีสิ่งใดร้ายแรงเกิดขึ้นกับเรา เจ้าจงดูอยู่เพียงห่างๆ เราได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้มั่น มิว่าเลือดเนื้อชีวิตและร่างกาย หากแม้นมีผู้ใดปรารถนาจักดื่มกิน เราจักอุทิศให้ด้วยจิตอันเป็นกุศลเพื่อมุ่งสู่ความเป็นมนุษย์ในภพภูมิใหม่ต่อไป เจ้าจงนำสิ่งสุดท้ายที่เราทิ้งไว้คืนสู่มิ่งแก้ว บอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมดแก่นาง นางจักรู้ได้ด้วยปัญญาว่าควรทำเช่นไรต่อไป เจ้าจงดูแลพิทักษ์นางเช่นดังที่เรายังอยู่”

“บาทเจ้า” ราชองครักษ์ให้คำมั่นด้วยหัวใจที่กำสรดเศร้า

ณ ฝั่งน้ำกุกกนทีในเดือน 7 แรม 7 ค่ำ ปลาไหลสีขาวสะอาดตัวใหญ่ยาวราวลำตาล ประมาณความยาวได้ 7 วา ทอดร่างสงบนิ่งอยู่ริมฝั่งน้ำ ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งต่างพากันมากลุ้มรุมทุบตีจนบาดเจ็บบอบช้ำ ก่อนสิ้นใจปลาไหลเผือกได้กระอักโลหิตสีแดงออกมาหยดหนึ่ง โลหิตนั้นตกกระทบแผ่นน้ำแล้วดิ่งจมลงไปเบื้องล่าง ราชองครักษ์อันตราในร่างนาคาอ้าปากคาบโลหิตหยดนั้นไว้ด้วยน้ำตานองหน้าแล้วรีบดำดิ่งแหวกว่ายมุ่งไปพบมิ่งแก้วตามคำสั่ง เมื่อเขาคายหยดโลหิตสู่อุ้งมือ โลหิตนั้นกลับกลายเป็นทับทิมเม็ดโตสีแดงเจิดจ้าวางอยู่แทน เขาบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับอุรเคนทราแก่นาง มิ่งแก้วประคองทับทิมโลหิตแนบอุระ ดวงตาร้าวรานหม่นหมอง

“รือว่าบุพเพ        ปางหลังภาวะ    รอยว่าข้าทำมา

ได้เอาลูกนก       พรากจากมาต๋า   หื้อเจียนจากคา   รังนอนบ่อนเหล้น

กาละบัดนี้         เวรตวยขีดเส้น    พรากเอาจายลาจากลับ”

วันนั้นด้วยโองการแห่งองค์มหาไชยชนะ ชาวเมืองโยนกนาคพันธุ์นครต่างได้รับแบ่งปันเนื้อปลาไหลเผือกเป็นอาหารทุกครัวเรือน ยกเว้นบ้านแม่ม่ายเพียงหลังเดียวที่ไม่ได้รับแจก อันตราคืนสู่พันธุมวตีเพื่อแจ้งข่าวร้ายแด่องค์นาคาธิบดี เกล็ดนาคราชแห่งองค์นาคาธิบดีเปล่งประกายเจิดจ้า เศียรทั้งเก้าชูผงาดแผดสุรเสียงกึกก้องสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยพิโรธคั่งแค้นแสนสาหัส

“เจ้ามนุษย์ผู้อหังการ พวกมันช่างอำมหิตนัก เนรคุณต่อเราผู้ปกปักรักษาคุ้มเกล้าคุ้มแผ่นดินมันทุกวันคืน บังอาจพรากเอาดวงชีวิตราชบุตรสุดรักแห่งเราไป ข้าจักให้พวกมันชดใช้อย่างสาสม”

คืนนั้นจึงเป็นคืนสุดท้ายของโยนกนาคพันธุ์นคร แผ่นดินลั่นสั่นไหวครบ 7 ครั้ง เมืองทั้งเมืองถล่มจมลงเป็นหนองน้ำใหญ่ คงเหลือดอนที่ตั้งแห่งเรือนแม่ม่ายผู้ไม่ได้แตะต้องเนื้อปลาไหลเผือกเพียงหลังเดียวเท่านั้น

