ผีไร้ความทรงจำ ในโลกไร้ผู้คน

ผีไร้ความทรงจำ ในโลกไร้ผู้คน

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

อ่านเอาเล่าสนธยา เรื่องสั้นอ่านเพลิน โดย ไข่เจียวหมูสับ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้เพลินไปกับเรื่องราวมากมายที่ยากจะคาดเดา พร้อมเก็บเกี่ยวแง่คิดดีๆ ผ่านทุกตัวอักษร เมื่ออ่านจบคุณจะพบว่า บางครั้งแค่เปลี่ยนมุมมองชีวิตก็เปลี่ยน ลองสัมผัสกับ อ่านเอาเล่าสนธยา ที่ anowl.co เว็บไซต์นวนิยายที่คัดคุณภาพมาให้คนรักงานเขียนได้อ่านกัน

 

ตัวเลขดิจิตอลสีแดงที่ประดับอย่างหรี่จางบนหน้าปัดนาฬิกานั้นบอกเวลาเที่ยงกับอีกสองนาที แนวยาวของตัวเครื่องบอกเวลานั้นทำให้คิดไปถึงฮอตด็อกโดยไม่ทราบสาเหตุ บางทีตัวผมในขณะที่ยังหายใจอยู่คงโปรดปรานเมนูนี้ล่ะมั้ง

ช่องขนาดหนึ่งเซนติเมตรด้านข้างของเลขเวลา แสดงอักษรย่อของประเทศ โดยมันขึ้นว่า CR-16 ซึ่งก็ไม่ทราบจริง ๆ ว่าหมายถึงประเทศอะไรกันแน่

อาจฟังดูโง่เขลาที่ผมไม่ทราบอะไรเลย แต่นั่นก็เป็นความจริง ตั้งแต่ที่พบว่าตนเองเป็นวิญญาณที่ล่องลอยไปมาในเมืองแห่งนี้ ผมก็ยังจำอะไรเกี่ยวกับตนเองไม่ได้เลย

แน่ล่ะว่าแรกเริ่มเดิมที่มีสติกลับมาในรูปแบบของร่างกายที่มองทะลุได้ ตัวผมก็พยายามหาเบาะแสว่าตนเป็นลูกเต้าเหล่าใคร แต่ก็ไม่พบอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ความทรงจำในการดำรงชีวิตนั้นครบถ้วน ทราบดีว่าปูอัดทำมาจากปลา เบคอนทานมากจะไม่ดีต่อสุขภาพ และจุดจบของผู้นำเผด็จการของประเทศที่มีแต่ฝนและความรุนแรงนั้นจบลงอย่างไร แต่กลับจำประวัติของตนเองไม่ได้ อันที่จริง อาจต้องกล่าวว่าไม่รู้เสียมากกว่า เพราะรู้สึกว่าราวกับไม่เคยมีความทรงจำสมัยมีชีวิตเสียด้วยซ้ำ

 

ผมเดินไปมาในห้องนอนนี้มาสองชั่วโมงแล้ว ที่ไม่ยอมออกไปก็เพราะรูปโปสเตอร์ดาราตะวันตกที่แปะอยู่เต็มกำแพงนั้นสวยงามเกินจะละสายตา มันมิใช่ห้องของผมหรอกแต่การเดินทะลุกำแพงได้ก็เป็นเหตุให้ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากใคร

หมอนและผ้าห่มเต็มไปด้วยฝุ่นหนาและเก่ากึก คิดว่าคงไม่มีคนมาดูแลนานหลายเดือนแล้ว

ลืมบอกไปว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าเป็นผีที่ไร้ความทรงจำ ก็คือการเป็นผีในโลกที่ไม่มีผู้คนไงล่ะ ถูกแล้ว ตั้งแต่จำความได้ในฐานะผี ผมร่อนไปหลายเมืองแต่ก็ยังไม่พบสิ่งมีชีวิตใด ๆ เลยแม้แต่น้อย แม้แต่แมลงสักตัวก็ไม่มี

ไม่ช้าผมก็เดินออกจากห้องนี้โดยทะลุประตูไม้สีขาว ลอยลงมาชั้นล่างโดยไม่สนขั้นบันได และเมื่อออกจากบ้านก็พบว่าแสงแดดเริ่มจางลงทั้งที่ยังเที่ยงวันอยู่ บ้านหลังต่อไปที่ต้องการเยี่ยมเยือนคือหลังที่ทาสีเขียว สาเหตุที่เลือกมีสองข้อ ข้อแรกคือผมชอบสีเขียว ส่วนข้อที่สอง มันเป็นบ้านหนึ่งในสองหลังที่ยังมีสภาพพอจะเรียกได้ว่าบ้านอยู่ หลังอื่นนั้นผุพังเละเทะ บางหลังเหลือเพียงแค่โครงแล้วด้วยซ้ำ

 

เข้ามาไม่ทันไรก็พบสิ่งที่น่าสนใจ บริเวณชั้นสองที่น่าจะเป็นห้องนอนเจ้าของบ้าน ผมพบสมุดบันทึกเล่มสีเทาที่ดึงดูดสายตา มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์ผิดกับตู้เซฟที่ห่อหุ้มมันไว้ กล่องเหล็กสีน้ำเงินทรงเหลี่ยมที่หนาราวกับต้านทานได้ทุกสรรพสิ่ง บัดนี้มีสภาพผุผัง ส่วนบนด้านขวาหลุดหนาเหวอะหวะด้วยแรงมหาศาลของอะไรสักอย่าง กระทั่งเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน

เพราะผมไม่สามารถหยิบบันทึกนั้นออกมาได้ แม้ทางจะสะดวกและมือยาวเพียงพอก็ตาม ด้วยเพราะสภาพวิญญาณนี้มีแรงพอจะขยับอะไรที่เบากว่าสมุดบาง ๆ เท่านั้น พวกท่อนเหล็กหรือต้นไม้นั้นลืมไปได้เลย สมุดเล่มนี้ก็หนาเกินกว่าจะเขยื้อนไหว จึงทำได้เพียงชะโชกหัวเข้าไปในตู้เซฟ จากนั้นจึงใช้ปลายนิ้วที่ซีดขาวแตะลงไปที่หน้าปกของสมุดบันทึกแล้วเปิดทีละหน้าเท่านั้น

บันทึกเล่มหนาถูกเขียนไปเกินครึ่ง นับคร่าว ๆ น่าจะหลายเดือนอยู่

‘ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไอ้ระยำเอ้ย คาล ชั้นบอกแกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวังตัว แต่ก็ช่างเถอะ ไอ้หอกหักอย่างแกทำได้เท่านี้ก็ดีแล้ว หากตั้งใจเรียนตั้งแต่เด็กเหมือนฉัน ก็คงสบายไปแล้ว’

‘อย่าลืมวันเวลาที่เรานัดกัน ที่นั่นเราจะพบพรรคพวกอีกมาก ไม่มีใครเหงาหรอก’

‘พิกัด 24.16.968.C.26’

‘เอามือถือไปด้วย แม้สัญญาณจะห่วยสัXว์ แต่คงพอติดต่อหากันได้ ไม่อย่างนั้นคงหากันไม่เจอแน่นอน’

‘รหัสคืออาวรณ์’

 นั่นคือบันทึกหน้าท้าย ๆ ของเล่ม ส่วนก่อนหน้านี้นั้นไม่มีอะไรน่าสนใจ มีแค่เล่าเรื่องการปลูกผักและการขัดกระจกรถยนต์เท่านั้น

ดูทรงแล้วผู้เขียน (ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นหญิงหรือชาย) คงออกเดินทางล่วงหน้าไปยังตำแหน่งตามพิกัดนี้ และรอคอยให้คนที่ชื่อคาลไปหา

เอามือถือไปด้วย… ไม่อย่างนั้นคงหากันไม่เจอแน่นอน

แสดงว่าที่ที่จะไปคงมีคนจำนวนมากทีเดียว ความคิดนี้ทำให้ผมรู้สึกสนใจสถานที่ดังกล่าว จึงเริ่มมองหารายละเอียดเพิ่ม

อีกสิ่งที่อยู่ด้านในเป็นเศษกระดาษที่ถูกตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเกือบจะจัตุรัส เมื่อใช้แรงที่มีหยิบขึ้นมาพิเคราะห์ ก็เห็นชัดว่าด้านหนึ่งของมันมีรอยปรุที่คล้ายถูกดึงส่วนที่เหลือออกไป

น่าจะเป็นตั๋วอะไรสักอย่าง… เมื่อลองอ่านรายละเอียดก็พบว่าเป็นภาษาที่ผมไม่รู้จักมาก่อน ทว่าก่อนจะตัดใจวางลง ก็พบว่าส่วนล่างนั้นมีระบุโดเมนของเว็บไซต์หนึ่งอยู่

‘YYY://No_Soul_Ever.com’ PASS: 67278 – 6

ไม่มีวิญญาณอีกต่อไป… คำแปลหยาบ ๆ นี้ ส่งผลให้ตาแทบถลน ใจระส่ำทั้งที่ไร้ร่างกาย หรือว่าอาจจะเกี่ยวกับการที่ไม่พบเจอวิญญาณอื่นใดเลยนับแต่จำความได้กันนะ

ส่วนจะเกี่ยวข้องกับตั๋วเมื่อครู่หรือไม่ เรื่องนั้นยังไม่แน่ใจ แต่เดาว่าใช่ ไม่สิ มันต้องเกี่ยวข้องกันอย่างมิต้องสงสัย

สามเดือนที่มัวงมเข็ม ในที่สุดก็เจออะไรที่เหมือนเบาะแส

พิกัดดังกล่าวน่าจะเกี่ยวข้องกับตั๋วนี้แน่นอน แต่จะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าตำแหน่งนั้นคือที่ใดกัน ผมพอจะพิมพ์คีย์บอร์ดได้ แต่ไม่พบคอมพิวเตอร์ในบ้านหลังนี้เลย

หลังจากใช้เวลาวนไปมาในห้องเกือบสิบนาที จึงตัดใจลอยลงมาชั้นล่างเพื่อหาเบาะแสเพิ่ม แต่ก็เสียเวลาเปล่า วิทยุที่วางไว้ใช้การไม่ได้ โทรทัศน์ก็มีแต่เสียงซ่า ไม่มีกระทั่งภาพที่ฉายออกมา น่าแปลกที่ไม่พบหนังสืออะไรในบ้านหลังนี้เลย นอกเสียจากบันทึกเล่มนั้น

ดูจากที่เขียนประสบการณ์ลงในบันทึกแทบทุกวันเป็นเวลาหลายเดือน แถมยังเอ็ดคนชื่อคาลว่าไม่ตั้งใจเรียน ผู้เขียนน่าจะชอบการอ่านไม่มากก็น้อย ทำไมจึงไม่มีหนังสือเล่มอืนอยู่เลย หรืออาจจะเก็บไปไว้ที่อื่นกันนะ

หากมีนิสัยที่เก็บบันทึกส่วนตัวไว้ในเซฟแล้ว น่าจะเดาได้ไม่ยากหรอก เมื่อชำเลืองมองที่พื้นมุมห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่เปิดประตู้ค้างไว้ ก็พบว่าบนพื้นที่เปื้อนฝุ่น มีร่องรอยส่วนที่ไม่เสมอกันอยู่เป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดที่ตัวคนมุดเข้าไปได้

ประตูห้องใต้ดินสินะ ผมยิ้มกระหย่อง ก่อนจะลอยลงไปด้านล่างของประตูลับนั้น

ชั้นล่างเป็นห้องสมุดขนาดย่อม ตามที่คาดไม่ผิดเลย

ห้องสี่เหลี่ยมขนาดประมาณห้าคูณห้าเมตร มีหนังสือประมาณห้าร้อยเล่มถูกจัดเรียงใส่ตู้ที่วางเรียงกันตามกำแพงห้องอย่างเป็นระเบียบ ผมพยายามมองหาหนังสือที่ต้องการ

โป๊ะเชะ ชื่อเรื่องที่สลักไว้ตรงสันหนังสือเล่มสีทองอร่อม มันเขียนว่า

To The Place Where Is No Soul.

