ปรวดีไม่ได้โชคร้าย (1)

ปรวดีไม่ได้โชคร้าย (1)

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

อ่านเอาเล่าสนธยา เรื่องสั้นอ่านเพลิน โดย ไข่เจียวหมูสับ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้เพลินไปกับเรื่องราวมากมายที่ยากจะคาดเดา พร้อมเก็บเกี่ยวแง่คิดดีๆ ผ่านทุกตัวอักษร เมื่ออ่านจบคุณจะพบว่า บางครั้งแค่เปลี่ยนมุมมองชีวิตก็เปลี่ยน ลองสัมผัสกับ อ่านเอาเล่าสนธยา ที่ anowl.co เว็บไซต์นวนิยายที่คัดคุณภาพมาให้คนรักงานเขียนได้อ่านกัน

ปรวดีตระหนักรู้อยู่ลึก ๆ ว่าตนเป็นคนโชคร้าย แต่ปรวดีไม่เชื่อว่าตนเป็นคนโชคร้าย

ถึงจะมีใครมาตัดสินว่าตัวเองเป็นหญิงที่โชคร้ายที่สุดก็เถอะ แต่ในสมองก็ยังไม่ได้ยอมรับตำแหน่งนี้หรอกนะ อีกอย่างในมุมมองของเธอเอง คำว่าโชคร้ายนั้นก็ลึกซึ้งกว่าที่ใครหลายคนเข้าใจ

แนวคิดหลักของความซวย นั่นคือ ความซวยนั้นไม่เท่ากับความประมาท แต่เป็นความทุกข์ที่ส่งผลมาจากเหตุสุดวิสัย

ถ้าจะให้อธิบายรายละเอียดแบบชัดเจนงั้นหรือ ก็ประมาณว่าการลืมทำการบ้านไม่นับเป็นโชคร้าย แต่การถูกกระถางต้นไม้ของใครไม่รู้หล่นใส่หัวต่างหากที่นับเป็นความโชคร้าย หรืออย่างโรคร้ายที่มาพร้อมพันธุกรรมและตั้งท่าจะปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ก็นับเป็นโชคร้ายเช่นกัน

แน่นอน การจุดไฟในบ้านโดยไม่ระวัง แล้วเกิดความเสียหายอย่างรุนแรงนั้นนับเป็นความประมาท

แต่ถ้าผู้เป็นพ่อจุดเผลอไฟโดยประมาท กระทั่งเผาหน้าของลูกสาวที่อายุเพียงสองขวบไปถึงหนึ่งในสี่ แบบนั้นถือเป็นความโชคร้ายของลูกสาว หรือก็คือเธอเอง

ความประมาทของผู้อื่นที่ส่งผลเสียต่อเรา เรียกว่าความโชคร้ายของเรา ถ้าจะว่าอย่างนี้ก็พอจะอนุโลมได้

เพราะฉะนั้นปรวดีในวัยสิบสองจึงต้องไว้ผมเป๋ข้างมาปิดโหนกหน้าผากกับริมดวงตาฝั่งซ้าย เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็นรอยแผลเป็น แน่นอนว่าแม้จะได้รับการรักษาทันท่วงทีแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นผล เนื่องจากมาพบในภายหลังว่าแพทย์ตัวดีที่พ่อแม่เลือกสรรมานั้นคือแพทย์ที่ไร้ใบปริญญา แต่แอบอ้างตัวว่าเชี่ยวชาญต่างหาก

นอกจากแผลจะไม่หายแล้ว ยังเอาเงินที่ควรไปหาหมอจริง ๆ มาทุ่มกับไอ้ตัวกำมะลออีก และนั่นทำให้ชีวิตวัยเรียนของปรวดีโคตรจะทรมาน

 

อย่างไรก็ตามเธอมิได้เลิกหวังที่จะมีความสุขหรอกนะ

เพราะเชื่อเสมอว่ายังมีคนที่โชคร้ายกว่าเธออยู่

คนเรามันโชคร้ายในเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ได้เพียงสามครั้งเท่านั้นแหละ นั่นคือคติประจำใจ ไม่ได้เอามาจากโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญที่ไหนหรอกนะ แค่มองว่าหากซวย (ย้ำอีกครั้งว่าซวย มิใช่ประมาทเอง) เรื่องใดซ้ำเกินสามครั้ง ก็ควรจะจบชีวิตตัวเองลงได้แล้วล่ะ เพราะฉะนั้นสมองจึงหาทางออกโดยการเบี่ยงประเด็นของเรื่องที่ซวยออกไป

อันนี้ไม่ใช่โชคร้ายจากอุบัติเหตุหรอก เป็นความซวยเรื่องความสัมพันธ์มากกว่า อะไรไรประมาณนี้

ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้โชคร้ายเรื่องเดิมติดกันเกิดสามครั้งนั่นเอง เธอยังไม่อยากฆ่าตัวตายหรอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่วันนี้

 

เรื่องนั้นช่างมันก่อน

พูดถึงเรื่องหัวใจแล้ว… ชีวิตรักของปรวดีไม่เคยราบรื่น รักแรกของหญิงสาวเกิดขึ้นเมื่ออายุสิบหก เพื่อนร่วมรุ่นที่หน้าตาดีโดดเด่นจากนักเรียนวัยเดียวกันเดินปรี่เข้ามาสารภาพรัก ในเวลานั้นเป็นคาบพละที่นักเรียนทุกคนในชั้นกระจายตัวกันไปฝึกเลี้ยงลูกบาสอยู่กับที่ อากาศร้อนแต่พอมีเมฆบดบังแสงบ้าง และเธออยู่ในชุดพละสีขาวที่มีริ้วสีเขียวคาดผ่านส่วนกลางอก

