ตัวตนโปร่งใส
โดย : ไข่เจียวหมูสับ
อ่านเอาเล่าสนธยา เรื่องสั้นอ่านเพลิน โดย ไข่เจียวหมูสับ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้เพลินไปกับเรื่องราวมากมายที่ยากจะคาดเดา พร้อมเก็บเกี่ยวแง่คิดดีๆ ผ่านทุกตัวอักษร เมื่ออ่านจบคุณจะพบว่า บางครั้งแค่เปลี่ยนมุมมองชีวิตก็เปลี่ยน ลองสัมผัสกับ อ่านเอาเล่าสนธยา ที่ anowl.co เว็บไซต์นวนิยายที่คัดคุณภาพมาให้คนรักงานเขียนได้อ่านกัน
เสียงล้อรถยนต์ที่แล่นบนทางพิเศษดังเข้ามาถึงโสตประสาท ทั้งที่ไม่ควรจะได้ยินชัดขนาดนี้แท้ ๆ ทั้งหมดก็เพราะอาการนอนไม่พอที่ผมประสบมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา มันส่งผลให้ในหูมีเสียงวี้ดคอยรบกวนอยู่แทบทุกเวลาโดยไม่เว้นกระทั่งตอนนอน และอาการอีกอย่างที่ตามมาคือโสตสัมผัสที่ดีขึ้นอย่างผิดเวลาและน่าเวทนานัก
บัดนี้แม้เสียงเคี้ยวข้าวของเพื่อนร่วมงานหรือเสียงเตือนแหลม ๆ เวลาถูกหักเงินโดยอัตโนมัติจากบัตรทางด่วนที่ติดตั้งตรงกระจกรถ ก็พร้อมที่จะจุดระเบิดในสมองโง่ ๆ นี้อย่างง่ายดาย
ผมเริ่มงานที่บริษัทออกแบบสินค้ามาได้สองเดือนแล้ว และยังไม่อาจปรับตัวให้ชินกับการตื่นแต่เช้าได้ บอกตามตรงว่ามิใช่คนขี้เกียจสันหลังยาวแต่อย่างใด แต่หากจะให้พูดตามหลักชีววิทยาแล้ว ก็คงต้องเรียนว่าผมเป็นมนุษย์ประเภทที่ต้องตื่นสายและนอนดึกมาตั้งแต่กำเนิดเกิดมาจากท้องแม่
ย้อนไปตั้งแต่เรียนอนุบาลมาถึงจบปริญญา สิ่งเดียวที่ตราตรึงในความทรงจำมากกว่าเรื่องใด นั่นคือความทุกข์ทนทรมานจากการอดนอน การเรียนแต่เช้าเก้าโมงถือเป็นเรื่องที่แสนตรม ชั่วโมงเรียนทุกคาบเช้าสายบ่ายเย็นล้วนเหมือนอยู่ในภวังค์ที่ไม่อาจฝืน หลับตาพักครู่เดียวก็อาจส่งให้สติหลุดหายไปยังแดนนิทราได้
เข้าใจว่าผู้เชี่ยวชาญเรื่องการตื่นเช้า หรือแม้แต่เพื่อนที่ชอบอวดอ้างในวินัยและความขยัน ย่อมพยายามตักเตือนผมพร้อมสายตาดูหมิ่น ว่าหากบังคับตัวให้ตื่นเช้าติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งเดือน ร่างกายจะปรับตัวได้เอง
เรื่องนั้นตัวผมขออนุญาตเถียงสุดใจเลย เนื่องเพราะผมก็พยายามนอนเช้าและตื่นเช้ามาโดยตลอดชีวิตการเรียนสิบกว่าปี ทว่า… แม้จะล้มตัวลงนอนในช่วงสี่ทุ่ม แต่สิ่งที่ได้รับคือการตาค้างลากยาวไปถึงตีสาม อันเป็นเวลานอนประจำตัวของผม ส่วนจะตื่นกี่โมงนั้น ก็ขึ้นกับสถานการณ์ในช่วงเวลาดังกล่าว
หากจำเป็นต้องตื่นเจ็ดโมง เพื่อเตรียมตัวไปเรียนตอนแปดโมง ก็เท่ากับว่าผมได้นอนเพียงสี่ชั่วโมงเท่านั้น ยังไม่รวมการตื่นไปเข้าห้องน้ำหรือการฝันร้ายกระทั่งสะดุ้งตื่นกลางดึกนะ เพราะถ้าเกิดเหตุเช่นนั้นก็ต้องใช้เวลาอีกสองถึงสามชั่วโมงในการข่มตาให้หลับอีกครั้ง และส่วนใหญ่เมื่อกำลังจะหลับใหลในรอบสอง ก็มักถึงเวลาที่ต้องตื่นพอดี
ในวันหยุดตัวผมจึงนอนแต่หัวค่ำ หลับตอนตีสาม และตื่นตามที่ร่างกายต้องการ อาจเที่ยงตรง บ่ายสอง หรือเช้ากว่านั้นหากมีคนปลุก
ที่ผ่านมาผมเคยไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับยากอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่พบสาเหตุของโรคแต่อย่างใด
และเมื่อชีวิตเข้าสู่วังวนแห่งการทำงานเพื่อหาเงิน บริษัทชื่อดังก็รับผมเข้าทำงานพร้อมตั้งความหวังไว้สูงอย่างกับเทือกเขาหิมาลัย
และนั่นก็มิใช่ข่าวดีเท่าไร เมื่อวันที่หญิงสาวที่เป็นฝ่ายบุคคลติดต่อมายังโทรศัพท์มือถือ แจ้งข่าวว่าผมสอบผ่านการสัมภาษณ์และให้เริ่มทำงานในวันพรุ่งนี้ คำถามแรกที่ผมเอ่ยจากปากนั้นไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหางานหรือสถานที่สำหรับจอดรถยนต์ส่วนตัวของพนักงาน แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับชีวิตมากกว่านั้น
‘ไม่ทราบว่า ทางบริษัทเข้างานกี่โมงหรือครับ’
แน่นอนสำหรับบางคน เรื่องพวกนี้ถือว่าไร้สาระ แต่ผู้ไม่อาจนอนเช้าและตื่นเช้าได้อย่างผม มันคือสาระสำคัญของการทำงาน และให้ตายเถอะ แม้แต่ในเว็บไซต์ของบริษัทก็ไม่เห็นจะมีข้อมูลนี้ แล้วเด็กใหม่ที่เพิ่งผ่านการสัมภาษณ์แม่งจะไปตรัสรู้ได้อย่างไรว่าควรมาทำงานกี่โมงกันแน่
หรือว่าทุกคนจะเตรียมพร้อมรบที่หน้าออฟฟิศเวลาแปดโมงเช้ากันอยู่แล้ว?
