
จาก “เมืองไม้” สู่ “เมืองหิน”
โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ
“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น
รถไฟสายเลขแปดสำหรับการท่องเที่ยวชมธรรมชาติและซึมซับประวัติศาสตร์แห่งภูเขา “ซาร์กัน” (Sargan) และหมู่บ้าน “โมกราโกรา” (Mokra Gora) ของเมืองอูซิเซ สาธารณรัฐเซอร์เบีย สิ้นสุดลงในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง รถไฟกลับมาจอดที่จุดเริ่มต้น คือสถานีโมกราโกรา
หมดเวลาสนุกกับพวกเด็กๆ มัธยมต้นที่เดินทางมากับคณะครูจากเมืองนีส (Nis) ตอนใต้ของประเทศ เหมือนได้รับพลังงานและความสดใสจากเยาวชนเหล่านี้มาไม่น้อย กลุ่มผู้สูงอายุในขบวนก็ดูสนุกสนานกันเต็มเหนี่ยว พวกเขาคงเบิกบานใจและจดจำอารมณ์ความรู้สึกที่ได้รับจากรถไฟขบวนนี้ไปอีกหลายสัปดาห์
ตอนลงจากรถไฟผมเห็นเจ้าหมาสองตัวที่ตามเรามาตั้งแต่เมื่อคืนมีคนให้อาหารและเข้าไปเล่นด้วยใกล้ๆ กับสถานีรถไฟและร้านอาหาร รู้สึกดีใจกับพวกมันที่คงจะมีที่อยู่และที่กิน ไม่ต้องเดินตามใครไปไกลๆ อีก
เรารีบเดินกลับที่พักเพื่อเก็บเสื้อผ้าและเดินทางข้ามแดนไปยังสาธารณรัฐบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาที่อยู่ห่างออกไปเพียงประมาณ 10 กิโลเมตร คืนนี้จะค้างแรมกันที่ “วิเชกราด” ( Višegrad) เมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่ไม่ห่างจากชายแดนฝั่งบอสเนียฯ
เราผ่านด่านตรวจคนออกเมือง Kotroman ของเซอร์เบีย และด่าน Vardiste ของบอสเนียฯ อย่างสะดวกโยธิน เพราะโกรันเป็นชาวเซิร์บ และพื้นที่ส่วนนี้ของบอสเนียฯ คือเขตปกครองตนเองของชาวเซิร์บที่เรียกว่า Republika Srpska (สาธารณรัฐชาวเซิร์ปสกา) มีสถานะเป็นรัฐในรัฐ กินพื้นที่ถึงเกือบครึ่งของทั้งประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ประชากร 82 เปอร์เซ็นต์เป็นชาวเซิร์บ มีประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และการบริหารราชการของตัวเอง ซึ่งทั้งหมดเกิดจากผลพวงของสงครามระหว่างเชื้อชาติในบอสเนียฯ ช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990
ทิวทัศน์ฝั่งบอสเนียฯ เต็มไปด้วยภูเขาสูงระยะประชิดกับถนน มีลำน้ำไหลอยู่เบื้องล่างในหุบเหว มุดอุโมงค์ที่ตัดผ่านภูเขาจำนวนมาก บางช่วงก็เห็นรางรถไฟขนานไปด้วย (จนถึงเมืองวิเชกราด ซึ่งเปิดเพื่อการท่องเที่ยวเป็นบางช่วงเวลา) เมื่อขับเลยมัสยิดแห่งหนึ่ง โกรันเลี้ยวซ้ายออกนอกเส้นทาง วิ่งไปบนถนนเส้นที่จะไปยังเมือง Priboj และ Rudo เขาบอกว่ามีอะไรให้ดู