“เสียดายโยนกนาค      นัครา

นิเวศน์หอคำปรา-         สาทจ้าว

เป็นเฉลิมแก่อาณา        หมองหม่น บารนี

อินทร์ธิราชควรร้อนร้าว    อกไหม้จ่อมจม”

เสียงหนึ่งละห้อยหวนแว่วมาสู่กลางจิต ผ้าผืนหนึ่งถักทอด้วยมือมิ่งแก้ว เส้นไหมสีทองร้อยรวมหัวใจรักแห่งนางปักเป็นนาคราชชูเศียรผงาด ดวงตาฝังทับทิมสีแดงเจิดจ้าเม็ดนั้น ทับทิมโลหิตหยดสุดท้ายแห่งชายอันเป็นที่รัก

รวิปริยาสะดุ้งตื่น เสียงไก่ข้างบ้านขันรับกันเป็นทอดๆ เธอรีบลุกขึ้นเตรียมตัวไปทำงาน ดวงหน้าของบุคคลในฝันยังติดตา มิ่งแก้ว อุรเคนทรา อันตรา คำถามวนเวียนในสมอง มิ่งแก้วผู้มีดวงหน้าละม้ายเธอย่างยิ่ง อันตราประพิมพ์ประพายอาจารย์อนันตเดช แล้วอุรเคนทราเล่าจะคล้ายใคร

อนันตเดชนัดหมายว่าพรุ่งนี้เช้า 7 โมงตรง เขากับหลานชายจะมารับเธอที่บ้าน ตอนเย็นเธอจึงเตรียมของใช้จำเป็นไว้พร้อมสำหรับการเดินทาง โดยเฉพาะบันทึกที่เธอเพิ่งถอดความอักษรปัลลวะจากลานเงินได้ครบถ้วน ผ้าม่านนาคราชบรรจุในกล่องเตรียมคืนให้อนันตเดช ทุกอย่างจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ

7 โมงตรง เสียงรถแล่นมาจอดหน้าประตูบ้าน รวิปริยามองผ่านกล้องวงจรปิดเห็นเป็นรถของอนันตเดช เธอกดรีโมตเปิดประตูให้ จากนั้นจึงเดินไปเปิดประตูบ้านรออยู่ อนันตเดชและชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินตรงมา เมื่อทั้ง 2 คนก้าวพ้นมุมบันไดบ้าน หญิงสาวจึงยกมือไหว้ทักทาย ทันทีที่เงยหน้าขึ้นเธอรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เพราะชายผู้นั้นช่างละม้ายอุรเคนทราราวกับคนเดียวกัน ดวงตา 2 คู่สบประสานกันพอดี ในแววตาชายหนุ่มมีร่องรอยรำลึก จดจำ

“ผมศิวะเศขร ยินดีที่ได้พบคุณรวิปริยาครับ นับจากนี้ไปหวังว่าเราคงจะได้มีโอกาสพบกันบ่อยๆ เพราะผมคงจะมาทำงานที่พิพิธภัณฑ์ปูรณะฆตะเสียที หลังจากปล่อยเป็นภาระของคุณอากอบกิจคนเดียวมานานหลายปีระหว่างที่ผมไปภูฏาน เราแวะส่งคุณลุงเดชที่เก็ดถวาแล้วเราไปทำบุญที่วัดด้วยกันก่อนนะครับ ผมเตรียมของทำบุญสำหรับเราสองคนมาพร้อมแล้ว”

รวิปริยารู้สึกคล้ายกับคนสองคนที่พลัดพรากจากกันไปแสนนานได้หวนคืนมาพบกันอีกครั้ง ในขณะที่ความเป็นสหธรรมิกผู้ปรารถนาดีต่อกันยังคงดำรงอยู่ในจิตไม่เสื่อมคลาย ศิวะเศขรคือผู้ที่พร้อมจะมอบอริยทรัพย์อันอุดมให้เธอนำติดตัวไปแม้ในภพหน้

 

– อสงไขย –

 

Don`t copy text!