เก้าโมง เก้าโมง ผมภาวนาขอคำคำนี้ในใจระหว่างที่รอคู่สนทนาตอบ มันคือช่วงเวลาเข้างานที่ผมพอจะฝืนไปทำงานได้ทัน อย่างน้อยได้นอนสักสี่ชั่วโมงก็ยังดี
แล้วความหวังนั้นก็พังทลาย ไม่ต่างกับหัวใจ เมื่อเสียงหวานของเธอตอบกลับมาว่า “แปดโมงตรงค่ะ แต่ทางคุณจะมาประมาณเจ็ดโมงสี่สิบห้าก็ได้นะคะ ทางเราเปิดเครื่องปรับอากาศให้ตั้งแต่เจ็ดโมงแล้ว”
ไม่มีแววประชันประชดจากเสียงของสาวรุ่นพี่ เธอคงมองว่าทุกคนอยากจะมาทำงานแต่เช้าจริง ๆ มันเป็นเรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย
สติผมกลับมาที่ปัจจุบันอีกครั้ง เสียงบีบแตรจากรถด้านหลัง ส่งผลให้ทางด่วนเวลาหกโมงครึ่งดูน่าตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าโสตสัมผัสที่ได้รับการเสริมประสิทธิภาพของผมก็สั่นสะท้านไปตามอานุภาพของแตรอยู่พอสมควร
เจ้าของเสียงเป็นรถหรูสีดำที่บึ่งทะยานโยกไปมาระหว่างสามเลน ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ไปชนใครเข้า แต่ก็ขอบคุณที่อย่างน้อยมันก็ปลุกผมออกจากภวังค์ได้
เส้นทางไปทำงานยังอีกยาวไกลนัก เพิ่งจะผ่านด่านเก็บเงินด่านแรกมาได้ไม่ถึงยี่สิบนาที ยังเหลืออีกด่าน แม้สายตาจะจับจ้องถนนเบื้องหน้า แต่ปากก็ยังคงหาวหวอดไม่ยอมหยุด ราวกับว่าหากไม่ทำเช่นนี้ภายในเวลาสามนาที สมองมันจะหยุดทำงานชั่วคราวไปเสียอย่างงั้น
หลังจากเริ่มงานได้สองเดือน สิ่งเดียวที่ผมทำเป็นประจำคือการเข้านอนช่วงสามทุ่ม และนอนกลิ้งไปมาอย่างทรมาน กระทั่งตีสามจึงหลับใหล ตื่นเวลาหกโมงตรงเพื่ออาบน้ำ ทานข้าว และขับรถบึ่งออกมา ใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ก็จะมาถึงทันเริ่มงานพอดี
จริง ๆ ควรตื่นเช้ากว่านั้นหน่อย แต่แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้ว หากสายกว่านี้ก็ต้องทรมานกับรถติดอีก…
ความจริงแล้วเมื่อเริ่มงานใหม่ ๆ เพื่อนที่ทำงานได้ให้คำแนะนำว่าการเปิดวิทยุฟังเพลงบนรถจะช่วยลดความง่วงได้ แต่ระยะหลังที่ประเทศนี้ประสบกับปัญหาหลายด้านพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเลเปลี่ยนสี โจรชาวต่างชาติที่หลบหนีเข้าไทย ไปถึงสงครามการเมืองอันแสนโสมมและชั่วร้าย ทั้งหมดส่งผลให้รายการเพลงในวิทยุนั้นห่างหายไปแทบทั้งหมด หลงเหลือไว้แต่พวกเสวนาเจาะประเด็นกับข่าวพิเศษเท่านั้น และไอ้ข่าวพวกนี้คือตัวชวนให้หลับชั้นดีทีเดียว เพราะฉะนั้น… สิ่งที่เดียวผมทำได้คือการทนฝืนลืมตาขับรถมาทำงาน เวลาพักเที่ยงก็งีบบนโต๊ะเอาแรง ถึงแม้จะไม่หลับเพราะไม่ใช่เตียงนอน แถมยังไม่ใช่ช่วงเวลาตีสามก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ได้พักสายตาบ้าง
ทว่าในวันหนึ่ง… ปัญหาก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อหัวหน้าฝ่ายผู้เป็นหญิงกลางคนที่แต่งตัวดูดีตามสมัยได้ทักขึ้นมา “เช้าวันนี้น้องก็เจอเหมือนกันใช่ไหม จำได้ว่ามาเส้นเดียวกัน แย่จังเลยเนอะ อยู่ดี ๆ ด่านเก็บเงินก็ไม่ยอมตัดบัตร เลยต้องเสียเวลาค้นเงินสดมาจ่ายเลย อย่างนี้จะติดเครื่องไว้ทำไมกันนะ”
ผมตาค้างกับคำถามนั้น ไม่ใช่เพราะเสียงแหลมเสียดหูของหญิงวัยหกสิบหรอก ถ้าพูดให้เข้าประเด็นก็คือ ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษเส้นที่ผมต้องขับผ่านประจำนั้นเกิดขัดข้องในช่วงเช้าวันนี้ ส่งผลให้เกิดการแออัดของช่องผ่านทางหลายช่อง ผู้ที่ติดบัตรผ่านอัตโนมัติก็ต้องควักเงินสดมาชำระค่าผ่านทางแทน นั่นมิใช่เรื่องแปลกใหม่ จะโปรแกรมหรือบุคคล อย่างไหนก็สามารถผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น มิใช่เรื่องที่น่ากล่าวโทษแต่อย่างใด