“เราไม่ใช่คนสวย” นั่นคือประโยคแรกในชีวิตที่เธอได้เอ่ยกับเขา และราวกับนวนิยายที่เคยผ่านตาในห้องสมุด หนุ่มรูปงามที่มีเหงื่อไหลย้อยบริเวณหน้าผากและพวงแก้มได้รูป เขาตอบว่าเธอสวยที่สุดในสายตาของเขา

เวลาสั้น ๆ ที่ได้คบกันนั้นหากจะบรรยายว่ามีความสุขก็คงไม่ถูก เพราะเธอรู้สึกล่องลอยไม่ต่างกับฝัน ผ่านไปสองชั่วโมง ในเวลาเลิกเรียน ปรวดีที่แอบภูมิใจในตนเองไปรอเขาที่หน้ารั้วโรงเรียน

รั้วเป็นอลูมิเนียมที่พ่นสีเทาและน้ำตาล มีเด็กนักเรียนอยู่เต็มไปหมด ยามร่างสูงที่ยืนเฝ้าหน้าประตูคอยยิ้มแย้มให้เด็กทุกคน สายตาของปรวดีคอยมองหาคนเพียงคนเดียว

ชายหนุ่มเดินออกมาพร้อมกับเพื่อนชายสองคนเมื่อประจันหน้าก็หัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกัน

“กูบอกแล้วว่ามันต้องเชื่อ”

ปรวดีไม่ใช่คนไม่ฉลาด เธอทราบทันทีว่าหนุ่มหล่อนั้นพนันกับเพื่อนเอาไว้ว่าจะหลอกเธอสำเร็จหรือไม่      และคำตอบนั้นคือสำเร็จ

ปรวดีไม่ร้องไห้ แค่เดินผละออกมาโดยไม่ฟังคำล้อเลียนของสามคนนั้น น้ำตาไม่ได้ไหลแม้จะผ่านไปหลายเดือน คิดว่าตนเองโชคดีที่เผื่อใจเอาไว้

 

ที่ผ่านมาคงทราบเรื่องของสุขภาพและความรักในวัยเยาว์มาแล้ว จึงอยากจะกล่าวถึงเรื่องการงานบ้าง ทว่าเพราะยังเด็กจึงอาจต้องกล่าวเลยไปยังส่วนของการเรียนด้วย

อย่างที่พอจะทราบกัน ปรวดีไม่ใช่คนโง่เง่าเขลาปัญญา แม้จะถูกเพื่อนร่วมห้องรวมหัวกันหลอกให้รักไปสองชั่วโมง แต่ก็มิฟูมฟาย ยังคงพยายามควบคุมชีวิตไปพร้อมกับประคองกุมเกาะหัวใจไม่ให้แตกสลาย และเธอทำได้สำเร็จ จึงไม่แปลกที่ผลการเรียนและพฤติกรรมของเธอจะไม่มีปัญหาให้อาจารย์และผู้ปกครองต้องหนักใจ จะมีบ้างที่มาสายแต่ก็ไม่เกินกำหนดที่จะถูกลงโทษทัณฑ์ใด ส่วนสาเหตุของการมาสายนั้นมาจากการทำงานพิเศษตั้งแต่เช้าตรู่

ใช่แล้ว ปรวดีไม่ใช่คนขี้เกียจ แม้จะมั่นใจไปถึงกระดูกดำว่าตนนั้นโชคร้ายกว่าคนอื่น (แต่ไม่ได้โชคร้ายที่สุด) แต่ก็รู้ดีว่าถ้างอมืองอตีน คงช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ไม่ได้ และอาจจะไม่ได้มาเรียนอีก หากล้มเหลวหรือไม่พยายามเลยจะเรียกว่าประมาท เด็กสาวยังคงเชื่ออย่างนั้น

เธอทำงานพิเศษเป็นเด็กเช็กสต็อกของร้านขนมแห่งหนึ่ง และเมื่อขึ้นมัธยมปลาย ช่วงเย็นหลังเลิกงานก็จะไปเป็นคนเก็บโต๊ะของร้านอาหารที่อยู่ริมถนนหน้าชุมชน

ปรวดีไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย เธอรู้ดีว่าพ่อและแม่ไม่คิดจะส่งเธอเรียนมหาวิทยาลัย หรือถึงตั้งใจจะส่ง ก็คงทำไม่ได้หรอก พวกท่านไม่เคยทำอะไรเพื่อเธอได้

เมื่อเก็บเงินครบ ที่เหลือก็แค่ส่งคะแนนเพื่อยื่นเข้าคณะที่ต้องการ เธอเลือกคณะ A (นามสมมติ) เพราะหนังสือเป็นสิ่งที่เธอเกลียดน้อยที่สุด (แน่นอนอย่างยิ่ง เธอไม่ทราบว่าในอนาคต สายงานนี้จะประสบปัญหาอย่างหนักหน่วงและเป็นวิกฤติที่น่าสะพรึงกลัว แม้จะฉลาดแต่ในก็ยังอยู่วัยสิบเจ็ดที่ไร้ซึ่งคนคอยให้คำปรึกษา อาจารย์แนะแนวของโรงเรียนเธอก็ไม่ทราบเรื่องนี้หรอก)

ปรวดีต้องยอมขีดชื่อมหาวิทยาลัยที่ต้องการจะไปออก แล้วเลือกมหาวิทยาลัยใกล้บ้านแทน เพราะพ่อกับแม่ด่าทอว่าเป็นลูกอกตัญญู คิดจะทิ้งพ่อแม่ไว้แล้วไปอยู่คนเดียวที่ต่างจังหวัด แน่นอนว่าเธอพยายามอธิบายเหตุผล แต่กำปั้นของพ่อชนะเสมอ

