นักรับจ้างสารพัด กับโจรผู้ขโมยไอเดีย

นักรับจ้างสารพัด กับโจรผู้ขโมยไอเดีย

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

อ่านเอาเล่าสนธยา เรื่องสั้นอ่านเพลิน โดย ไข่เจียวหมูสับ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้เพลินไปกับเรื่องราวมากมายที่ยากจะคาดเดา พร้อมเก็บเกี่ยวแง่คิดดีๆ ผ่านทุกตัวอักษร เมื่ออ่านจบคุณจะพบว่า บางครั้งแค่เปลี่ยนมุมมองชีวิตก็เปลี่ยน ลองสัมผัสกับ อ่านเอาเล่าสนธยา ที่ anowl.co เว็บไซต์นวนิยายที่คัดคุณภาพมาให้คนรักงานเขียนได้อ่านกัน

 

หลังจากที่ฉันทำงานเป็นนักเขียนได้สามปี ผลงานก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นตามลำดับ แม้จะไม่ถึงขั้นโด่งดังระดับที่ออกนอกบ้านแล้วมีแต่คนรู้จักรักใคร่ก็ตาม แต่ก็สามารถหาเลี้ยงตัวเองที่เพิ่งจบปริญญาตรีได้โดยไม่ลำบาก

และในช่วงคริสต์มาสของชีวิตนักเขียนอิสระปีที่สาม ฉันก็ได้รับข้อความออนไลน์จากเพื่อนร่วมคณะที่ไม่ได้เจอกันมาสักพักหนึ่ง

‘เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม’

เพราะเป็นคำทักทายที่แสนจะธรรมดา จึงมั่นใจว่าเพื่อนที่เคยสนิทด้วยสมัยเรียนยังไม่เปลี่ยนนิสัยไป เธอมีชื่อว่ารุ่ง เป็นนิสิตดีเด่นสมัยเรียนที่คณะ B และได้รับฉายาจากเพื่อนร่วมคณะว่า ‘นางฟ้าเพอร์เฟกต์’

ที่ได้รับสมญานี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ล้วนทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ และด้วยเหตุนั้นจึงเป็นตัวกระชากคะแนนเฉลี่ยของระดับชั้นให้สูงขึ้น ส่งผลให้มีทั้งคนรักใคร่และเกลียดชัง ส่วนฉันนั้นเป็นประเภทแรก คือสนิมสนมในระดับที่ทานข้าวกลางวันด้วยกันเป็นประจำ และได้รับอานิสงส์ในการเป็นสมาชิกกลุ่มติวที่รุ่งเปิดสอนก่อนการสอบเสมอ

‘สบายดีมาก ๆ ไม่ได้คุยกันนานเลยนะตั้งแต่เรียนจบ’

‘ตอนนี้เอมอยู่ที่ไหนหรือ’

ช่างเป็นข้อความที่ใช้ภาษาได้ค่อนข้างทางการไม่มีเปลี่ยน ฉันแอบยิ้มออกมา

‘อยู่ที่หอพักที่เช่าร่วมกับคนอื่นน่ะ ไม่ได้กลับบ้านหลายเดือนแล้ว’

จากนั้นเราทั้งคู่ก็พูดคุยกันผ่านข้อความเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง จึงตัดสินใจเปิดกล้องมือถือให้เห็นหน้าค่าตากัน บรรยากาศเก่า ๆ เริ่มหวนคืน

‘พี่เขาก็เป็นคนทำงานเก่งนะ แต่อาจจะไม่ถนัดเรื่องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แถมช่วงนี้ยังเครียด ๆ เรื่องคู่แข่งทางธุรกิจอีก คงต้องดูไปยาว ๆ เลย อีกอย่างฉันต้องการคนที่รักทั้งธุรกิจและลูกน้องของตัวเอง’ รุ่งร่ายเรื่องราวของคนรักด้วยนิสัยเก่าที่เป็นคนพูดจาตรง ๆ เล่นเอาฉันแอบสะอึกเล็กน้อย

พอรู้ว่าเพื่อนคนนี้ตกถังข้าวสาร ในใจก็แอบริษยา สำหรับฉันที่โสดสนิทมาตลอดชีวิตแล้ว การมีคนมารักนั้นแทบเป็นเรื่องในจินตนาการทีเดียว อันที่จริงยังไม่เคยเกิดอาการใจเต้นแรงกับใครด้วยซ้ำ

ช่างแตกต่างกับฉันจังนะ อย่างกับว่าชีวิตนี้ไม่ต้องพยายามอะไรเลย ฉันได้แค่คิดแต่ไม่กล้าส่งข้อความเช่นนี้ไปหรอก

ใบหน้าของเราสองคนที่ฉายอยู่ในหน้าจอมือถือก็แตกต่างเช่นกันกับชีวิต รุ่งสวยใสและดูสว่างไสวทั้งที่ไม่ได้แต่งหน้าทาปากอะไร คิ้วคมเข้มได้รูป ดวงตาเป็นประกาย ผิวเนียนระรื่นสายตา ผมสีน้ำตาลจากยาย้อมราคาแพง ส่วนฉันนั้นมีสิวที่คางจากอาการท้องผูก แว่นหนาเตอะ และผมรุงรังไร้การตกแต่ง เพียงแบ่งหน้าจอให้แสดงรูปฉันกับรุ่งไว้ด้วยกัน ก็แอบรู้สึกแย่อย่างไม่อาจหักห้ามได้เลย

เมื่อเราสองคนหมดเรื่องจะคุยทางหน้าจอแล้ว จึงตกปากรับคำว่าจะนัดทานข้าวกัน และจากวันนั้นบรรยากาศสมัยเก่าก็หวนมาอย่างกับคลื่นทะเลที่รุนแรงกว่าเดิม แรกเริ่มจากนัดกันในเย็นวันเสาร์ กลายมาเป็นพบกันแทบจะวันเว้นวัน ความสนิทสนทที่เคยคิดไปเองว่าขึ้นสนิม กลับยังสดใหม่ไม่ต่างจากเดิม

แน่นอนว่ามีบางสิ่งที่ต่างออกไป นั่นก็คือเรื่องการเงินกับความรัก ซึ่งฉันมองเข้าข้างตนเองว่าช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกเช่นนั้น ก็ยายรุ่งมีชีวิตที่เพียบพร้อมเกินหน้าเกินตาจริง ๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะไปทำร้ายหรือขัดขวางอะไรหรอกนะ อีกอย่าง เมื่อได้พบหน้ากับคู่หมั้นหนุ่มของรุ่งแล้ว ก็รู้สึกได้ว่าเป็นคนดีที่คู่ควรกับเธอจริง ๆ

แต่เรื่องราวมันเปลี่ยนไป เรียกว่าพลิกผันเลยก็ว่าได้ ในบ่ายวันเสาร์ที่รุ่งชวนฉันไปที่คอนโดหรูของเธอ

“ฟังดูน่าอายนะ แต่ฉันมีไอเดียการเขียนนิยายเต็มไปหมดเลย พอเห็นว่าเอมเป็นนักเขียนมืออาชีพ ก็เลยรู้สึกว่าลองเขียนออกมาหน่อยดีกว่า”

“เลยอยากจะให้ฉันลองอ่านดูสินะ”

เมื่อเห็นว่าฉันยิ้มให้ แถมยังไม่ได้ตอบปัดอะไร หน้าของรุ่งก็เปล่งประกายตามประสาคนที่สมบูรณ์แบบ

ฉันเองไม่ได้รังเกียจอะไรกับการที่มีคู่แข่งเพิ่ม อันที่จริงแล้ว เมื่อรู้ว่าเพื่อนคนสนิทที่สุดแสนฉลาดนั้นมีไอเดียเกี่ยวกับนิยาย ในใจก็เรียกร้องต้องการจะขอดูเพื่อเป็นบุญสายตาเสียด้วยซ้ำ ก็แหม เธอคนนี้เป็นอันดับหนึ่งในคณะเชียวนะ

แต่ทว่า… เมื่อได้อ่านไอเดียคร่าว ๆ ของรุ่งแล้ว ตัวฉันที่ควรจะปลาบปลื้ม กลับได้แต่นั่งนิ่งตะลึงงันหน้าแล็บท็อปราคาแพง หัวใจแหลกเป็นเสี่ยงจากอารมณ์หลายแหล่ที่ประดังเข้ามารุมฟาดตีใส่ จากที่เห็นว่าเป็นเพื่อนรัก มุมมองผ่านสายตาที่มองรุ่งก็แปลกเปลี่ยนไป มันไม่อาจบรรยายเป็นคำใดออกมาได้ แต่มั่นใจว่าทุกอณูของห้วงอารมรณ์นี้ จะต้องมีความริษยาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของพันธะนั้น ๆ อย่างมิต้องสงสัย

ฉันน้ำตาตกใน รุ่งยังคอยถามข้างหูว่าไอเดียไม่เลวเลยใช่ไหม

รุ่งบอกว่าใช้เวลาร่างไอเดียเหล่านี้ประมาณครึ่งเดือน… แต่คนที่คิดไอเดียอันเยี่ยมยอดพวกนี้ออกมาได้ หากไม่ใช่อัจฉริยะแล้ว ก็คงต้องผ่านการตกผลึกมาทั้งชีวิต ไอเดียที่ฉันกำลังลิ้มรสอยู่ มันสะท้อนถึงความลึกล้ำอันไม่อาจคาดเดาของความเป็นมนุษย์… ฉันตัวสั่นเทาเพิ่มขึ้นทุกบรรทัดที่อ่าน ยิ่งลองเปิดไฟล์อื่น ๆ ดู ก็ยิ่งเจ็บร้าวในอก

ยายรุ่งที่ไม่เคยเจอะเจอความลำบากในชีวิต เหตุใดถึงสามารถสร้างสรรค์แนวความคิดเลอเลิศเช่นนี้ออกมาได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วเช่นนี้เล่า มันไม่สมเหตุผลเลยสักนิด

มันเป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง ฉันกรีดร้องภายใน โวยวายอย่างรุนแรงดังลั่น กระทั่งดวงใจนั้นอื้ออึงและสูญเสียการได้ยินไปด้วยซ้ำ

แต่ทว่าคำที่ออกไปจากปากนั้นแสนตรงข้ามกับหัวใจ

“ใช้ได้นะ แต่ยังไม่ดีขนาดนั้น เห็นว่าจะเลือกหนึ่งในไอเดียนี้ส่งไปประกวดรางวัลโครงการ A ในเดือนหน้าใช่ไหม ฉันว่ามันยังไม่ดีพอนะ”

และความเห็นเท็จนี้มันทำร้ายฉันอย่างสาหัสนัก

“แต่มันก็แค่ความเห็นของฉันเท่านั้น กรรมการอาจมองว่ามันดีก็ได้นะ” ฉันกล่าวออกไปด้วยสีหน้าที่รู้เลยว่าน่ารังเกียจและแฝงความริษยา แต่รุ่งกลับหัวเราะออกมา พลางแสร้งทำไหล่ตก

รอยยิ้มที่ปราศจากความกังวลนั้นทำให้ฉันแทบบ้า “ว้า ว่าแล้วเชียวว่ายังอ่อนหัด อุตส่าห์ตั้งชื่อเรื่องไว้เสียอย่างเท่เลย”

ชื่อเรื่องที่รุ่งตั้งไว้ คือ ‘ยอดรัก นักท่องต่างโลก’

“ฉันไปเอาดีเรื่องทำอาหารดีกว่า เมื่อวานก็เพิ่งออกแบบตัวการ์ตูนน่ารัก ๆ ออกมา ว่าจะเปิดร้านขายข้าวกล่องออนไลน์ด้วย”

ฉันตาค้างไปกับคำพูดนั้น อะไรกันกับยายคนนี้นะ ทำไมถึงคิดทิ้งขว้างไอเดียแบบนี้ได้ง่ายดายนัก ไม่คิดจะปกป้องพวกมันสักนิดเชียวหรือ ยิ่งมองบนใบหน้าของรุ่งที่เปิดภาพตัวการ์ตูนที่คล้ายกระต่ายสีขาวในมือถือให้ดู ใจก็ยิ่งอยากจะบีบคอเพื่อนคนนี้ให้ตายคามือ

แต่อีกใจก็แอบโล่ง หากรุ่งไม่คิดจะส่งประกวดแล้วจริง ๆ เท่ากับว่าตำแหน่งชนะเลิศที่ฉันหวังไว้น่าจะปลอดภัย

ใช่แล้ว การประกวดในเดือนหน้า ฉันก็จะส่งผลงานเข้าร่วมเช่นกัน…

 