แต่สิ่งที่ฉิบหายจริง ๆ คือการที่ผมจำห่าอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้เลยนะสิ เมื่อเปิดแอปพลิเคชันบนมือถือดูก็พบว่าไม่มีการหักเงินไปจริง ๆ แสดงว่าผมเองได้จ่ายเงินสดไปแล้ว แต่กลับจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด
ไม่สิ เมื่อมาคิดดูดีดีแล้ว ก็พบว่าตัวเองจำเรื่องราวระหว่างอยู่บนรถไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
หลับในสินะไอ้ฉิบหาย รู้สึกตัวอีกทีก็คงอยู่หน้าเครื่องสแกนนิ้วที่ออฟฟิศชั้นล่างแล้ว
และนั่นคือสาเหตุหลักที่ผมต้องหาทางแก้ไขการนอนไม่หลับอย่างจริงจังกว่าเดิม การหลับในอย่างนี้มีแต่จะตายห่าในสักวัน หรือไม่ก็ลากคนอื่นบนท้องถนนมาซวยไปด้วย
แต่หลังจากที่พยายามค้นหาวิธีช่วยให้หลับเร็ว ไปถึงยานอนหลับ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่ช่วยให้หลับได้ก่อนตีสามเลย อย่างดีก็แค่นอนมึนหัวอยู่บนเตียงโดยยังมีสติอยู่ และก็หลับลงในเวลาเดิม
วูบหนึ่งคิดไปถึงการลาออก แม้จะรักงานนี้มาก แต่ถ้าจำเป็นก็คงต้องทำ…
ทว่าในวันที่ตัดสินใจจะเขียนใบลาออก ข้อความจากธนาคารก็ถูกส่งมา แจ้งว่าเงินเดือนได้ถูกโอนเข้ามาเรียบร้อย และมันสูงว่าเดือนที่แล้วถึงห้าพันบาท
หากครบสามเดือนและได้บรรจุ จะได้มากกว่านี้อีกหนึ่งหมื่น… การลาออกก็มิใช่ทางที่ควรเลือกสินะ
ถ้าเช่นนั้นคงต้องกลับมาที่ปลายเหตุ ผมต้องหาทางตื่นให้ได้ขณะที่กำลังบังคับพวงมาลัยอยู่ จะยอมให้เหตุการณ์เช่นวันก่อนเกิดขึ้นอีกไม่ได้
จากนั้นก็ใช้เวลาอีกสองวันในการหาทางทำให้ตาสว่าง ทั้งกาแฟ ชา ยากระตุ้นแบบถูกกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะในวันจันทร์ต่อมา เมื่อรู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ตรงที่จอดรถของที่ทำงานแล้ว
ไอ้เชี้ยเอ๊ย ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คงไม่ไหวแล้ว
วันนั้นผมทำงานแทบไม่ไหว ได้ทั้งนั่งเครียดตาแดงก่ำบนโต๊ะทำงาน กระทั่งหัวหน้าฝ่ายคนเดิมเข้ามาเตือน และเอ่ยกระซิบให้ผมไปพักสมองที่ห้องสมุดของออฟฟิศ พร้อมกับขยิบตาปากกระซิบว่า
‘อย่านอนนานไปนะ’
ดูท่าแล้วหัวหน้าคงจะคิดไปว่าผมง่วงเกินกว่าจะทำงานไหว เลยหาทางออกให้แอบงีบนอกเวลาพักได้ ช่างดูแลเอาใจใส่ดีจริง ๆ และความใจดีนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดทุกครั้งที่คาดว่า ในเวลาที่ผมหลับใน รถของหัวหน้าอาจเป็นหนึ่งในคันที่ถูกผมเล่นเอาได้ คิดเช่นนี้แล้วยิ่งต้องหาทางออกให้ได้ ไม่อย่างนั้นละก็…
‘จินตนาการของคุณคือมิตรแท้หนึ่งเดียว’
นั่นมิใช่ประโยคที่มาจากสมองของผมหรอก หากแต่เป็นชื่อหนังสือเล่มหนึ่งที่พบในชั้นวางที่อยู่ริมสุดของห้องสมุดเท่านั้น ผมคิดว่าหากอ่านหนังสือเหล่านี้สักครู่ คงกระตุ้นกายหยาบให้ง่วงพอจะหลับลงได้
ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะเหตุผลกลใดจึงเลือกเล่มนี้มาอ่าน ทั้งที่หน้าปกก็มีแค่ชายวัยกลางคนผมบางที่ทำท่าเหมือนกำลังสั่งสอนคนอ่านด้วยความอวดดีเท่านั้น
เนื้อหาด้านในล้วนอุดมไปด้วยประโยคที่นำมาจากภาพยนตร์ หรือไม่ก็ตัดมาจากคำพูดที่ผู้มีชื่อเสียงกล่าวไว้เท่านั้น ทว่าอ่านเท่าไรก็ไม่พบประโยคที่ว่า ‘จินตนาการของคุณคือมิตรแท้หนึ่งเดียว’ ซึ่งอยู่บนหน้าปกเลยแม้สักครั้ง ใกล้เคียงที่สุดคงเป็นประโยคของนักฟุตบอลต่างชาติที่กล่าวว่า ‘จินตนาการคือเครื่องมือในการเอาตัวรอด’ เท่านั้น
นอกจากจะหยิบฉวยคำพูดคนอื่นมาโดยไม่มีหลักฐานการขออนุญาตแล้ว ยังจะทำหน้าปกไว้หลอกคนอ่านอีกหรือเนี่ย แม้ไม่ได้ชอบหรือเกลียดหนังสือประเภทนี้ แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าทำเกินไปหน่อยเหมือนกัน
ส่วนอีกเล่มที่หยิบมาอ่าน ชื่อเรื่องว่า ‘เพื่อนตัวโปร่งใสในโลกจินตนาการ’ แน่นอนว่าแค่บทนำก็มีสาระมากกว่าที่คาดไว้ และนั่นคือสาเหตุที่อ่านไปสามหน้าก็เริ่มเกิดอาการตาขี้เกียจแล้ว