ประมาณ 1 กิโลเมตรจาก 3 แยกที่เลี้ยวมา โบสถ์เซอร์เบียนออร์โธดอกซ์และอารามสำหรับบาทหลวงตั้งอยู่ติดๆ กันด้านขวามือของถนน มีรูปปั้นของชายหนวดเครารกเฟิ้มคนหนึ่งอยู่หน้าอารามดังกล่าว โกรันเลี้ยวเข้าไปจอดแล้วให้ผมเดินดูบริเวณรอบๆ

ความสำคัญของสถานที่แห่งนี้คือเป็นจุดที่ พันเอก “ดราชา มิไฮโลวิช” (Draža Mihailović) ผู้นำขบวนการ “เช็ตนิคส์” (Chetniks) ถูกฝ่ายคอมมิวนิสต์จับตัวหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงไม่นาน ซึ่งขบวนการเช็ตนิคส์เป็นฝ่ายที่สนับสนุนปกป้องระบอบกษัตริย์และมีแนวคิดชาตินิยมมานมนามตั้งแต่สมัยขับไล่กองทัพจักรวรรดิออตโตมันออกไปในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเน้นการต่อสู้แบบกองโจร แต่อาจจะเปลี่ยนยุทธศาสตร์และยุทธวิธีไปตามสถานการณ์และสภาพทางภูมิศาสตร์การเมือง อีกทั้งได้เปลี่ยนผู้นำ มีการแยกกลุ่ม กลับมารวมกันแล้วแยกกันใหม่ไปตามวิถีทางและกาลเวลา

ตอนต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2 การรุกคืบของกองทัพนาซีทำให้ขบวนการเช็ตนิคส์ในชื่อ “Yugoslav Army of the Fatherland” ถือกำเนิดขึ้น นำโดยผู้พันมิไฮโลวิช มีฐานการปฏิบัติการอยู่ที่ภูเขา Ravna Gora ห่างจาก Mokra Gora ไปทางตะวันออกประมาณ 100 กิโลเมตร เพื่อยับยั้งเยอรมนี ขณะเดียวกันก็ต่อต้านฝ่ายปาร์ติซาน (Partisan) หรือกองกำลังคอมมิวนิสต์ที่นำโดย “โยซิป บรอส ติโต” (Josip Broz Tito) จอมพลชาวโครแอตที่หลังสงครามก็ขึ้นมาเป็นผู้นำยูโกสลาเวียยาวนานเกือบ 4 ทศวรรษ กระทั่งเสียชีวิตไปเองในปี ค.ศ. 1980
อย่างไรก็ตามกองกำลังเช็ตนิคส์ของผู้พันมิไฮโลวิชซึ่งหวังการสนับสนุนจากสัมพันธมิตร โดยเฉพาะอังกฤษ อีกทั้งเวลานั้น “พระเจ้าปีเตอร์ที่ 2” กษัตริย์แห่งยูโกสลาเวีย และคณะรัฐบาลพลัดถิ่นหลายคนก็ลี้ภัยอยู่ในอังกฤษ แถมพระเจ้าปีเตอร์ที่ 2 ก็ยังแต่งตั้งให้ผู้พันมิไฮโลวิชเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพปลดปล่อยยูโกฯ อีกด้วย แต่ขบวนการเช็ตนิคส์กลับมียุทธวิธีรบแบบผ่อนๆ เพราะไม่อยากสูญเสียกำลังพลไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเวลานั้นฝ่ายนาซีมีการประกาศว่าฝ่ายใดฆ่าทหารนาซี 1 นาย พวกเขาจะเอาชีวิตพลเรือนคืน 100 ชีวิต และหากบาดเจ็บ 1 นาย ก็จะเอาคืน 50 ชีวิต
บางเวลาขบวนการเช็ตนิคส์ได้แสวงหาความช่วยเหลือจากฝ่ายอักษะ อย่างเยอรมนีและอิตาลี ในการโจมตีฝ่ายปาร์ติซาน เพราะมองการณ์ไกลว่าพวกนี้จะเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งหลังสงครามจบลง หรือแม้กระทั่งจับมือกับกลุ่ม “สตาเช” (Ustaše) กองกำลังจอมโหดเชื้อชาติโครแอต โดยมีความหวังว่าโซเวียตจะรุกคืบเข้ามาได้ทันเวลาและปลดปล่อยยูโกสลาเวียจากเยอรมนี