ทั้งที่ทุกอย่างน่าจะจบลง แต่กาลเวลาก็พาพัดความกังวลแทบจะเสียสติมาเยือนไม่หย่อนหยุด มันแสดงภาพว่าเพื่อนคนสนิทกำลังปรับปรุงไอเดียแสนเลอค่าออกมาเป็นเรื่องย่อยาวห้าหน้ากระดาษ และตบหน้าฉันดังฉาดด้วยภาพรุ่งที่กำลังรับรางวัลชนะเลิศ

ไม่ได้ มันไม่ยุติธรรมกับฉัน ไม่เลยสักนิด

ต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องหยุดมันให้จงได้ ไม่ว่าต้องแลกกับอะไรก็ตาม

 

รู้ตัวอีกทีฉันก็ทำการติดต่อนักรับจ้างสารพัดชื่อ อ. (นามสมมติ) ไปแล้ว

เขาเป็นอดีตตำรวจที่ออกมาเปิดกิจการรับจ้างของตัวเอง ถึงจะบอกว่ารับจ้างสารพัด แต่ความจริงแล้วจะโดดเด่นที่งานสืบสวน แม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่าตนไม่ถนัดเรื่องบทนักสืบก็ตาม ว่ากันว่าขนาดเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่เคยเป็นข่าวใหญ่โต หรือแม้แต่เทพเจ้าเก๊เมื่อหลายเดือนก่อน ก็เป็นเขาที่จัดการไขคดี

แต่คราวนี้ฉันตั้งใจมาจ้างเรื่องที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับการสืบเท่าไรนัก น่าจะเรียกว่าเป็นการปรึกษามากกว่า โดยสาเหตุที่เลือกคนคนนี้ก็เพราะลุงของฉันเคยใช้บริการจากเขา และยืนยันชัดเจนว่า…

“ชายคนนี้สามารถทำได้ทุกอย่างที่เราต้องการ หากว่าเขารับทำนะ ช่วงนี้เห็นว่ากำลังว่างหลังจากงานยุ่งถล่มทลายมาหลายเดือน” ลุงทูลกล่าวอย่างมั่นใจ แล้วระเบิดเสียงหัวเราะมาจากปลายสาย แต่ฉันก็ไม่ได้บอกรายละเอียดของเรื่องนี้หรอก จะบอกได้อย่างไรเล่าว่ากำลังจะทำเรื่องที่แสนชั่วช้าอยู่

อันที่จริง จะว่าไปแล้วชื่อของนายอ. ช่างคุ้นตาคุ้นหูเล็กน้อย อย่างกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน และเป็นจากที่ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับวงการนักสืบหรือรับจ้างทั่วไปด้วย แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก

อย่างไรก็ตาม ตัวฉันที่ไม่มีทางออกแล้วจึงจำเป็นต้องลืมเรื่องความคุ้นหูไปก่อนแล้วคว้าโอกาสเอาไว้

 

ในบ่ายอันแสนร้อนระอุ ฉันดั้นด้นมายังออฟฟิศของนายอ. ที่อยู่ติดกับถนนใหญ่กลางเมือง เป็นตึกแถวสองชั้นซึ่งตกแต่งแต่พอเหมาะตามสไตล์สมัยนิยม

เมื่อกดกริ่งที่หน้าประตูกระจกที่ทึบแสงอย่างน่าฉงน บานประตูก็ถูกเลื่อนไปด้านข้างพร้อมปรากฏร่างกำยำราวเทพบุตรในชุดลำลองกำลังส่งยิ้มให้กับฉัน

“คุณคงเป็นคุณเอมที่โทรมานัดใช่ไหมครับ เชิญเข้ามาก่อน” คนที่น่าจะเป็นนายอ. ทำมือเชื้อเชิญ

ฉันที่ไม่คุ้นเคยกับชายหนุ่ม เมื่อเจอความหล่อเหลาระดับนี้เข้าก็ได้แต่ยืนเกร็ง พวกนางเอกในนิยายที่ได้พบกับพระเอกครั้งแรกก็คงไม่ต่างจากนี้

ทว่าพอคำว่า ‘นิยาย’ ผุดขึ้นมาราวกับน้ำเดือด มันก็ลวกสมองฉันกระทั่งมีสติอีกครา ใช่แล้ว ฉันมาธุระแสนสำคัญที่เดิมพันด้วยชีวิตเลยนะ

 

สภาพภายในสวยไม่แพ้ภายนอกอาคาร ดูรู้เลยว่านายคนนี้มีความล่ำซำ (แถมยังหล่อมากอีก)

พวกเราสองคนเข้ามานั่งที่ชั้นสองซึ่งเป็นส่วนของห้องประชุมขนาดย่อม ในห้องมีเพียงเก้าอี้และไวท์บอร์ดขนาดใหญ่

หลังจากเล่ารายละเอียดให้ฟัง นาย อ. ที่ยิ้มโปรยเสน่ห์มาตลอดก็เริ่มนิ่งขรึม มองจ้องมายังตาฉันด้วยอารมณ์ที่ไร้ความเป็นมนุษย์ ใช่แล้ว ราวกับหุ่นยนต์ก็ไม่ปาน พริบตานั้นฉันรู้สึกว่าตนกำลังสนทนากับอะไรบางอย่างที่ซับซ้อนและไม่อาจเข้าใจได้

คุณแน่ใจในสิ่งที่เล่ามาใช่ไหม… นั่นคือคำถามจากชายผู้ได้ชื่อว่าเคยเดินเคียงข้างกับผู้ใช้มนต์ดำมาแล้ว

และฉันตอบว่าใช่ ทั้งที่ใจนั้นยังสั่นระรัว

หน้าของรุ่งเพื่อนรักลอยเข้ามา… รอยยิ้มของเธอ ความไร้เดียงสาที่ของเธอ ทั้งหมดนั้นกำลังจะถูกฉันทำลายลงเสียสิ้นหรือเปล่านะ

หรือฉันกำลังทำผิดพลาดอยู่…

ไม่สิ ไม่ใช่! ฉันทำถูกแล้ว ฉันไม่ใช่คนเลว

แต่แม้จะบอกอย่างนั้น แต่ในใจกลับสั่นพ้องว่าแกไม่ควรทำเช่นนี้กับรุ่งเลย…

อย่างไรก็ตาม แม้แทบจะไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะทำอะไรแล้ว แต่ฉันก็ไม่ลืมที่จะจ้องตาของนาย อ. กลับไป พร้อมกำชับอย่างหนึ่งที่สำคัญ

“ฉันต้องการให้ไอเดียพวกนี้เป็นของฉัน… ของฉันเพียงคนเดียว”

ความอิจฉาแผ่ออกมาจากตัวฉันอย่างรู้สึกได้ ใช่แล้ว ไอเดียเหล่านี้มันไม่คู่ควรกับคนอย่างรุ่งหรอก…

นาย อ. กระพริบตาหนึ่งครั้งอย่างเชื่องช้า ราวกับกำลังพิสูจน์การเตรียมใจของฉัน

“อันที่จริง… คดีนี้เกี่ยวกับการสืบสวนและลงมือภาคสนาม ซึ่งทั้งสองก็ไม่ใช่ความถนัดของผมเลย แต่เพราะผมเพิ่งถูกยกเลิกไปงานหนึ่งเมื่อหลายวันก่อน แถมผมยังสนใจในคดีนี้เป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นจะขอรับงานนี้ก็แล้วกัน”

ต่อมาเราตกลงกันในเรื่องค่าใช้จ่าย คงเพราะว่าอัตราการทำงานสำเร็จของนายอ. นั้นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ค่าจ้างจึงสูงอย่างไม่น่าเชื่อ

“มันจะเป็นงานที่โหดร้าย… คุณแน่ใจแล้วใช่ไหมครับ”

ฉันจำไม่ได้ว่าตอบอะไรออกไป น่าจะพยักหน้าหรือไม่ก็ตอบว่าแน่ใจ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง

 

คืนนั้นฉันกระวนกระวายนอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะคิดถึงใบหน้าแสนได้รูปของนายอ. หรอก (แม้จะมีบ้างบางเวลา) เพราะความรู้สึกผิดและความสงสัยมันกำลังกัดกินจากภายใน ไม่แน่ใจเลยว่าตนกำลงทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่หรือไม่

ฉันพยายามข่มมันลงไป แล้วบอกกับตนเองว่าถูกต้องที่สุดแล้ว

 

สามวันต่อมา ภายในห้องพักของฉัน หลังจากเพียรพยายามโทรติดต่อรุ่งเป็นเวลาหลายรอบ คู่หมั้นหนุ่มของเธอก็เป็นคนรับสาย และแจ้งฉันว่ารุ่งถูกทำร้ายอาการสาหัส

เหตุร้ายเกิดขึ้นเมื่อวาน เวลาประมาณสี่ทุ่มสามสิบนาที ในคืนวันเสาร์ที่น่าจะมีแต่ความสุขสันต์ ร่างงามงดราวเจ้าหญิงดิ่งลงจากชั้นหกของคอนโดหรู กระแทกสู่เบื้องล่าง ขณะนั้นคู่หมั้นที่ชื่อว่า เหนือชัย กำลังเดินเข้าทางประตูหน้าของคอนโดเพื่อมาพักที่ห้องของรุ่ง จึงเห็นเหตการณ์นี้และได้ทำการเรียกรถพยาบาลมารับทันท่วงที

เมื่อทราบเรื่องคร่าว ๆ จากเหนือชัย ฉันทำได้เพียงสอบถามอาการด้วยความกระวนกระวายและสำนึกบาป ต้องเป็นเพราะฉันแน่นอน ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ลางสังหรณ์ มันชัดเจนยิ่งกว่าตระหนักรู้เสียอีก

เป็นฝีมือของนาย อ. งั้นหรือ… เพราะสิ่งที่ฉันจ้างวานไปใช่หรือไม่… ไม่สิ ไม่น่าเป็นไปได้ เขาไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้

‘ฉันต้องการให้ไอเดียพวกนี้เป็นของฉัน… ของฉันเพียงคนเดียว’

เมื่อประโยคนี้ผุดขึ้นมาในหัว ก็เกิดเสียงอึกดังมาจากลำคอพร้อมอาการจุกอก

เหนือชัยแจ้งต่อว่ารุ่งพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังไม่ฟื้นสติ แพทย์แจ้งว่าอาจต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะรู้สึกตัวขึ้นมา แต่สิ่งที่ทำให้ฉันปั่นป่วนในท้องน้อยคือคำพูดหลังจากนั้น

“ผมมั่นใจว่ารุ่งไม่ได้คิดทำร้ายตัวเอง หรือเป็นเรื่องอุบัติเหตุอะไรทั้งนั้น ต้องมีคนตั้งใจทำร้ายเธอแน่นอน คุณก็คิดอย่างนั้นใช่ไหม”

ใจหายราวกับถูกโจรขโมย จะให้ฉันตอบว่าอย่างไรเล่า ตัวฉันแทบจะบินไปหานายอ. แล้ว แต่ทางเหนือชัยก็ยังไม่ยอมจบ

“ช่วงที่รุ่งเข้าห้องผ่าตัด ผมแจ้งให้ตำรวจเข้าไปตรวจสภาพห้องพักของรุ่งแล้ว ไม่นานก็คงได้เบาะแสอะไรบ้าง”

…ฉิบหาย ฉิบหาย ฉิบหาย หากเจอเบาะแส แล้วพิสูจน์ได้ว่าเหตุครั้งนี้เป็นฝีมือของนาย อ. จริง ไม่นานก็คงเชื่อมโยงมาถึงฉันได้ง่าย ๆ

“รุ่งอาจจะเหนื่อยเลยหล่นลงมาเองหรือเปลา คุณชัยลองใจเย็น ๆ ดูก่อนนะคะ”

“ผมไม่เย็นแล้ว! มันทำอย่างนี้กับรุ่ง มันต้องชดใช้”

เสียงตวาดหมดมาดผู้ดีนั่นทำให้ฉันยิ่งแข็งทื่อ มือถือแทบจะหล่นจากข้างหู ฉิบหาย ฉิบหายแล้ว

 

เมื่อวางสายไปสักพัก ฉันคิดได้ว่าต้องติดต่อหานายอ. โดยด่วน

เขารับสายแทบจะในทันที ทว่าเสียงที่ปลายสายนั้นช่างดูใจเย็นอย่างน่าโมโห

“คุณเอม คุณคงรู้เรื่องที่เกิดกับคุณรุ่งทรัพย์แล้วใช่ไหมครับ”

“เออสิยะ ไอ้… ไอ้เวรเอ๊ย ไอ้ชั่ว ไอ้หัวขวด มึงทำอย่างนี้กับเพื่อนกูได้ยังไงวะ หา!” ฉันโวยใส่มันดังลั่นห้องเท่ารูหนู แต่กลับได้รับคำตอบที่โคตรจะไม่น่าเชื่อ

“ผมขอโทษที่ช่วยเหลือคุณรุ่งไม่ได้ ช่วงที่ผมไปที่คอนโดเพื่อจะสำรวจพื้นที่โดยรอบ ก็พบว่ามีชายหนุ่มที่น่าจะเป็นคู่หมั้น กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างร่างของคุณรุ่งอยุ่แล้ว แถมยังมีเสียงรถพยาบาลมาอีก”

หัวฉันหมุนควงเหมือนปลายสว่านจากคำตอบนั้น

“หมายความว่ายังไง มึงเป็นคนทำร้ายรุ่งไม่ใช่หรือ อย่ามาตอแหลนะเว้ย”

คราวนี้มีเสียงฮึ่มในลำคอของนาย อ.