หลังจากปิดหนังสือลง ผมใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีในการพักสายตา แน่นอนว่าไม่ได้หลับแม้สักวินาที สติของผมนั้นยังคงแจ่มชัดในโลกอันมืดสนิทหลังเปลือกตา ล่องลอยคอยเวลาที่มือถือจะสั่นส่งสัญญาณเตือนว่าหมดเวลานอนแล้ว
ทว่าน่าแปลกที่เสี้ยวหนึ่งในหัว ไม่สิ… เรียกว่ากึ่งหนึ่งในหัวดีกว่า กึ่งหนึ่งที่เหมือนกำลังพักผ่อนได้สำเร็จนั้นกลับมีประกายแสงวาบขึ้น เป็นการตกตะกอนของหนังสือสองเล่มที่ได้อ่านเมื่อครู่
มือถือสั่นบ่งเวลาตื่นแล้ว ผมลืมตาขึ้นพร้อมแนวคิดซึ่งเชื่อมั่นว่าสามารถแก้ไขปัญหาที่กำลังประสบได้
และขากลับบ้านในวันนั้น… ก็ถือเป็นการเปิดตัวของคู่หูในจินตนาการของผม
ผู้มีนามว่า ตัวตนโปร่งใส
อันที่จริงก็แค่ตัวผมเองอีกคนที่นั่งฝั่งข้างคนขับ สวมเข็มขัดนิรภัยไขว้ตรงข้ามกับผมราวกับมองผ่านกระจก เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีเทาเข้มก็ลอกแบบเดียวกันอย่างไร้ที่ติ ต่างไปเพียงแค่เนื้อหนังของคู่หูนั้นโปร่งใสกระทั่งมองทะลุไปยังกระจกอีกฝั่งได้เลย ไม่ต้องบอกก็คงทราบว่าทั้งเส้นผมและคิ้วนั้นก็เป็นลักษณะโปร่งใสเช่นกัน
หน้าที่ของตัวตนโปร่งใสมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการหาเรื่องชวนผมสนทนาระหว่างที่ขับรถเท่านั้น
แม้จะเป็นความคิดที่ถูกรีบเร่งกระทำให้เป็นจริงไปเสียหน่อย แต่ทว่าคู่หูนั้นกลับทำหน้าที่ได้อย่างดีทีเดียว
“รู้สึกไหมว่าเรื่องโจรผัวเมียนั้น ฟังดูเหมือนที่เราเคยได้ยินสมัยเรียนเลย”
เพราะเสียงนั้นไม่มีความต่างจากตัวเองเลย ผมจึงรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย แต่รู้ว่าไม่นานก็ชิน จึงตอบกลับไปอย่างเรียบเฉย “ที่มีอาชญากรหลบหนีคดีฉ้อโกงนับล้านเหรียญ ดันหนีเข้ามาสมัครเป็นคนขายอาหารที่มหาวิทยาลัยใช่ไหม”
“เออ! แม่งโคตรน่าตกใจ แต่จะว่าไป พวกเราแม่งไม่เคยไม่กินร้านนั้นเลย พลาดฉิบหาย”
ดูท่าแล้วตัวตนโปร่งใสจะพูดจาหยาบคายมากกว่าผม แต่นั่นนับเป็นข้อดี อย่างน้อยก็จะได้แยกตัวตนชัดเจน “ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาน่ะดีแล้ว น่ากลัวจะตายชัก”
“แล้วเรื่องมันจบแบบไหนวะ จำไม่เห็นได้เลย”
“อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน คงลาออกหนีไปมั้ง”
“แล้วสรุปนายจะจีบน้องป่านหรือเปล่า”
ผมแทบจะเหยียบเบรกโดยไม่รู้ตัวเพราะความตกใจกับคำถาม
“เอาที่ไหนมาคิดว่าฉันชอบน้องป่านวะ” ผมถามกลับอย่างระรัว ในใจแวบไปถึงเพื่อนที่เข้ามาทำงานพร้อมกัน ผมยาวตรงสีน้ำตาล แววตาสดใสซุกซน ใบหน้าที่หวานกำลังดี ผิวที่แห้งไปหน่อยสำหรับคนวัยยี่สิบสาม แต่แล้วก็ต้องสลัดความคิดนั้นออกไป
“นายอย่าปฏิเสธเลย ชอบเขาก็บอกออกไป”
“จะบ้าหรือ คบกันในที่ทำงานจะไปราบรื่นได้ยังไง”
พอตอบเช่นนั้นตัวตนโปร่งใสก็หันมายิ้มเยาะ “กลัวถูกเจ้านายด่าต่อหน้าแฟนงั้นหรือ”
ผมตัวกระตุกเล็กน้อย ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแค่หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างไม่เป็นธรรมชาติ ทว่าในใจก็แอบโล่งและผ่อนคลาย
นั่นเป็นครั้งแรกที่ทราบว่าตัวตนโปร่งใสไม่ได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผม นั่นสินะ ตัวตนโปร่งใสก็คือตัวตนโปร่งใส ตัวผมก็คือตัวผม
เราคุยกันสัพเพเหระตลอดทาง และแล้วก็จอดรถที่หน้าบ้านอย่างไร้ปัญหา
ตัวตนโปร่งใสจะไม่ปรากฏตัวที่ใดนอกจากภายในรถยนต์สีขาวของผม ทันทีที่เสียบกุญแจแล้วบิด ตัวตนโปร่งใสก็จะส่งเสียงทักทายจากที่นั่งข้างคนขับ
“จากนั้นฉันก็เดินไปบนเส้นทางที่ต้นไม้รอบ ๆ ออกผลเป็นขนมปัง นายว่ามันหมายความว่าอย่างไรล่ะ”