และคงจะให้สถานภาพที่ดีกับชาวเซิร์บ ทำให้อังกฤษที่มองเกมการเมืองนี้อยู่และเล่นเกมการเมืองไปด้วยในเวลาเดียวกันลังเลที่จะให้การช่วยเหลือและหยุดการสนับสนุนในเวลาต่อมาเพราะเห็นว่าขบวนการเช็ตนิคส์ไม่ได้รบกับนาซีอย่างจริงจัง และการให้ความช่วยเหลือแก่ฝ่ายปาร์ติซานนั้นคุ้มค่ากว่า (อังกฤษสนับสนุนทั้งสองฝ่ายมาตั้งแต่ต้นสงคราม) ทำให้ขบวนการเช็ตนิคส์พ่ายแพ้ สูญเสีย แตกกระสานซ่านเซ็น เมื่อส่งครามโลกครั้งที่ 2 จบลง
ผู้พันมิไฮโลวิชและทหารที่ใกล้ชิดต่อสู้จนถึงที่สุดเป็นกลุ่มสุดท้ายอยู่ตามป่าเขาทางตะวันตกของเซอร์เบีย (ในปัจจุบัน) กระทั่งถอยหนีและหลบซ่อนอยู่ในป่าไม่ไกลจากโบสถ์และอารามที่เรามาเยือนนี้ เขาถูกจับตัวเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 1946
เรื่องราวการจับตัวเขานั้นเล่ากันเป็น 2 ทาง ทางแรกว่าเขาถูกกลุ่มที่อ้างว่าเป็นสายลับของอังกฤษเข้าถึงจุดหลบซ่อนแล้วกล่อมว่าจะช่วยพาหนีโดยเครื่องบิน แต่เมื่อเขาขึ้นเครื่องบินก็พบว่าเป็นกับดักของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ส่วนอีกทางคือคนสนิทของเขาทรยศบอกที่หลบซ่อนให้กับรัฐบาลคอมมิวนิสต์เพื่อแลกกับการรับโทษเล็กๆ น้อยๆ ของผู้แปรพักตร์
ส่วนข้อมูลของโกรันนั้นคือหลังจากผู้พันแกหลบซ่อนอยู่ในป่าพร้อมลูกน้องจำนวนหนึ่งโดยได้รับเสบียงจากชาวบ้านอยู่นานเป็นปีหลังฝ่ายคอมมิวนิสต์ของจอมพลติโตขึ้นสู่อำนาจแล้ว ก็ถูกทหารฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ใช้เวลาอยู่นานเหมือนกันในการรอให้หนวดเครายาวเฟิ้มเหมือนทหารของผู้พัน แล้วจึงแทรกซึมผ่านด่านต่างๆ มาจนเข้าถึงตัว ซึ่งจุดดังกล่าวอยู่ในป่าห่างออกไปจากที่เรายืนอยู่สองสามร้อยเมตร ก่อนพวกหนวดยาวปลอมตัวจะให้สัญญาณฆ่าลูกน้องของผู้พัน ส่วนตัวผู้พันก็ถูกจับเป็นตามคำสั่งที่ได้รับมาแล้วนำตัวไปยังกรุงเบลเกรดเพื่อขึ้นศาล เขาถูกตัดสินให้มีความผิดในข้อหากบฏและอาชญากรสงครามในเดือนมิถุนายน และถูกประหารพร้อมด้วยคนอื่นๆ อีก 9 คน ในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน ใกล้ๆ กับพระราชวังเดิมของเมือง ส่วนหลุมฝังศพถูกปิดเป็นความลับเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
เมื่อปี ค.ศ. 2012 หลานชายของผู้พันมิไฮโลวิชซึ่งปัจจุบันอยู่ในเวทีการเมืองของเซอร์เบีย ได้ยื่นเรื่องให้ศาลสูงพิจารณาคดีใหม่ท่ามกลางการประท้วงต่อต้านจากหลายฝ่าย คำพิพากษาใหม่ที่ออกมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 ให้ยกเลิกคำตัดสินเมื่อปี ค.ศ. 1946 แต่ให้คงโทษประหารไว้ในข้อหาให้ความร่วมมือกับกองทัพนาซี นอกจากนี้ยังริบสิทธิต่างๆ ของผู้พันมิไฮโลวิชในฐานะพลเมือง โดยสาเหตุที่ศาลเปลี่ยนคำพิพากษาได้ระบุว่าการพิจารณาคดีเมื่อครั้งโน้นกระทำภายใต้แรงจูงใจทางการเมืองและอุดมการณ์ของระบอบคอมมิวนิสต์
