ตอนที่ 12
โดย : สำสา
เรื่องหลังโรงพยาบาล เรื่องสั้นโดย สำสา คุณหมอผู้ชื่นชอบการสื่อสารเเละถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตเเละธรรมชาติออกมาเป็นงานศิลปะ และครั้งแรกของเขากับงานเขียนในรูปแบบเรื่องสั้นที่อ่านเอานำมาให้ได้อ่านกัน เรื่องราวของ ‘หมอบุญเสก’ เพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับและการตายที่อาจมีเงื่อนงำ
ผมมีเบอร์โทรศัพท์ที่ต้องโทร.อยู่สองเบอร์
ผมหมุนโทรศัพท์ไปตามหมายเลขที่ได้รับในบันทึกของพี่พยาบาลที่โรงพยาบาลชุมชนคนนั้น เบอร์โทรศัพท์เบอร์แรกที่ ผมเลือกมันเป็นเบอร์โทรศัพท์ของจังหวัดชุมพร …ปลายสายไม่มีผู้รับ…
ผมลองหมุนดูใหม่อีกสองสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ดูหมายเลขผิด และผลก็เช่นเดิมคือปลายสายไม่มีผู้รับ
ผมอ่านชื่อไม่ออกในทีแรก แต่ตอนนี้ผมพอเดาได้ว่าเจ้าของหมายเลขดังกล่าวน่าจะชื่อ หมอเอก
แต่ถ้าหมอเอกอะไรเนี่ยไม่รับสายผมหรือเบอร์โทรศัพท์นี้ไม่ถูกต้อง ผมคงต้องเริ่มต้นจากหมอเอกซึ่งทำงานอยู่ในโรงพยาบาลอะไรสักแห่งในจังหวัดชุมพร
แล้วชื่อนี้มันเป็นชื่อเล่นหรือชื่อจริงล่ะ…
ในมือผมตอนนี้ เป็นสมุดหน้าเหลืองเยลโล่เพจเจส สมุดคู่มือหมายเลขโทรศัพท์ทั่วประเทศไทย ผมลองไล่ดูในหมวดโรงพยาบาลคลินิก สถานบริการสาธารณสุข สถานที่ราชการ ก็ไม่พบหมายเลขที่ตรงหรือในอยู่ในหมวดที่ใกล้เคียงกันเลย
สุดท้ายผมใช้วิธีไล่ดูหมายเลขโทรศัพท์หกหลักว่ามีอันไหนตรงกับหมายเลขที่ผมมีอยู่ในมือบ้าง
ในใจก็คิดว่าหากใช้วิธีนี้แล้วยังหาหมายเลขไม่เจอก็อาจจะเป็นหมายเลขที่จดมาผิด หรือเป็นหมายเลขที่ยกเลิกการใช้งานไปแล้ว ผมเตรียมหาทางออกว่าพรุ่งนี้ผมจะลองสอบถามเพื่อนหรือรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ที่ชุมพร
“เฮ้ย เจอเเล้ว”
มันเป็นเบอร์ร้านขายยาร้านขายยาที่มีชื่อจีนสามพยางค์ ผมจดเอาไว้ มันมีรายละเอียดที่อยู่กำกับอยู่ด้วย
แต่ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าผมจะจัดการยังไงกับไอ้ชื่อร้านขายยาในจังหวัดชุมพรชื่อนี้
แวว่บหนึ่งผมก็อยากจะโทร.ไปหาพี่พยาบาลคนนั้นที่โรงพยาบาลชุมชน ปัญหามันมีอยู่ว่าผมไม่รู้จักชื่อเธอ และเธอก็ไม่อยากบอกชื่อผม แล้วผมก็มั่นใจว่าผมคงกลายเป็นคนแปลกหน้าถ้าหากติดต่อเธอไป