“จะบ้าหรือคุณ ผมไม่ใช่อาชญากรนะ จะไปทำร้ายคุณรุ่งเพื่ออะไรเล่า แล้วอีกอย่าง… ผมแอบถามตำรวจที่รู้จักแล้ว เธอแจ้งว่า…”

“ฉันไม่ได้ให้คุณทำอย่างนั้น” ฉันเถียงโดยไม่รอให้เขาพูดจบ พอพักหายใจก็ได้ยินเสียงนาย อ. บ่นฮึ่มว่าอะไรของคุณวะ

“โอเค ๆ คุณจะสงสัยผมอย่างไรก็ตามใจคุณ แต่ผมยืนยันว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้เกี่ยวข้องเลยด้วย อย่าลืมสิว่าผมเคยเป็นตำรวจมาก่อนนะ และอีกอย่าง… จากอัจฉริยะภาพของคุณรุ่งทรัพย์ จะมีคนหมายหัวทำร้ายเธอก็ไม่แปลกหรอก ผมพลาดเองล่ะที่มาช้าไปหน่อย”

ฉันอยากจะเถียงอะไรออกไป แต่ก็ปากสั่นไปหมด จึงสูดหายใจลึกแล้วบอกไป “งั้นก็ช่วยหาคนร้ายสิ อย่างไรเสีย เขาก็เป็นเพื่อนฉัน ไม่ได้ต้องการให้เกิดเรื่องรุนแรงแบบนี้นะ”

เสียงฮึ่มรอบสอง คราวนี้แฝงความไม่พอใจหนัก คงสัมผัสได้ว่าฉันแฝงความไม่ไว้ใจอยู่ในประโยค

“มันไม่ใช่หน้าที่ผม ผมเป็นนักรับจ้างไม่ใช่ผู้รักษากฏหมาย… แถมคดีนี้เป็นคดีอาญา ตำรวจท้องที่เขต A ก็ต้องเป็นคนจัดการสิ แต่ผมรับปากว่าจะพยายามช่วยเท่าที่ทำได้นะ ไม่ต้องห่วงหรอก ตำรวจที่ผมรู้จัก เธอบอกคอนโดแพงขนาดนี้ รับรองว่ากล้องวงจรปิดที่นั่นต้องถ่ายเหตุการณ์เอาไว้ได้หมดนั่นแหละ”

ฉันไม่ตอบอะไรนอกเสียคำว่าตามใจ แล้วจึงวางสายด้วยความปั่นป่วนในสมองและท้องไส้

ชีวิตฉันมันจะเป็นอย่างไรต่อไปกันนะ

 

วันที่ฉันเข้าไปเยี่ยม รุ่งยังไม่ได้สติ ส่วนเหนือชัยที่เคยหล่อปานดารา ก็หน้าตาโทรมทรุดราวกับไม่เคยนอนมาก่อนในชีวิตนี้

รุ่งนอนหลับอยู่บนเตียงขาว ส่วนหญิงกลางคนร่างผอมกำลังเก็บข้าวของจำพวกกะละมังขนาดย่อมและผ้าขนหนู ดูแล้วคงเพิ่งเช็ดตัวให้รุ่งเสร็จ

“ผมไม่สะดวกใจให้พยาบาลที่ไม่สนิทด้วยมาดูแลรุ่ง เลยขอให้ล้อมจัดการแทนน่ะ” เหนือชัยอธิบาย

ป้าล้อมเป็นแม่บ้านประจำตระกูลของเขา เลี้ยงดูชายหนุ่มมาแต่ยังแบเบาะ

เมื่อเหนือชัยขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ป้าล้อมเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นผมหอม ๆ ทำให้รู้ว่าดูแลตัวเอง ช่างต่างกับฉันนัก แต่ในขณะที่สนใจแต่กลิ่นหนังหัว ป้าล้อมก็แอบกระซิบบางอย่างกับฉัน “ธุรกิจที่ทำก็มีแต่คู่แข่งที่ไร้คุณธรรม ลูกน้องก็มีแต่งูพิษจ้องจะทรยศ วันเวลาที่ได้พักอยู่กับคุณหนูรุ่ง คือความสุขเดียวในชีวิตของท่านชัย”

ฉันพอจะเข้าใจว่าป้าล้อมต้องการจะบอกอะไร

“เพราะฉะนั้น คุณหนูจะไปยอมหยุด กระทั่งหาคนร้ายพบแน่นอน คุณเอมไม่ต้องห่วงนะคะ” เธอกล่าวพลางลูบคลำหัวไหล่ตนเอง

“พออายุเยอะเข้าก็ปวดไปทั้งตัวอย่างนี้ล่ะคะ อิฉันดูแลท่านชัยมาตั้งแต่ยังสาว เห็นว่าเจอเรื่องแบบนี้เแล้วก็อดสงสารไม่ได้ อยากจะเจ็บแทนคุณหนูรุ่งจริง ๆ”

ฉันนั่งลงที่เบาะข้างเตียงผู้ป่วย ครู่หนึ่งก็มีสายจากนายอ. ติดต่อเข้ามา ฉันจึงเดินออกไปคุยที่ด้านนอก

“พบผู้ต้องสงสัยแล้ว… ชื่อว่านายเปี่ยม เป็นคนว่างงาน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ดูเหมือนมันจะหาห้องเช่าพักแล้วย้ายเข้าออกไปเรื่อย ๆ จากกล้องวงจรปิดเห็นชัดว่านายคนนี้เดินเข้ามายังพื้นที่ส่วนกลาง จากนั้นจึงใช้บัตรสแกนเพื่อเข้ามายังส่วนของผู้อาศัยได้”

แค่นั้นแหละที่ฉันตะลึงงัน เลยถามออกไปทันที “เดี๋ยวก่อนนะ แล้วนายเปี่ยมคนนี้มันไปเอาบัตรมาจากไหนล่ะ”

“เรื่องนั้นกำลังรอยืนยันอยู่ แต่ดูทรงแล้วน่าจะมีคนทำบัตรเข้าออกคอนโดหล่นหาย แล้วนายเปี่ยมเก็บได้ จึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อย่าหาว่าอวดเลย แต่ผมเอาข่าวมาบอกก่อนพวกตำรวจจะแจ้งคุณเหนือชัยเสียอีก ส่วนรายละเอียดผมจะยืนยันอีกครั้งช่วงเย็น พูดตามตรงว่าไม่น่าจะมีอะไรซับซ้อนหรอก”

เรื่องนั้นเถียงสุดใจ แต่พูดออกไปไม่น่าจะดี

“ระยะห่างจากตึกกับจุดที่คุณรุ่งตกลงมาคือประมาณสองเมตร คาดว่าน่าจะถูกผลักมากกว่าตกลงมาเอง เพราะถ้าเป็นการกระโดดของเหยื่อ เช่นกรณีฆ่าตัวตายหรือหล่นจากอาการมึนเมา ระยะห่างควรจะน้อยกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตามระยะที่ว่านั้นจะแปรผลไปรูปแบบใดก็ได้ เพราะมีปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อระยะนี้ แต่เรื่องนั้นเก็บไว้ก่อน…

อีกเรื่องคือในห้องก็มีร่องรอยการต่อสู้และการรื้อค้น จึงพอสรุปเบื้องต้นได้ว่า นายเปี่ยมใช้วิธีอะไรบางอย่างในการงัดเข้าห้อง หรืออาจจะไปเจอคุณรุ่งในขณะที่กำลังเปิดประตูเข้าไปพอดี จึงเข้าไปทำร้ายหวังชิงทรัพย์ จากนั้นเหยื่อทำการต่อสู้ มันจึงผลักตกลงมา”

ฉันกลืนน้ำลายหนืดเหนียวพลางเสียวสันหลังโดยไม่ทราบสาเหตุ ครู่หนึ่งนาย อ. ก็ขอตัวไปสืบต่อ ดูท่าจะเบนความสนใจไปเรื่องการสืบแทนงานที่ฉันว่าจ้างแล้ว แต่ก็ช่างแม่งละกัน

เมื่อวางสาย ฉันกลับเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย แล้วพบเหนือชัยกำลังเดินหน้าซีดออกมาจากห้องน้ำ ถามฉันว่าออกไปคุยเรื่องอะไรกับใครหรือ

ในช่วงที่กำลังคิดคำอยู่นั้น ก็มีสายเข้ามาหาเหนือชัย เป็นตำรวจที่มาแจ้งข่าวเรื่องนายเปี่ยม

เมื่อฟังจากที่เขาเล่าแล้วช่างตรงกับข่าวของนายอ. อย่างไม่ผิดเพี้ยน และนั่นน่าขนลุกมาก เพราะมันหมายความว่านาย อ. มีเส้นสายในกรมอย่างแน่นหนาจริง ๆ

สามวันหลังจากปรึกษานายอ. รุ่งก็ถูกทำร้ายโดยคนว่างงานที่บังเอิญพบคีย์การ์ดงั้นหรือ มันจะไม่เนียนเกินไปหรือเปล่านะ

หรือนาย อ. จะเป็นคนทำร้ายรุ่ง แล้วจัดฉากให้กับนายเปี่ยมรับแทนไป ฉันเริ่มฟุ้งซ่าน ในใจถูกอคติบังให้มองนาย อ. เป็นวายร้ายไปเสียแล้ว แต่ก็อย่างว่า ตำรวจหรือนักสืบเป็นคนร้ายเสียเอง มุกนี้เห็นอยู่ในนิยายอยู่บ่อยครั้ง ขนาดฉันเองที่แต่งแต่แนวรักโรแมนติกยังทราบเลย

แต่อีกใจก็เริ่มหาทางยั้งหยุดสมองไว้ ยังก่อน อย่าเพิ่งสงสัย เธออาจจะคิดมากไปก็ได้ยายเอม ไม่มีความจำเป็นที่นาย อ. จะต้องทำร้ายรุ่งเลยสักนิดนะโว้ย

แต่แล้วคำพูดนี้ก็ย้อนกลับมาในสมอง

‘อัจฉริยภาพขนาดนี้ จะถูกทำร้ายก็ไม่แปลก’

 

คืนนั้นนาย อ. ส่งภาพมาให้ทางสมาร์ตโฟน เป็นรูปถ่ายของชายคนหนึ่ง ที่ด้านหลังเป็นแผ่นวัดความสูงเหมือนที่เห็นในหนังอาชญากรรม เมื่อดูข้อมูลด้านล่างของรูป มีชื่อของนายเปี่ยมอยู่ โดยระบุว่าอายุสามสิบ

หน้าตาของผู้ต้องสงสัยคนนี้ดูซีดเซียว อ่อนล้า หนังตาตก ไว้เคราเหนือริมฝีปากเล็กน้อย โดยรวมแล้วดูเป็นมิตรกว่าที่จินตนาการไว้ก่อนหน้า

“การเอาภาพผู้ต้องสงสัยออกมาแบบนี้มันก็ผิดอยู่หรอก แต่ผมว่าให้คุณรู้น่าจะดีกว่า…”

 

เพราะคิดเรื่องต่าง ๆ แล้วฟุ้งซ่าน ฉันที่เริ่มไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นจึงลงมือแกะรอยเอง

แน่นอนว่าจากประสบการณ์การอ่านนิยายสืบสวน ในบางเรื่องนั้น การสืบเองคือการเอาตัวไปให้เขาเชือดง่าย ๆ  แต่ครั้งนี้ฉันทนไม่ไหวจริง ๆ อา… ตัวละครในนิยายที่ถูกฉันด่าเพราะมักทำเรื่องไม่สมเหตุสมผล มันจะคิดแบบฉัน ณ ตอนนี้หรือเปล่านะ

เช้าวันต่อมา ฉันเริ่มเดินสอบถามร้านค้าในละแวกคอนโดของรุ่ง

หากมีใครร่วมมือกับนายเปี่ยม ย่อมแสดงสีหน้าท่าทางออกมา และหวังจะปิดปากฉันแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงพกมีดพก สเปรย์พริกไทย และสัญญาณเรียกตำรวจฉุกเฉิน (ที่นาย อ. ให้ไว้) เท่านี้ก็คงไม่ต้องกังวลแล้ว