โกรันขับกลับไปยังเส้นทางเดิม เจออนุสรณ์สถานเล็กๆ สร้างในแบบเซอร์เบียนออร์โธดอกซ์ และธงชาติเซอร์เบียปักอยู่ด้านขวามือของถนน เขาจอดรถลงไปดูแล้วอธิบายให้ผมทราบว่าเป็นจุดที่กลุ่มทหารหนุ่มของผู้พันมิไฮโลวิชถูกฆ่าโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1946 ก่อนผู้พันถูกจับไม่นาน อนุสรณ์พวกนี้เกิดขึ้นหลังระบอบคอมมิวนิสต์ล่มสลายไปแล้วทั้งนั้น รวมทั้งเรื่องราวจากคนในเหตุการณ์ทั้งหมดก็เพิ่งมาถ่ายทอดกันภายหลัง ในยุคคอมมิวนิสต์ไม่มีใครกล้าปริปาก เพราะจุดจบคือตายลูกเดียว

เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ แล้วเมื่อเรามาถึงเมืองวิเชกราด แม้ระยะทางจะไม่ไกลแต่หนทางค่อนข้างคดเคี้ยวไปตามสภาพภูเขา โกรันจอดรถในที่จอดของ Kamengrad ซึ่งหมายถึง “เมืองหิน” อันเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ “เอเมียร์ คูซตูริซา” (Emir Kusturica) ผู้กำกับภาพยนตร์ขวัญใจชาวเซิร์บสร้างขึ้นโดยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลของสาธารณรัฐเซิร์ปสกา

จุดประสงค์นอกจากจะเตรียมไว้ถ่ายภาพยนตร์ 2 เรื่อง หนึ่งในนั้นคือ The Bridge on the Drina จากบทประพันธ์อิงประวัติศาสตร์ในชื่อเดียวกันของ “อีโว อันดริช” (Ivo Andrić) นักเขียนรางวัลโนเบลและตำนานผู้ยิ่งใหญ่ชาวเซิร์บ เมืองหินที่สร้างด้วยหินเกือบทุกส่วนนี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Andrićgrad หรือ “เมืองของอันดริช” สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 2014 ตั้งอยู่บนแหลมระหว่างแม่น้ำดรินาด้านตะวันตก (ซ้าย) และแม่น้ำ “รซาฟ” (Rzav) ทางด้านตะวันออก (ขวา) ซึ่งไหลมาบรรจบกับดรินาในลักษณะทำมุมเฉียง จนพื้นดินส่วนนี้มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมคล้ายแหลมยื่นออกไป

เมืองหินนี้มีอะไรคล้ายๆ กับ “เมืองไม้แห่งโมกราโกรา” แต่ขนาดโดยรวมดูเล็กกว่า แต่ก็เพียงพอสำหรับการสร้างโรงแรมที่พักไว้ให้กับผู้มาเยือน โกรันเดินเข้าไปถามเรื่องห้องพักกับฝ่ายต้อนรับซึ่งอยู่เลยกำแพงหินด้านหน้าที่มีช่องเป็นประตูโค้งเข้าไปนิดเดียวทางด้านซ้ายมือ เราโชคดีที่มีห้องว่างในราคาคืนละ 30 ยูโรเท่านั้น คงเป็นเพราะยังไม่เข้าไฮซีซั่น ผมจ่ายด้วยบัตรเดบิต แล้วเดินไปยังห้องพักชั้น 2 ของโรงแรม สถานที่ของเราถือว่ายอดเยี่ยมที่สุดในเมืองนี้ แม้เป็นห้องเดี่ยว 2 เตียงธรรมดาๆ แต่อยู่ติดแม่น้ำดรินา (Drina) มองเห็นวิวสวยงาม ทั้งฝั่งแม่น้ำและฝั่งจัตุรัสของเมืองหิน (ตัวอาคารโรงแรมไม่ได้สร้างด้วยหินเหมือนส่วนอื่นๆ)