เงินสำหรับค่าเทอมของมหาวิทยาลัยใกล้บ้านนั้นแพงกว่าพอสมควร นั่นทำให้ปรวดีตัดใจจากเสื้อโปโลสีชมพูตัวนั้น ตัวที่เธอจ้องมองด้วยความปรารถนามาตลอดสี่เดือน หวังไว้ว่าเมื่อสอบผ่านจะมาซื้อเพื่อเป็นรางวัลแก่ตนเอง ตั้งมั่นไว้ว่าจะให้เป็นเสื้อลำลองตัวแรกที่ไม่ได้มาจากของเหลือใช้เก่ากึกของญาติสนิท ซึ่งคงทำไม่ได้แล้ว ทว่าด้วยความเป็นคนรู้เท่าทันอารมณ์แห่งตน ปรวดีจึงตัดใจได้ในไม่กี่นาที

ปวรดีสอบติดมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน ลงทุนไปกับชุดนักศึกษาและกระเป๋าเก็บเอกสารที่ลดราคา ในช่วงเวลาที่มีโอกาสพักก่อนเปิดเรียนประมาณสองเดือน เกิดภาวะวิกฤติเศรษฐกิจทั่วทุกมุมโลก ธนาคารที่เธอฝากเงินสำหรับใช้จ่ายสำรองไว้ถูกสั่งปิด เงินของเธอยังอยู่ในนั้นและไม่ได้ออกมาอีก กระทั่งหลายปีต่อมาซึ่งขอไม่กล่าวถึง

ปรวดีจึงต้องใช้เวลาสองเดือนที่เหลือเพื่อทำงานหาเงินสำหรับใช้จ่าย ในขณะที่พ่อและแม่กล่าวอย่างภูมิใจว่าเลี้ยงดูลูกมาอย่างดีแล้ว ถึงเวลาที่เธอต้องหาเงินเองเสียที พร้อมกับขอเงินค่าดูแลทุกเดือนเป็นจำนวนเดือนละสองพัน

คราวนี้… ปรวดีไม่ตัดสินว่าตนนั้นดวงซวยหรือโชคร้าย อันที่จริงเธอควรจะคาดการณ์ถึงเศรษฐกิจระดับมหภาคด้วย นั่นคือจุดผิดพลาดข้อแรก ข้อสองคือควรจะศึกษาความเสี่ยงของธนาคารที่ฝากเงิน และสามคือควรจะรู้ดีอยู่แล้วถึงพฤติกรรมแห่งผู้ปกครองของตน

มันคือความประมาท มิใช่ความโชคร้ายแต่อย่างใด ครั้งนี้เด็กสาวโทษตนเอง

 

หวนกลับมาเรื่องความรัก ในสมัยเรียนมัธยม ปรวดีเรียนรู้จากเพื่อนร่วมห้องหลายคนที่บ่นพร่ำถึงปัญหาของชีวิตรักวัยเยาว์ แม้จะไม่ได้คิดกับเธอโดยตรง แต่เสียงเจี๊ยวจ๊าวจากการถกเถียงก็ลอยมาเข้าหูในเวลาพักทุกครั้ง ในสถานการณ์เช่นนั้น เธอจะทำหน้าที่เป็นคนคอยตัดสินผิดถูกอยู่ภายในใจ ไม่ออกเสียงออกไป แค่ตอบในสมองตนเองว่าฝ่ายหญิงหรือชายเป็นฝ่ายถูก

ทว่าปัญหาส่วนใหญ่ที่แอบได้ยินก็ช่างไร้สาระและน่าขบขันอย่างแท้จริง ถึงขนาดที่เธอหลุดหัวเราะอยู่คนเดียวบ่อย ๆ และกลายเป็นเป้าสายตาของกลุ่มเพื่อนสาวที่กำลังนั่งถกกันอยู่

นั่นทำให้ปรวดีมั่นใจว่าตนจะเป็นคนรักที่ไม่แย่ เธอจะไม่โวยวายที่คนรักลืมซื้อเค้กร้านดังมาให้ ไม่โวยวายเรื่องที่คนรักมาสายในวันนัดเดต ไม่โวยวายเรื่องกระเป๋าหรือเสื้อผ้าแพง ๆ ไม่คิดชิงสุกก่อนห่ามและมั่นใจว่าสามารถอธิบายให้คนรักเข้าใจได้ ไม่พาตนเองไปอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตและบาดเจ็บ

แม้จะแอบปวดร้าวกับรักแรกที่หลอกลวง แต่ปรวดีก็ฉลาดพอจะไม่สรุปว่าผู้ชายทั้งโลกต้องเลวเหมือนคนคนนั้น

ที่สำคัญคือในระยะหลังมานี้ แผลเป็นบนใบหน้าเริ่มจางหาย ผิวพรรณดั้งเดิมและหน้าตาที่ได้จากฝั่งแม่ก็ไม่เลวร้าย เธอมองว่าตนก็มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง

แต่ก็นั่นแหละ เธอไม่เคยมีใครเข้ามาในชีวิต ความรักแท้จริงนั้นเป็นเพียงจินตนาการและโจทย์ยากที่ตนตั้งตัวเตรียมรับมือไว้ แต่มันก็ไม่เข้ามาให้จัดการ

เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยนั่นแหละที่ยิ่งชัดเจน

 

ขึ้นปีสอง ปรวดีไม่ใช่คนขี้เกียจ ไม่ใช่คนทำงานไม่ได้ความ นั่นทำให้เธอมองภาพในอนาคตออก สายงานของคณะเธอกำลังจะเจอปัญหาในอนาคต อย่างต่ำก็ในอีกสิบปี

