ตอนที่ 6
โดย : สำสา
เรื่องหลังโรงพยาบาล เรื่องสั้นโดย สำสา คุณหมอผู้ชื่นชอบการสื่อสารเเละถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตเเละธรรมชาติออกมาเป็นงานศิลปะ และครั้งแรกของเขากับงานเขียนในรูปแบบเรื่องสั้นที่อ่านเอานำมาให้ได้อ่านกัน เรื่องราวของ ‘หมอบุญเสก’ เพื่อนที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับและการตายที่อาจมีเงื่อนงำ
บ้านพักแพทย์อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาล หมอหนุ่มรีบวิ่งนำผู้ช่วยพยาบาลไปยังห้องคลอดซึ่งอยู่ด้านในตัวอาคารชั้นเดียวของโรงพยาบาล โดยไม่ต้องรอล้างมือหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า บุญเสกรุดเข้าไปถึงห้องคลอดซึ่งมีพยาบาลและผู้ช่วยอีกคนยืนหน้าตื่นรออยู่ เบื้องหน้าคือคนไข้ที่อยู่บนเตียงในท่านอนขึ้นขาหยั่งแต่เสียงเงียบไปแล้วไม่มีเสียงร้องครวญครางหรือแสดงอาการเจ็บปวดแม้แต่นิด
“นานแค่ไหนแล้วเนี่ย”
“หัวติดอยู่สิบกว่านาที ตัดฝีเย็บแล้ว กดก็แล้ว แคทออกแล้ว แม่เบ่งจนหมดแรงแล้วมั้งคะหมอ” พยาบาลอาวุโสรายงาน
หมอหนุ่มสั่งให้พยาบาลช่วยเปิดเส้นให้น้ำเกลือเพิ่ม ตรวจวัดความดันชีพจรอีกครั้งแล้วพบว่าคนไข้น่าจะอยู่ในภาวะเกือบจะช็อก หมอรีบสวมถุงมือแล้วสอดมือเข้าไปภายในช่องคลอดของคนไข้เพื่อคลำหาหัวไหล่เด็กด้านที่ติด ใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาทีก็ดึงทารกตัวใหญ่เกือบสี่กิโลหลุดออกมาจากปากช่องคลอด เสียงในห้องเงียบสนิท ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหอบหรือหายใจของใครสักคน เหมือนรอที่จะได้ยินเสียงทารกน้อยร้องออกมาให้ได้ยิน
“อย่าเพิ่งตัดสายสะดือ” หมอสั่ง
เลือดสีแดงจากช่องคลอดคนไข้ที่ไหลลงบนบนผ้าซับสีเขียวเข้มจนดูเหมือนเป็นคราบสีดำเริ่มหยุด ความดันและชีพจรของแม่เด็กเริ่มดีขึ้น สวนทางกับเสียงหายใจและการเต้นของหัวใจของทารกน้อยที่ยังคงเงียบสนิท
หมอหนุ่มตัดสินใจกดหัวใจ ซีพีอาร์ใช้หน้ากากครอบจมูกเพื่อให้ออกซิเจนเข้มข้น หน้าอกของทารกน้อยยังคงนิ่งสนิท ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีเสียงหัวใจให้ได้ยิน มองดูเขียวคล้ำยิ่งกว่าเดิม หมอตัดสินใจสอดท่อหายใจซึ่งนั่นคือสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน รู้ว่ามันยากและยากยิ่งขึ้นในเด็กที่มีน้ำหนักเกือบสี่กิโลซึ่งปากลิ้นคับไปหมด แต่เขารู้ว่าต้องเสี่ยงเพราะเดิมพันมันคือชีวิตอีกชีวิตหนึ่ง
เวลาผ่านไปเกือบ 10 นาที เขายังไม่สามารถใส่ท่อหายใจให้ทารกน้อยได้ ทุกครั้งที่รู้สึกว่าทำสำเร็จมันก็เป็นการสอดท่อเข้าไปในหลอดอาหาร เมื่อยิ่งเป่าออกซิเจนเข้าไปยิ่งทำให้เด็กมีอาการท้องอืดโตมากขึ้น หมอหนุ่มเหงื่อแตกไปทั่วตัว เกิดอาการมือสั่นตัวสั่น เขาไม่เคยรู้สึกลนลานอะไรแบบนี้มาก่อน
“พอเถอะหมอ เด็กตายไปนานแล้ว”
วินาทีสุดท้ายที่สิ้นสุดคำพูดนั้น เขาหมดความอดทนและรู้สึกโกรธตัวเองอย่างรุนแรง เขาขว้างทุกอย่างในมือลงบนพื้น กำหมัดคำรามอยู่ในคอโดยพยายามเก็บกลั้นเสียงไม่ให้ดังออกมา เสียงตะโกนที่จุกอยู่ในหัวใจว่า ‘ทำไม ทำไมช่วยเด็กเอาไว้ไม่ได้’