“ขนมปังแบบไหนกัน แบบปอนด์ แบบแผ่น หรืออารมณ์ประมาณก้อนกลม ๆ”
“ในฝันมันเลือนรางมาก แค่รู้ว่าเป็นขนมปังเท่านั้น”
ตัวตนโปร่งใสทำหน้าขบขันกับความฝันเมื่อคืนของผม
“ชั้นว่านายก็แค่หิวก่อนนอนมากกว่า บอกแล้วใช่ไหมว่าต้องกินให้อิ่มท้อง”
“สรุปว่าตีเป็นเลขไม่ได้งั้นหรือ”
“ไม่รู้เว้ย ฉันเองก็ไม่ได้มีความสามารถแบบนั้น”
ยังคุยกันไม่จบก็พบว่าใกล้ถึงทางลงของเส้นทางพิเศษแล้ว ผมจึงเบี่ยงซ้ายลงทางออกหมายเลข 2A เพื่อมาสู่ถนนใหญ่ด้านล่าง จากนั้นก็สนทนากันเรื่องข้าวกลางวันต่ออีกสองถึงสามนาทีก็มาถึงที่หมาย
แต่ความรู้สึกในใจมันไม่เหมือนเดิม… ผมกล่าวกับตนเอง แม้ทุกอย่างในชีวิตจะราบรื่นเหมือนครึ่งปีที่ผ่านมา แต่ทว่าในสมองกลับพยายามส่งเสียงเตือนว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป
ไม่เกี่ยวกับภาระที่ได้รับมอบหมาย ผมยังรักษามาตรฐานของผลงานแต่ละชิ้นได้เป็นอย่างดี อาจจะมีคำผิดหรือตกหล่นไปบ้างบริเวณรายละเอียดของแบบ แต่ก็แก้ไขได้ง่าย ๆ
ถ้าอย่างนั้นความรู้สึกที่ว่า มีบางอย่างเปลี่ยนไป มันน่าจะมาจากตัวตนโปร่งใสใช่หรือไม่
ใช้เวลาครึ่งวันก็ยังคิดอะไรไม่ออก แต่พอได้นั่งทานอาหารกลางวันกับน้องป่าน เพียงคำแรกที่ข้าวเข้าปาก ก็พบคำตอบในสิ่งที่ต้องการทันที
‘ไม่รู้เว้ย ชั้นเองก็ไม่ได้มีความสามารถแบบนั้น’
ประโยคนั้นของตัวตนโปร่งใสคือสิ่งที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง
ที่ผ่านมาทั้งผมและคู่หูคนนี้ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้ง พูดจากันอย่างไร้ซึ่งคำด่าทอ มีหลุด วะ เว้ย ออกมาบ้างประปราย แต่คำว่า ‘ไม่รู้เว้ย’ ของตัวตนโปร่งใสเมื่อเช้า มันดังและเข้มคล้ายกับการตวาด คงเป็นครั้งแรกที่เพื่อนคนนี้แสดงอารมณ์เชิงลบกับผม
คงเพราะถูกเซ้าซี้ให้ทำนายทายทักเรื่องความฝันที่ผมประสบนั่นเอง
เมื่อได้คำตอบแล้วก็ต้องจิตตก เอาอย่างไรดีล่ะ ผมเองหากปราศจากตัวตนโปร่งใสไปสักคน การขับรถไปกลับสถานที่ทำงานก็ไม่ต่างอะไรกับลานประหารชั้นดี จะตายวันไหน หรือจะลากใครลงนรกไปด้วยก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าต้องไม่พูดคุยอะไรให้ตัวตนโปร่งใสหงุดหงิดอีก
ไม่สิ.. ผมเป็นคนสร้างเขาขึ้นมา ทำไมต้องเกรงใจขนาดนั้นด้วย ตัวตนโปร่งใสต่างหากที่ต้องพูดจาให้สุภาพและสงบสติอารมณ์มากกว่านี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงนั่งรอเวลาเลิกงาน จากนั้นจึงเผ่นออกจากออฟฟิศโดยไม่ทำล่วงเวลา
ทันทีที่สตาร์ตรถ โสตสัมผัสก็เฝ้ารอคำทักทายของตัวตนโปร่งใส
ทว่ากลับไร้ซึ่งสรรพเสียง พอหันไปมองด้านข้างก็พบว่าตัวตนโปร่งใสมาอยู่บนที่นั่งแล้ว เพียงแต่ไม่ได้ทักทายอะไร เมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องจึงหันกลับมาคุยด้วย
“มองอะไรหรือ รีบขับสิ วันนี้เลิกงานเร็วก็น่าจะรีบกลับไปพักนะ”
มีความไม่พอใจอยู่ในน้ำเสียง ทว่าไม่หยาบคาย ไม่กรรโชกโฮกฮาก ตัวผมเองจึงไม่มีเหตุที่จะหยิบยกประเด็นเมื่อเช้าเข้ามาถก บางทีคำว่า ‘ไม่รู้เว้ย’ นั่น อาจจะถูกกล่าวออกมาโดยไม่ได้คิดอะไรก็เป็นได้
เพราะประสาทหูที่ไม่ปกติ จึงทำให้แปลเจตนาผิดเพี้ยนไปกระมัง
เมื่อคิดเช่นนั้นก็โล่งใจ และตั้งหน้าตั้งตาขับรถกลับ ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปคือความเงียบงันในห้องโดยสารนี้ ผมไม่รู้จะยกเรื่องอะไรมาคุย ตัวตัวตนโปร่งใสเองก็นั่งนิ่งขรึม ทั้งที่ผ่านมาในรถคันนี้ไม่เคยเงียบเลยแท้ ๆ หากฝ่ายใดหยุดปากไปพักหนึ่ง อีกฝ่ายมักจะหาเรื่องคุยโดยไม่ต้องร้องขอ ราวกับเป็นหน้าที่ด้วยซ้ำ
แต่ไม่ใช่กับวันนี้ ทุกอย่างเงียบแทบจะหยุดนิ่งศูนย์องศาสัมบูรณ์