ทว่าจะซิ่วตอนนี้ก็ไม่ทันการแล้วกระมัง ทำอย่างไรดีเล่า

พอเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาอาจารย์ ก็ถูกหัวเราะกลับมาพร้อมเอ็ดว่าอย่าดูถูกสายงานของตนเอง

ปรวดีไม่เคยดูถูกสายงานใด ๆ ทราบดีว่าทุกวงการสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤติได้ ทางออกมันมีอยู่เสมอ แต่เธอไม่อยากจะเสี่ยง ด้วยตนไม่ได้มีทุนมากพอจะทำอะไรเช่นนั้น

อาจเพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่โดดเด่นเรื่องการสนับสนุนนักศึกษากระมัง ปรวดีคิดเช่นนั้นแต่เลือกมิได้ลาออก เพราะไม่อาจมองเห็นเส้นทางอื่นได้ ในหัวคิดว่าต้องขยายขีดความสามารถในการทำงานของตนให้กว้างที่สุด และเธอก็ทำได้ดี

แต่ไม่ทราบว่าเพราะตั้งใจเกินไปหรือเปล่า ระยะหลังเธอเริ่มปวดหัวบ่อยมากขึ้น บางครั้งปวดเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง แม้จะหวาดกลัวค่ารักษา แต่ก็รู้ดีว่าควรลงทุนกับเรื่องที่สุขภาพ ทว่าเมื่อไปปรึกษาแพทย์ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

 

อย่างไรก็ตาม ชีวิตของปรวดีไม่ทุกข์นักในมุมมองของเธอเอง ทว่าเธอเริ่มเปลี่ยนความคิดนี้ในวันสอบปลายภาคของปีสี่เทอมหนึ่ง

ที่หน้าห้องสอบ นักศึกษาทุกคนวางกระเป๋าบริเวณใต้กระดานตามปกติ ทั้งตัวมีเพียงปากกา ดินสอ และบัตรประจำตัวเท่านั้น เป็นเรื่องสามัญที่ทุกคนคุ้นชินแล้ว

หากจะมีอะไรแตกต่าง คงเป็นข่าววงในของเจ้าหน้าที่คุมสอบ ว่าจะมีการทุจริตภายในห้องสอบ

หากจะมีอะไรแตกต่างไปกว่านั้น คงเกิดจากเพื่อนที่ชื่อว่ามินต์ ผู้ทุจริตมาตลอดชีวิตการเรียน เด็กสาวรู้ดีว่าถูกเพ่งเล็ง จึงไม่สามารถนำโพยติดตัวเข้าห้องสอบได้ แต่มินต์ไม่ใช่คนโง่ แค่เป็นคนขี้โกงและขี้เกียจ จึงได้นำโพยมายัดไว้ที่โต๊ะสอบตั้งแต่เช้าตรู่

มันเป็นโต๊ะสอบแบบติดกับเก้าอี้ ส่วนที่ใช้รองเขียนจะพับขึ้นลงได้ ไม่มีใครทราบว่ามินต์ตรัสรู้ได้อย่างไรว่าจะได้นั่งตัวนี้ แต่เธอก็ทำสำเร็จ กระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่จดข้อมูลมากมายเอาไว้ ถูกยัดบริเวณช่องว่างของเบาะกับโครงเหล็ก

มินต์เป็นคนฉลาดและใจเย็น หากจะมีอะไรผิดพลาด คงเป็นที่วันนั้นเธอท้องเสียหนักและถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล เด็กสาวจึงไม่ได้เข้าสอบ

และวันนั้นเก้าอี้สอบของปรวดีเกิดชำรุดพอดี โต๊ะของมินต์จึงถูกยกมาให้ใช้อย่างทันท่วงที

เมื่อนั่งทำข้อสอบโดยไม่ทราบเรื่องโพย การบิดไปมาของสะโพกจึงทำให้กระดาษแพลมออกมาจากร่องเบาะ และถูกพบโดยเจ้าหน้าที่คุมสอบซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนซึ่งหัวแข็งและพูดจาโผงผาง

ปรวดีที่ตั้งใจมาตลอดสี่ปีการศึกษาจึงถูกกาหัวข้อสอบ และด่าทออย่างรุนแรงต่อหน้าเพื่อนจำนวนสามสิบหกคน เธอพยายามโต้แย้งว่ามิได้ทำ แต่เมื่ออีกฝ่ายมัวแต่ดุด่าพร้อมไร้การรับฟังราวกับคนเสียสติ อะไรบางอย่างในหัวของปรวดีก็ขาดดังผึง

รู้สึกตัวอีกที ฝ่ามือก็กำลังจะหวดไปที่แก้มซ้ายของเจ้าหน้าที่ปากจัดคนนั้นแล้ว แน่นอนว่าเธอยั้งมือได้ทัน แต่ท่าทีของเจ้าหน้าที่หญิงกลับดุร้ายขึ้นเป็นเท่าทวีจากพฤติกรรมดังกล่าว

เจ้าหน้าที่คนนั้นเป็นญาติกับอธิการบดีของสถานศึกษา และเพิ่งหย่าขาดจากสามี ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด หรืออาจจะทั้งสองสาเหตุ ปรวดีจึงถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย พ้นจากสภาพนิสิตทั้งที่ไม่เคยทุจริตแม้เพียงครั้งเดียว

ในวันนั้น ปรวดียอมรับกับตนเองเป็นครั้งแรกว่าเธอเป็นคนโชคร้าย

 

ปรวดีตระหนักถึงความผิดพลาดในชีวิต ภายหลังจากหน้าสะบั้นไปเพราะแรงหมัดของพ่อ

“เรียนยังไงถึงโดนไล่ออกได้วะ แค่นี้มึงยังทำไม่สำเร็จเลย ไอ้ลูกอกตัญญู”

 