เช้าวันจันทร์วันนี้เป็นวันที่แสนน่ารักของผม อาจารย์ที่ปรึกษาผมกลับไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อต้อนรับคณะวิจัยฝรั่งอีกสองสามวัน หน้าที่ของผมที่เป็นเเค่หมอตัวเล็กๆ ผู้ร่วมคณะวิจัย มีเพียงเเค่คอยออกเยี่ยมชาวบ้านตั้งคำถามจดบันทึกและรวบรวมข้อมูล หากคณะวิจัยหลักไม่อยู่ผมก็ออกไปทำงานไม่ได้ พร้อมๆ กับผมที่รออยู่ที่นี่ยังมีนักศึกษาฝึกงานด้านวิจัยอีกสองคน ผมภาวนาให้อาจารย์โทร.มาบอกว่าอาจจะกลับมาช้ากว่ากำหนดเพื่อผมอาจจะมีเวลาพอที่จะเดินทางไปหาเพื่อนที่ชุมพร และนั่นหมายถึงผมมีโอกาสที่จะตามหาหมอเอกด้วย
“กูไม่แน่ใจ กูก็รู้จักคนเยอะ แต่ไอ้หมอที่ชื่อจริงชื่อหมอเอกเนี่ยมันไม่มีแน่ แต่ส่วนชื่อเล่นเนี่ยกูก็คงต้องไปไล่ถามเขาว่าใครชื่อเล่นชื่อเอกบ้าง มึงว่ามันจะสมควรไหม”
เพื่อนเเพทย์ของผมที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลอำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดชุมพรตอบกลับมาทางสายโทรศัพท์
“เดี๋ยวกูจะลองถามรุ่นพี่ผอออ.กูดูแล้วกันนะ เพราะแกอยู่ที่นี่มาสิบ 10 กว่าปีแล้ว คงจะรู้จักใครต่อใครเยอะ”
“แล้วมึง อย่าลืมไปถามหาไอ้ร้านยาจีนที่ว่าที่กูบอกแอดเดรสให้มึงล่ะ” ผมทิ้งท้ายก่อนวางสาย
แล้ววันจันทร์วันนี้ของผมก็เป็นวันจันทร์แสนน่ารักจริงๆ อาจารย์โทร.มาบอกว่าอาจจะกลับมาวันศุกร์ ผมตัดสินใจขึ้นรถทัวร์ไปชุมพร
ถึงแม้รถทัวร์จะติดแอร์ ผมก็ยังรู้สึกอบอ้าว บรรยากาศจึงทำให้ผมหลับไปโดยไม่รู้ตัว รู้สึกสะดุ้งตื่นเมื่อตอนที่หัวผมกระแทกเข้ากับกระจกหน้าต่างรถทัวร์ ผมลืมตาขึ้นมองนาฬิกา พบว่าเราเพิ่งออกเดินทางมาได้เพียง 2 ชั่วโมง รถทัวร์กำลังไต่ขึ้นเขา และเข้าโค้งซ้ายทีขวาทีอย่างน่าหวาดเสียว จังหวะหนึ่งผู้โดยสารต่างร้องกรี๊ดขึ้นมาพร้อมกันเมื่อคนขับพยายามแซงรถบรรทุกคันหน้าแต่แซงไม่พ้นเนื่องจากมีรถเก๋งคันหนึ่งสวนมาพร้อมกับบีบแตรยาว
คงเพราะผมตื่นขึ้นมาแล้วมีสีหน้าตกใจ พี่ผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างขวามือผมก็พูดขึ้นมาว่า
“เขาพับผ้าก็หวาดเสียวแบบนี้แหละ น้องบ่าว”
ผมยิ้มตอบขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าตอนนี้ เราเพิ่งเดินทางมาถึงจังหวัดพัทลุง มันทำให้ผมนึกถึงเบอร์โทรศัพท์ของร้อยตำรวจตรีคนนั้นในบันทึกของพี่พยาบาลซึ่งก็เป็นเบอร์โทรศัพท์ในจังหวัดพัทลุงเหมือนกัน อาจด้วยความเชื่อในความรู้สึกสังหรณ์แรก และอาจบวกกับความมีอคติต่อตำรวจเล็กน้อย ทำให้ผมเลือกที่จะยังไม่โทร.ไปที่หมายเลขโทรศัพท์นั้น
เป็นเวลาหลังสองทุ่ม รถทัวร์ชะลอความเร็ว คนขับให้สัญญาณเลี้ยวซ้าย รถเลี้ยวเข้าไปในปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่มีไฟนีออนสีขาวติดอยู่หลายหลายดวง ผมมองไปอย่างงงๆ
“รถทัวร์จอดให้กินข้าวต้มไงน้องบ่าว”