น่าสนใจ… ผมพยายามใช้แรงทั้งหมดในการเกี่ยวหนังสือเล่มนั้นให้ร่วงลงกับพื้น ไม่นานก็สำเร็จ ฝุ่นบนพื้นฟุ้งขึ้นมาจากน้ำหนักของหนังสือ จากนั้นมันจึงมันกางออกโดยหงายด้านที่มีเนื้อหาขึ้น นับว่าโชคดีนัก

จากจำนวนหน้าประมาณห้าร้อย มันหงายตรงหน้าสองร้อยยี่สิบหกกับสองร้อยยี่สิบเจ็ด เนื้อหานั้นถูกพิมพ์ด้วยหมึกน้ำเงินแปลกตา ไม่ยักรู้ว่ามีการใช้สีตัวหนังสือแบบนี้ด้วย เมื่ออ่านไปเล็กน้อยก็พบว่ามันมีชุดตัวเลขระบุพิกัดหลายตำแหน่ง ที่ด้านหลังของพิกัดจะมีชื่อสถานที่อยู่ภายในวงเล็บ และจะมีภาพสถานที่ประกอบพิกัดนั้น ๆ อยู่ด้านล่าง แม้จะไม่ชัดคมแต่ก็พอมองออก

ง่ายชะมัด เท่ากับว่าแค่ผมหาพิกัด 24.16.968.C.26 ซึ่งได้มาจากบันทึกที่ชั้นบนเจอ ก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าคือสถานที่ใด อาจจะฟังดูแฟนตาซีไปเสียบ้าง แต่หากวิญญาณอย่างผมได้เห็นภาพของสถานที่ใดแล้ว การจะพาตัวเองไปโผล่ยังแห่งหนนั้นในพริบตา… มิใช่เรื่องยากอะไรเลย

แต่ละหน้าจะมีชุดพิกัด ชื่อสถานที่ และภาพประกอบ จำนวนสี่ชุด เนื้อหาห้าร้อยสิบสองหน้า กว่าจะเจอพิกัดที่ตามหา คงใช้เวลานานทีเดียว

ผมเริ่มใช้แรงเปิดหน้ากระดาษพลิกไปมาอย่างตื่นเต้น อากาศในห้องใต้ดินน่าจะร้อน แต่ก็ไม่มีผลอะไร

ทว่าผ่านไปพักใหญ่ก็ไม่พบพิกัดนั้นในหนังสือเล่มนี้ ความร้อนใจกัดกินกระทั่งผมยังรู้สึกอึดอัดและเหนียวตัวทั้งที่ไม่มีร่างกาย

หน้ากระดาษที่เหลืออยู่ถูกพลิกให้บางลง บางลง และเมื่อถึงหน้าสุดท้ายก็ยังไม่พบตำแหน่งที่ต้องการ

เป็นไปไม่ได้หรอก ก็ระบุในบันทึกเสียชัดเจนปานนั้น แถมยังมีหนังสือที่ชื่อไปในทิศทางเดียวกันอีก

ทว่า หากคิดอีกแง่มันอาจจะมีเล่มก่อนหน้าหรือไม่ก็เล่มต่อจากนี้ก็เป็นได้

ผมลอยไปยังชั้นหนังสืออีกรอบ แต่ก็ไม่พบเล่มใดที่น่าจะเกี่ยวข้องเลย

มันต้องมีอะไรผิดพลาด… หรือถูกมองข้ามไปแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้นจึงลอยกลับมาเปิดดูใหม่ แต่ผลก็ตามเดิม

หลังจากนั้นผมก็สติแตกพอสมควร จึงปล่อยตัวลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าบริเวณความสูงระดับเลยก้อนเมฆหนา หัวที่มองทะลุได้ก็เริ่มเย็นลง นั่นสินะ มันไม่ควรจะยากขนาดนี้หรอก มันต้องมีอะไรผิดพลาด

หากบันทึกนั้นถูกต้อง คนจำนวนมากน่าจะเดินทางไปยังพิกัดนั้น (มากพอจะทำให้คนหายไปจากทั้งเมือง) และหากพิกัดมันหายากราวกับเป็นปริศนาเช่นนี้ คนจะไปกันจำนวนขนาดนั้นได้อย่างไรเล่า

มันต้องชัดเจนกว่านั้น และที่สำคัญ… จะมีพิกัดอื่น ๆ เขียนลงมาทำซากอะไร

ผมกลับลงมาที่ห้องนั่งเล่นที่ชั้นล่างเพื่อสงบสติอารมณ์ มองเห็นผ้าม่านสีขาวที่เก่าโรยราไสวไปมาจากสายลมแผ่ว ไม่รู้ทำไมรู้สึกหัวโล่งขึ้น นั่นสินะ พิกัดในเล่มต้องมีความหมายสิ ไม่แน่ว่าแต่ละคนจะมีพิกัดไม่ตรงกัน อาจจะแบ่งเป็นรายเมืองหรือรายเขต ไม่อย่างนั้นหากไปที่เดียวกันหมด คงไม่มีสถานที่ใดรับไหวหรอก