ร้านแรกที่เข้าไปคือร้านอาหารญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ข้างขวาของคอนโด มันเป็นอาคารสี่ชั้น ดูจากด้านนอกแล้วพบว่าสองชั้นล่างสำหรับลูกค้า ที่ชั้นสามและสี่จะเป็นที่เก็บวัตถุดิบ ซึ่งช่วงเปิดร้านยังไม่มีลูกค้าเข้ามา แต่หากเลยชั่วโมงนี้ไปก็น่าจะเริ่มแออัดแล้ว

ฉันหยิบรูปถ่ายของนายเปี่ยม (ซึ่งได้มาจากนาย อ. อีกนั่นแหละ) นาย อ. และคุณเหนือชัยให้พนักงานหญิงวัยรุ่นในร้านดู คิดในใจว่าไม่น่าจะได้เรื่องอะไรหรอก อย่างน้อยคงต้องเสาะหาเบาะแสสักครึ่งวัน…

แต่กลายเป็นว่า พนักงานหญิงส่งเสียงแจ้วว่า “พี่ชายรูปหล่อคนนี้ ฉันจำได้แม่นเลยค่ะ”

ดันรู้จักนาย อ. เสียอย่างงั้น

“แล้วอีกสองคน รู้จักไหมค่ะ”

เธอส่ายหัว แววตาเป็นประกายจากคอนแทคเลนส์สีฟ้านั้นยังจับจ้องความหล่อของนักรับจ้างสารพัดอยู่

พอดีเชฟหญิงและพนักงานชายอีกสองคนเดินมาพอดี ฉันจึงถามคำถามเดียวกัน และทุกคนก็ตอบราวกับเตี๊ยมกันมา ว่ารู้จักกับนาย อ. และไม่มีใครเคยเห็นหน้าของนายเปี่ยมและคุณเหนือชัยเลย

“ช่วงอาทิตย์ก่อน พี่รูปหล่อคนนี้มากินอย่างกับพายุ ฉันอุตส่าห์ฝ่าฝืนกฎของร้านเพื่อของเบอร์ แต่เขาดันปฏิเสธแบบเนียน ๆ เสียงั้น” พนักงานหญิงคนเดิมกล่าวด้วยความเสียดาย

คงมาสำรวจตามที่ฉันขอสินะ…

ฉันที่เบื่อกับความหล่อของนาย อ. เริ่มรู้สึกเอียนหนัก แต่แล้วก็ตระหนักได้ว่าหูสองข้างเพิ่งได้ยินอะไรบางอย่างที่โคตรน่าตกใจ

“หมายความว่ายังไงคะ อาทิตย์ก่อนงั้นหรือ”

พนักงานหญิงที่ช้ำรักตีสีหน้างงแล้วพยักหน้า “ใช่ค่ะ จำไม่ผิดแน่ เพราะวันนั้นเพิ่งดูดวงมาว่าจะได้เจอเนื้อคู่ ดวงในเพจนี้จะทำนายทุกสัปดาห์” เธอเปิดมือถือแล้วค้นหาครู่หนึ่งจึงชูหน้าจอมาให้เห็นชัด ๆ มันเป็นเพจดูดวงรายสัปดาห์ และเจ้าของเพจเพิ่งมีการโพสต์คำทำนายประจำสัปดาห์นี้เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

 

เจ็ดวันก่อน… นั่นมันก่อนที่ฉันจะว่าจ้างนาย อ. ให้เข้ามาจัดการเรื่องรุ่งเสียอีกนะ!

ความฉิบหายเริ่มส่อแวว อันตรายแล้วสินะอีดอก! ในหัวฉันร่ำร้อง

นาย อ. รู้จักสถานที่แห่งนี้มาก่อนแล้ว และน่าจะรู้จักกับรุ่งมาก่อนด้วย

เหงื่อเย็นเยียบแผ่จากร่าง ความกลัวเกาะกุมอย่างไม่อาจสลัดหนี

เชฟสาวเจ้าของร้านกล่าวอย่างใจดี “จำได้ว่านายคนนี้บอกว่าตัวเองชอบเดินทางไปทั่ว อาจจะบังเอิญผ่านมาแถวนี้ก็ได้นะคะ หรือไม่ก็มาเพราะร้านเราดัง” จากนั้นจึงหัวเราะเสียงหวาน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉันก็ใจชื้นขึ้น นั่นสิ มาคิดดูแล้ว แถวนี้ก็มีคดีเกิดขึ้นบ่อยครั้ง การที่จะมีคนว่าจ้างให้นาย อ. มาลงพื้นที่ก็อาจเป็นไปได้

แต่มันจะบังเอิญขนาดนั้นเชียวหรือ

ฉันเดินกลับออกมาจากร้านด้วยอารมณ์บอกไม่ถูก ทั้งกลัวทั้งระแวง ไม่กล้าที่จะไปถามร้านหรือบ้านเรือนอื่น ๆ แล้ว

ประเด็นเรื่องชื่อนาย อ. ที่ดูคุ้นหู… ดูท่าจะไม่ใช่แค่ความรู้สึกเท่านั้นแล้ว มันเริ่มชัดแจ้งขึ้นในสมอง แต่อย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเคยผ่านตาผ่านหูจากที่ไหนเมื่อไร

 

เมื่อคิดอะไรไม่ออก ฉันตัดสินใจกลับไปนอนพัก ช่วงนีทำงานถึงดึกดื่นตลอดเลย

แต่ในขณะที่กำลังเรียกรถกลับคอนโด ก็มีเสียงคุ้นเคยจากด้านหลัง

เสียงนั่นเรียกชื่อฉันอย่างนุ่มนวล คุณเอม… มาทำอะไรแถวนี้หรือครับ 

เมื่อหันกลับไปก็พบใบหน้าคมเข้มที่แอบขโมยเก็บไปฝัน… นาย อ. นั่นเอง เขายืนที่ด้านหลังของฉัน ห่างไม่ถึงเมตรครึ่ง ช่างแข็งแกร่งจริง ๆ  ถึงกับเข้ามาในระยะของเซียนคาราเต้อย่างฉันได้โดยไม่รู้ตัว

อา ข้าแต่เทพเจ้า แววตาหวานที่กำลังจ้องมาทางหนู มันแฝงความชั่วร้ายแบบไหนไว้ภายในกันนะ

นาย อ. ที่ไม่สนท่าทีสับสนของฉัน เริ่มปล่อยเสียงหล่อ ๆ ออกมา

“บังเอิญจริง ๆ ที่พบกับคุณเอม แต่ก็ดีแล้ว ผมอยากพาคุณไปพบคุณเหนือชัยพร้อมกันเลย” นาย อ. กล่าวยิ้มแย้ม สีหน้านั้นดูร่าเริง แย่จริง ไม่สามารถคาดเดานิสัยใจคอของคนคนนี้ได้เลย

รู้สึกมีสติเต็มสตังครบก็มาจบที่บนรถเอสยูวีสีเทารุ่นท็อปแล้ว ในขณะที่นาย อ. ขับรถอย่างสง่างาม ตัวฉันได้แต่นั่งนิ่งตัวเกร็งอยู่ที่เบาะข้างคนขับ หรือว่า มันสะกดรอยตามฉันกันนะ

เพราะไม่อยากปล่อยตัวเองให้ตกอยู่ในความกลัวและไร้ทางสู้ จึงส่งคำถามออกไป “ทำไมคุณต้องไปพบคุณเหนือชัยด้วย ไหนบอกว่าเป็นหน้าที่ของตำรวจไง”

“เรื่องนั้น เดี๋ยวทางคุณเหนือชัยก็ต้องถามอยุ่แล้ว ไว้ค่อยตอบทีเดียวละกันครับ”

หรือว่าร่วมมือกับตำรวจ! แย่แล้ว… ถึงจะระแวงแทบบ้า แต่ก็ยังหาเหตุผลที่นายอ. จะทำร้ายรุ่งไม่ได้เลย ทั้งหมดอาจเกิดจากการคิดไปเองก็ได้ เย็นไว้สิเอม เย็นไว้

“ว่าแต่คุณมาธุระแถวนี้หรือ”

ฉันได้แต่พยักหน้าตอบ ไม่กล้าบอกว่ามาแอบสืบเรื่องของเอ็งนั่นแหละ

รถแล่นไปสักพัก นาย อ. เริ่มเปิดการสนทนาอีกรอบ

“เอ้อ ผมมีข่าวร้ายจะบอก เรื่องกล้องวงจรปิดในส่วนของคอนโดชั้นหก ดูท่าจะได้มายากเล็กน้อย เพราะทางคอนโดไม่ให้ความร่วมมือเลย คงกลัวจะเสียชื่อเสียง จึงอ้างว่าระบบขัดข้อง”

“ไฟล์หายงั้นหรือคะ หรือว่าถูกลบ!”

เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่ ไม่หายหรอก แค่ถ่วงเวลาน่ะ ทางนั้นอ้างว่าต้องปรับปรุงระบบก่อนจึงจะดึงไฟล์ออกมาได้ น่าจะสักสองถึงสามสัปดาห์ ความจริงคงกำลังเรียกประชุมใหญ่ของกรรมการและผู้ถือหุ้นอยู่ ก็นะ.. มันเป็นคอนโดในโครงการของบริษัทมหาชนระดับบน ๆ ไม่แปลกที่จะดึงเรื่องให้ช้า”

งั้นก็ทำอะไรไม่ได้งั้นสินะ

“อย่าทำหน้ามึนสิครับ นั่นแค่ขั้นแรกเท่านั้น ทางเรายังสามารถเข้าไปตรวจค้นสถานที่จริงต่อได้ ดูเหมือนว่าจะพบรอยนิ้วมือของนายเปี่ยม ตรงบริเวณลูกบิดแบบราวจับของประตูห้องคุณรุ่ง” เขาหยิบภาพถ่ายจากในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตให้ดู มันเป็นภาพของลูกบิดสีเงินแบบยาว เวลาจะเข้าไปหลังสแกนคีย์การ์ด จะต้องทำการโยกลง และมันมีคราบขาว ๆ คล้ายเหงื่อจากฝ่ามืออยู่ด้วย แน่นอนว่าจินตนาการไม่ออกสักนิดที่คราบนั้นจะเป็นของรุ่ง

แต่เอ๊ะ… สมองฉันเริ่มส่งเสียงเตือนความผิดปกติ และนายอ. ก็ทราบดี

“ถูกต้องครับ ไม่มีร่อยรอยการงัดแงะเลย แสดงว่านายเปี่ยมนั้นเข้าไปในห้องด้วยวิธีธรรมดา นั่นคือสแกนบัตรเข้าไป… นั่นแสดงว่าคีย์การ์ดที่นายเปี่ยมเก็บไปนั้นเป็นของห้องคุณรุ่ง ผมมีภาพจากฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน… พบว่าคีย์การ์ดที่นายเปี่ยมน่าจะใช้นั้นถูกทิ้งไว้ในช่องเสียบข้างประตูด้านใน โดยตัวการ์ดไม่มีเลขห้องสลักหรือติดเอาไว้ ไม่มีร่องรอยว่าเคยแปะติดอะไรที่บ่งชี้เบอร์ห้องไว้ด้วย”

รถติดและไม่ยอมขยับมาสักพัก เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉัน ความหล่อแยงตาแทบจะเบือนหลบหนี “นั่นเท่ากับว่ามันรู้ว่าเป็นการ์ดของคุณรุ่งยังไงล่ะ”

ฉิบหาย

“เพื่อนผมแจ้งว่า นายเหนือชัยกล่าวว่าคุณรุ่งทำการ์ดเข้าห้องหายไป แต่ยังคงเข้าออกห้องได้โดยใช้การ์ดสำรองที่เคยให้นายเหนือชัยไว้”

เรื่องนี้ฉันยังไม่ทราบ จึงออกอาการตกใจอย่างชัดเจน นายอ. ถึงกับแอบเลิกตามองเล็กน้อย

“และนั่นทำให้ผมสงสัย ว่าหากรู้ว่าการ์ดหาย แล้วทำไมคุณรุ่งถึงไม่แจ้งกับทางนิติบุคคลของคอนโดให้ยกเลิกสัญญาณของการ์ดที่หายไปล่ะ”

นั่นสินะ

“คิดในแง่ดี ก็คงประมาณว่าทั้งนายเหนือชัยและคุณรุ่งมองว่าไม่น่ามีอันตรายอะไร เพราะบนการ์ดก็ไม่มีหมายเลขห้องแปะอยู่ เพราะฉะนั้นปัญหาก็คือ… นายเปี่ยมรู้ได้อย่างไรว่าเป็นการ์ดสำหรับเข้าห้องของคุณรุ่งล่ะ จะบอกว่าไปไล่แสกนทีละห้องก็ดูจะเกินไปนะ ถ้าทำเช่นนั้นในคอนโดที่มีคนรวยเดินไปมา รับรองต้องมีคนโวยวายแน่นอน”

