ความลับของเรา (ตอน 3)

ความลับของเรา (ตอน 3)

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

When We Met โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราวหลากรส ของผู้คนอันหลากหลาย ที่เราได้มีโอกาสพบปะเจอะเจอกัน ไม่ว่าจะเป็นความเปรี้ยวนิดๆ  หวานหน่อยๆ  หรืออาจขมบ้างเป็นบางเวลา ที่พร้อมแบ่งปันให้ผู้อ่านได้จดจำนึกถึงและสุขสำราญไปด้วยกัน

พิมพ์กับตั้มแต่งงานกันมานานกว่า 20 ปี มีลูกด้วยกัน 2 คน วันที่รู้ว่าคนที่ไว้ใจ คนที่คิดว่าป็นเหมือนคนในครอบครัว ยอมให้เข้านอกออกในบ้านได้ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี กลายมาเป็นสามีของสามี มันเหมือนโลกทั้งใบโดนระเบิดพังครืนลงมาตรงหน้า แล้วถูกกระชากวิญญาณออกมาเหยียบย่ำซ้ำๆ ให้ได้รู้สึกถึงรสชาติของความเจ็บปวดทรยศ

ชีวิตครอบครัวที่สร้างร่วมกันมาจนถึงวันที่อายุล่วงเลยมา 50 กว่า พิมพ์รู้ดีว่าปัญหาที่เจอมันหนักหนา และเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด เพราะมันคือทั้งชีวิตที่เคยเป็นความผูกพัน แล้วถูกรัดขึงไว้ด้วยความรังเกียจ ความผิดหวังเสียใจ และความเห็นแก่ตัวของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี เมื่อได้รับรู้ว่าเขาซ่อนใครไว้อีกคน ตลอดระยะเวลาที่แต่งงานกัน ทุกวินาทีที่ใจเย็นรอคอยให้สามีกลับบ้าน รอให้ลูกขึ้นห้องนอน รอให้เขาสั่งงานทำธุระของตัวเองให้เสร็จ มันคือความทรมานที่กดทับทั้งตัวและหัวใจ

พิมพ์เพิ่งมาสังเกตว่า ตลอดระยะเวลาของการแต่งงานกัน เธอได้ยินคำบอกรักจากสามีน้อยมาก เพราะคิดว่าระหว่างเธอกับตั้มมันคือการจับคู่ของผู้ใหญ่ เลยไม่เคยใส่ใจว่าคำนั้นมันจะมีความหมายอะไรกับชีวิต เพราะเขาก็ให้ความสำคัญเธอกับลูก ทำหน้าที่สามีของตัวเองได้เป็นอย่างดี แถมยังดูแลบ้านดูแลลูกได้ดีกว่าเธอด้วยซ้ำ

คืนนั้นหลังจากยื่นโทรศัพท์ที่เต็มไปด้วยภาพของเขากับใครอีกคนให้ตั้ม พิมพ์ก็คว้ากุญแจรถขับรถออกจากบ้านแบบไร้จุดหมาย โดยมีตั้มนั่งอยู่ข้างๆ เธอไม่อยากอยู่บ้านโวยวายหรือทะเลาะกันให้ลูกได้ยิน แต่พิมพ์เชื่อว่าตั้มรับรู้ทุกความรู้สึกของเธอที่มันดังอยู่ในความเงียบได้ดี กระทั่งเธอจอดรถข้างทางและหันมามองหน้าคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นสามี คำขอโทษและคำสารภาพที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของตั้มก็พรั่งพรูออกมาโดยที่เธอไม่ต้องเอ่ยปากถาม เมื่อฟังคำสารภาพของตั้มจบ คำถามเดียวที่เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองถามออกไปได้อย่างไร แต่เธอก็อยากฟังคำตอบ ก็คือ “นี่พิมพ์เป็นมือที่ 3 ของตั้มใช่ไหม?”

แค่ตั้มเบือนหน้าหนีไม่สบตา น้ำตาก็ทะลักทลายออกมา มันเป็นน้ำตาผสมปนเปไปด้วยความรู้สึกมากมาย และก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พิมพ์ได้เห็นน้ำตาที่เต็มไปความเสียใจและความรู้สึกผิดของตั้ม จนเธอเริ่มสมเพชตัวเองและอยากโทษอะไรก็ตามที่พาเธอมาอยู่ในจุดนี้ เธออยากให้ตั้มปฏิเสธทุกอย่างมากกว่ายอมรับผิดแต่โดยดี จากคนที่ตั้งใจพร้อมรบและจะยืนอยู่คนละฝั่ง แล้วฟาดฟันกันให้แหลกลาญ ตอนนั้นในหัวพิมพ์กลับมีแต่ภาพของตั้มที่ยอมตามใจพ่อแม่ทุกอย่าง ทั้งการทำงาน การมีชีวิตคู่… 20-30 ปีก่อน สังคมไม่ได้เปิดกว้างยอมรับการมีอยู่ของเพศสภาพที่ต่างกันอย่างทุกวันนี้ เพราะความกลัว ความไม่กล้าปฏิเสธ ทำให้ตั้มเลือกที่จะเป็นคนเห็นแก่ตัว เลือกที่จะรักษาหน้าตาของตัวเอง ของพ่อแม่ครอบครัวไว้ จนทำลายชีวิตเธอ อย่างไม่น่าให้อภัย