สองวันต่อมา เธอยังคงทำงานพิเศษที่ร้านอาหารด้วยความเหนื่อยล้า เวลานั้นคือสี่ทุ่ม ร้านกำลังจะปิดแล้ว เธอจะได้กลับบ้านไปนอนพักเสียที ทว่าเมื่อเก็บขยะทิ้งที่หลังร้าน ก็พบกับลุงทูล พนักงานส่งอาหารที่กำลังนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มือถืออยู่

เมื่อเล่นจบด่าน ชายกลางคนร่างหนาหน้าตาใจดีหันมายิ้มให้ พลางส่งเสียงแหบมาชวนคุย

ทั้งสองแทบไม่เคยสนทนากัน อย่างมาก็ทักทายตามประสา แต่วันนี้เธอรู้สึกต่างออกไป

พนักงานหญิงชายคนอื่น ๆ กำลังล้อมวงนั่งทานมื้อดึก ไม่ก็เล่นตะกร้อกันเสียงดัง ส่วนเธอเริ่มรู้เรื่องวงการเกมมากขึ้น และเริ่มโหลดเกมที่สนใจมาลองเล่นดู (เฉพาะที่ไม่เสียเงิน)

ปรวดีเพิ่งทราบเหมือนกัน ว่าเกมบางเกมสามารถเลือกระดับความยากง่ายได้ ทั้งระดับง่าย ระดับปกติ และระดับยาก

นอกจากนี้เกมบางเกมจะมีฉากจบหลายรูปแบบอีกต่างหาก

โดยเกมที่ปรวดีโหลดมาเล่นนั้น ลุงทูลบอกว่ามีฉากจบทั้งแบบปกติ แบบแย่ หรือแบบดี

เกมก็เหมือนกับชีวิต ถ้าจะให้ดีมันควรจะสนุก นั่นคือคำพูดของลุงทูล

ถ้าอย่างนั้น ชีวิตของเธอก็คงอยู่ในระดับยาก ถึงยากพิเศษ

 

ปรวดีถูกพ่อไล่ออกจากบ้านในวันอังคารที่ฝนตกหนัก แม่ของเธอไม่ได้ห้ามหรือทักท้วงอะไร อันที่จริงแม่กำลังดื่มน้ำเมาอยู่บนพื้นพร้อมดูโทรทัศน์

คำจากลาของแม่คือ อย่าลืมส่งเงินของเดือนนี้มานะ

เธอเก็บข้าวของ พลางบอกทั้งคู่ว่าจะไม่ส่งเงินมาแล้ว ผู้เป็นพ่อพยายามจะส่งส้นตีนมาใส่อีกครั้งแต่ครั้งนี้เธอหลบพร้อมกับเอากระเป๋าสะพายหลังหนักอึ้งฟาดสวนไป พ่อของเธอร่วงก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น สองมือกุมไปที่จมูกที่มีเลือดกระฉูด

 

เธอออกมาหางานประจำทำ สัญญากับตัวเองว่าวันหนึ่งจะกลับไปเรียนให้จบ

ปรววดีเป็นคนขยันและไม่โง่ เถ้าแก่ร้านขนมจึงรับเธอเข้าเป็นพนักงานประจำหลังจากฝึกงานเพียงสองสัปดาห์ นั่นเพราะเธอสามารถแก้ไขระบบการออกแบบฉลากสินค้าที่เคยมั่วมาตลอดสิบปีให้เข้าที่ได้พอสมควร

อันที่จริงเธอไม่เคยเรียนเรื่องพวกนี้มาโดยตรงหรอก แต่ศึกษาเอาจากหนังสือและเว็บไซต์ต่าง ๆ แน่นอนว่ามันยังไม่สมบูรณ์นัก แต่ก็ดีพอให้เธอได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ แม้จะไม่ชอบงานที่ทำ แต่เงินเดือนที่ได้ก็คุ้มค่าต่อการฝืนทน

เธอไม่มีเพื่อนฝูงในที่ทำงานมากนัก อันที่จริงมีแต่ศัตรูที่ตั้งท่าจะใส่ร้ายป้ายสีเสียด้วยซ้ำ แต่ปรวดีมิได้ให้ความสนใจ แต่ก็ระวังตัวมิให้พลาดอยู่เสมอ แน่นอนว่าที่ทำงานพิเศษเดิมก็ยังทำอยู่ เธอไม่ยอมเสียรายได้หรอก

 

เนื้อเรื่องในเกมแห่งชีวิตส่วนนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับฉากเล่าเรื่องราวที่ตัวปรวดีเองไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเลือกจะไปยังแห่งหนใด ไม่ต้องเลือกว่าจะทำอะไร เรื่องราวมันพาไปอย่างนั้นเอง

ทว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยจางหาย คือความทรมาน เหนื่อยล้า ปวดหัวรวดร้าว ร่างกายนั้นกรีดร้องตลอดเวลาว่าอยากหลุดพ้นไปจากความบอบช้ำ

พอสามารถควบคุมตัวละครได้อีกครั้ง ปรวดีก็ได้มาพบกับชายหนุ่มในโรงงานขนม เขามีชื่อว่าพิระ

เมื่อนั้นดวงใจบอบช้ำของปรวดีร้องเรียกหาแต่ความสนใจจากพิระ แม้จะทราบว่าเกิดจากฮอร์โมน แต่เธอก็ไม่สามารถหักห้ามหัวใจได้ เหตุผลและความสามารถในการคาดการณ์ลดต่ำลงทุกครั้งที่เฉียดใกล้ชายหนุ่ม

แตกต่างจากพนักงานคนอื่น ๆ ตัวพิระเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีหมั่นไส้หรือดูถูกอะไรในตัวปรวดี กลับกันยังเข้ามาคุยด้วยความสนิทสนม รอยยิ้มที่มอบให้ทุกครานั้นทำให้เธอคิดลวงตนเองว่าเขามีใจ