ฉันไม่ได้ตอบคำถามของนาย อ. และเขาเองก็คงไม่ได้ต้องการคำตอบจากฉันหรอก

“เมื่อคืนผมคงส่งข้อมูลไปบอกคุณแล้ว ว่านายเปี่ยมสารภาพว่าไปเจอการ์ดเข้าอาคารตกอยู่ที่ริมถนน จึงสามารถขึ้นไปยังชั้นหกได้โดยอาศัยเวลาที่ยามเผลอ ไม่อย่างนั้นสภาพการแต่งตัวที่เต็มไปด้วยคราบอาหารและโคลนตามเสื้อผ้า คงน่าสงสัยพอจะให้ยามเรียกมาสอบถาม แม้จะดูเหมือนเป็นการตัดสินจากภายในก็เถอะ”

ฉันนึกถึงข้อความออนไลน์ที่ได้รับช่วงตีสอง จึงพยักหน้าหงึก โดยเผลอแอบมองคางคมสันนั่นไปนิด

“มูลเหตุนั้น นายเปี่ยมสารภาพว่ามาจากความหิวโหย เพราะไม่ได้ทานอะไรมาสองวันแล้ว จึงต้องการขโมยของมีค่าไปขายเพื่อหาเงิน แต่นั่นไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แถมยังไม่สามารถตอบว่าทำไมถึงรู้จักห้องที่เป็นเจ้าของคีย์การ์ดนี้อีก พอถามว่าประเด็นนี้ก็ไม่ยอมตอบอะไร เอาแต่นิ่งเงียบ…”

“ทำไมถึงมองว่าไม่ใช่เพราะเงินล่ะ”

มีเสียงหัวเราะในลำคออีกครั้ง “ตำรวจที่เป็นเพื่อนผม เธอนำอาหารมาให้มันทานในห้องคุมขัง ผ่านไปชั่วโมงก็พบว่าไม่ได้แตะเลยสักนิด คนไม่ได้ทานอะไรมาสองวันจริงไม่น่าจะอดใจไหวหรอก”

มีการทดสอบอย่างนี้ด้วยหรือ ฉันขนลุก

รถเริ่มเคลื่อนตัวแล้ว ไม่นานเราก็มาถึงโรงพยาบาล V

เพราะห้องพักผู้ป่วยนั้นอยู่ที่ชั้นเก้า จึงต้องขึ้นลิฟต์ไป และระหว่างที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัว ฉันก็บ่นอะไรพึงพำ จงใจให้เขาได้ยิน

“หรือว่านายเปี่ยมจะไม่ใช่คนร้าย”

คำถามนั้นทำให้นาย อ. ทำท่าไม่พอใจ “ทำไมถึงคิดไปแนวนั้นได้ล่ะครับคุณ”

“ก็… ก่อนหน้านี้คุณส่งภาพของนายเปี่ยมมาให้ดูใช่ไหมเล่า หน้าตาเขาดูไม่น่าจะทำร้ายใครได้” แน่นอนว่าฉันโกหก หน้าตามันตัดสินกันได้ที่ไหน แต่จะบอกไว้ว่า ‘ข้าสงสัยเอ็งมากกว่านายเปี่ยมเสียอีก’ ก็ดูจะหาเรื่องกันเกินไป

นักสืบร่างสูงใหญ่หัวเราะใส่ฉันในทันที

“ความจริงผมก็ไม่ได้สงสัยนายเปี่ยมคนเดียวหรอก”

“หมายความว่าไงคะ”

“มันก็ชัดเจนอยู่นะ คนที่รู้ว่าคีย์การ์ดหายไป ก็มีคุณรุ่งกับนายเหนือชัยเท่านั้นแหละ”

…จริงด้วย หรือว่า ไม่สิ เป็นไปไม่ได้

“ถ้าจะมีอะไรที่ผมได้เรียนรู้จากการทำงานเป็นตำรวจและนักรับจ้างสารพัดแล้วละก็ คงเป็นเรื่องที่ว่า บนโลกนี้มีอะไรที่ไม่น่าเชื่อเต็มไปหมด และมีคนเลวมากกว่าที่เราคิดเสมอ ผมเคยเจอเรื่องเหนือธรรมชาติมามาก ทั้งเทวดาและผีสางก็เจอมาแล้ว กะอีแค่การจ้างคนมาทำร้ายคู่หมั้นตัวเอง เรื่องแบบนี้ไม่แปลกหรอก”

ฉันเริ่มหมั่นไส้จึงแขวะออกไป “พูดเหมือนรู้ดี คุณเคยพบกับนายเปี่ยมหรือเปล่า”

ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นเก้า เขาเดินออกไปพร้อมตอบว่า “เคยสิ ผมขอเข้าไปในช่วงสอบสวนรอบที่สอง ได้พบและสัมผัสในระยะที่ได้กลิ่นเหงื่อกันเลยล่ะ

ฉันแอบกลืนน้ำลาย เริ่มหวาดกลัวเส้นสายของตาคนนี้จับจิตแล้ว แต่ที่ว่ามาก็ฟังแล้วมีประเด็นเช่นกัน แม้จะคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าคุณเหนือชัยจะทำร้ายรุ่งไปเพื่อะไรกัน

 

ในห้องพัก รุ่งยังไม่ได้สติ ส่วนฉัน คุณเหนือชัย และป้าล้อมได้แต่นั่งนิ่งฟังสิ่งที่นาย อ. อธิบาย ซึ่งก็เป็นข้อมูลที่ฉันได้ฟังมาก่อนหน้านี้ทั้งนั้น

“แถมผลตรวจเลือดก็พบสารมึนเมามากมายเกินกว่าจะร่ายหมด จะว่าไปความจำจะเลอะเลือนก็ไม่แปลกล่ะ” นายอ. กล่าวพลางชำเลืองดูท่าที แต่เมื่อพบว่าทั้งคุณเหนือชัยและป้าล้อมไม่แสดงออกอะไรก็ยิ้มออกมา

“พวกคุณคงมีคำถามสินะครับ” เขายิ้มสดใส ผายมือให้ป้าล้อมที่เหมือนอยากจะกล่าวอะไร

“คุณมาทำอะไรในห้องนี้ ได้ข่าวว่าเป็นนักรับจ้างอิสระที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนักงานตำรวจไม่ใช่หรือคะ”

นาย อ. ยิ้มหวานให้ป้าล้อม “พอดีคราวนี้ผมกับทางสำนักงานตำรวจทำเรื่องร่วมมือกันเป็นกรณีฉุกเฉิน เพราะตามที่เคยบอกไว้ คดีนี้เป็นคดีที่ค่อนข้างพิเศษ”

“พิเศษยังไง ก็แค่มีคนใจบาปหยาบช้าบุกเข้ามาทำร้ายคุณรุ่ง” ป้าล้อมขึ้นเสียง แต่ถูกคุณเหนือชัยปรามไว้ ในขณะที่นายอ. ส่งสายตามาทางนี้ ซึ่งฉันก็ทำได้แค่หลบเท่านั้น ใช่แล้ว มันเป็นคดีพิเศษเพราะคำขอร้องของฉันเองนั่นแหละ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน

“ทางเราคงต้องขอค้นประวัติธุรกรรมทั้งหมดของคุณเหนือชัยด้วยครับ”

คำขอนั้นทำให้ทั้งป้าล้อมและฉันเกือบจะร้องเฮ้ยออกมา แต่คุณเหนือชัยกลับยิ้มอย่างไร้ความกังวล

“นั่นแสดงว่าคุณสงสัยพวกผมสินะ ได้สิ ถ้าแค่นั้นก็ตามสบาย”

นาย อ. ยิ้มตอบ “และผมคงต้องขอดูงบการเงินย้อนหลังและข้อมูลการเงินในปีนี้ของบริษัทคุณด้วยนะครับ”

คราวนี้สงสัยนาย อ. จะทำเกินไปหน่อย เพราะเหนือชัยถึงขั้นลุกพรวดขึ้นมาเสียงแข็ง

“จะมากเกินไปแล้วนะ สงสัยผมไม่เป็นไร แต่อย่าพาลถึงธุรกิจของผม บริษัทของครอบครัวผมไปเกี่ยวอะไรกับนายเปี่ยมด้วย หา!”

“นั่นสิ ไร้มารยาทที่สุด เปี่ยมมันเกี่ยวอะไรกับคุณหนูด้วย” ป้าล้อมจีบปากจีบคอ พี่เลี้ยงกับคุณหนูคู่นี้น่าจะรับส่งคำพูดกันคล่องแคล่ว

“ผมแค่ต้องตรวจสอบให้ลึกที่สุด เผื่อว่าจะมีอะไรตกหล่นไป”

ฉันที่ได้แต่ยืนนิ่งมองสองฝ่ายทะเลาะกัน ใจหนึ่งสงสัยจริงว่านายอ. จะคุ้ยขนาดนี้เพื่ออะไรนะ…

จากนั้นเมื่อพูดคุยกันสักพัก นาย อ. ก็ขอตัวจากไป ทิ้งให้พวกฉันนั่งมึนอยู่ในห้องพักของรุ่ง

และเมื่อทิ้งระยะเวลาพอสมควร ฉันจึงขอตัวลาเพราะต้องรีบปั่นงานต่อ

 

ฉันยืนพิงผนังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยในลิฟต์ ภาพของนายอ. ก็โผล่ขึ้นมาในสมอง ฉันรีบไล่หน้าหล่อ ๆ นั่นออกไป พยายามเรียกความหมั่นไส้และหวาดระแวงกลับมาแทน ใช่แล้ว นาย อ. นั่นขุดคุ้ยเกินไป แถมยังดูไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย ทำตัวอย่างกับพระเอกนักสืบในละครต่างประเทศไปได้

แต่แล้วก็ดันนึกอะไรออก ว่าแล้วว่าคุ้นชื่อของนายอ. จากที่ไหน ไม่สิ อาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่ต้องพิสูจน์ ต้องพิสูจน์เดี๋ยวนี้เลย

แต่พอเริ่มกดค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ออนไลน์ หน้าจอก็แจ้งว่าไม่มีสัญญาณ

เมื่อถึงชั้นล่าง ฉันเดินออกมาจากลิฟต์ ปรี่ไปที่ทางออกโรงพยาบาลซึ่งเป็นประตูกระจก จำได้ว่าบริเวณนั้นมีสัญญาณไวไฟ และฉันต้องใช้อินเทอร์เน็ตโดยด่วน แม้จะออกมาจากลิฟต์แล้ว แต่ลำพังเน็ตในมือถือฉันอย่างเดียวก็ช้าเกินกว่าจะทำอะไรได้

ทว่าขณะกำลังเดินไปถึงประตูกระจก ก็ดันไปพบกับนาย อ. กำลังดื่มกาแฟถ้วยที่บริเวณก่อนถึงทางออก เยื้องไปทางซ้ายประมาณสิบเมตร ฉันจึงรีบหันหลังกลับทันที

แต่ยังเผ่นไม่ทันถึงสามก้าว ก็มีเสียงทุ้มลอยมาจากด้านหลัง

“อ้าว คุณเพิ่งจะกลับหรือ ข้างนอกเริ่มครึ้มแล้ว นั่งรถผมไปก็ได้ เดี่ยวจะไปส่งให้ฟรี”

เมื่อหันไปมอง ก็พบสายตาที่มุ่งมั่นและไม่เผื่อใจที่จะถูกปฏิเสธเลย มันเป็นสายตาของคนที่ต้องการทุกอย่างให้ได้ดังใจ

 

ระหว่างทาง เราสนทนากันเรื่องคดีกันบนรถอีกครั้ง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มคุยก่อน

“นายเปี่ยมอาจจะว่างงานก็จริง แต่รองเท้านั้นเพิ่งถอยออกมาจากร้านเลยนะ แค่ค้นประวัติธุรกรรมดูก็จะรู้ว่าได้เงินมาจากไหน”

“อาจจะใช้เงินที่มันรื้อเอาไปจากห้องของรุ่งก็ได้”

“เรื่องนั้นคงยากหน่อย เพราะเท่าที่ดูที่เกิดเหตุแล้ว คุณรุ่งทรัพย์นำของมีค่าไปเก็บในเซฟบริเวณตู้เสื้อผ้าทั้งหมด มันหนักเกินจะขยับเขยื้อนหรือแบกไหว แถมยังไม่มีร่องรอยการงัดแงะ เชื่อว่าทรัพย์สินทั้งหมดก็ยังคงอยู่ในนั้น”

เขากระแอมหนึ่งครั้งแล้วกล่าวต่อ

“ข้อมูลล่าสุด พบว่าไม่มีประวัติการโอนเงินในบัญชีของนายเปี่ยมเลย ล่าสุดที่เงินเข้ามาคือเมื่อสี่เดือนก่อน ยอดคือหนึ่งร้อยสามสิบหกบาท ส่วนของนายเหนือชัยนั้นก็ไม่มีการโอนจ่ายใดที่น่าสงสัย และไม่มีการเบิกเงินสดออกมาในระยะนี้ด้วย”

หรือจะใช้เงินสดที่เบิกไว้นานแล้วในการจ่าย แต่แบบนี้คงพิสูจน์อะไรต่ออยากแล้ว

“ถ้าดูจากข้อมูลเท่านั้น นายเปี่ยมเองก็คงไม่มีความเกี่ยวเนื่องอะไรกับนายเหนือชัยสักนิด ไม่สิ ต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่นอน” นาย อ. พูดอย่างมาดมั่น ฉันได้แต่ฟังไปคิดไป

แต่แล้วเมื่อก้มลงดูหน้าจอมือถือ ก็พบว่าเน็ตที่แสนช้าได้โหลดหน้าเว็ปที่ต้องการเสร็จแล้ว และข้อมูลแสดงออกมานั้น ก็ทำให้ฉันตาถลน หวาดกลัวจับใจ

มันคือเพจในเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์อันดับบน ๆ ของประเทศนี้

‘ขอแสดงความยินดีแก่ผู้ผ่านการประกวดรอบแรก โครงการพล็อตนิยายแฟนตาซียุคใหม่’

ใต้หัวข้อนั้นมีรายชื่อบุคคลทั้ง 50 คน ที่ส่งพล็อตนิยายเข้าประกวดและผ่านการคัดเลือก สายตาของฉันยังคงจดจ้องกับชื่อหนึ่งที่โดดเด่นออกมา

‘ลำดับ 16 นายอนุXXX XXXX’

มันคือชื่อของนาย อ. นั่นเอง!