ถ้าเช่นนั้น ผมควรจะลองไปตามพิกัดใดสักแห่งในเล่มดูดีไหมนะ แค่นั้นก็คงได้เบาะแสเพิ่มมากแล้ว

แต่ทว่าในใจ (หมายถึงในความคิด ไม่ใช่ในหัวใจที่ไม่มีอยู่หรอกนะ) กลับบังคับให้หมกหมุ่นกับพิกัดในบันทึกของ (คนที่น่าจะเป็น) เจ้าของบ้านหลังนี้มากกว่า จะเรียกว่าความอยากเอาชนะก็ไม่ผิดนัก

และเมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็เหมือนจะตระหนักถึงบางสิ่งที่อาจจะสำคัญ เออว่ะ ไอ้เวรเอ๊ย เอ็งมัวแต่สนใจเนื้อหาภายในหนังสือ เสือกไม่เปิดดูพวกบทนำหรือสารบัญเลย บางทีอาจจะมีคู่มือบอกอยู่ก็ได้ ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เอ็งคงเป็นพวกไม่ค่อยอ่านหนังสือเหมือนกับคนที่ชื่อคาลก็เป็นได้

ผมแอบก่นด่าตนเอง ไม่กล้าออกเสียงออกมา ทั้งที่ตะโกนไปก็ไม่มีเสียง แถมยังไม่มีคนได้ยินแท้ ๆ แต่ก็นั่นแหละ สมบัติผู้ดีควรจะมีไว้

ผมรีบลอยกลับไปเปิดหนังสือที่ห้องใต้ดินใหม่ พลิกไปที่หน้าแรก ๆ ของหนังสือ

โป๊ะเชะ สายตาของผมพลันพบเข้ากับพิกัดที่ต้องการในทันที และมันเขียนพิมพ์อยู่บริเวณหน้าปกในที่เอาไว้แสดงรายละเอียดการพิมพ์ของหนังสือ

ประตูบานแรกสู่อิสรภาพ 24.16.968.C.26

จากนั้นก็มีรูปภาพชั้นล่างของอาคารที่คล้ายกับโรงเรียน เห็นเพียงส่วนชั้นล่างที่มีประตูทางเข้าพร้อมนาฬิกาแขวนด้านบน ก็พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นโรงเรียนที่มีพื้นที่ประมาณหนึ่ง ก่อสร้างด้วยอิฐสีส้มหรือน้ำตาลก็ไม่ทราบ เพราะมันเป็นรูปขาวดำ ดูทรงแล้วท่าทางจะเก่าแก่พอตัว…. พิกัดที่ว่าคือพิกัดของสถานที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้สินะ คงเป็นสำนักพิมพ์ของสถานศึกษาเอง

เมื่อนั้นเองที่ผมมีเบาะแสพอจะข้ามสถานที่ไปยังพิกัดนั้นได้แล้ว…

พริบตาเดียวผมก็ย้ายร่างวิญญาณมาถึงโรงเรียนแห่งนั้น และใช่ มันเป็นโรงเรียนจริง ๆ เพราะป้ายชื่อเขียนบอกเอาไว้

โรงเรียนชื่ออะไรคงไม่ต้องสนใจ เพราะดูท่าว่าจะเป็นโรงเรียนร้าง… ที่ดินมากมายพร้อมสิ่งปลูกสร้างถูกทิ้งให้สกปรกและทรุดโทรม สัมผัสได้ถึงความร้างไร้ ไม่มีแม้แต่ผีให้พูดคุย แต่แล้วเมื่อเดินผ่านป้ายประกาศบริเวณสนามฟุตบอล ก็พบกระดาษชุดหนึ่งติดอยู่ มันถูกตรึงไว้ด้วยหมุดสีแดงที่ปักเข้าไปอย่างสุดแรงกระทั่งหัวกระดาษบริเวณนั้นยับยุ่ย

‘คาลไม่มาตามนัด ฉันน่าจะรู้ เขาไปทางเหนือแทน ฉันไม่ชอบสาขาทางเหนือเลย แต่ช่างเถิด พวกเขายอมรับยาของฉันไปโดยไม่มากความ ฉันคงจะบ่นมากมิได้

…อาวอน ฉันอยากพบเธอจริง ๆ อยากส่งข้อความไป แต่ระบบทุกอย่างถูกปิดกั้นหมดแล้ว จึงเหลือเพียงบันทึกนี้เท่านั้น

อาวอนที่รัก บัดนี้ ฉันกำลังติดในกับดักของสองแนวคิด ซ้ายขวาคือความเจ็บสาหัส ระหว่างชุดแนวคิดว่าเราเป็นแค่เสี้ยวเล็ก ๆ ในจักรวาลกว้างใหญ่ ไม่มีค่าอะไรมากไปกว่านั้น หรือชีวิตนั้นสำคัญเกินกว่าจะใช้อย่างไร้ค่า ความถูกต้องคือการปล่อยวาง หรือการใช้ทุกวินาทีให้เต็มที่กันแน่

ฉันกลัวเหลือจะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ อาวอน กลัวจริง ๆ

อย่างที่เคยพร่ำบ่นกับเธอซ้ำไปมาไม่รู้จบ ในช่วงที่ฉันจะพ้นจากสังขารนี้ไป ไม่ว่าจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ฉันอยากให้ช่วงเวลานั้นเป็นขณะจิตที่ฉันไม่มีความเสียดายอาวรณ์ใด ฉันอยากจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรให้เสียใจ ไม่มีอะไรให้เสียดาย ฉันใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเต็มที่แล้ว

แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นไปตามนั้นเล่า หากในช่วงเวลาก่อนจะดับดิ้น ฉันทรมานเกินกว่าจะคิดสิ่งใดในแง่ดี ทุกข์ทนกับความเสียดายในสิ่งที่ยังไม่สำเร็จ สิ่งที่ล้มเหลว อาวรณ์ในความสัมพันธ์ทั้งหมด หวาดกลัวสิ่งที่จะได้เจอหลังจากสูญเสียชีวิตไป หรืออาจจะเพ้อด้วยยาลดความเจ็บปวดที่ทำงานสุดความสามารถของพวกมันแล้ว หรืออาจจะแน่นิ่งไม่รู้สึกตัวมาตั้งนานนม

ทั้งหมดกัดกินฉันจากภายใน ราวกับว่าในกายมีเพียงความทุกข์เท่านั้น อาวอน เธอจะปลอบฉันเหมือนเดิมได้ไหมนะ

ฉันต้องปล่อยวางระดับไหน ฉันต้องจริงจังกับชีวิตเพียงใด ต้องคาดหวังหรือไม่ มันไม่มีตรงกลางระหว่างสิ่งเหล่านี้เลย ฉันกำลังจมลงในลำธารทั้งที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้า ขาดอากาศ จุกแน่นทั้งอก ท้องป่วนราวกับคลื่นทะเล

ฉันมิได้สร้างเธอมาเพื่อให้คำตอบ เพราะฉันก็ไม่ทราบคำตอบ เมื่อฉันหลับลงไป จะมีอะไรรออยู่ การเผชิญหน้ากับทุกข์ครั้งใหม่ หรือความว่างเปล่านิรันดร์

ฉันจะหายไปงั้นหรือ ไม่มีอะไรที่เป็นฉันอีกต่อไป มีเพียงร่างที่กลายเป็นสารประกอบต่าง ๆ ทุกคนจะจดจำฉันอยู่ภายในใจ ในความทรงจำทั้งดีและร้าย แต่สำหรับฉันล่ะ ฉันจะอยู่ตรงนั้นจริง ๆ หรือ หากฉันไม่มีอยู่แล้ว สิ่งที่อยู่ในความทรงจำของทุกคนคืออะไร

เป็นฉัน… เป็นฉันได้หรือไม่ ฉันจะไปมีตัวตนในเรื่องราวในสมองของคนอื่นได้ไหม ฉันไม่อยากหายไป หรือถ้าหายไป ก็อยากจะหายไปอย่างเต็มใจ แต่หากฉันทรมานตรอมตรมทนทุกข์ในช่วงที่หายไปเล่า…

ฉันสรรสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้นมามากมาย หวังว่าจะให้กำเนิดผลงานที่เป็นหลักฐานการมีตัวตนของฉัน แต่มันสำคัญหรือ หากฉันไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป ความภาคภูมิใจในการมีตัวตนจักไปตกอยู่กับใคร อาวอนหรือ หรือว่าคาล หรือฉันในความทรงจำคนอื่น…

แน่นอนว่าฉันอยากให้เธอและคาลมีความสุข หลังจากที่ฉันหายไปแล้ว (คาลจากไปก่อน เพราะฉะนั้นคงทำส่วนของเขาไม่ได้แล้ว) แต่ฉันก็ยังมีความเห็นแก่ตัวในแบบของฉันเองอยู่ ดีใจนะที่อาวอนเข้าใจมาตลอด

หากข้างนอกนั้นไม่มีอะไรนอกจากความมืดและความดับสูญว่างเปล่า ไม่มีการว่ายเวียนหรือเกิดตาย ถ้าเช่นนั้นเราทุกคนก็ล้วนแต่มีศักยภาพในการหลุดพ้นจากโลกนี้ทั้งสิ้นใช่ไหม

บอกฉันที อาวอน

หรือว่าการที่เรารู้คำตอบจะช่วยให้มันง่ายขึ้น หรืองานวิจัยของฉันมันถูกต้องแล้วจริง ๆ คำตอบที่ฉันพยายามบังคับทุกชีวิต (ยกเว้นตนเอง) ให้ยอมรับ มันสมควรแล้วหรือเปล่านะ

หวังว่าเราจะได้พบกัน ในที่ซึ่งไร้วิญญาณและตัวตน เธอเองก็คงมาถึงได้เช่นกัน

 

มอร์แกน’

 

เอาล่ะ ผมเริ่มงงแบบสุด ๆ แล้ว มันเกิดเชี่ยอะไรขึ้นวะเนี่ย

ที่พอจะคาดเดาได้คือ คนที่ชื่อมอร์แกนทำอะไรสักอย่าง น่าจะเป็นโครงการ ที่เกี่ยวข้องกับคำกลุ่มนี้ ยา นวัตกรรม ไร้ซึ่งวิญญาณ พยายามบังคับทุกคน (ยกเว้นตนเอง) ให้ยอมรับ

และโครงการนั้น… น่าจะเป็นสาหตุที่ทำให้คนทั้งโลกหายไป คิดอย่างนี้จะเข้าข้างตัวเองไปไหมนะ แต่ก็เข้าเค้าที่สุดแล้ว

คล้าย ๆ กับลัทธิอะไรบางอย่างงั้นหรือ บอกว่าอย่างโง้นอย่างงี้ จากนั้นคนชื่อมอร์แกนก็ชักชวนทุกคนให้ไปตามพิกัดต่าง ๆ จากนั้นก็…

ฉิบหาย ผมไม่กล้าจะคิดต่อ

ยาของมอร์แกนจะทำลายวิญญาณของผู้ที่เสพเข้าไป นั่นคือสิ่งที่คิดอยู่ในหัวอันมองทะลุได้ของผม