จากที่คิดว่าตัวเองฉลาด โชคดี วันนี้โลกเหวี่ยงให้เธอกลายเป็นคนที่โง่ที่สุด เพราะไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรกับปัญหาตรงหน้า จะบอกลูกที่รอพ่อแม่อยู่ที่บ้านยังไง จะเล่าให้พ่อแม่ พี่น้องเพื่อนฝูง คนรอบข้างที่เคยอิจฉาชื่นชมครอบครัวของเธอว่าอย่างไรถ้าต้องเลิกกัน แล้วทุกคนรู้ว่าสาเหตุของการเลิกกันคือสามีเธอไปเป็นภรรยาของคนอื่น เสี้ยววินาทีหนึ่งพิมพ์กล้ายอมรับกับตัวเองเหมือนกันว่า เธอก็แคร์สายตาและความรู้สึกของทุกคน มันจะไม่ใช่สายตาของความชื่นชมเหมือนที่เป็นมาตลอด 20-30 ปี แต่มันจะเป็นสายตาของความอยากรู้อยากเห็น หรืออาจสมเพชในความโง่ ที่เธอต้องแบกสิ่งเหล่านั้นไว้ไม่ต่างไปจากตั้มเคยเป็น

มีคนบอกว่าเวลามีทุกข์ให้ไปปฏิบัติธรรม พิมพ์ก็เลือกไปอยู่วัดเป็นอาทิตย์ เพราะไม่อยากอยู่บ้าน และไม่รู้จะไปไหน ออกจากวัดพิมพ์ก็กลับไปนอนบ้านพ่อกับแม่อีกเป็นอาทิตย์ พ่อกับแม่เข้าใจว่าเธอกับตั้มทะเลาะกัน ก็พยายามปลอบใจแล้วบอกให้กลับไปคุยกันดีๆ เพราะต่างคนต่างก็อายุไม่น้อยกันแล้วอย่ามาทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ให้อายลูก ตอนแรกเธออยากจะฟ้องพ่อกับแม่ให้ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สายตาเจ้ากรรมดันไปเห็นภาพถ่ายซีดเก่าในกรอบรูปที่แขวนอยู่ตรงผนังบ้าน เป็นภาพที่เธอกับตั้มที่ถ่ายร่วมกับพ่อแม่ของทั้ง 2 ครอบครัว ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พิมพ์ก็พูดอะไรไม่ออก เริ่มรู้สึกกระดากอายที่จะเริ่มต้นพูดออกไป ยิ่งพอพ่อบอกว่าให้รีบเข้านอน เพราะพรุ่งนี้ต้องพ่อพาแม่ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล พิมพ์ก็เพิ่งได้เห็นวัยที่ร่วงโรย และความแก่ชราของพ่อกับแม่ ถึงปัญหาทั้งหมดจะไม่ได้เริ่มต้นจากเธอ แต่เธอจบมันได้ โดยที่ยังรักษาความรู้สึกของทุกคนไว้ได้ ยกเว้นความรู้สึกของเธอที่มีต่อตั้ม ที่อาจต้องใช้เวลาอีกนาน

วันที่กลับบ้านพิมพ์ลองหยั่งเชิงลูกๆ ด้วยการถามว่า “ถ้าวันนึงพ่อกับแม่เลิกกันพวกหนูจะโอเคไหม?” สิ่งที่ทำให้พิมพ์ประหลาดใจก็คือคำถามสวนกลับของลูกที่ว่า “แม่กับพ่อจะหย่ากันเหรอ? วันก่อนพ่อก็ถามพวกหนูแบบแม่ถาม” พิมพ์ไม่คิดว่าช่วงที่เธอไม่อยู่ ตั้มจะใช้ความกล้าของตัวเองจัดการปัญหาเหมือนเข้ามานั่งอยู่ในใจเธอ อย่างน้อยลูก 2 คนก็สำคัญที่สุดสำหรับทั้งคู่ และเขาก็ยังรับผิดชอบต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจของเธอ ถึงมันจะช่วยไม่ได้ทั้งหมดก็ตาม