“หมอ หมอใจเย็นๆ ยังไงแม่เด็กก็รอดนะ”
หมอหนุ่มหันไปมองตามเสียงพยาบาลอาวุโสที่พูดปลอบใจ
“แม่เด็กอายุเยอะ เป็นเบาหวาน แถมเคยมาฝากครรภ์กับเราแค่หนเดียวแล้วไม่มาอีกเลย”
เย็บแผลเสร็จรอดูจนแน่ใจว่าไม่มีเลือดซึมออกมาจากฝีเย็บตรงช่องคลอด หมอหนุ่มตรวจสอบเสียงปอดและหัวใจของแม่เด็กอีกครั้งนึง สัญญาณชีพต่างๆ กลับคืนมาแต่แม่เด็กก็ยังหลับด้วยความอ่อนแรง ภาวนาว่าอย่าให้แม่เด็กตื่นขึ้นมาตอนนี้เลย เขายังไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าและคำพูดอย่างไรที่จะบอกกับเธอว่าลูกของเธอเสียชีวิต
สิ่งที่จะต้องทำต่อไปในคืนนี้ยังมีอีกหลายอย่าง และที่แน่นอนคือเขาจะต้องเดินทางไปกับคนไข้พร้อมกับรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลเพื่อไปส่งที่โรงพยาบาลจังหวัดเพราะสภาพคนไข้ตอนนี้ยังมีความไม่แน่นอน มีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนหรืออะไรต่อมิอะไรที่ไม่คาดคิด
“เตรียมรีเฟอร์ไปโรงพยาบาลจังหวัด เดี๋ยวผมจะไปกับคนไข้เอง”
เขาตะโกนบอกพยาบาลพร้อมกับหันหลังกำลังจะออกไปจากห้องคลอด
“เดี๋ยวเดี๋ยวหมอ แล้วใครจะคุยกับญาติคนไข้ล่ะ”
พยาบาลพูดประโยคที่หมอหนุ่มไม่อยากได้ยินเป็นที่สุด การบอกข่าวร้ายกับครอบครัวของผู้ป่วยเป็นสิ่งที่อาจารย์ไม่เคยสอนตอนอยู่โรงเรียนแพทย์ และแม้กระทั่งจบออกมาแล้วเขายังคงกลัวและกังวลกับการที่จะต้องทำอะไรแบบนี้ในทุกๆ ครั้ง
ญาติคนไข้ยืนออกันอยู่หน้าห้องคลอดไม่ต่ำกว่า 10 คน คนหนึ่งในนั้นเห็นได้ชัดว่าน่าจะเป็นสามีของแม่เด็กพุ่งเข้ามาหาหมอบุญเสกเป็นคนแรก
“เกิดอะไรขึ้นทำไมมันถึงนานนัก ลูกผมเป็นอะไร เมียผมเป็นอะไรหรือเปล่า”
หมอหนุ่มยกมือไหว้ขอโทษสามีของคนไข้และคนอื่นๆ พร้อมกับอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังโดยมีญาติ 10 กว่าคนนั้นล้อมวงฟังอย่างตั้งใจ ยกเว้นสามีของผู้ป่วยที่ตะโกนเสียงดังลั่นไม่ฟังอะไรอีกเลยหลังจากรู้ว่าเด็กในครรภ์นั้นเสียชีวิต
“เราเดินมาโรงพยาบาล แต่ทำไมต้องหามออกไป แล้วใครจะรับผิดชอบชีวิตลูกผม”
สามีผู้ป่วยรูปร่างสูงใหญ่ตะคอกใส่หมอหนุ่มรูปร่างเล็กซิ่งยืนก้มหน้า นิ่งเสียง ใบหน้าซีดขาว
“ไม่ไปที่อนามัยเพราะคิดว่าโรงบาลต้องมีหมอ แต่ทำไมหมอไม่อยู่วันนี้”
ชายวัยเกือบ 40 ตะโกนเสียงดังลั่นโรงพยาบาลตั้งคำถามกับหมอวัย 24 ผู้ที่ทำงานในโรงพยาบาลติดต่อกัน 20 กว่าวันวันละ 24 ชั่วโมง และเพิ่งจะมีเวลาหยุดไปเยี่ยมภรรยาในตัวเมืองเมื่อเช้านี้ แล้วต้องรีบกลับมาโรงพยาบาลก่อนจะมืดในวันเดียวกัน
ก่อนที่เรื่องราวจะรุนแรงและบานปลาย พนักงานเปลและคนขับรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลสองคนก็เข้ามาช่วยหมอหนุ่ม เพราะรู้ว่าอาจมีสักวินาทีหนึ่งที่ชายร่างใหญ่คนนี้ควบคุมอารมณ์ไม่ได้และทำร้ายหมอ หรือทำอะไรที่รุนแรงกว่านั้น
“เอาตะๆ ค่อยว่ากัน พาเมียสูไปโรงบาลจังหวัดก่อน” พนักงานขับรถพูดปลอบใจชายร่างใหญ่เป็นภาษาถิ่น
หมอหนุ่มถูกแยกออกมาจากกลุ่มคนแต่มีเสียงตามหลังมา
“หมอต้องรับผิดชอบ หมอทำให้ลูกผมตาย ถ้าเมียผมเป็นอะไรหมอไม่อยู่ดีแน่”