ไม่สิ จะเป็นไปได้ยังไง ต่างคนต่างความคิด จะไปบังคับทุกคนให้… ให้ปลิดชีวิตตัวเองได้อย่างไร มันต้องมีคนที่เห็นต่างสิวะ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ล้วนต้องมีสัญชาติญาณในการเอาตัวรอดอยู่แล้ว…

 

แล้วจะเอาอย่างไรต่อล่ะวะ ถ้าโครงการของมอร์แกนสำเร็จจริง คนก็ตายกันหมดแล้วหรือเปล่า  และน่าจะตายแบบไม่เหลือวิญญาณด้วยใช่ไหม แล้วผมล่ะ ตัวผมเองได้เข้าร่วมโครงการอะไรนั่นด้วยไหม

ถ้าใช่ แล้วทำไมผมถึงยังหลงเหลือในสภาพวิญญาณเช่นนี้กันเล่า

ทว่ายังไม่ทันได้ระเบิดอารมณ์ไปมากกว่านี้ ก็มีเสียงทักจากด้านหลัง

“เอ่อ คุณคะ”

สติย้อนกลับมา ผมหันกลับไปทันที

และเจ้าของเสียงหวานนั้น คือบางสิ่งที่ใกล้เคียงกับหญิงสาว จะเรียกว่าหญิงสาวก็ไม่ผิด แต่เหมือนมีบางอย่างที่ต่างออกไป นั่นคือเส้นผมของเธอเป็นสายไฟสีแดง ผิวหน้าและผิวกายมีร่อยรอยการประกอบกันเป็นเส้นบาง ๆ ที่มองเห็นได้หากทำการเพ่ง

แอนดรอยด์งั้นหรือ

 

แอนดรอยด์เด็กสาวพาผมมายังห้องใต้ดินของหนึ่งในอาคารเหล่านั้น ที่นั่นเป็นเหมือนห้องเก็บสายไฟที่มีคอมพิวเตอร์อยู่หลายสิบตัว ทั้งหมดวางอยู่อย่างแออัด

เธอแนะนำตัวว่าชื่อ อาวอน

มันเป็นชื่อของคนที่มอร์แกนกล่าวถึงในบันทึกที่ถูกปักอยู่ตรงสนามนั่น

อาวอนเชิญผมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ และเล่าทุกอย่างให้ฟัง

มอร์แกนคือคนที่สร้างเธอขึ้นมา จากนั้นจึงผลิตยาที่ทำให้ผู้ถูกฉีดเสียชีวิตอย่างสมบูรณ์ วิญญาณของคนคนนั้นจะดับสลาย เป็นการหลุดพ้นที่แท้จริง

แต่สิ่งที่ทำให้คนทั้งโลกสนใจ คงเป็นเพราะยาตัวนี้ถูกนำไปโฆษณาผ่านลัทธิประหลาด ผนวกกับสถานการณ์ของโลกที่ตึงเครียดในทุกด้าน ไม่นานประชากรทั้งหมดก็เริ่มคิดว่าอยากจะจบชีวิตตนเองลง

ไม่จริงน่ะ คนเราจะฆ่าตัวตายกันพร้อมกันทั้งโลกเลยหรือ

อาวอนเหมือนจะมองออกว่าผมสงสัย

“ใช้เวลาเตรียมการหลายปีทีเดียว มีหน่วยงานเกี่ยวข้องเกินสองพันหน่วยงาน ยิ่งเตรียมพร้อม วิกฤติบนโลกก็ยิ่งรุนแรง ไม่มีใครอยากอยู่แล้ว…”

ผมรู้สึกหมดแรง แต่ยังกลั้นใจถาม “แล้วอาวอนรมองเห็นผมได้อย่างไร”

เธอส่ายหัว “ไม่เคยเห็นวิญญาณมาก่อน ยังมีอีกมากที่ฉันไม่รู้”

“ช่วงที่อาวอนมาถึงโรงเรียนนี้ ก็เจอบันทึกนั่นใช่ไหม”

เธอมองเหม่อไปที่เพดาน “พอมาถึง นายท่านก็ไม่อยู่แล้ว… อยากจะรู้ว่านายท่านเป็นอย่างไร ได้รับยาที่ตัวเองผลิตหรือเปล่า แต่พอเข้าเว็บไซต์ตรวจค้นผู้ที่ได้รับยา ก็ไม่พบรายชื่อ และฉันเองก็ไม่มีรหัสเข้าถึงข้อมูลส่วนลึกกว่านี้”

ผมสะอึก สาวน้อยตรงหน้ายังคงหวังว่ามอร์แกนจะยังไม่ตายสินะ แต่เดี๋ยวสิ รหัสงั้นหรือ

“ผมเคยเห็นรหัสที่บ้านของมอร์แกน แต่ไม่มั่นใจว่าจะใช่ที่คุณตามหาหรือเปล่า”

ตาเบิกโพลง จากนั้นอาวอนลุกขึ้นแล้วทำท่าทางเหมือนจะกอดผม จากนั้นหันกลับไปเปิดคอมพิวเตอร์เข้าเว็บไซต์บางอย่างด้วยความเร่งรีบ

หน้าจอใส่รหัสถูกเปิดขึ้นมา ไม่ต่างอะไรกับหน้าจออีเมล

“ลุงทูล ญาติห่าง ๆ ของนายท่านช่วยฉันทำระบบของเว็บไซต์นี้ โดยออกแบบมันให้ใส่รหัสที่ถูกต้องเท่านั้น หากพลาดมันจะทำลายข้อมูลทิ้ง ฉันจึงไม่สามารถเสี่ยงได้” เธอมองกลับมา “ขอรหัสด้วยค่ะ”

แววตานั้นช่างไม่กลัวว่ารหัสจะผิดเอาเสียเลย “รหัสคือ ‘อาวอน’ ครับ”