“อย่ามัวแต่เล่นมือถือบนรถสิคุณ เดี๋ยวสายตาเสียนะ” น้ำเสียงห่วงใยที่แสดงออกมาอย่างทีเล่นทีจริง ทำให้ขนลุกไปทั้งกาย

ฉันค่อย ๆ หันไปทางคนขับ นาย อ. หันกลับมาจ้องตาแทบจะทันที

“หน้าซีดเชียว ไปเจอข่าวสยองขวัญเข้าหรือไง”

ปละ! เปล่าค่ะ! ฉันตอบเสี่ยงสั่นกึก เผลอลงท้ายด้วยหางเสียง ทั้งทีเป็นคนชอบลืมเป็นประจำ ส่วนในมือแอบเลื่อนหน้าจอเพื่อดูชื่อพล็อตนิยายของนาย อ.

‘กลรัก คนเหนือโลก’

ชื่อเรื่องที่รุ่งตั้งใจจะนำไปประกวดผุดขึ้นมาในแก่นสมองทันที

‘ยอดรัก นักท่องต่างโลก…’

เหมือน… เหมือนมาก เหมือนเกินกว่าจะยอมรับได้ แค่เปลี่ยนบางคำออกไปเท่านั้นเอง… ไม่สิ อาจเป็นเรื่องบังเอิญ ชื่อเรื่องคล้าย ๆ กันก็มีนับพันนับหมื่น นับประสาอะไรกับชื่อแนวนี้

แต่แล้วก็แทบจะตบหน้าตัวเอง อีโง่ มึงอย่ามัวแต่หาข้ออ้างให้ตัวเองสบายใจสิวะ

ความจริงเริ่มชัดเจน คืบคลานมาปกคลุมรอบตัวราวกับเงาสีดำทะมึน นาย อ. คือคนร้ายตัวจริง

เขาคงตามสืบเรื่องของรุ่งตามคำขอของฉัน หรืออาจจะรู้ถึงพรสวรรค์ของรุ่งมาตั้งนานแล้ว และใช้คดีของฉันเป็นข้ออ้างในการจัดการ คงต้องการพล็อตที่รุ่งบันทึกไว้ในแล็บท็อป และรุ่งคงขัดขืน มันจึงตัดสินใจฆ่าปิดปาก

แต่เมื่อรุ่งยังมีชีวิตรอดอยู่ มันจึงต้องหาทางจับแพะให้ได้ และแพะผู้น่าสงสาร… ก็คือนายเปี่ยม

สิ่งที่เขาทำคือพยายามเข้าถึงตัวรุ่งที่ยังไม่ได้สติให้บ่อยที่สุด เพื่อรอเวลาลงมืออีกครั้ง

และที่แย่ที่สุด คือฉันเป็นคนส่งเพื่อนคนนี้มาให้นาย อ. ขโมยผลงานเองกับมือ

และคนต่อไปที่จะถูกปิดปาก… ก็คือฉัน

 

นายอ. คงเห็นว่าฉันหน้าเริ่มซีดเซียว จึงหาเรื่องคุย แต่เสียงที่ลอดเข้าหูนั้นไม่อาจฟังได้ศัพท์อีกแล้ว

ครู่หนึ่งโทรศัพท์มือถือของนาย อ . ซึ่งวางอยู่ตรงกลางบริเวณช่องเก็บของใต้เกียร์ก็สั่นไม่หยุด

ท่าทีของนาย อ. ดูเหมือนไม่สนใจจะกดรับ “ทนรำคาญหน่อยนะ ผมไม่ชอบคุยเวลาขับรถ”

สักพักก็มีข้อความเข้ามาในมือถือฉัน ผู้ส่งคือคุณเหนือชัย

‘รุ่งฟื้นแล้ว แต่จำอะไรไม่ได้เลย’

ฉันทั้งดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน งั้นหรือ หากจำไม่ได้ ก็เท่ากับว่าไม่มีคนเห็นเหตุการณ์แล้ว

แต่เสียงมือถือของนาย อ. ยังสั่นไม่หยุด ฉันจึงถือวิสาสะหยิบขึ้นมา บอกเขาว่าจะตัดสายให้ แอบมีเผื่อใจว่านาย อ. จะดุด่า ทว่าเขากลับพยักหน้าเสียงั้น

แน่นอนว่าหลังกดปิด ฉันแอบส่องหน้าจอดูว่ามีข้อความอะไรหรือไม่ และก็พบตามที่คาด ไม่สิ เรียกว่าเกิดคาดมากกว่า

‘ไม่พบเงินสดหรือทรัพย์สินอะไรในห้องพักของนายเปี่ยมเลย’

คงเป็นข้อความจากตำรวจหญิงผู้เป็นเพื่อนนาย อ. ช่างขยันเอาข้อมูลมาบอกจริง ๆ แต่นั่นก็พิสูจน์ได้แล้ว… ว่านายเปี่ยมนั้นเป็นแพะในคดีนี้!

“เป็นคดีที่ยากเอาเรื่องเนอะ ถ้าให้เลือกได้ ผมขอทำคดีเกี่ยวกับฆาตกรพลังจิต หรือไม่ก็พวกต่างดาวดีกว่า” นาย อ. เริ่มกล่าวพร้อมหัวเราะ

ฉันกลืนน้ำลายหนืดลงคอ จากประวัติที่หาเพิ่มเติมมา ชายคนนี้ผ่านอะไรมามากมาย มีข่าวลือว่าเขาเคยยิงกบาลเป้าหมายระดับรัฐมนตรีด้วยซ้ำ (แม้จะไม่มีหลักฐานหลงเหลือเลยก็ตาม) คนแบบนี้จะลงมือฆ่าใครเพื่อประโยชน์ตัวเองก็คงไม่แปลก

เมื่อทนไม่ไหวแล้ว ฉันรีบขอตัวลงจากรถ อ้างว่าจะลงสถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่ข้างหน้า

นายอ. ทำท่าแปลกใจแต่ก็ยอมปล่อยฉันลง คงยังไม่ถึงเวลากำจัดฉัน

เมื่อรถของนายอ. แล่นลับสายตา ฉันรีบกดโทรหารุ่งในทันใด

ไม่มีคนรับสาย ทำไมเล่า

ไม่มีเวลาแล้ว หากนายอ. ทราบว่ารุ่งฟื้นแล้ว แม้จะยังจำอะไรไม่ด้ แต่อีกไม่นานความทรงจำก็คงกลับมา นาย อ. คงคิดหาทางกำจัดก่อนถึงเวลานั้นแน่นอน…

ไม่สิ ความคิดนี้มีช่องโหว่อยู่ หากนา ยอ. เป็นคนร้ายที่ขโมยไอเดียไปจริง ๆ ทำไมไม่จัดการรุ่งตั้งแต่ในห้องผู้ป่วย

ไม่สิ เพราะคุณเหนือชัยกับป้าล้อมคอยดูอยู่ตลอดไงเล่า

แต่หากว่ารุ่งฟื้นแล้ว ทางนาย อ. จะทำอย่างไร… มีทางเดียวที่นาย อ. จะรอดไปได้ คือกันคุณเหนือชัยและป้าล้อมอออกจากห้อง โดยอ้างว่าเพื่อการสอบสวน อาจจะมีพรรคพวกของนาย อ. เข้าไปจดบันทึกประมาณสองสามคน

และจากนั้น จากนั้น… ฉันก็จะไม่ได้เห็นรุ่งมีชีวิตอีก

ฉันตะบันโทรหาทั้งเหนือชัย ทั้งป้าลอม แต่ไม่มีใครรับสาย ใช้เวลาเกือบสิบนาทีจึงมีเสียงตอบรับ เป็นเบอร์ของป้าล้อมนั่นเอง

“ขอโทษที่ไม่ได้รับสายนะจ๊ะ พอดีว่าตำรวจมากันเต็มเลย”

แย่ล่ะสิ! “ป้าล้อมคะ อาจะจะฟังดูแปลก ๆ แต่ห้ามให้นาย อ. เข้าเยี่ยมรุ่งอีกนะคะ ได้ยินไหม”

เสียงจากปลายสายนั้นไม่ชัดเอาเสียเลย แต่ป้าล้อมที่ได้ยินไม่ชัดกลับหัวเราะออกมา “อ๋อ คุณนักสืบหรือ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ เขาอยู่กับคุณรุ่งแล้ว”

ใจฉันเด้งชนกับผนังอก ป้าล้อมที่เข้าใจผิดไปไกลขอตัววางสายเพื่อชงกาแฟให้นาย อ .

ฉิบ หาย แล้ว ทำไมมาญาติดีกับมันตอนนี้วะป้า

สถานีตำรวจ ใช่ ตำรวจไง… ฉันรีบโทรติดต่อตำรวจ แต่สายกลับไม่วางตลอด จะโชคร้ายอะไรอย่างนี้วะ หรือเป็นคราวตายของรุ่งจริง ๆ ไม่นะ ไม่

เมื่อไม่มีทางเลือกจึงซ้อนท้ายวินมอเตอร์ไซค์เพื่อไปยังสถานทีตำรวจที่ใกล้ที่สุดทันที

 

เมื่อไปถึงสถานีตำรวจที่ดูใหม่และสะอาดเกินกว่าจะเชื่อ ฉันวิ่งเข้าไปที่โต๊ะรับเรื่อง คนที่นั่งอยู่คือตำรวจหนุ่มหน้าเนียนใส แต่เขากลับทำท่าว่ารอฉันอยู่ก่อนแล้ว

“อ๋อ คุณเอมใช่ไหม คุณ อ. ติดต่อมาพอดีว่ามีคนเห็นคุณเอมนั่งซ้อนท้ายวินไปไหนไม่รู้ ที่แท้ก็มาถึงสถานีเลย คุณ อ. กำลังอยากพบอยู่พอดี ตามตัวยากเหมือนกันนะครับ”

เชี่ยอะไรเนี่ย ฉันมองซ้ายขวา และก็ต้องตาถลน เพราะป้ายบอกรายละเอียดของสถานีที่อยู่ตรงกำแพงด้านขวา มันเขียนว่าสถานีตำรวจฝ่าย XXX เขต A

ใช่แล้ว มันคือสถานีที่นาย อ. เคยทำงานอยู่ ไม่แปลกที่จะมีแต่คนรู้จัก แถมยังส่งคนมาสอดส่องฉันกระทั่งตอนขึ้นมอเตอร์ไซค์อีก น่ากลัว น่ากลัวจริง ๆ

นายตำรวจหนุ่มหันกลับไปรับสายในมือถือ แล้วพูดกับปลายสายด้วยเสียงร่าเริง “อ๋อ ครับ เดี๋ยวคุณ อ. จะเข้ามาใช่ไหม อ๋อ รู้ตัวคนร้ายในคดีคุณรุ่งทรัพย์แล้วหรือครับ ดีเลย ผมจะให้คุณเอมรอนะครับ”

เมื่อนั้นแหละที่ฉันแผดเสียง “ไม่จริง เขาโกหก อ. ต่างหากที่ทำร้ายรุ่ง! เขาสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาใส่ร้ายนายเปี่ยม”