แต่เมื่อสติและสังหรณ์กลับมา ก็พยายามหักห้ามจิต ไม่มีทางที่เขาจะสนใจเชิงชู้สาว ยังมิเข็ดจากครั้งก่อนอีกหรือ ไม่สิ พิระไม่น่าใช่คนชั่วเหมือนชายที่เคยหลอกให้รัก ในหัวของปรวดีถกเถียงเกี่ยงกันไปมา ความฉลาดที่เคยมีเตือนให้ระวังตัว แต่หัวใจกลับไม่ยอมทำตาม

เธอปล่อยตัวเองให้ยิ้มร่าทุกครั้งที่ได้สนิทสนมกับพิระ

ทว่า… ทั้งที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน แต่ระยะห่างของทั้งสองนั้นกลับไกลราวกับมีแม่น้ำใหญ่เชี่ยวกรากขวางกั้น พิระรูปงามมักถูกรายล้อมด้วยหญิงสาวที่พร้อมพลีใจให้

 

แต่ชีวิตนำเรื่องราวเข้ามาหาปรวดีเอง เย็นวันอังคารที่ฝนตกหนัก ทั้งคู่ยืนหลบฝนที่หน้าออฟฟิศ เวลาที่เสียงฝนซึ่งกระทบกับกันสาดด้านบนเริ่มจางลง ชายหนุ่มถือโอกาสบอกรักหญิงสาวพร้อมดอกกุหลาบงามงดหนึ่งดอก

ปราการและเหตุผลทลายลงในทันใด ปรวดีตอบรับคำก่อนสมองจะทันได้มีสติเสียอีก

มันจะผิดพลาด จะต้องเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น หญิงสาวคาดการณ์ได้ แต่ทว่าร่างกายและสมองที่ตรากตรำและเหนื่อยล้ามายี่สิบกว่าปีนั้นไม่อาจทานทนกับความบอบช้ำได้อีกต่อไป มันไขว่คว้าความสุขที่เหมือนยาพิษตรงหน้าอย่างไม่คิดชีวิต

หากวันนั้นไม่ถูกสารภาพรัก ปรวดีคงเลือกจบชีวิตตนเองไปแล้ว เธอเชื่อเช่นนั้น

 

แน่นอนว่าอาการปวดหัวของปรวดียังไม่หายไป มันยังกลับมาทักทายอย่างหยาบคายทุกครั้งราวกับญาติจากแดนไกล เมื่อพึงพอใจแล้วก็จากไปพร้อมสัญญาว่าจะกลับมาอีก

 

เกมชีวิตกดปุ่ม SKIP อีกครั้ง วันหวานผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อตัวละครของปรวดีมีสติควบคุมอีกครั้ง ก็พบว่าตนเองอยู่หน้าประตูคอนโดฯ ของพิระ

เสียงคราญครางของหญิงอื่นกำลังกังวานอยู่หลังประตูสีเบจ

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงนี้หรอก แม้ไม่แน่ใจว่าเป็นหญิงคนเดียวกันทุกครั้งหรือไม่ แต่ปรวดีมีทางออกในสถานการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว

เธอกลืนน้ำลายแล้วหันหลังกลับ เดินมาที่ลิฟต์อย่างไม่รีบร้อน ก่นบ่นตนเองว่าเพราะมาโดยไม่บอกล่วงหน้า พิระจึงมิได้อยู่ในนั้น ชายในห้องคือใครสักคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จัก

 

ความฉลาดไม่มีค่าอะไร หากฉลาดในตอนนี้ ร่างกายและจิตใจจะรับไม่ไหว ขอเวลาอีกหน่อย เธอจะจากเขาไป

 

วันที่การงานในวัยยี่สิบหกตกต่ำ เกิดจากการรับรู้ว่าพิระแอบเอาสินค้าและทรัพย์สินของบริษัทไปขาย

คืนนั้นชายรูปหล่อกอดก่ายเธอจากด้านหลัง บนเตียงที่เขาเคยพลอดรักกับหญิงที่เธอเชื่อว่าไม่มีตัวตน พร่ำบ่นว่าพลาดไปแค่ครั้งสองครั้ง

ปรวดีไม่แน่ใจว่าหมายถึงพลาดเรื่องอะไร แต่เดาว่าเป็นเรื่องที่นำของออกไปขายนั่นแหละ

 

ทว่าจู่ ๆ พิระก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นอ่อนหวาน

“ผมรู้ว่าคุณคิดเรื่องอะไรอยู่” เขากล่าวแล้วลุกจากเตียงมาคุกเข่าต่อหน้าปรวดี

เธอนอนคว่ำมองหน้าเขาด้วยอารมณ์ระรัว กำแพงในใจนั้นถูกหลอมละลายอย่างสุดวิสัย แม้พยายามห้ามปราม หัวใจก็มิฟัง

พิระกุมมือเธอแล้วกล่าวพร้อมสีหน้ามุ่งมั่น

“ผมถามตนเองเสมอว่าชีวิตนี้ยังขาดอะไรอีก ทั้งที่มีคุณอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมายังหาคำตอบไม่พบเสียที จึงได้ตระเวนเปลืองตัวไปเรื่อย ๆ โดยไม่คิดถึงความรู้สึกของคุณ ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ผมจะแก้ตัวเป็นคนใหม่ จะหางานที่มั่นคงทำด้วย และนอกจากนี้” เขาจุมพิตเธออย่างอ่อนละมุน

“ผมอยากมีลูกกับคุณ ลูกคือสิ่งที่เราขาด หากครอบครัวของเราสมบูรณ์ ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีก”