แต่แล้วก่อนจะถึงซอยเข้าบ้าน การจราจรนั้นแออัดเป็นคอขวด เนื่องเพราะริมซ้ายขวามีคนมักง่ายนำรถส่วนตัวมาจอด ส่งผลให้ช่องทางในซอยนี้เหลือเพียงสองเลนสวนกันเท่านั้น และเมื่อรถหยุดนิ่งเกินสองนาที ตัวตนโปร่งใสก็สบถออกมาเบา ๆ ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ น่าจะเป็นคำว่า แม่ง หรือไม่ก็ บ้าเอ๊ย เรื่องนั้นผมไม่แน่ใจ
จากปากซอยใช้เวลาสิบนาทีก็กลับถึงบ้าน โดยที่ยังไม่ได้เปิดประเด็นเรื่องความสุภาพกับตัวตนโปร่งใส
เปลี่ยนแปลงเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในวันต่อ ๆ มา ผมกับตัวตนโปร่งใสแทบไม่พูดคุยกันเกินสองถึงสามประโยคต่อการขับขี่ครั้งหนึ่ง ไม่ใช่เพราะไร้เรื่องจะคุย แต่ไม่ว่าจะสรรหาหัวข้อใดมานั่งสนทนากัน ก็มักจะลงเอยที่การทะเลาะเบาะแว้ง บางครั้งก็เตลิดไปถึงการด่าทออย่างหยาบคายและทำท่าราวกับจะทำร้ายผม
ซ้ำร้ายหน้าที่การงานก็เริ่มดิ่งลงเหว ผมทำพลาดมากขึ้น ฉุนเฉียวมากขึ้น ถึงขั้นถูกเจ้านายเรียกไปตำหนิในห้องประชุม ร้ายกว่านั้นยังเถียงกลับไปอย่างสีข้างเข้าถู กระทั่งเพื่อนร่วมงานต้องลากตัวผมออกมาสงบสติที่นอกห้อง
เรื่องราวจบลงด้วยดี เมื่อผมเขียนจดหมายขอขมาเจ้านาย และรับโทษตัดเงินเดือนเป็นเวลาสามงวด แต่ผมรู้ดีว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ทั้งหมดมันเกิดจากการขับรถขาไปและขากลับที่แสนจะขมึงตึงเครียด สงครามประสาทของผมกับตัวตนโปร่งใสมันสร้างความกดดันในใจอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งยามค่ำคืน
จากที่หลังตีสามจะเป็นเวลาที่ผมไร้ความรู้สึกตัว ไร้สติ และเพลินเพลิดไปกับการพักผ่อนกายา แต่ความขุ่นเคืองที่มีต่อตัวตนโปร่งใสกลับทวีคูณ เลือดเนื้อในสมองพยายามกลั่นกรองคำด่าที่สามารถเอาชนะมันได้ออกมาไม่ยอมหยุด ไม่ต่างกับเด็กนักเรียนที่รอวันเวลาจะได้ประมือกับนักเลงคู่กัดประจำห้อง
ทว่าในเช้าต่อมาซึ่งเป็นวันศุกร์ ทันทีที่ตัวตนโปร่งใสโผล่ออกมา การถกเถียงอันดุเดือดที่เตรียมมากลับไม่เป็นไปดังคาด เพราะทั้งผมและมันต่างแทบไม่ได้ปริปากอะไร อย่างมากก็แค่ถูกถามว่างานไปถึงไหน ผมเองก็ตอบไปตามตรงว่ายังไม่เสร็จ
และเมื่อกล่าวออกไปลอย ๆ ว่า วันนี้รถติดชะมัด คู่หูอารมณ์แปรปรวนก็พยักหน้าพลางส่งเสียงว่า อืม ในลำคอที่โปร่งใส
หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของผมกับตัวตนโปร่งใสก็ขึ้น ๆ ลง ๆ บ้างถามคำตอบคำ บ้างทะเลาะโวยวาย บ้างก็พูดกันถูกคอราวกับสมัยพบหน้ากันสองถึงสามครั้งแรก
เช่นเดียวกับหน้าที่การงานที่ขึ้นลงราวรถไฟเหาะ บ้างดีเลิศ บางถูกด่าแทบจะร้องไห้
และหลังจากนั้นไม่นาน วันที่แสนเลวร้ายก็มาถึง
วันนั้นเป็นวันจันทร์ ช่วงขาเดินทางกลับจากที่ทำงาน ผมเริ่มบ่นเรื่องอกหักจากน้องป่าน ตัวตนโปร่งใสไม่ได้ปลอบใจหรือแสดงท่าทีสงสาร กลับกันดันส่งเสียงแค่นหัวเราะออกมา ผมจึงถามกลับว่ามันตลกตรงไหน
“ก็ตลกที่มึงเสือกโง่คิดว่าตัวเองจะมีหวังไง”
น้ำเสียงที่ถากถาง แววตาอันเย้ยหยัน ทั้งหมดส่งผลให้ผมสติแตกและด่ามันว่า “มึงมันไม่ควรจะมีตัวตนเลย ไม่สิ ตัวตนของมึงมันไร้ค่ากว่าเงาที่ไม่มีอยู่จริงเสียอีก”
และเท่านั้นแหละเรื่องราวก็ไปกันใหญ่
“มึงต่างหากที่ไม่ควรจะมีตัวตน! ชีวิตของมึงมันกระจอก ล้มเหลว และห่วยแตก อย่างกับขยะที่พยายามกระเสือกตัวเองให้มีประโยชน์ คนที่เห็นค่ามึงก็มีแค่พวกโง่เง่าที่ออฟฟิศเท่านั้น ไม่สิ สักวันหนึ่งที่กูเลิกสงสารมึง เลิกช่วยเหลือมึง มึงก็ไร้ค่าและเป็นแค่เศษขยะของที่ทำงาน พวกมันจะเฉดหัวมึงในไม่ช้า เชื่อกูสิ”
ประโยคด่าทอพุ่งออกจากปากอันโปร่งใส พร้อมนิ้วกลางที่แฝงไว้ด้วยความโกรธแค้น
ผมเบรกรถกลางทางด่วน เคราะห์ดีที่ไร้ซึ่งรถคันอื่นตามมาด้านหลัง จากนั้นจึงชี้กลับไปยังหน้าอดีตคู่หู
“มึง ออก ไป จาก รถ กู”