สิ้นเสียงตะโกน ตำรวจทุกคนในสถานีมองหน้าฉันราวกับว่า ผู้หญิงคนนี้อันตรายว่ะ

ตำรวจหนุ่มเดินอ้อมจากโต๊ะมาคุยกับฉันด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “คุณเอมครับ เบาเสียงหน่อย พูดอย่างนี้มันหมิ่นประมาทนะครับ จู่ ๆ โพล่งอะไรออกมาครับเนี่ย”

มือขวาของนายตำรวจเกร็งแปลก ๆ ใช่แล้ว คงเตรียมจะหยิบปืนขึ้นมาสินะ ส่วนนายตำรวจคนอื่นเริ่มบ่นออกมาให้ได้ยินว่าไร้สาระ

“ผมจะพาคุณเอมไปนั่งรอที่ห้องพักแขกนะครับ และกรุณาอย่าเอาเรื่องคดีคุณรุ่งมาพูดอีกนะครับ” สายตานั้นแฝงไว้ด้วยความดุร้ายอันปิดไม่ปิด เมื่อนั้นเองที่ฉันเข้าใจเรื่องราวแท้จริง

แย่แล้ว นาย อ. รู้กันกับตำรวจสินะ แต่แล้วเสียงจากมือถือก็ดังขึ้นมา เป็นข้อความจากรุ่ง

‘ช่วยด้วย’

‘คุณ อ. เขา’

 

ฉิบหายวายป่วงกันใหญ่แล้ว มันเข้าถึงตัวรุ่งแล้วโว้ย

เมื่อนั้นเองที่ฉันสะบัดมือของนายตำรวจหนุ่มออก แล้วเตรียมวิ่งออกจากสถานี แต่ทว่าไม่ทันได้ก้าวขา ก็ถูกล็อกแขนไว้ด้านหลัง จากนั้นจึงถูกใส่กุญแจมือทันที

 

อันที่จริงจะเรียกว่ากุญแจมือก็ไม่ถูก เพราะอุปกรณ์ที่พันธนาการมือซ้ายไว้เป็นเพียงตัวล็อกคล้ายเชือกพลาสติกสีขาวเท่านั้น โดยมันรั้งไว้กับขาโต๊ะข้างหนึ่งที่ตรึงติดแน่นกับพื้น บัดนี้ฉันขยับไปไหนไม่ได้ ถูกจองจำอยู่ในห้องแคบ ๆ

แย่แล้วสินะ ต้องถูกฆ่าปิดปากแน่นอน สังหรณ์เริ่มทำงานอย่างรุนแรงขึ้นทุกที มั่นใจแล้วว่าไม่ได้คิดไปเองแน่นอน

ขอร้องปล่อยฉันไปเถอะ แม้อยากจะพูดอะไรออกมา แต่เพราะถูกเทปกาวปิดปากอยู่ จึงได้แต่ส่งเสียงอู้อี้เท่านั้น

ไม่ถึงห้านาที ก็มีตำรวจหน้าเหี้ยมคนหนึ่งเดินถือผ้าสีขาวเข้ามา ฉันรู้ได้ทันทีว่าจุดจบกำลังมาเยือนแล้ว

“ไม่อยากให้เลือดเปื้อนมือจริง ๆ ให้ตายเถอะว่ะ”

จบแล้วสินะ ฉันหลับตาปี๋

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่ง ก็ยังรู้ตัวว่าหายใจอยู่ ทำไมล่ะ นึกว่าจะถูกผ้าชุบยาอะไรสักอย่างอุดจมุกเสียอีก

และเมื่อลืมตา ก็พบว่าตำรวจคนนั้นกำลังหยิบยื่นผ้ามาให้แม่บ้านสาวคนหนึ่งอยู่

หญิงสาวในชุดที่ดูก็รู้ว่าเป็นยูนิฟอร์มของบริษัททำความสะอาดเดินเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้ม นิ้วสีขาวขี้มายังฝ่ามือของฉัน

เมื่อนั้นแหละที่ฉันพบว่าฝ่ามือขวาของตัวเองมีเลือดออกอยู่ จะเรียกว่าไหลโจ๊กก็คงไม่เหมาะ แต่มากกว่าไหลซิบ ๆ แน่นอน

“ดูท่าว่าจะบาดตอนที่เธอสะบัดมือจากลูกน้องฉันสินะ” ตำรวจหน้าโหดพูดอย่างรู้สึกผิด “ไอ้น้องใหม่นั่นก็ไม่ระวังเอาเสียเลย เอาเป็นว่าฉันขอโทษแทนลูกน้องละกัน”

ไม่ช้าผ้านั่นก็โปะมาที่ฝ่ามือ รู้สึกแสบเล็กน้อย

“ผ้านี้ฉีดพรมยาฆ่าเชื้อแบบถนอมผิวเอาไว้ค่ะ ประคบไว้สักพักก็จะหายปวด” แม่บ้านกล่าวด้วยเสียงใจดี”

“ขอโทษทีนะครับ ทั้งที่จ้างมาทำความสะอาดแท้ ๆ เชียว แต่จะให้ผมจัดการเองก็ไม่เหมาะ เกิดมีคนแอบถ่ายแล้วมันจะดูไม่ดี”

“ฉันเข้าใจค่ะ” แม่บ้านสาวหัวเราะร่าเริง พร้อมย้ำว่าตนชอบทำความสะอาดทั้งสิ่งมีชีวิตและอาคารอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ยินดีช่วยเหลือ ดูแล้วคงเป็นคนที่มีความสุขกับงานที่ทำ

ฉันยังงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไร นาย อ. ก็เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาในห้องอย่างรีบเร่ง

“ได้ข่าวว่าคุณบาดเจ็บ เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

สาบานได้ว่าสีหน้าของเขา มันคือความห่วงใย

 

คนร้ายคือนายเปี่ยมนั่นแหละ แต่ยังมีอีกหนึ่งคน และนั่นทำให้ฉันตาค้าง

“ป้าล้อมกับคุณเหนือชัยงั้นหรือ”

“ใช่ครับ แต่ไม่ได้ลงมือพร้อมกัน อันที่จริงไม่ได้ร่วมมือกันด้วยซ้ำ”

หัวฉันราวกับขึ้นลงรถไฟเหาะแล้วเสือกหลุดรางออกมา นาย อ. เห็นสภาพฉันจึงเข้ามาปลดตัวล็อกที่มือให้ แล้วลากเก้าอี้อีกตัวมานั่งคุยอย่างเป็นกันเอง

“คุณแอบดูข้อความในมือถือผม แต่ดันดูไม่หมดสินะ” เขายิ้มเชิงรู้ทัน “ก่อนหน้าข้อความนี้ เพื่อนผมยังส่งข้อมูลมาเพิ่ม”

เขาเปิดข้อความให้ดู นั่นคือ ‘พบรอยนิ้วมือของนางล้อมในห้องนอนของนายเปี่ยม… ตามที่คาดไว้ สัญชาตญาณของนายยังเฉียบเหมือนเดิม’

อะไรกัน ป้าล้อมอาศัยอยู่กับนายเปี่ยมหรือ…

“ผมแอบเก็บลายนิ้วมือของทั้งเหนือชัยและนางล้อมไว้ตั้งแต่พบกับครั้งแรกแล้ว ซึ่งก่อนหน้านั้นผมก็เดินทางไปที่ห้องสอบสวนของนายเปี่ยม จึงรับรู้ได้ทันทีว่ากลิ่นหัวของนายเปี่ยมนั้นไม่ใช่กลิ่นของคนที่ไม่ได้สระผมมานาน แต่มันเป็นกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของยาสระผมที่สาว ๆ หรือคนผมยาวชอบใช้

ฉันตาค้าง “กลิ่นแชมพูแบบเดียวกับป้าล้อม”

เขาดีดนิ้ว “เก่งมาก แสดงว่าคุณก็ได้กลิ่นผมของนางล้อมเหมือนกัน อันที่จริงช่วงแรกคิดไปว่าเป็นลูกหลาน หรือไม่ก็คนบ้านเดียวกัน ทว่าพอไปสอบถามจากคนในละแวกหอพักปัจจุบันของนายเปี่ยม ก็ทราบว่าเป็นคู่รักต่างวัย”

การจีบปากจีบคอของป้าล้อมย้อนเข้ามาในสมอง ‘ไร้มารยาทที่สุด เปี่ยมมันเกี่ยวอะไรกับคุณหนูด้วย’ ใช่แล้ว ป้าเรียกว่าเปี่ยม เรียกแบบคนที่สนิทสนมกัน 

“ไม่จริง ป้าล้อมไม่มีทางทำร้ายรุ่งหรอก”

“ถูกต้องแล้ว ป้าล้อมไม่เคยต้องการทำร้ายรุ่ง และที่สำคัญ อันที่จริงแล้วไม่มีใครอยากทำร้ายเธอเลยด้วยซ้ำ”

หา

“ป้าล้อมได้รับการว่าจ้างจากนายเหนือชัย เพื่อให้แอบเข้าไปในคอนโดของคุณรุ่งในเวลาที่เธอไม่อยู่ และทำภารกิจลับบางอย่าง เพราะเป็นคนสนิทกัน จึงไม่มีการโอนเงินหรือจ่ายอะไรนอกเหนือไปกว่าเงินเดือนที่โอนเข้าบัญชีของนางล้อมทุกเดือน

แต่ทว่าทุกอย่างที่ควรจะง่ายดายกลับผิดพลาด เพราะนางล้อมดันนำเรื่องนี้ไปบอกเล่าให้นายเปี่ยมฟัง นายเปี่ยมที่ได้ฟังรายละเอียดภารกิจ คงเกิดความรู้สึกเป็นห่วงนางล้อมคนรัก บวกกับต้องการแสดงความเป็นผู้นำตามประสาลูกผู้ชายหัวโบราณ ในวันที่นางล้อมไปทำงานตามปกติ เขาจึงขโมยคีย์การ์ดไปและดำเนินภารกิจเอง

ทว่ากลับผิดพลาดที่คุณรุ่งกลับมาคอนโดพอดี จึงเกิดเรื่องร้ายเช่นนี้ขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะนายเปี่ยมนั้นไม่ทราบวันเวลาตามที่นายเหนือชัยและนางล้อมวางแผนกัน จึงสุ่มเลือกวันเข้ามาโดยใช้สัญชาติญาณล้วน ๆ”

และกลายเป็นว่ามาพบรุ่งอยู่ในห้องพอดี จึงเกิดเหตุชุลมุน และรุ่งก็ถูกผลักตกลงมาจากคอนโด… ฉันขนลุก เดาทางออกพอสมควรแล้ว

“และเมื่อถูกจับ นายเปี่ยมจึงปิดปากเงียบ ยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ส่วนนางล้อมที่ไม่รู้จะทำอย่างไร พอทราบว่านายเปี่ยมไม่ซัดทอดถึงตน จึงได้แต่ตีเนียนไป โดยบอกนายเหนือชัยว่าทำคีย์การ์ดหาย แน่นอนว่านายเหนือชัยไม่ทราบว่านางล้อมคบกับนายเปี่ยมหรอก คงงานหนักกระทั่งไม่รู้จักกับคู่รักของพี่เลี้ยงตัวเองด้วยซ้ำ แต่พอทราบว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นายเหนือชัยก็ไม่ได้กล่าวโทษอะไรนางล้อมขนาดนั้น แต่กลับโทษตนเองกับนายเปี่ยมมากกว่าด้วยซ้ำ… จะว่าไป เขาก็เป็นเจ้าของกิจการที่นิสัยดีทีเดียวนะ”

“ทำไมถึงมั่นใจว่าเป็นป้าล้อม… แล้วคุณเหนือชัยต้องการอะไรจากรุ่งกันแน่

“ผมสงสัยนางล้อมมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะคนที่ทำแบบนี้ได้ต้องรู้ว่าคีย์การ์ดเจ้าปัญหาเป็นของห้องคุณรุ่ง และต้องเป็นคนเดียวที่สามารถรับจ้างได้โดยไม่ต้องโอนหรือจ่ายอะไรที่ติดตามประวัติได้ อาจจะชำระหนี้สินกันภายในบ้าน หรือไม่ก็เต็มใจจะทำ”

เขาเห็นฉันนิ่งไปแล้วจึงหัวเราะหล่อ ๆ พลางหยิบมือถอืออกมาเปิดรูปให้ดู มันเป็นภาพวาดสี่ภาพ ภาพแรกคือวงกลมที่มีลวดลายแปลก ๆ ด้านใน อีกสามภาพเป็นบ้านทรงสไตล์ยุโรป ลายเส้นนั้นดูไม่มั่นคงราวกับไม่เคยวาดมาก่อน แต่กลับสวยงามตามท้องเรื่อง

“มันคือภาพที่คุณรุ่งวาดเอาไว้…รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ต้องบังคับคนป่วยเพื่งฟื้นให้วาดรูป แต่มันก็จำเป็น เพราะต้องใช้ในการพิสูจน์แนวคิดของคุณ…”

หัวฉันแล่นในทันใด พร้อมกับเสียงมือถือที่ดังขึ้น เมื่อหยิบมาดูก็พบว่าข้อความที่รุ่งส่งมาเมื่อครู่ มันขาดไปเพราะสัญญาณไม่ดี แต่ในเวลานี้ข้อความทั้งหมดได้ปรากฎครบถ้วนแล้ว

 

‘ช่วยด้วย’

‘คุณ อ.’