สติปัญญาและสมองที่ถูกบ่มเพาะมานานของปรวดีเตือนลั่นว่าเขาโกหก แต่หัวใจนั้นทรงพลังกว่ามาก เธอพ่ายแพ้คำหวานที่เขาหว่านโปรยใส่โดยไม่อาจต่อต้าน

หากในวันนั้น ปรวดีทราบว่าหลายเดือนที่ผ่านมาตนถูกคนรักเล่นคุณไสยให้หลงเสน่ห์ เธอคงหาทางแก้ไปแล้ว แต่ ณ เวลานั้น หญิงสาวไม่มีทางตระหนักถึงเรื่องนี้ได้เลย

ปรวดีตัดสินใจหยุดคุมกำเนิดหลังทั้งคู่จดทะเบียนสมรสกับอย่างเรียบง่าย ชีวิตที่หมองหม่นเริ่มเห็นแววแห่งความสุขอีกครั้ง เธอพาคนรักไปตรวจสุขภาพ ผลออกมาว่าไร้ซึ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทั้งสองพร้อมที่จะมีทายาทแล้ว

และในคืนนั้นที่เพื่อนชายสองคนของสามีมาเยี่ยมเยียนถึงคอนโด ทั้งสองก็ให้การต้อนรับขับสู้ ทว่าเมื่อเหล้าเข้าปากและความครื้นเครงเริ่มครอบคลุมห้อง สามีตัวดีก็ย้ายร่างไปนั่งที่ริมระเบียงอย่างน่าหวาดหวั่น

เพราะห่วงใยยิ่งกว่าชีวิต ปรวดีเดินเข้าไปเตือนสามี และในเวลานั้นเองที่เพื่อนอีกคนในห้องส่งเสียงดังออกมาว่า เฮ้ย

สาเหตุที่ร้อง เพราะสามีเริ่มเสียหลักและกำลังจะหงายหลังหล่นจากระเบียง ปรวดีที่กำลังเดินจึงเปลี่ยนเป็นวิ่งเข้าใส่ สองมือคว้าเสื้อยืดของสามีไว้ทัน แต่เพราะน้ำหนักตัวของชายฉกรรจ์ บวกกับแรงแขนที่เขาคว้ามาจับที่หัวไหล่ของเธอ ร่างทั้งสองจึงหล่นลงสู่เบื้องล่างพร้อมกันราวกับโศกนาฏกรรม

จากคอนโดชั้นหก ร่างของเธอและสามีร่วงกระแทกสู่กันสาดผ้าใบที่ชั้นสาม สามีนั้นแน่นิ่งอยู่กับที่เพราะขาไปเกี่ยวกับราวเหล็กของห้องที่กั้นกันสาด ส่วนเธอนั้นกระเด้งจากแรงกระแทกผ้าใบ และตกลงสู่พื้นเบื้องล่างอีกครา

แต่ละชั้นของคอนโดมีความสูงเกินมาตรฐาน แต่ระเบียงกลับทำต่ำเกินไป และหากนั่นยังโชคร้ายไม่พอ พื้นดินบริเวณที่ร่างของหญิงสาวหล่นกระแทกใส่นั้นเต็มไปด้วยเศษแก้วที่คนเมาทำแตกทิ้งไว้ตั้งแต่ช่วงเย็น

เธอมิได้เสียชีวิต แต่แผลบริเวณใบหน้าถูกกรีดลึกให้ชัดเจนยิ่งกว่าสมัยวัยเยาว์ อวัยวะภายในเสียหาย ส่งผลให้โอกาสในการมีบุตรนั้นน้อยนิด

 

ปรวดีที่มีรอยแผลบนใบหน้าและขาดซึ่งความสามารถในการมีลูกเช่นคนทั่วไป ตื่นขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยวในห้องพักผู้ป่วย มีเพียงลุงทูลกับเพื่อนร่วมงานบางคนที่มาเยี่ยม โดยไร้เงาของผู้เป็นสามี

เพื่อนร่วมงานที่เป็นชายวัยรุ่นได้มอบเครื่องรางที่เป็นโลหะทรงรีสีแดงขนาดจิ๋วให้ โดยวางมันไว้ที่หัวเตียง เขากล่าวว่าเถ้าแก่ฝากมา กำชับว่าสิ่งนี้จะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายหรือพวกคุณไสยออกไปได้

 

หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ปรวดีเลิกรากับพิระ

สามีให้เหตุผลที่ขอเลิก เพราะความกดดัน… เขาอ้างว่าตัวปรวดีเปลี่ยนไปหลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เธอดูเชื่องช้า หมองหม่น และบางครั้งก็แอบพูดคนเดียว พฤติกรรมเหล่านั้นทำให้เขากลัว

เธอที่รู้สาเหตุดีไม่ได้โต้แย้งอะไร ยิ่งไปกว่านั้นยังยอมเซ็นใบหย่าโดยไม่รับเงินแม้แต่สตางค์เดียว อันที่จริงเงินส่วนใหญ่ก็เป็นของเธอทั้งนั้น

อย่างที่เคยกล่าวอย่างซ้ำซาก ปรวดีไม่ใช่คนโง่ หลังเลิกรากันสองเดือน เธอติดต่อไปหาเพื่อนชายคนหนึ่งของอดีตสามีเพื่อพิสูจน์สิ่งที่คาดไว้ และพบว่าอดีตสามีแต่งงานใหม่ไปแล้ว โดยหญิงคนนั้นกำลังตั้งท้องลูกชายให้กับเขา

เธอมิได้ใส่ใจว่าตั้งท้องก่อนหรือหลังการหย่าร้าง มันมิใช่เรื่องสำคัญเท่าไรนัก ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่ปรวดีแน่ใจว่าตัวเองโดนทำเสน่ห์