วูบหนึ่งนั้นอาวอนดูปลื้มใจ ก่อนจะมีสีหน้าสลดลง หันกลับไปใส่รหัสอย่างเงียบเชียบ

ระหว่างที่รอหน้าจอโหลดข้อมูล อาวอนถามด้วยเสียงคล้ายจะหมดลม “ที่บ้าน… คุณได้เห็นตั๋วไหมคะ”

ผมตอบว่าเห็น

“มันถูกฉีกออกหรือยัง”

ผมระลึกภาพในอดีต ตั๋วนั้นมีรอยปรุราวกับส่วนนั้น ๆ ถูกดึงออกไป จึงตอบไปสั้น ๆ ว่ามี

อาวอนเอี้ยวหัวกลับมา สีหน้าของแอนดรอย์ซีดลง ไม่ต่างกับมนุษย์ที่ใจสลาย

“นายท่านจะกลับมา นายท่านไม่กล้าพอจะใช้ยานั้นหรอก”

เธอไม่กลับมาหรอก อาวอน ผมคิดในใจ

           

ข้อมูลปรากฏขึ้นบนหน้าจอแล้ว เธอรีบกดค้นหารายชื่อของมอร์แกน จากนั้นก็นั่งนิ่งไป

ผมลอยไปด้านข้างของอาอวน และพบว่ามีน้ำใส ๆ ไหลจากดวงตาจักรกล

“พี่คะ…”

ผมคงเดาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ผิดไป

สักพักอาวอนก็เริ่มพูด “อันที่จริงแอนดรอยด์อย่างฉันไม่มีวิญญาณ หากตายก็ดับสนิท เรียกว่าอาจจะเข้าถึงการหลุดพ้นมากกว่ามนุษย์เสียด้วยซ้ำ” น้ำเสียงนั้นดูน้อยใจ

“ไม่หรอก ผมเคยได้ยินมาว่า เครื่องจักรหรือของใช้ ถ้ามีอายุมากกว่าสิบปีขึ้นไป มันจะมีวิญญาณนะ”

เธอมองผมด้วยน้ำตาท่วม ไม่กล้าเดาหรอกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

อาวอนเริ่มนั่งจมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เครื่องเก่า สายตาทอดไปยังใบหน้าของผู้ที่รักเสมือนพี่สาวผมอยากจะเข้าไปแตะไหล่ปลอบใจ แต่มองว่าเธอคงไม่ต้องการสิ่งใดในตอนนี้ จึงคิดว่าควรจะให้เวลาหญิงสาวอยู่คนเดียวจะดีกว่า

ทว่าในขณะที่กำลังเดินออกจากห้อง แอนดรอยด์ก็ส่งเสียงหวานออกมาว่า “อย่าเพิ่งไป ฉันไม่อยากอยู่ลำพัง”

ประโยคนั้นทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่าจะปกป้องอาวอน

 

คืนนั้นเรานั่งจ้องมองหน้าจอ มันกำลังฉายภาพยนตร์ที่ไม่เคยดูมาก่อน น่าแปลกที่ผมสัมผัสตัวเธอได้ เราจึงหย่อนกายลงบนเก้าอี้ของตัวเอง จับมือกันอย่างหลวม ๆ

ผมถามทำลายความงันเงียบ “แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะติดอยู่ในสภาวะเช่นนี้ไปชั่วนิรันดร์หรือ แล้วผู้คนที่ตายก่อนหน้าจะมียาเหล่านี้ วิญญาณพวกเขาหายไปไหนกันนะ”

ผมถามเรื่อยเพื่อระบายความกังวล แต่อาวอนกลับมีคำตอบ

“ยาที่นายท่านออกแบบ มันผิดพลาดค่ะ วิญญาณของผู้ที่ใช้ยานี้ไม่ได้หายไปไหน ทุกคนแค่ตาย… ก็เท่านั้น”

ผมสะดุ้ง อยากจะถามว่าทำไมอาวอนถึงคิดแบบนั้น แอบคิดไปว่าเธอกำลังหลอกตนเอง แต่เมื่อมองดวงตางดงามของเธอแล้ว ผมก็มั่นใจในวิญญาณว่าเธอพูดความจริง

“จากข้อมูลส่วนลึกที่ฉันอ่านมา ตัวยามันขาดองค์ประกอบไปหลายอย่าง…” เธอเงียบลง ไม่ประสงค์จะอธิบายเพิ่มเติม

“แล้วทำไมผมถึงไม่เจอวิญญาณของใครเลยล่ะ”

อาวอนเริ่มกุมมือแน่นขึ้น รู้สึกได้ถึงไออุ่นที่ไม่คุ้นเคย

มีสองความเป็นไปได้…

คำตอบหนึ่งคือไม่มีวิญญาณอยู่บนโลกนี้ อาจไม่มีแล้ว หรือไม่เคยมีอยู่เลย ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ตาม

คำตอบที่สองคือ มีวิญญาณที่ยังวนเวียนอยู่บนโลกนี้ตามครรลองแห่งการเวียนว่าย หากแต่เราไม่อาจมองเห็นมัน เพราะอยู่กันคนละมิติ”

ผมกลืนน้ำลายทั้งที่ไม่มีน้ำลาย เดาออกแล้วว่าสิ่งที่ตามมาจากคำถาม จะมีผลลัพธ์เช่นไร

“หรือยิ่งกว่านั้น บางทีคุณอาจจะไม่ใช่วิญญาณก็เป็นได้ คุณอาจเป็นสิ่งหรือสภาวะอย่างใดอย่างหนึ่งที่โลกนี้สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เมื่อถือกำเนิดมาก็เป็นเช่นนี้เลย หรืออาจเป็นจิตตกค้างที่หาได้ยากนัก การที่ไม่พบตัวตนที่ใกล้เคียงจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสภาวะเช่นเดียวกับคุณนั้น อาจดำรงอยู่ที่อีกซีกโลกหนึ่งก็ได้”