ผมพูดชัดถ้อยชัดคำใส่ตัวตนที่รูปร่างภายนอกเหมือนกับตัวเองราวกับถอดแบบ ร่างโปร่งใสแสดงความเจ็บปวดออกมาผ่านอวัยวะบนใบหน้า
“อย่าหวังว่ากูจะช่วยมึงอีก” เสียงนั้นเอ่อล้นด้วยความเคียดแค้น
ทีแรกผมไม่เข้าใจหรอกว่าตัวตนโปร่งใสหมายถึงอะไร คิดไปเองว่าคงโกรธเคืองไม่ต่างอะไรกับการทะเลาะในครั้งก่อน และการเดินทางขากลับจากออฟฟิศในวันนั้นก็จบลงที่ผมจอดรถหน้าบ้าน บิดกุญแจแล้วดึงออกจากตัวเครื่อง หันไปก็ไม่พบตัวตนโปร่งใสแล้ว ซึ่งก็ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากครั้งก่อน ๆ หน้าที่ประจำวันของเขาจบลงแค่นั้น
ทว่าในคืนนั้นผมนอนไม่หลับ แม้ว่าจะพยายามข่มตาเท่าไรก็ตาม ตัวเลขสีแดงจ้าบนหน้าปัดนาฬิกาทรงยาวค่อย ๆ เดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า ราวกับต้องการทรมานใจกันให้ตายไป สี่ทุ่มสิบนาที สี่ทุ่มครึ่ง ห้าทุ่ม เที่ยงคืนห้านาที ตีหนึ่ง ตีสองครึ่ง ตีสาม
และเมื่อเวลาผ่านตีสามครึ่ง ผมก็ตรัสรู้แล้วว่าคราวนี้อาการนอนไม่หลับนั้นหนักหนาเกินปกติ ทุกทีไม่ว่าจะอย่างไรก็จะผล็อยหลับหลังตีสามเพียงครู่เดียวเท่านั้น
การทรมานจากนาฬิกายังคงดำเนินอย่างไม่ผ่อนปรน แส้แห่งความกดดันและทุกข์ทนถูกหวดเฆี่ยนใส่แผ่นหลังใต้ผ้าห่มหนา ร่างกายสั่นสะท้านจากอาการที่ร้ายแรงเกินต้าน
ตีสี่ครึ่ง ตีสี่สี่สิบห้า
ตีห้า ตีห้าครึ่ง
และแล้วก็ถึงเวลาหกโมงตรง เสียงจากนาฬิกาและมือถือต่างลั่นขึ้นมาพร้อมกัน
เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าผมมิได้หลับใหลลงเลยแม้วินาทีเดียว
เช้านั้นเป็นเช้าที่แสนทุกข์ทนทรมาน ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีคำจำกัดความใดที่ทุกข์มากกว่าคำว่า ‘ทรมาน’ อีกไหม ถ้ามีก็คงต้องใช้คำคำนั้นไม่ผิดแน่ โดยผมรู้สึกทุกข์ยิ่งกว่าคำคำนั้นอีกสิบตลบ ร่างทั้งร่างแทบจะแหลกเหลวทั้งที่ไม่ได้ถูกกระแทกด้วยสิ่งใด ไม่มีแรงแม้แต่จะบิดลูกบิดประตูห้องน้ำด้วยซ้ำ
และสายน้ำจากฝักบัวก็เย็นจัดกัดกินทุกจุดที่มันสาดกระทบ ผิวหนังแทบจะทะลุเป็นรูไม่ต่างกับถูกหอกน้ำแข็งแทงทิ่มอย่างต่อเนื่อง
ไม่ต้องบรรยายถึงข้าวเช้า เพราะแม้แต่น้ำก็ไม่อาจกระเดือกได้ลง
การอดนอนสักหนึ่งคืนสำหรับคนทั่วไปแล้วคงไม่หนักหนาเท่าไร นาน ๆ ครั้งก็คงพอทำได้โดยไม่ถึงชีวิต แต่สำหรับมนุษย์ที่ฝืนตื่นเช้าอย่างผิดธรรมชาติมาตลอดหลายเดือนแล้ว ผลกระทบนั้นไม่ต่างกับเอาระเบิดมายัดใส่แกนกลางของสังขารเลยทีเดียว ผมไม่มีแรงแม้แต่จะสตาร์ตรถ ทำได้เพียงเสียบกุญแจค้างไว้อย่างนั้น ส่วนร่างกายนั้นได้ทำเพียงพิงอิงแอบไปกับเบาะ กระทั่งแทบจะทะลุลงไป
หากกายหยาบยังง่วงอยู่ การขับรถในวันนี้คงวิบัติแน่ ในใจคิดไปถึงการลาพักร้อนหรือลาป่วย แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าตนเพิ่งถูกขอร้องให้รับงานสำคัญมาหมาด ๆ เป็นชิ้นงานที่ไม่สามารถทำให้เสร็จหากไม่ลงแรงต่อเนื่อง การลาจึงมิใช่ตัวเลือก มีทางเดียวคือต้องฝืนขับแล้วขอพึ่งพาศักยภาพของตัวตนโปร่งใสเท่านั้น
เมื่อคิดหาทางขอโทษขอโพยออกจึงรีบบิดกุญแจทันที
เสียงเดินเครื่องดังขึ้นพร้อมแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยไปทั่วทั้งคันรถ ทว่ากลับไม่มีวี่แววของตัวตนโปร่งใสแต่อย่างใด
‘อย่าหวังว่ากูจะช่วยมึงอีก’
คำพูดนั้นถูกทวนซ้ำอีกทีในโสตประสาท ผมรีบบิดกุญแจกลับแล้วถอนออก จากนั้นจึงเสียบเข้าไปแล้วสตาร์ตรถอีกทีด้วยใจระรัว
ทว่าที่นั่งข้างคนขับก็ยังไร้การปรากฏกายของคู่หูตัวโปร่งแสง
และจากวันนั้นตัวตนโปร่งแสงก็ไม่โผล่กายออกมาให้ผมเห็นอีก