‘ถึงจะนิสัยดีมาก แต่เขากลับบังคับให้ฉันวาดรูปอะไรไม่รู้’

‘ฉันเพิ่งฟื้นไข้เองนะ มาช่วยห้ามเขาหน่อย รู้สึกปวดมือมาก ๆ’

‘แง’

ลงท้ายด้วยภาพของแมวน้อยสีน้ำตาลกำลังเอาสองอุ้งมือกุมใบหน้าไว้

 

ที่แท้นาย อ. ไม่ได้คิดจะทำร้ายรุ่งสินะ “น่าอายชะมัด ฉันคาดผิดไปหมดเลย”

ระหว่างที่ฉันกุมหน้าด้วยสองฝ่ามือไม่ต่างกับแมวน้อย นาย อ. ก็กล่าวปลอบใจ “ไม่หรอก มีถูกอยู่หนึ่งเรื่อง ผมยังไม่ได้บอกสินะว่านางล้อมตั้งใจจะแอบเข้ามาเพื่ออะไร และผมให้คุณรุ่งวาดรูปไปทำไม”

นั่นสิ รูปเหล่านี้มันมีความหมายอะไรหรือ… ฉันถามตัวเองอย่างงงงวย แต่แล้วก็เบิกตาโตโดยไม่อาจห้าม หรือว่า…

“ใช่แล้ว ภาพที่คุณรุ่งเป็นคนวาดนี้ เป็นภาพที่อยู่ในหัวของผมเอง”

เสียงของนาย อ. ราวกับระฆังจากหอนาฬิกา มันสั่นสะเทือนสมองและเซลล์ประสาทของฉัน

เข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว

 

ทั้งหมดมันเกี่ยวพันกับคำขอของฉันเมื่อหลายวันก่อน

‘ฉันต้องการให้ไอเดียพวกนี้เป็นของฉัน… ของฉันเพียงคนเดียว’

คำขออันแสนเห็นแก่ตัวนี้ มาจากอารมณ์เบื้องลึกดำมืด นั่นเพราะว่าไอเดียที่รุ่งแสดงให้ฉันดูในวันนั้น มันตรงกับไอเดียที่ฉันใช้เวลาเขียนและเพาะบ่มไว้มานับสิบปี! ตรงกันอย่างน่าตกใจ!

ไม่ได้เข้าข้างตนเองหรอกนะ แต่มันคือไอเดียที่วิเศษและเกิดจากการตกผลึกมาทั้งชีวิต ถ้ารุ่งสามารถเขียนไอเดียเช่นนี้ออกมาได้ในเวลาไม่กี่วัน หากไม่เพราะเธอขโมยมันไปจากฉันแล้ว ก็ต้องเป็นโคตรอัจฉริยะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่าง

เพราะเหตุนั้น ฉันจึงไปหานาย อ. เพื่อจ้างวานให้พิสูจน์ และหาทางทำอย่างไรก็ได้ให้ไอเดียเหล่านี้เป็นของฉันคนเดียว ใช่แล้ว ฉันมั่นใจว่ารุ่งได้มันไปจากฉันแน่นอน แต่ด้วยวิธีอะไรล่ะ

หรือหากเป็นเรื่องบังเอิญ ฉันก็อยากจะได้หลักฐานมายืนยัน

และหลักฐานนั้น ก็คือภาพที่รุ่งวาดนั่นเอง

 

นาย อ. กล่าวสรุปอย่างใจเย็น “ใช่แล้ว ตามที่คุณสงสัยเลย คุณรุ่งได้ไอเดียนิยายมาจากคุณเองนั่นแหละ เธอเป็นผู้มีพลังในการอ่านใจคนอื่นได้ และกระทำไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อคุณรุ่งสนิทกับคุณมากขึ้นในระยะหลัง ไอเดียของคุณจึงเข้าไปในหัวของคุณรุ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ… ดูท่าแล้วความสามารถที่ว่าคงเพิ่งปรากฎออกมาได้ไม่นานนี้เอง”

ชัดเจนแล้วสินะ นาย อ. จึงพยายามเข้าหารุ่ง เพื่อให้เธอวาดภาพในหัวของเขาออกมา

“และไม่ได้มีฉันคนเดียวที่สงสัยเรื่องนี้ใช่ไหม”

“ใช่ครับ แฟนพนุ่มของคุณรุ่งก็เช่นกัน แค่รุนแรงกว่าเพราะต้องแข่งขันในสังคมที่มีแต่ศัตรูร้าย ในวันที่เขาใช้งานแล็บท็อปของคุณรุ่งเมื่อหลายวันก่อน เขาได้พบไฟล์รูปภาพโลโกของสินค้าใหม่ที่เพิ่งออกแบบด้วยตัวเอง และแอบคิดไปว่าน. ลอกแบบโลโกและไอเดียทางการค้าของเขา จึงวานให้นางล้อมมาขโมยแล็ปท็อปไปเพื่อพิสูจน์และหาทางทำลาย เขาไม่ทราบว่ารุ่งได้สเก็ตช์ภาพพวกนั้นมาจากไหน แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะกลัวว่ารุ่งจะเป็นสปายจากบริษัทคู่แข่ง จะจ้างคนอื่นไปจัดการก็กลัวว่าจะเป็นอันตรายกับเธอ”

ฉันฟังแล้วก็เข้าใจในความคิดของคุณเหนือชัย ไม่ไว้ใจคนรัก แต่ก็ไม่อยากทำร้าย

“มันมีผลต่อชีวิตของลูกน้องทุกคนในบริษัทของเขา นายเหนือชัยจึงไม่มีทางเลือกมากนัก ทว่านายเปี่ยมกลับขโมยคีย์การ์ดไปจากนางล้อม และดันทำเกินกว่าเหตุ แน่นอว่านายเปี่ยมคงรู้แค่ว่าต้องขโมยแล็บท็อป แต่ไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่ข้างในหรอก

“แล้วใครจะได้รับโทษบ้าง” ฉันเริ่มเป็นห่วง ไม่อยากให้ใครต้องเจอเรื่องเลวร้ายเลย ทั้งคุณเหนือชัยกับป้าล้อม หรือกระทั่งนายเปี่ยมก็ตาม

“หลังจากคุณรุ่งฟื้นแล้ว และได้รู้เรื่องความสามารถของตัวเอง เธอกลับคำให้การว่าเป็นคนกระโดดลงมาเองเพื่อหนีนายเปี่ยม โดยอ้างว่าเพราะระยะหลังสมองเริ่มทนรับไอเดียจากคนรอบตัวไม่ไหวแล้ว จึงตัดสินใจพลาด ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าพูดจริงหรือต้องการให้เรื่องจบกันแน่ แต่นายเปี่ยมเองคงถูกปล่อยตัวเย็นนี้”

ฉันอยากจะถามว่าแล้วทางตำรวจจะว่าอย่างไร แต่นาย อ. ทำท่าจุปากใส่ จึงต้องเปลี่ยนเรื่องไปโดยปริยาย

“แล้วทำไมคุณถึงไปโผล่แถวคอนโดของเพื่อนฉันตั้งแต่สัปดาห์ก่อน”

เขายิ้มอย่างรู้ทัน คงทราบอยู่แล้วว่าฉันไปตามสืบเรื่องของเขา “อาทิตย์ก่อนก็มีคนมาจ้างให้ผมมาสืบเรื่องคุณรุ่ง โดยสงสัยว่าถูกเธอขโมยไอเดียไปเหมือนกับคุณเลย”

ฉันอ้าปากค้างกับคำตอบนี้

“ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนจากมหาลัยเดียวกับคุณรุ่ง ทำงานเป็นนักออกแบบ แต่พอทางผมจะลงมือจริง ๆ ทางผู้ว่าจ้างกลับขอยกเลิกงานเสียงั้น โดยให้เหตุผลว่าจะนำเงินค่าจ้างไปเที่ยวที่ต่างประเทศดีกว่า รู้สึกว่าจะถูกแฟนหนุ่มขอแต่งงาน ก็เลยเลิกสนใจเรื่องโดนขโมยไอเดียไปในทันที ผมก็เลยได้รับค่าจ้างแค่ครึ่งเดียว แต่ก็ยังแอบสนใจเรื่องของคุณรุ่งอยู่ดี

“แล้วฉันก็มาว่าจ้างคุณพอดี”

“ใช่แล้ว นับว่าเป็นโชคชะตา ผมจึงรับงานนี้ไง”

ฉันนวดขมับ ก่อนจะถามคำถามสุดท้าย “แล้วคุณได้เอาไอเดียของฉันไปส่งประกวดหรือเปล่า”

คำถามนี้เหมือนจะเกินความคาดเดาของนาย อ. เขาทำท่างงงัน ก่อนจะร้องอ๋อ

“คุณสืบกระทั่งเรื่องที่ผมส่งพล็อตประกวดด้วยหรือเนี่ย นับถือจริง ๆ

 

สามวันหลังจากเรื่องราวจบลง จากที่คิดว่าทั้งทางคุณเหนือชัยกับรุ่งจะเลิกรากัน แต่เปล่าเลย ทั้งสองกลับรักกันดีกว่าเดิมเสียงั้น นั่นเพราะฝ่ายชายชอบในอัจฉริยภาพของฝ่ายหญิง ส่วนฝ่ายหญิงก็ต้องการคนที่มีความรักในกิจการและลูกน้องมากพอจะทำอะไรสีเทา ๆ ได้

ตัวรุ่งเองก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับไอเดียของคนอื่นเป็นอันขาด (แต่ถ้าเพื่อนายเหนือชัยก็ไม่แน่) ส่วนนางล้อมกับนายเปี่ยมดูท่าจะแต่งงานกันในเร็ว ๆ นี้

ส่วนนาย อ. นะหรือ เขาบอกว่าตนเอาเรื่องราวการรับมือกับเหล่าร้ายในอดีตมาเขียนเป็นพล็อตง่าย ๆ แล้วดันเข้ารอบอีกต่างหาก เมื่อลองอ่านดูแล้วก็พบว่าไม่ได้เหมือนไอเดียของฉันแม้แต่น้อย ชื่อเรื่องนั่นเอาเข้าจริงก็คล้ายกับนิยายนับสิบที่เคยตีพิมพ์หรือจำหน่ายในโลกออนไลน์ จึงเป็นฉันที่หน้าแหกแตกหมอไม่รับเย็บ

แต่ไม่กี่วันต่อมา นาย อ. ก็ขอพบกับฉันที่ร้านกาแฟ

เกี่ยวกับพล็อตที่ผ่านเข้ารอบนั้น เขาสารภาพว่าคงเขียนออกมาเป็นเรื่องไม่ไหวเพราะหมดมุกแล้ว และคงถอนตัวจากการแข่งรอบต่อไป ฉันจึงแนะให้นำคดีของรุ่งไปเขียนเสริมสิ แต่เขากลับส่ายหัวดิก

“คุณเองก็ผ่านเข้ารอบเหมือนกันไม่ใช่หรือ ผมว่าคุณเอาไปเขียนเสริมงานของตัวเองน่าจะดีกว่านะ ผมชอบภาษาของคุณ”

ฉันร้องเอ๋ออกไปโดยไม่ทันตั้งตัว ในหัวมั่นใจว่าเรื่องที่กำลังคิดอยู่นี้คงไม่พลาดแน่

“คุณไม่รู้จริง ๆ หรือว่าผมเป็นแฟนนิยายของคุณ และมั่นใจเลยว่าคุณจะได้ที่หนึ่งแน่นอน”

ตาบ้า แววตาอ่อนโยนอันแฝงความแรงกล้าไว้นั่น ช่างทำให้หวั่นไหวดีจริง

 

ตานักรับจ้างรูปหล่อกลับไปทำงานต่อแล้ว ทิ้งไว้แต่กำลังใจที่ทำให้ความเชื่อมั่นในตัวเองเจริญเพิ่มพูน

ชีวิตของฉันจะเป็นอย่างไรต่อก็ไม่ทราบ มันอาจจะไม่วิเศษเท่ากับรุ่งหรือคุณเหนือชัย ไม่หวานเหมือนป้าล้อมกับนายเปี่ยม แต่มั่นใจเลยว่าคงไม่เลวร้ายเท่าไรนักหรอก

 

Don`t copy text!