“ถ้าเป็นอย่างแรก ผมอาจจะเป็นมนุษย์คนสุดท้ายที่ยังมีวิญญาณงั้นหรือ”

น่าแปลกใจที่พออาวอนได้ฟังแล้วคำถามนี้แล้วตีหน้างงงวย

“มนุษย์งั้นหรือ?… คุณหมายถึงหลายสิบชาติก่อนหรือคะ”

ผมเริ่มไม่เข้าใจกับท่าทีของอาวอน “ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ผมน่าจะตายเมื่อไม่นานมานี้เองมั้ง ยังมีความทรงจำเกี่ยวกับอาหารที่มนุษย์กินในยุคหลังอุตสาหกรรมอยู่เลย”

คราวนี้อาวอนทำหน้าเหวอกว่าเดิม

“ฉันไม่ได้ยินคำว่ามนุษย์มานานมาแล้ว สมัยยังมีชีวิตคุณคงมีการศึกษาสูงพอสมควร จึงได้รู้จักสปีชีย์นั้น”

ห้ะ ผมกล่าวอะไรไม่ถูก ร่างกายลอยขึ้นจากเก้าอี้โดยไม่ตั้งตัว

เมื่อเห็นความเหวอแดกของผม อาวอนไม่ใช่คนโง่ จึงพอจะเดาอะไรออกในทันที

“คุณคือมนุษย์ ไม่สิ คุณเคยเป็นมนุษย์งั้นหรือ

ไม่ ไม่ อย่าถามอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิ ผมร้องในใจ

“ใช่ครับ มนุษย์มันทำไมงั้นหรือ…”

เมื่อนั้นแหละที่อาวอนหัวเราะะออกมาเบา ๆ ยื่นมือขึ้นมาจับท่อนแขนผมไว้ไม่ให้ลอยหายทะลุเพดาน

“คุณคะ เผ่าพันธุ์มนุษย์สูญสิ้นเมื่อหมื่นกว่าปีก่อนแล้ว…”

โอเค ผมเริ่มมั่นใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

“คุณมอร์แกน คาล คนที่ตายจากโครงการ คุณเรียกพวกเขาว่าอะไรครับ”

“โนรดา ค่ะ มีสองแขนและสองขา แต่มีสมองอยู่บริเวณอกซ้าย สลับกับหัวใจ ถ้าเทียบกับมนุษย์นะ”

 

…ผมลอยลงมาจอดบนเก้าอี้เพื่อสงบสมองตนเอง  ผ่านไปห้านาทีก็เย็นลง

สรุปว่าสมมติฐานที่กล่าวมาเมื่อครู่น่าจะผิดพลาด ผมน่าจะเป็นวิญญาณของมนุษย์ดวงสุดท้ายที่ยังร่อนเร่อยู่ ท่ามกลางกระแสเวลานับหมื่นปี

“วิญญาณของคุณกับของโนรดา คงมีความถี่ที่ไม่ตรงกันสินะ หรืออาจจะเป็นสภาวะพิเศษก็เป็นได้ คุณสนใจจะหาคำตอบเพิ่มไหมคะ” อาวอนถามอย่างเป็นห่วง

ผมปวดหัวแทบหมุน รู้สึกว่าหากต้องการจริง ๆ ก็จะทราบถึงอดีตของตนได้อย่างง่ายดาย

ไม่สิ ผมว่าความทรงจำสมัยยังมีชีวิตของผมเริ่มย้อนกลับเข้ามาในหัวแล้ว คงเพราะอาการตกใจแทบบ้าเมื่อครู่

ดี จะได้รู้กันไปเลยว่ากูเป็นใคร…

 

เวลาผ่านไปราวสายลม สามวันหลังจากได้คำตอบว่าตนเป็นใคร ผมล่องลอยบนฟ้าก่อนสางอย่างไร้เป้าหมาย ก่อนจะรู้สึกเบื่อหน่ายจึงเริ่มร่อนลงมาจากท้องฟ้า ทะลุมาถึงห้องของอาวอน

อาวอนกำลังง่วนกับการเก็บสัมภาระ วันนี้ต้องออกเดินทางแล้ว

เขตที่โรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่มีกระแสไฟน้อยลงเรื่อย ๆ เราจึงจำเป็นต้องเดินทางไปหาที่พักแห่งใหม่ ไม่เช่นนั้นแบตเตอรี่ของอาวอนคงจะหมดในอีกไม่กี่ปี

อาวอนยกกระเป๋าหนักอึ้งสะพายหลัง พลางคุยกับผมด้วยอารมณ์ครื้นเครง “ถ้าข้อมูลไม่ผิด ทิศเหนือบริเวณเขต L58 ที่นั่นมีกระแสไฟฟ้าเหลือเฟือ แต่ต่อให้ไม่มี ฉันก็พอจะหาทางออกได้… อันที่จริงก็แค่อยากจะเปลี่ยนสถานที่ โดยใช้ไฟฟ้าเป็นข้ออ้างเท่านั้นล่ะ” เธอแลบลิ้นออกมาอย่างทะเล้น

ผมเองที่ไม่ต้องค้นหาคำตอบอะไรอีกแล้ว ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเกาะกุมมือจักรกลของอาวอนไว้ เธอหันมาพร้อมรอยยิ้มพึงใจ บีบมือผมแน่นด้วยแรงเหนือมนุษย์

เมื่อรุ่งเช้ามาถึง เราก็เก็บข้าวของกันเสร็จพอดี

 

 

Don`t copy text!