“…ขอแค่พ่อกับแม่ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ และเรายังเป็นครอบครัวเดียวกัน ความสุขของพ่อกับแม่ก็สำคัญกับหนูเหมือนกัน” คำตอบที่ดูเข้าอกเข้าใจ ไม่เซ้าซี้ถามถึงปัญหาที่เกิดของพ่อกับแม่ เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นค่อยๆ ช้อนเอาความทุกข์ที่ทับถมอยู่ในใจจนมองไม่เห็นความสุขเธอออกไป เธอสัญญากับลูกว่าวันนึงถ้าแม่สบายดีแล้วจะเล่าให้ฟัง

ข้อตกลงของพิมพ์กับตั้มหลังจากวันนั้น ก็คือเราจะหย่ากันเงียบๆ รับรู้กันแค่เรา 4 คนพ่อแม่ลูก ระหว่างนี้ เราก็อยู่ร่วมบ้านแยกห้องกันไปก่อน อีก 1 ปี พอลูกคนโตเรียนจบทำงาน เธอก็จะแยกไปซื้อบ้านอยู่กับลูกคนโต เพื่อจะได้เป็นข้ออ้างในการช่วยกันดูแลลูก พ่อแม่ญาติพี่น้องของทั้ง 2 ฝ่ายจะได้ไม่ต้องถามอะไรให้มากความ และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะในวันที่สังคมที่เปลี่ยน ทุกวันนี้ญาติพี่น้องแต่ละครอบครัวจะได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาก็เฉพาะวันที่เป็นวาระสำคัญ ส่วนใหญ่ก็ติดตามข่าวสารกันจากโซเชียลฯ ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนฝูง ไม่มีใครแวะมาหากันที่บ้านบ่อยๆ เหมือนแต่ก่อน ไม่มีใครสนใจว่าชีวิตครอบครัวเธอจะเป็นอย่างไร

3 ปีแล้วที่พิมพ์เริ่มทำใจได้ ตั้มก็ยังดูแลเธอเหมือนเดิม โอนเงินเข้าบัญชีให้เธอเก็บไว้เหมือนปกติที่ยังอยู่ด้วยกัน เธอเปลี่ยนตัวเองเป็นนักเดินทาง ค่อยๆ ถ่ายงานให้คนที่ไว้ใจได้ทำแทน ชวนเพื่อนไปเที่ยวประเทศโน้นประเทศนี้ ซื้อทัวร์ไปเองบ้าง บางครั้งก็ไปเที่ยวกับลูก และบางครั้งก็มีตั้มไปด้วยเป็นครอบครัว จนเพื่อนๆ และญาติๆ แซวว่าเพิ่งจะใช้เงินเป็นก็ตอนแก่หรือไง

วิธีแก้ปัญหาของพิมพ์อาจดูไม่ฉลาด หรือดูง่ายเกินไปในสายตาคนอื่น แต่กว่าที่เธอจะทำใจและผ่านความรู้สึกต่างๆ มาได้ชีวิตก็หนักหนาอยู่เป็นนาน ทุกวันนี้พิมพ์ขอบคุณความแก่ของตัวเอง ที่ทำให้เธอมีสติ ถ้าเด็กกว่านี้เธอคงโวยวายแฉทุกอย่าง และถ้าตั้มจะขอบคุณเธอ ตั้มคงต้องของคุณตัวเองที่ดีกับเธอและครอบครัวอย่างเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกัน จนทำให้เธอรู้สึกสงสารเขาพอๆ กับที่สงสารตัวเองจนคิดได้ว่าถ้าเธอประจานเขามันไม่ได้แค่ทำร้ายเขา แต่ยังทำร้ายลูก ทำร้ายครอบครัว และทำร้ายตัวเอง เพราะเธอก็ยังเป็นคนเห็นแก่ตัว ที่แคร์ชื่อเสียงหน้าตาในสังคม ไม่ต่างไปจากตั้ม การที่วันนี้เธอค่อยๆ มองตั้มอย่างเพื่อนได้ และเลือกที่จะช่วยเขาเก็บความลับไว้แทนการเปิดทุกอย่างออกมา อย่างน้อยมันก็เป็นทางเลือกที่ช่วยรักษาความสัมพันธ์อื่นๆ รอบตัวเธอไว้ได้ โดยที่เธอก็ยังมีความสุขกับชีวิตของตัวเองได้

แล้วถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคุณ… คุณจะตัดสินใจแบบไหน?

Don`t copy text!