หลังจากนั้นเธอย้ายออกจากคอนโดฯ ที่ตนเป็นคนผ่อนมานาน ไม่แน่ใจว่าชื่อเจ้าของห้องกลายเป็นของอดีตสามีตั้งแต่เมื่อใดกัน แต่ก็คิดว่าดีแล้วล่ะ

 

ที่ทำงานก็พบความเปลี่ยนแปลง เมื่อเถ้าแก่เรียกเธอไปพบ

“ฉันอยากให้เธอไปช่วยดูแลส่วนของ…” เถ้าแก่ที่แสนใจดีกล่าวกับปรวดี มันคือตำแหน่งงานที่ต่ำลง แต่เธอไม่ได้แย้งหรือพร่ำบ่น รับทราบดีว่าศักยภาพในการทำงานของตนไม่เหมือนเดิม ที่ยังมีงานทำอยู่ก็นับว่าโชคดีแล้ว

เมื่อคิดเช่นนั้นก็แอบขำออกมา ปรวดีควรคิดว่าตนเองโชคดีงั้นหรือ

นอกจากนี้ยังมีประโยคที่ทำร้ายจิตใจพอควร

ฉันอยากให้เธอไปพบผู้เชี่ยวชาญเสียหน่อย ประโยคนั้นหมายความว่าให้เธอไปหาจิตแพทย์

 

ชีวิตของปรวดีดิ่งลงเหวนับจากนั้น เงินเดือนที่ได้น้อยลงไม่พอจะเอื้อมถึงคอนโดฯ รุ่นเดิมที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ จึงได้เพียงซุกตัวในห้องพักเก่า ๆ ที่เพิ่งมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นเมื่อเดือนก่อนเท่านั้น

อาการปวดหัวรุนแรงขึ้น บวกกับการพูดคุยคนเดียวยามที่ไม่รู้ตัว เสียงที่คำนึงในใจถูกเปล่งออกมาโดยไม่อาจควบคุม ปรวดีรู้ชัดว่าตนกำลังวิกฤติ

ปรวดีประมาทกับความรักและไสยศาสตร์เกินไป แม้จะมองได้ว่าเกิดจากเหตุสุดวิสัยเพราะถูกทำของ แต่ในใจก็ยังแอบโทษตนเอง

และในขณะที่สมองเริ่มยอมรับว่าตนเป็นคนโชคร้าย ความโชคดีก็เริ่มแวะเวียนหา

จิตแพทย์ลงความเห็นว่าอาการเซื่องซึมมิได้เกี่ยวกับโรคทางจิตเวช หากแต่เป็นอาการป่วยทางสมอง และเมื่อแพทย์หญิงซึ่งเป็นผู้รักษาอาการบาดเจ็บจากการตกคอนโดฯ ทราบผล การตรวจร่างกายจึงเริ่มทวีความเข้มข้น และทราบว่าเธอมีโรคทางสมองที่หาได้ยากยิ่ง เรียกว่าหนึ่งในสิบล้านยังสูงไปด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าเกิดจากกรรมพันธุ์

ที่ปรวดีมีอาการปวดหัวอยู่บ่อย ๆ เป็นอาการของโรคนี้นั่นเอง ทว่าวิทยาการในสมัยนั้นยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน

 

เมื่อทราบผลการตรวจ เกมชีวิตพาเธอมานั่งจุมปุ๊กที่ห้องคนไข้รอการผ่าตัดใหญ่โดยไม่ทันรู้ตัว

ปรวดีในชุดคนไข้สีเขียวรู้สึกกลัวพอสมควร แต่ก็ตัดสินใจเหยียดกายบนเตียงแล้วเล่มเกมในมือถือรุ่นเก่า

แม้จะเป็นเกมจากยุคพระเจ้าเหา แต่เมื่อถึงด่านรองสุดท้ายก็ขึ้นจุดเซฟอัตโนมัติ พร้อมการแจ้งเตือนว่าทุกสิ่งที่กระทำต่อจากนี้จะนำมาซึ่งผลลัพธ์สามรูปแบบ ผู้เล่นจะได้ไปสู่รูปแบบไหนไม่มีทางรู้

ราวกับชีวิตของปรวดีก็ไม่ปาน แพทย์ยังไม่กล้ายืนยันว่าการผ่าตัดจะส่งผลอย่างไร แต่ที่แน่ชัดคือหากไม่รีบจัดการ ความตายก็จะมาเยือนอย่างมิอาจหนีพ้น

ปรวดีไม่ได้เล่นต่อ หากแต่นั่งรอวันเวลาที่ต้องถูกพาไปห้องผ่าตัดด้วยใจสงบ รับรู้โดยอะไรบางอย่างว่าชีวิตของตนเองมาถึงจุดหักเหเช่นเดียวกับเกมมือถือ

เกมบางเกมสามารถเลือกระดับความยากง่ายได้ ทั้งระดับง่าย ระดับปกติ และระดับยาก

เกมก็เหมือนกับชีวิต เธอนึกถึงคำพูดของลุงทูลอีกครั้งในรอบหลายปี

เกมบางเกมจะมีฉากจบหลายรูปแบบ ฉากจบแบบปกติ ฉากจบแบบแย่ ฉากจบแบบดี

แม้ว่าโรคนี้จะไม่ถูกครอบคลุมโดยประกันสุขภาพที่จ่ายมาตลอดหลายปี  แม้ว่าจะต้องใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดไปกับการรักษา แต่ปรวดีก็ยังแอบสงสัยว่าจุดหักเหนี้ จักนำพาตัวเธอผู้โชคร้ายไปยังฉากจบแบบใดกันนะ

 

 

 

Don`t copy text!