ผมหันไปมองตามเสียงของพี่ชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกครั้ง ครั้งนี้ผมมองหน้าแก และเพิ่งจะสังเกตว่าเป็นชายอายุประมาณสี่สิบ หน้าตาก็ออกเป็นคนเชื้อสายจีนเหมือนกันกับผม
“พี่ไปกรุงเทพเหรอครับ”
ผมถามเพราะรถทัวร์คันนี้มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
“อ๋อเปล่า โกลงชุมพรน้อง” เเกแทนตัวเองว่าโกเมื่อรู้สึกคุ้นเคยกันมากขึ้น
เราลุกขึ้นและเดินลงไปจากรถทัวร์พร้อมๆ พร้อมกัน
เราเลือกนั่งติดกันบนโต๊ะอาหารทรงกลมที่มีเก้าอี้วางเรียงกันอยู่เจ็ดแปดตัว บนโต๊ะมีหม้อข้าวต้มและภาชนะสำหรับใส่ข้าวต้มรวมทั้งจานช้อนตะเกียบแก้วน้ำพร้อมแล้ว ขาดแต่ว่าเมื่อไหร่มีสมาชิกนั่งครบจำนวนพนักงานของร้านก็จะเอากับข้าวและข้าวต้มมาเสิร์ฟ
“แล้วน้องจะไปไหน”
“ผมก็จะไปชุมพรครับพี่”
“อ้าว ไปทำอะไรล่ะ”
ผมตัดสินใจนำกระดาษโน้ตที่จดชื่อร้านขายยาที่มีชื่อเป็นภาษาจีนให้พี่เค้าดู ซึ่งทำให้ผมรู้ว่าผมตัดสินใจได้ถูกต้องเมื่อพี่เค้าบอกว่าเขารู้จักร้านนี้ดี
“พี่ไม่แน่ใจว่าเค้ายังเปิดอยู่หรือเปล่านะ ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ของเมืองชุมพร ยาจีนต้องไปเอาที่นี่”
“แต่กว่าร้านเค้าจะเปิดก็คงจะสายๆ เราไปถึงชุมพรน่าจะซักตีห้า”
รถทัวร์ผ่านหน้าบ้านของพี่ชายใจดีซึ่งเป็นร้านขายวัสดุก่อสร้างสองคูหา พอเช้าแล้วแกชวนผมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ไปกินกาแฟที่ร้านน้ำชาหัวมุมใกล้กับตลาดสด ผมตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่ทำให้ผมต้องมานั่งกินน้ำชาอยู่ที่ตัวเมืองชุมพรในเช้าวันนี้ พี่ชายใจดีมีท่าทีสนใจเรื่องราวที่ผมเล่าเป็นอย่างมาก แกวางแผนกับผมว่าเดี๋ยวแกจะเข้าไปคุยในร้านขายยาก่อนเพราะแกก็คุ้นเคยกับเจ้าของอยู่พอสมควร ซึ่งมันคงจะดีกว่าที่จะให้ผมซึ่งเป็นคนแปลกหน้าเข้าไปคุยกับเจ้าของบ้าน
จากร้านน้ำชาเราเดินไปอีกแค่สองล้อกเราก็เจอกับร้านยาจีนซึ่งเปิดประตูบานเฟี้ยมแง้มเอาไว้นิดเดียว พี่ชายใจดีตะโกนเรียกเจ้าของร้านสักพัก เเล้วก็คุยอะไรกันสองสามคำแล้วจากนั้นก็เดินหายเข้าไปในบ้าน…
ผ่านไปเกือบ 10 นาทีไม่มีทีท่าว่าแกจะออกมาเรียกผมให้เข้าไปคุยด้วยหรืออย่างไร
ในขณะที่ผมเริ่มรู้สึกกระวนกระวายอยู่นั้น พี่ชายใจดีก็เดินออกมาคนเดียวจากช่องประตูบานนั้น ด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มพร้อมกับชูกระดาษโน้ตสีขาวเล็กๆ อีกใบนึงให้ผมดู
“โกได้แล้วไอ้น้อง เบอร์หมอเอกชัย แกย้ายไปอยู่จังหวัดน่านแล้ว” เสียงเเกดูน่าจะดีใจยิ่งกว่าผมเสียอีก