แน่นอนว่าสภาวะการหลับใหลของผมก็เริ่มกลายเป็นสภาวะหายากขึ้นทุกที ทุก ๆ สองถึงสามวันจะมีค่ำคืนที่ผมไม่อาจนอนได้เลยแม้วินาทีเดียว การพบผู้เชี่ยวชาญก็ประสบแต่คำตอบเดิม คือไม่อาจหาสาเหตุและทางแก้ไขได้ การเดินทางในแต่ละวันจึงเต็มไปด้วยความยากลำบาก วิทยุยังคงเล่นแต่ข่าวการเมืองและอาชญากรรม ราวกับว่าเวลานี้เสียงเพลงได้ถูกถอดออกจากทุกสถานีในประเทศไปเสียแล้ว
แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ผมฝืนขับทั้งที่สังขารไม่อำนวย นั่นเพราะการงานกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น จึงจำเป็นต้องฝืนเพื่อลืมความทรมานจากอาการที่ประสบ และลืมความเหงาจากการไร้ซึ่งคู่หูไปก่อน
ผ่านมาอีกสามวัน ผมรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่ารถของตัวเองนั้นจอดอยู่ตรงกลางทางเดินเท้า พร้อมเสียงโวยวายเอะอะทะลุเข้ามาภายในรถอย่างน่าตกใจ เมื่อมองไปด้านขวาจึงพบสาเหตุที่เสียงดังสามารถลอดเข้ามาได้ นั่นเพราะกระจกข้างมันแตกจากการถูกกระแทก และสิ่งที่ทำร้ายมันก็คือหัวของผมเอง
หลับตาหนึ่งครั้ง ผมก็ฟื้นมาที่ห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาลแล้ว พ่อกับแม่เล่าว่าผมหลับในช่วงขาไปทำงาน และขับรถเสยขึ้นทางเดินเท้า พุ่งชนร้านขายข้าวแกงของลุงทูลที่บ้านผมทานเป็นประจำ โชคช่วยที่บังเอิญลุงแกหยุดในวันนั้นพอดี ไม่เช่นนั้นทั้งหมดคงไม่จบแค่จ่ายค่าปรับและขึ้นไปรายงานต่อศาลแน่นอน บางทีอาจต้องย้ายไปนอนในคุกหลายปีด้วยซ้ำ…
จากวันนั้นก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ศาลตัดสินให้ผมถูกระงับใบขับขี่เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มพร้อมทำงานเพื่อสังคมสองเดือน ทว่าชีวิตและสุขภาพกลับดีขึ้นอย่างน่าแปลกใจ
ผมได้งานใหม่จากคนรู้จักที่ชักชวนเพราะเห็นความสามารถ ออฟฟิศนั้นตั้งอยู่ห่างจากบ้านไม่ถึงสี่ร้อยเมตร เป็นสำนักงานขนาดย่อมที่เริ่มงานเก้าโมงหรืออาจสายถึงเก้าโมงครึ่ง อันเป็นระยะและเวลาที่สามารถเดินไปได้ โดยยังได้นอนเกือบจะเพียงพอ
สองวัน สามวัน พอรู้สึกตัวก็เดินทางไปทำงานครบหนึ่งปีแล้ว ทุกอย่างเริ่มไปได้สวย เงินเดือนที่ได้รับไม่ต่างจากที่เก่า บางครั้งก็แอบถามตนเองว่าทำไมจึงไม่ลาออกจากที่เก่ามาแต่แรกนะ แต่เพราะนึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นยังไม่ถูกชวน ประเด็นนี้จึงถูกปัดตกไป แต่ยอมรับว่ายังแอบเอามาคิดซ้ำ ๆ ไปมาในช่วงเวลาว่างอยู่เหมือนกัน
แต่แล้วในกลางดึกของวันหนึ่ง ชีวิตที่ไม่ต้องขับรถของผมก็ชะงักลง เมื่อผู้เป็นแม่ลืมโทรศัพท์มือถือไว้ในรถ จะออกไปหยิบก็อ้างว่าดึกแล้วจึงไม่อยากใส่ชุดนอนลงไป ผมที่ยังไม่อาบน้ำจึงถูกพ่อสั่งให้ไปหยิบแทน
ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก แค่เปิดประตูบ้านแล้วเดินไปหยิบมือถือออกจากรถก็เท่านั้น
ทว่า… เมื่อเปิดประตูฝั่งข้างคนขับออก ในใจก็เกิดความคิดบางอย่างที่น่าเวทนา รู้สึกตัวอีกทีก็มานั่งหลังพวงมาลัยแล้ว กระเป๋าหน้าของกางเกงข้างซ้ายคับตึงจากมือถือของแม่ ปลายกุญแจรถกำลังจ่อเสียบที่รู
แม้จะเกินระยะเวลาระงับใบขับขี่แล้ว แต่ตัวผมก็แทบไม่เคยแตะต้องพวงมาลัยหรือนั่งรถยนต์อีก อย่างดีก็ขึ้นแท็กซี่ไปเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนนาน ๆ ครั้งเท่านั้น ในใจรู้ซึ้งว่าสิ่งที่กำลังจะทำอยู่ตอนนี้ มันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี… อย่าเลย ไม่จำเป็นต้องพบเจอกับชายคนนั้นอีกแล้ว
เมื่อบอกกับตัวเองเช่นนั้น มือก็ออกแรงเสียบกุญแจเข้าไปแล้วบิดทันที
เสียงสตาร์ตรถดังขึ้นกลางดึก ผมหันไปมองด้านซ้ายด้วยความหวังที่ไม่เป็นรูปร่าง ไม่แน่ใจว่าตนปรารถนาสิ่งใด
แน่นอนว่าไม่มีใครนั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ ไม่มีเสียงโวยวายหรือทักทาย มีเพียงตัวผมที่ไหวกายไปมาจากแรงสั่นเล็กน้อยของเครื่องยนต์เท่านั้น