เก็บกระเป๋าแล้วก็ไปนั่งร้านอาหารของเมืองหินเพื่อกินมื้อเที่ยง (ตอนเย็น) หลังจากเบียร์ Nektar จากเมือง “บันยาลูกา” เมืองหลวงของสาธารณรัฐเซิร์ปสกา อาหารของเราก็มาวางอยู่บนโต๊ะ โกรันมั่นใจว่าผมต้องชอบ จึงสั่งมา 2 จานเหมือนกัน นั่นคือสเต๊กเนื้อ มีซอสราดจนชุ่มชิ้นเนื้อหนา 2 ชิ้น ในจานยังมีผัดผัก มันฝรั่งอบ และข้าวสวยเม็ดใหญ่ โกรันสั่งพริกเขียวยาวทอด แยกมาต่างหากอีกจาน นอกจากนี้ก็มีขนมปังและมัฟฟินมาในตะกร้าใบเขื่อง โกรันบอกว่าเนื้อที่เขาสั่งนี้เป็นเนื้ออย่างดี ผมกลับรู้สึกว่าชิ้นเนื้อแข็งไปนิดและซอสมีรสชาติไม่เข้ากัน แต่เมื่อกินกับอย่างอื่นที่เป็นไซด์ดิชก็พอถูไถ ราคารวม 54 คอนเวิร์ตติเบิลมาร์ค (Konvertible Mark) หรือประมาณ 30 ยูโรเมื่อรวมทิป

สกุลเงินที่ใช้ในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (รวมถึงพื้นที่ของสาธารณรัฐเซิร์ปสกา) คือ “คอนเวิร์ตติเบิลมาร์ค” หรืออาจเรียกสั่นๆ ว่า “มาร์ค” ตัวย่อใช้ KM บางครั้งก็ BAM เริ่มใช้เมื่อปี ค.ศ. 1998 เพื่ออิงอัตราแลกเปลี่ยนกับเงินมาร์คของเยอรมนี แม้ว่าต่อมาอีกปีเดียวเยอรมนีจะหันไปใช้เงินสกุลยูโร และเลิกใช้มาร์คอย่างเด็ดขาดในปี ค.ศ. 2002 แต่ในบอสเนียฯ ก็ยังคงใช้มาร์คอยู่ อัตราแลกเปลี่ยน 1 มาร์ค เท่ากับประมาณ 0.5 ยูโร และสามารถใช้จ่ายตามห้างร้านต่างๆ ได้ทั้ง 2 สกุลเงิน

ระหว่างที่เรากำลังเดินออกจากร้านอาหารเพื่อจะไปชมสะพานแห่งประวัติศาสตร์ “เมเหม็ด พาชา โซโคโลวิช” สุดยอดสถาปัตยกรรมของจักรวรรดิออตโตมันที่ทอดข้ามแม่น้ำดรินามาสี่ร้อยกว่าปี ฝนก็ได้เทลงมา ผมรีบวิ่งเข้าร้านหนังสือของเมืองหิน เห็น The Bridge on the Drina เวอร์ชั่นแปลเป็นภาษาอังกฤษ พนักงานสาวตาคม และแมวอ้วนขนปุยของเธอ
จึงคิดว่าติดฝนอยู่ในนี้สักพักก็คงไม่เป็นไร
- READ จาก “เมืองไม้” สู่ “เมืองหิน”
- READ เมืองไม้และรถไฟสายเลข 8
- READ บนเส้นทางสู่ “โมกราโกรา”
- READ กีฬา กาแฟ แก๊ส เกาะ
- READ เมืองขาวของชาวเซิร์บ
- READ โร้ดทริปสู่เซอร์เบีย
- READ วิสกี้ ซิการ์ บูดาเปสต์
- READ คอยเพื่อนที่บูดาเปสต์
- READ ปวดบาทาที่บูดาเปสต์
- READ ทิมิชัวรา – บูดาเปสต์
- READ จาก ‘ซีบีอู’ สู่ ‘ทิมิชัวรา’
- READ มื้อเช้าของนักเดินทางและสะพานคนลวง
- READ ดวงตาซีบีอู
- READ เสน่หา บราชอฟ
- READ รถไฟสายทรานซิลเวเนีย
- READ เชาเชสคูและบูคาเรสต์
- READ บูนา บูคาเรสต์
- READ ผู้ควบอาชาแห่งเมืองบราชอฟ